คู่มือการเก็บรักษา นมแม่ เก็บยังไงไม่ให้เหม็นหืน ? ควรให้นมลูกปริมาณแค่ไหน ? รวมคำถามคาใจคุณแม่ในบทความเดียว !

น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ
ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน

คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้
สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ โดยผสมในอัตราส่วนที่นมใหม่มีปริมาณมากกว่านมที่มีกลิ่น แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเรารู้วิธีการเก็บรักษาน้ำนมของแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นหืนและคงคุณค่าได้นาน มาดูกันต่อค่ะ
แชร์วิธีการเก็บรักษา นมแม่สำหรับการสต็อกน้ำนม ไม่ให้เหม็นหืน

สำหรับบางบ้านแม้ไม่ได้ใช้ตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ แต่นมที่เก็บเอาไว้ก็ยังมีกลิ่นเหม็นหืนอยู่ก็อาจเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน BabyGift มีวิธีเก็บรักษา นมแม่ไม่ให้เหม็นหืนและคงคุณค่าน้ำนมเอาไว้ได้มาฝากดังนี้ค่ะ
- ก่อนปั๊มนมควรตรวจสอบเครื่องปั๊มนมก่อนว่าสะอาดดีหรือไม่ ควรนึ่งฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ
- เมื่อเตรียมน้ำนมใส่ถุงสต็อกเรียบร้อยแล้ว ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนเก็บ และรีบนำน้ำนมเข้าตู้เย็น
- หากเก็บน้ำนมในถุงพลาสติกแล้วมีกลิ่นเหม็นหืนมาก อาจเปลี่ยนเป็นภาชนะที่ทำจากแก้วแทน (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ เทคนิคการเลือกถุงเก็บน้ำนม ในเว็บไซต์ BabyGift เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะคะ)
- ไม่ควรเก็บน้ำนมร่วมกับอาหารอื่นๆ รวมถึงจัดเก็บอาหารในตู้เย็นในภาชนะที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอาหารมาปะปนกับน้ำนม
- ไม่เก็บถุงน้ำนมใกล้ส่วนของช่องแข็งหรือช่องแช่ที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เพราะความเย็นจะไม่คงที่
- การปั๊มนมให้ลูกกินวันต่อวัน เป็นอีกหนึ่งวิธีการเก็บรักษา นมแม่ ไม่ให้มีกลิ่นหืน
- หากเก็บแบบแช่แข็งให้เอาน้ำนมแช่แข็งมาไว้ในช่องเย็นธรรมดาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำนมละลายก่อน และยังสามารถเอาน้ำนมที่ละลายแล้วมาเทใส่ขวดให้ลูกกินเย็นๆ ได้เลย วิธีนี้จะไม่ทำให้ลูกน้อยปวดท้องหรือท้องเสียแต่อย่างใด และไม่ทำให้นมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืนอีกด้วย
- สำหรับการเก็บในช่องแช่แข็ง ควรวางถุงในแนวราบเพื่อให้นมแข็งตัวได้เร็ว หรือจะวางถุงนมในแนวราบบนถาดสแตนเลส จากนั้นใช้น้ำเย็นราดก่อนเอาไปเก็บในตู้แช่แข็งก็จะช่วยให้นมแข็งตัวได้เร็วขึ้น และช่วยลดกลิ่นเหม็นหืนได้ดี
- สำหรับคุณแม่ที่ทำตามวิธีการเก็บรักษา นมแม่ ข้างต้นแล้ว แต่ยังพบว่าน้ำนมมีกลิ่นหืนอยู่ อาจจะต้องต้มน้ำนมก่อนเก็บ โดยการต้มน้ำนมที่ได้จากการปั๊มนมที่อุณหภูมิ 82 องศาเซลเซียส สังเกตจากการเห็นฟองเล็กๆ ผุดขึ้นมาในหม้อ จากนั้นจึงปิดไฟ รอจนน้ำนมเย็นลงจึงเก็บใส่ถุง และนำไปแช่แข็ง การต้มนมด้วยวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการทำงานของไลเปสในน้ำนม ทำให้ลดกลิ่นเหม็นหืนได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องแลกด้วยการเสียคุณค่าทางอาหารบางอย่างและสูญเสียภูมิคุ้มกันในน้ำนมไปจากการต้มด้วยความร้อนนั่นเองค่ะ
ชวนรู้ น้ำนมของแม่เก็บที่อุณหภูมิต่างๆ ได้นานแค่ไหน ?

การเก็บน้ำนมในช่องแช่เย็นทั่วไปหรือเก็บในรูปแบบต่างๆ จะเก็บได้นานเท่าไหร่ มาดูกันค่ะ
- เก็บที่อุณหภูมิห้อง โดยมีอุณหภูมิมากกว่า 25 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 1 ชั่วโมง
- เก็บในห้องแอร์ โดยมีอุณหภูมิน้อยกว่า 25 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 4 ชั่วโมง
- เก็บในกระติกน้ำแข็ง อุณหภูมิน้อยกว่า 15 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง
- เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 4 วัน หรือ 96 ชั่วโมง
- เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูเดียว = เก็บได้นาน 2 สัปดาห์
- เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก = เก็บได้นาน 3 เดือน
- เก็บในตู้เแช่แข็งแบบประตูแบบ deep freezer อุณหภูมิ -19 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 6 เดือน
จะอุ่นน้ำนมสต็อกอย่างไร ให้คงคุณค่าทางสารอาหารได้มากที่สุด
นอกจากวิธีการเก็บรักษา นมแม่ จะมีความสำคัญและต้องทำอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้เก็บรักษาน้ำนมของแม่ไว้ได้นานและไม่เหม็นหืนแล้ว วิธีการอุ่นนมสต็อกอย่างถูกต้องนั้นก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าอุ่นผิดวิธีอาจทำให้นมสูญเสียคุณค่าได้ ซึ่งวิธีอุ่นนมสต็อกที่ถูกต้องทำได้ดังนี้ค่ะ
- หากต้องการนำนมที่แช่แข็งไว้มาใช้ ให้นำมาไว้ในช่องตู้เย็นปกติก่อน 1 คืน หรือนำมาตั้งไว้ในอุณหภูมิห้องไม่เกิน 2 ชั่วโมง และสามารถป้อนลูกแบบเย็น ๆ ได้เลย
- ถ้าลูกไม่ชอบแบบเย็น ๆ ควรนำนมไปแช่ในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสเพื่อให้ละลาย ไม่ควรนำไปแช่ในน้ำร้อน นำไปใส่ในไมโครเวฟ หรือนำไปละลายบนเตาเพราะจะทำลายสารอาหารและภูมิคุ้มกันออกไปด้วย
- ในส่วนของนมแช่แข็งที่ละลายแล้ว หากกินไม่หมดก็สามารถเก็บเข้าตู้เย็นได้ แต่ต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง และห้ามนำกลับไปแช่แข็งใหม่
- น้ำนมที่เหลือจากการป้อนลูก ไม่ว่าจะป้อนจากขวด จากแก้ว หรือจากถ้วย ห้ามเทกลับเข้าไปในภาชนะเก็บอย่างเด็ดขาด และถ้าหากไม่ได้ใช้ภายใน 2 ชั่วโมงให้เททิ้ง เนื่องจากมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจากปากของทารกแล้ว
นมแม่ดีอย่างไร ทำไมต้องให้ลูกกินนมของแม่ให้นานที่สุด ?!

จริงอยู่ที่คุณแม่หลายๆ คนอาจจะเกิดความท้อใจในการเก็บสต็อกน้ำนมเตรียมไว้ให้ลูก เพราะมีขั้นตอน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย และอาจจะกำลังคิดว่าจะให้ลูกกินนมผงเสริมแทนดีหรือไม่ ขอบอกเลยว่า ควรให้ลูกกินน้ำนมของแม่ให้นานทีสุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีข้อแนะนำว่าควรให้ลูกกินน้ำนมของแม่ไปจนถึงอายุ 6 เดือน แต่เราสามารถให้ลูกกินนมของแม่ได้จนถึงอายุ 2 – 3 ขวบเลยทีเดียว เนื่องจากน้ำนมของแม่เป็นอาหารที่ทรงคุณค่ามากที่สุดสำหรับเด็ก ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย และยังมีสารช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหลายอย่าง ช่วยทำให้ลูกมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ น้ำนมของแม่นั้นมีคุณค่ามากมาย เช่น
- มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับลูกน้อยอย่างครบถ้วน มีแร่ธาตุวิตามินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกน้อย
- น้ำนมของแม่ย่อยและดูดซึมได้ง่าย ทำให้ลูกน้อยขับถ่ายได้ดี ลดอาการท้องอืดและอาการโคลิค
- ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะลำไส้เน่าตายเฉพาะส่วน (Necrotizing Entercolitis) ในทารกคลอดก่อนกำหนด
- มีการศึกษาพบว่า การกินน้ำนมของแม่อย่างเดียวจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในอนาคต เมื่อเทียบกับทารกกลุ่มที่กินนมแบบผสม
- ในน้ำนมของแม่มี DHA ที่ช่วยในการมองเห็น ช่วยบำรุงสมอง ทั้งยังช่วยเพิ่มระดับสติปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ และความฉลาดทางอารมณ์
นอกจากนี้ การให้ลูกกินนมของแม่ยังดีต่อตัวคุณแม่เองด้วย เพราะจะช่วยให้น้ำหนักลดเร็ว และช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ขณะตั้งครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจขาดเลือด ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในแม่ได้ และในขณะที่แม่ให้นมลูก คุณแม่จะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ออกมา ซึ่งจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่หรือกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งผลต่ออารมณ์ของคุณแม่ ช่วยทำให้เกิดความผูกพันระหว่างแม่ลูก ทำให้คุณแม่เกิดความผ่อนคลาย และช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย
ปริมาณน้ำนมที่ลูกต้องการในแต่ละช่วงวัย เท่าไหร่ถึงจะพอดี ?

องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า เด็กแรกเกิด – 6 เดือน ควรกินนมของแม่เพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ต้องกินอาหารเสริมอื่นๆ เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารจากนมแม่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ทารกเกิดการแพ้อาหารในอนาคตอีกด้วย ซึ่งคุณแม่อาจเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ในแต่ละวันนั้นควรให้นมลูกในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ ซึ่งได้มีการกำหนดเอาไว้ดังนี้ค่ะ
- อายุ 1 เดือน ควรให้นมปริมาณครั้งละ 2 – 4 ออนซ์ ประมาณ 7 – 8 ครั้งต่อวัน
- อายุ 2 – 6 เดือน ให้เพิ่มปริมาณเป็น 4 – 6 ออนซ์ ประมาณ 5 – 6 ครั้งต่อวัน
- อายุ 6 – 12 เดือน ควรให้ปริมาณ 6 – 8 ออนซ์ วันละ 4 – 5 ครั้ง รวมกับอาหารเสริมอื่น ๆ
- อายุ 1 ขวบขึ้นไป ควรให้ปริมาณ 6 – 8 ออนซ์วันละ 3 – 4 ครั้ง หลังกินอาหาร
BabyGift แนะนำสินค้าดีๆ เป็นตัวช่วยสำหรับการเก็บสต็อกน้ำนมให้ลูก

1. MR.FOX ถุงเก็บน้ำนมรุ่นพลัส ขนาด 8 ออนซ์
ถุงเก็บน้ำนมรุ่นพลัส ขนาด 8 ออนซ์ จากแบรนด์ MR.FOX ช่วยในการเก็บน้ำนมได้ดีช่วยลดการเหม็นหืนในน้ำนมได้ ขอบถุงซีลหนาถึง 5 มิลลิเมตร สามารถเขียนด้วยปากกาลูกลื่นได้ ไม่ต้องยุ่งยากในการหาปากกา permanent เป็นถุงนมทึบแสง ช่วยรักษาแร่ธาตุวิตามินในน้ำนมได้ดี ทำจากวัสดุ Food grade ปราศจากสาร BPA ที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย
จุดเด่น
- สามารถต่อตรงจากเครื่องปั๊มลงถุงเก็บน้ำนมได้เลย และสามารถต่อจุกนมให้ลูกดื่มจากถุงได้เลยเช่นกัน
- ไม่ต้องใช้ขวดนม ทำให้คุณแม่ไม่ต้องเสียเวลาล้าง – นึ่งขวดนม ซึ่งใช้เวลานาน
- ช่วยลดการปนเปื้อนจากการเทไปเทมาระหว่างขวดนมและถุงเก็บน้ำนม แล้วยังลดการปนเปื้อนจากการล้างขวดนมไม่สะอาดอีกด้วย
- ผลิตจากพลาสติกหนา 2 ชั้น ทำให้เหนียว หนา ไม่แตก ไม่รั่วซึม ซึ่ง Mister Fox เป็นเจ้าเดียวในตลาด ที่ใช้พลาสติกชนิดไนลอนซึ่งดีที่สุดในการทำถุงนมอีกด้วย
- ช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องพกขวดนม เพิ่มความสะดวกสบายให้คุณแม่มากขึ้น

2. PRINCE & PRINCESS เครื่องอุ่นนม Baby Bottle Warmer & Sterilizer
ตัวช่วยสำคัญในการอุ่นน้ำนมให้ลูก ต้องเครื่องอุ่นนมจาก PRINCE & PRINCESS รุ่น Baby Bottle Warmer & Sterilizer อุ่นน้ำนมให้ลูกพร้อมกินโดยไม่ทำให้น้ำนมเสียคุณค่าทางอาหาร (อุ่นที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส) น้ำหนักเบา พกพาง่าย สามารถอุ่นนมลูกได้ทุกที่ทุกเวลา
- มี 4 โหมดทำงานอัจริยะ ได้แก่ โหมดอุ่นนม (Warm) โหมดละลายน้ำแข็ง (Defrost) โหมดอุ่นอาหารเด็ก (Food) และโหมดนึ่งฆ่าเชื้อขวดนม (Sterilize)
- น้ำหนักเบาเพียง 780 กรัม
- ประหยัดเวลาคุณแม่ สามารถอุ่นน้ำนมให้ลูกได้พร้อมกัน 2 ถุง
- ปราศจากสาร BPA สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ใช้งานได้อย่างปลอดภัย
- สั่งงานด้วยระบบ Touch Screen
- มีการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขาย

3. PRINCE & PRINCESS ถุงเก็บน้ำนม อลูมิเนียมฟอยล์ รุ่น Snowbear Series
ถุงเก็บน้ำนมอลูมิเนียมฟอยล์รุ่น Snowbear Series จากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษ ช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นหืนได้ดี เป็นถุงทึบแสง 100 เปอร์เซ็นต์ มีความแข็งแรงทนทาน สามารถคงคุณค่าสารอาหารในน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยได้อย่างมีคุณภาพ ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อวิธีเดียวกับการฆ่าเชื้อในอาหาร สะอาด ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง ถุงเก็บน้ำนมทนความร้อนได้ถึง 80 องศาเซลเซียส มีช่องเทน้ำนมแยก ฉีกง่าย เทง่าย ไม่ปนเปื้อน เก็บรักษาน้ำนมให้ลูกน้อยได้อย่างดีเยี่ยม
จุดเด่น
- ถุงหนา 4 ชั้น ประกอบด้วยวัสดุ Aluminium foil เสริมด้วย Polyethylene Polyamide และ Polyester แข็งแรงทนทานกว่าถุงเก็บน้ำนมพลาสติกใสทั่วไป
- ผลิตด้วยเทคโนโลยีการปิดกั้นออกซิเจน ลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ป้องกันการเปลี่ยนสีของน้ำนม
- ซิปล็อค 2 ชั้น ซีลขอบข้าง 0.6 มิลลิเมตร เสริมความแข็งแรง ไม่แตกง่าย
- เก็บความเย็นได้นานกว่าถุงนมพลาสติกใสทั่วไป พร้อมทนอุณหภูมิต่ำได้มากถึง -20 องศาเซลเซียส
- นำความร้อนได้ดี อุ่นน้ำนมได้เร็ว เพียงใช้โหมด Warm ละลายนมแม่แช่แข็งได้ในเวลา 20 นาที หรือจะอุ่นนมเย็นเพียง 10 นาที ก็พร้อมเสิร์ฟให้ลูกน้อยได้เลย
- ใน 1 กล่อง มีถุงเก็บน้ำนม 4 สี สีม่วง สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู ขนาด 7 ออนซ์ จุน้ำนมได้ 200 มิลลิลิตร มีทั้งหมด 30 ชิ้น
การเก็บรักษา นมแม่นั้น มีหลายขั้นตอน และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องใส่ใจมากมาย แต่แม้ว่าจะยุ่งยากขนาดไหน สำหรับคุณแม่ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยอย่างน้ำนมแม่แล้ว เชื่อว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากเกินกำลังของคุณแม่อย่างแน่นอน การให้ลูกได้กินนมของแม่อย่างยาวนานมากที่สุดนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกในระยะยาว ทั้งในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรงและไม่ป่วยง่ายอีกด้วย และปัจจุบันก็มีตัวช่วยดีๆ มากมายที่ทำให้การเก็บรักษา นมแม่ง่ายขึ้น ทั้งนี้ หากคุณแม่สนใจสินค้าแม่และเด็กอื่นๆ สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นถุงเก็บนม เครื่องอุ่นนม เครื่องปั๊มนม หรือสินค้าอื่นๆ ก็ตาม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 5 สาขาใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
ผ้าอ้อมเด็ก เป็นสิ่งที่อยู่คู่กายลูกน้อยแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง การเลือกผ้าอ้อมเด็กที่ดีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการซึมซับเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความสบายตัวของลูกน้อย สุขภาพผิว และความมั่นใจของคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลลูกรัก วันนี้ BabyGift จะมาเผยเคล็ดลับวิธีเลือกผ้าอ้อมเด็กอย่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัวที่สุดในทุกการเคลื่อนไหว ทำไมการเลือกผ้าอ้อมเด็กจึงสำคัญ การเลือกผ้าอ้อมเด็กมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขอนามัยของลูกน้อย เพราะผิวทารกนั้นบอบบางและแพ้ง่าย การสัมผัสกับความเปียกชื้นหรือสิ่งสกปรกเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อม การระคายเคือง และความไม่สบายตัว ซึ่งจะส่งผลให้ลูกน้อยงอแง การเลือกผ้าอ้อมเด็กที่มีคุณภาพดีจึงช่วยให้ผิวลูกแห้งสบาย ปราศจากเชื้อโรค และช่วยส่งเสริมให้ลูกมีอารมณ์ดี พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่ ความแตกต่างระหว่างผ้าอ้อมคุณภาพดีและผ้าอ้อมทั่วไป ผ้าอ้อมเด็กคุณภาพดีจะถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นที่วัสดุที่นุ่มพิเศษ มีการระบายอากาศที่ยอดเยี่ยม และมีนวัตกรรมการซึมซับที่รวดเร็วและกระจายตัวได้ดี ทำให้ผิวลูกแห้งสนิท ลดโอกาสเกิดผื่นผ้าอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ผ้าอ้อมทั่วไปอาจมีราคาที่ย่อมเยากว่า แต่มักใช้ใยสังเคราะห์ที่ระบายอากาศได้น้อยกว่า อาจก่อให้เกิดความอับชื้น และอาจมีการรั่วซึมได้ง่ายกว่า ซึ่งส่งผลให้ต้องเปลี่ยนบ่อยครั้งและอาจทำให้ผิวลูกระคายเคืองได้ง่าย ประเภทของผ้าอ้อมเด็กที่คุณแม่ควรรู้ เมื่อพูดถึงผ้าอ้อมเด็กที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามรูปแบบการสวมใส่ ซึ่งมีข้อดีและการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามช่วงวัยและกิจกรรมของลูกน้อย ผ้าอ้อมแบบกางเกง (Pant Type) ผ้าอ้อมเด็กแบบกางเกงเป็นตัวเลือกที่สะดวกอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ เพราะสามารถสวมใส่ได้ง่ายและรวดเร็วเหมือนการใส่กางเกงทั่วไป จึงเหมาะสำหรับลูกน้อยที่เริ่มดิ้น เริ่มคลาน หรืออยู่ในวัยหัดเดินที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ผ้าอ้อมเด็กแบบกางเกงจะมีความยืดหยุ่นสูง กระชับรอบเอวและขอบขา ทำให้ลูกเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว […]
SIDS หรืออาการภาวะไหลตาย เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กทารกแรกเกิดเสียชีวิต ถือเป็นอีกสิ่งที่คุณพ่อ และคุณแม่ควรให้ความใส่ใจ และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว ทาง BABY GIFT EXPERT จึงอยากพาคุณพ่อ คุณแม่ทุกคน มาทำความเข้าใจกันว่า SIDS คืออะไร และสามารถป้องกันได้อย่างไร SIDS คืออะไร นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ได้อธิบายถึงภาวะ SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรือภาวะไหลตายไว้ว่า เป็นภาวะเสียชีวิตขณะนอนหลับ เกิดขึ้นได้แม้ในทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงดี พบบ่อยในช่วงอายุเด็กแรกเกิดถึง 1 ปี และพบบ่อยที่สุดในช่วงที่อายุ 2-4 เดือน โดยส่วนมากมักจะพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง สาเหตุของการเกิดภาวะ SIDS SIDS มีสาเหตุมาจากการกีดขวางการหายใจของทารกขณะนอนหลับ เช่น การจัดท่าให้ทารกนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง การที่มีผ้าห่มหรือวัตถุนิ่มๆปิดหน้าทารกขณะนอนหลับ การถูกผู้ใหญ่นอนทับ เป็นต้น เนื่องจากทารกยังไม่สามารถเคลื่อนไหวศีรษะได้ดี ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะนี้ คือ ทารกเกิดก่อนกำหนด ควันบุหรี่ และอุณหภูมิห้องนอนที่ร้อน ซึ่งอุณหภูมิห้องนอนที่เหมาะสมของทารกคือ […]
รถเข็นเด็ก แบบไหน ขึ้นเครื่องบินได้? เมื่อลูกน้อยเข้าสู่วัย 6 เดือน เริ่มมีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็คงอยากจะพาลูกน้อยออกไปท่องเที่ยว ดูโลกกว้าง หรือพาบินลัดฟ้าไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่ต่างจังหวัด รถเข็นเด็ก จึงเป็นตัวช่วยให้การเดินทางของคุณและลูกน้อยสะดวกสบาย แล้วรถเข็นแบบไหนกัน ที่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือไม่? Babygift ได้เตรียมคำตอบรอไว้ให้คุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ กฎของการนำ รถเข็นเด็ก ขึ้นเครื่องบินของสายการบิน รถเข็นเด็กจัดเป็นสัมภาระติดตัวชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำขึ้นเครื่องบินไปได้ โดยเด็ก/ทารก 1 คน มีสิทธิ์ในการนำรถเข็นขึ้นเครื่องได้ 1 คัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในกรณีที่มีมากกว่า 1 คัน ผู้โดยสารจะต้องซื้อน้ำหนักสัมภาระเพิ่ม โดยที่รถเข็นเด็กที่นำขึ้นเครื่องบินไปด้วยนั้น ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดพับเล็ก หรือพับใหญ่ แต่จะต้องเป็นรถเข็นที่พับได้เท่านั้น และจะต้องเป็นรถเข็นที่มีน้ำหนักตามที่สายการบินกำหนด โดยสามารถเช็คได้จากขนาดสัมภาระที่สายการบินอนุญาตให้นำติดตัวขึ้นเครื่องบินได้นั่นเองค่ะ วิธีการนำรถเข็นเด็กติดตัวขึ้นเครื่องบิน หมายเหตุ *แต่ละสายการบินมีนโยบายที่แตกต่างกัน รวมถึงนโยบายของสนามบินปลายทาง รวมถึงสภาพอากาศในวันที่เดินทาง กรุณาตรวจสอบเงื่อนไขกับสายการบินทุกครั้งก่อนวันออกเดินทาง เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดของท่าน รถเข็นเด็กแบบ “พับเล็ก” สามารถนำเก็บบนช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ (Overhead bin) ได้หรือไม่? คำตอบคือ ได้ค่ะ หากรถเข็นเมื่อพับแล้วมีขนาดเล็ก ตามขนาดสัมภาระที่สายการบินกำหนด […]
แม้ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ ก็ต้องดูแลความสวย ความงาม และดูแลตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตลอด เพราะตามธรรมชาติเค้าสร้างผู้หญิงขึ้นมาเพื่อเกิดมาตั้งครรภ์ ให้กำเนิดบุตร โดยเฉพาะช่วง 9 เดือนที่ตั้งครรภ์ ร่างกายของเราจะถูกเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด บางอย่างก็ไม่อยากให้เกิด โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณการแตกลายของบริเวณท้องนั้นเป็นสิ่งที่คุณแม่กังวลเป็นอย่างมาก แต่วิธีป้องกันคุณแม่ตั้งครรภ์หลายๆคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าท้องเราเกิดแตกลายขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอย่างไรดี ท้องลาย หรือ รอยผิวแตกลาย เป็นเส้นที่ปรากฏบริเวณผิวหนังหน้าท้อง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่มาพร้อมกับการขยายขนาดของหน้าท้องอย่างรวดเร็ว รอยแตกลายจะเป็นริ้วสีขาว สีชมพู สีแดง สีม่วง หรือสีน้ำตาล ตามแต่สภาพผิวหนัง ความตึงของผิวหนังบริเวณนั้น ของแต่ละคน สาเหตุท้องลาย ท้องลาย เป็นการฉีกขาดของผิวหนังชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไปบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเกิดจากการขยายขนาดของท้องทำให้เห็นเส้นเลือดที่อยู่ในชั้นลึกลงไป จึงเห็นเป็นลายเข้ม ต่อมาเส้นเลือดหดตัวจึงเห็นพื้นที่ขาวมากขึ้น โดยท้องลายเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ท้องลายเป็นเพียงรอยแตกลายที่เกิดขึ้นและจะค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไม่สามารถกำจัดรอยที่เคยมีออกไปได้ทั้งหมด หรือเมื่อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทางออกในการแก้ปัญหาท้องลาย 1. ควบคุมอาหาร คุณแม่ตั้งครรภ์ควรควบคุมเรื่องอาหาร ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งคุณแม่และลูกน้อย ไม่ควรกินอาหารที่เพิ่มน้ำหนักมากๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณท้องขยายเร็ว […]
เมื่อลูกน้อยอายุ 1 เดือนขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มต้องพาลูกออกจากบ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะพาไปหาหมอ หรือพาไปทำธุระต่าง ๆ ซึ่งถ้าพูดถึงการพาเด็กเล็กออกไปนอกบ้าน นอกจากจะต้องมีรถเข็นเด็กที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกน้อยแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจจะกำลังมองหา เป้อุ้มทารก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราอุ้มลูกได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ทำให้เมื่อยจนเกินไปเพราะช่วยถ่ายเทน้ำหนักได้ดี สำหรับบทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการเลือกซื้อเป้อุ้มทารกอย่างไรดีให้เหมาะกับลูกน้อยของเรา ตามไปดูกันเลยค่ะ BabyGift ชวนคุณแม่เลือก เป้อุ้มทารก 1 เดือน พร้อม 7 แบบเป้แนะนำ เป้อุ้มทารก 1 เดือน จำเป็นหรือไม่ ? มีประโยชน์อย่างไร ? ก่อนที่ BabyGift จะแนะนำแบบเป้ที่ดีกับลูกน้อยให้กับคุณแม่ ขอพาไปทำความรู้จักกับเป้อุ้มทารกกันก่อนนะคะ เป้อุ้มเด็ก หรือกระเป๋าอุ้มเด็กทารกเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการอุ้มลูกน้อยด้วยตัวเอง และยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูลูก เหมาะสำหรับการอุ้มเด็กเล็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งเป้อุ้มเด็กจะมีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวขนาดเล็ก เพราะมักจะไม่มีคนดูแลเด็กเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระอื่น ๆ นอกบ้าน หรือโดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านหรือทำธุระต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป้อุ้มเด็กเพื่อให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งคุณแม่สามารถใช้เป้อุ้มทารกได้ตั้งแต่ 1 เดือน ไปจนถึงอายุ 1 ขวบขึ้นไป เราไปดูประโยชน์ของเป้อุ้มเด็กกันต่อเลยค่ะ ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่เล่าไปข้างต้นแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่จะตอบคำถามคุณแม่อีกว่า ทำไมถึงควรใช้เป้อุ้มเด็ก ซึ่ง BabyGift เคยเขียนเอาไว้แล้ว ลองตามไปอ่านเพิ่มเติมกันดูนะคะ เลือกเป้อุ้มเด็ก อย่างไรดี ? ถึงจะดีต่อลูกน้อยมากที่สุด คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจมีความกังวลว่าการใช้เป้อุ้มเด็ก […]
คุณแพรว เพชรแพรว อัครเตชวาทิน หรือแม่แพรว จากเพจ PRAEW ที่หลายคนรู้จักกันดีในบทบาทของ Influencer สายแม่และเด็ก ที่แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกเชิงบวกได้อย่างดี ซึ่งเราจะเห็นได้จากกน้อง เฌอลินน์ ลูกสาวคนโตที่โตขึ้นมาเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความสามารถ ทำให้ใครหลายๆคนหลงกับความน่ารักของน้อง เฌอลินน์ ไปตามๆกัน และล่าสุดต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแพรว กับการคลอดลูกคนที่ 2 ที่มีชื่อว่า เมอฌินน์ หรือฉายา เจ้าลูกชิ้น ลูกชายคนแรกของแม่แพรวด่วยค่ะ และถ้าใครเคยตาม หรือเคยเข้าไปดูเพจ PRAEW จะรู้ว่า แม่แพรวจะ Post Content ให้ความรู้ แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกไว้เป็นจำนวนมาก และล่าสุด คุณแพรวก็ได้แชร์ประสบการณ์การใช้คาร์ซีทในวันแรกที่พาน้อง เมอฌินน์ ออกจากโรงพยาบาล วันนี้ทาง BabyGift ขอนำมาแชร์ต่อค่ะ พร้อมพามาดูกันว่า คาร์ซีทที่น้อง เมอฌินน์ ใช้คือคาร์ซีทรุ่นไหน คุณแพรว ได้แชร์ไว้ว่า ทุกครั้งที่นั่งรถ แพรวต้องให้ลูกนั่งคาร์ซีททุกครั้งค่ะ เพราะสำหรับแพรวความปลอดภัยของลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับคาร์ซีทที่แพรวเลือกให้เมอคือ คาร์ซีท Ailebebe Kurutto ค่ะ อันนี้เป็นรุ่น 6 รุ่นใหม่ของเค้าค่ะ คุณแพรว ยังบอกอีกว่า ที่แพรวเลือกรุ่นนี้เพราะแพรวมั่นใจคือเรื่องความปลอดภัยของเค้าค่ะ เค้ามีเทคโนโลยีพิเศษที่เพิ่มความปลอดภัยที่ทำให้เมอปลอดภัยมากขึ้นเวลาที่นอนอยู่บนคาร์ซีท วัสดุดีมาก! มีมาตรฐานรองรับจากโรงงานประเทศญี่ปุ่นและความปลอดภัยระดับยุโรป เบาะก็ Support ดี สบาย ระบายอากาศได้ ไม่อึดอัดเลยค่ะ ปรับเอนนอนได้ นั่งทุกครั้งเมอฌินน์หลับปุ๋ยตลอด ติดตั้งง่ายด้วยระบบ Isofix ที่สำคัญที่มามี๊แฮปปี้ที่สุด […]






