รีวิวพาลูกเที่ยวเมืองนอกได้อะไรมากกว่าที่คิด ไปกับรถเข็นเด็ก Aprica Magicalair Plus Highseat

หนาวนี้แม่ๆ มีแพลนพาลูกๆ ไปเที่ยวที่ไหนกันคะ…
สำหรับบ้านนี้ เราจะไปญี่ปุ่นกันค่ะ เราแพลนและจองตั๋วกันไว้ตั้งแต่ พ.ย. ที่แล้ว เลือกไปช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จุดหมายคือ อยากพาลูกสาว น้องเจเปค ไปดูภูเขาไฟภูจิและเดินเที่ยวในโตเกียว อยากให้เค้าเห็นการใช้ชีวิตที่เป็นระเบียบมากๆ ของคนญี่ปุ่นค่ะ (เพราะอยู่บ้านนางจะกรี๊ดกร๊าดหน่อยๆ)

ควรพาลูกเที่ยวตอนอายุเท่าไหร่…
เป็นคำถามที่แม่ๆ กังวล กลัวนู้นนี่ รวมถึงเสียงจากรอบข้างว่าน้องยังเล็ก เที่ยวไปก็จำอะไรไม่ได้ แต่บ้างบ้านก็อยากใช้สิทธิ์ค่าตั๋วราคาพิเศษสำหรับเด็ก 7 วัน – ไม่เกิน 2 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสายการบิน สำหรับน้องเจเปค ครั้งนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2
ขอเล่าย้อนหลังนิดนึงค่ะ ครั้งแรกของน้องไปตอน 1 ขวบ 1 เดือน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่โอซาก้า อย่างที่บอกไปตอนต้น ว่าเสียงรอบ ๆ ตัวที่บอกว่าน้องยังเล็กไป พาไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก จำอะไรไม่ได้หรอก แต่หลังจากกลับมาจากรอบแรก หลายครั้งที่น้องเจออะไรเกี่ยวกับที่ตัวเองเคยทำที่นู่น ไม่ว่าจะเป็นขึ้นรถไฟ โหนรถไฟ ใบไม้แดง อาหารญี่ปุ่น น้องจำได้เยอะจนทุกคนงงไปเหมือนกัน เราพ่อแม่ก็แฮปปี้สิคะ

จริงๆแล้วลูกสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้ แต่อาจจะจำได้ไม่ละเอียดเหมือนผู้ใหญ่ เด็กวัย 1-3 ปี เป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ ความเฉลียวฉลาด และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากพ่อแม่ เพื่อให้สมองเติบโตมีพัฒนาการเต็มศักยภาพ เราเลยตั้งใจว่าจะพยายามพาลูกไปเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
รอบนี้เลยตั้งใจใช้ช่วงเวลาปิดเทอมพาน้องไปเที่ยว โดยทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 1 คน โดยทริปนี้ เราไปกับแบบแพลนหลวม ๆ แล้วไปปรับเอาตามสภาพอากาศและ ความพร้อมของเด็กน้อย ซึ่งคราวนี้อะไรๆก็อาจจะไม่ง่ายเหมือนคราวที่แล้วนะคะ เพราะไปคราวที่แล้วนางยังเดินไม่ได้และพูดไม่ได้ แต่คราวนี้สิคะคุณขา ทั้งซน ทั้งแสบ ทั้งวิ่ง ทั้งพูดเยอะ โอยไม่อยากจะคิดเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ พ่อกับแม่เลยต้องเตรียมตัวทั้งสุขภาพกายและสุภาพใจให้พร้อมกันพอสมควร และนอกจากนี้อุปกรณ์ของใช้สำหรับเด็กก็ควรจะเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนเพื่อความสะดวกในการเดินทางค่ะ

เริ่มจัดกระเป๋ากันค่ะ
- เสื้อผ้า เนื่องจากช่วงที่ไป เชคอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 8-20 องศา ซึ่งก็ถือว่าเย็นพอสมควรสำหรับเด็กค่ะ แถมยังมีฝนในบางวันอีกด้วย สำหรับเสื้อผ้ากันหนาวเด็กที่เราเลือกดูคือ Uniqlo ค่ะ เพราะค่อนข้างครบ และสะดวกสำหรับที่บ้านเรา ได้เสื้อกันลมและกันหนาวมา 1 ตัว พร้อมเสื้อฮีทเทคคอเต่า 1 ตัว เสื้อ extra warm ฮีทเทค 1 ตัว และกางเกงฮีทเทคอีก 2 ตัว ค่ะ ส่วนเสื้อผ้าอื่น ๆ ก็เน้นที่ใส่สบายตัว ไม่อึดอัด เอาตามแบบที่น้องชอบเลยค่ะ เสื้อกันหนาวน้องแบบนี้เลยค่ะ ด้านในมีฮีทเทคทั้งกางเกงและเสื้อ สบายค่า
- อุปกรณ์กันหนาวอื่นๆ เราเตรียม ถุงมือกันหนาว หมวกไหมพรหม ผ้าพันคอ ถุงเท้า และรองเท้าผ้าใบที่น้องใส่สบายค่ะ

- ของใช้ส่วนตัว ก็จะเตรียมแพมเพิสไว้สำหรับการเดินทางบนเครื่องบินและรถไฟ ซึ่งเป็นตัวช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ลดความวุ่นวายระหว่างเดินทางได้ดีเลยค่ะ นอกจากนี้ก็จะมีเจลล้างมือสำหรับเด็ก ทิชชูเปียก และยา ที่จะติดกระเป๋าแม่อยู่ตลอดเวลาค่ะ
- ยา ที่เตรียมไปหลัก ๆ ก็จะมี ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก (Zyrtec) ยาลดไข้ (Tempra) ยาแก้ไอ vic แผ่นแปะลดใข้ ยาแก้ท้องเสีย
- รถเข็นเด็ก เรื่องใหญ่สำหรับการพาเด็กเล็กเที่ยวต่างประเทศกันเลยค่ะ สำหรับเด็ก 4 ขวบ รถเข็นยังเด็กเป็นสิ่งจำเป็นมากในการท่องเที่ยวแบบนี้อยู่นะคะ เพราะน้องยังไม่สามารถเดินไกล ๆ แบบผู้ใหญ่ได้ หากเหนื่อยหรืองอแงขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่คงต้องอุ้มด้วยแล้วเดินกันไปด้วยวันเป็นสิบกิโล คงไม่ไหวค่ะ หมดสนุกแน่นอน

แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์จากครั้งแรกตอนขวบนึงมาแล้ว ครั้งนั้นใช้รถเข็นคันใหญ่ น้ำหนักเยอะ พับยาก ไม่คล่องในการเดินทางเอาซะเลยค่ะ บางสถานีรถไฟในญี่ปุ่นไม่มีลิฟท์ ทำให้ต้องยกรถกันเหนื่อยเลย

ไปครั้งนี้เราเลยเลือกรถเข็นเด็กกันพอสมควรค่ะ ดูกันหลายแบรนด์ ทั้งที่พับได้เล็กมาก ๆ พับไม่เล็ก แต่เบากว่า ซึ่งสุดท้ายเราเลือกรุ่นที่มีน้ำหนักเบาที่สุด แข็งแรง ล้อใหญ่ และสามารถพับง่ายได้ด้วยมือเดียว ซึ่งน่าจะสะดวกกับการเดินทางของเรามากที่สุด นั่นคือตัว Aprica Magical Air Plus High Seat โดยมีน้ำหนักแค่ประมาณ 3 กิโลกรัมนิดๆเองค่ะ แข็งแรงไว้ใจได้ ปรับนอนได้อย่างสบาย และในบางจังหวะคุณแม่สายสตรองอย่างเราสามารถหิ้วรถเข็นมือนึง และอุ้มลูกอีกมือนึง ได้สบายๆเลยล่ะค่ะ

ฝนตกก็บ่ยั่น ลุยลงพื้นขรุขระก็สบายค่ะ

พื้นถนนขรุขระ พื้นอิฐตัวหนอนก็เข็นได้ สบายๆเลย

นอนดูฟูจิเพลินไปเลย
รถเข็นเด็กเอาขึ้นเครื่องบินยังไง
เราสามารถเข็นรถไปแจ้งที่เค้าเตอร์เชคอินของสายการบินได้เลย ว่าเราต้องการเข็นรถเข็นน้องเข้าไปในเกตได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่ก็จะติด Tag ที่รถเข็นให้ หลังจากนั้นเราก็เข็นน้องเข้าไปได้จนถึงประตูเครื่องบินเลยค่ะ อันนี้สะดวกมากๆ ไม่ต้องอุ้มให้เปลืองพลังงาน สบายไปแปดอย่างเลยค่ะ พอถึงปลายทาง เดินออกจากเครื่อง รถเข็นก็จะมารอ พร้อมลุยกันได้เลย

เรื่องความกังวลในการเดินทางบนเครื่องบิน
อันนี้ยอมรับว่าแม่กังวลมากเลยค่ะ จากคราวที่แล้วที่พาขึ้นเครื่องตอนน้องอายุ 1ขวบ1เดือน น้องยังพูดไม่คล่อง ยังเดินไม่ได้ ใช้เบาะนอนสำหรับเด็กบ้าง การหลอกล่อเด็กน้อยจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทริปนี้ด้วยความที่น้องโตขึ้น และมีความแสบสัน ระดับ 8 มีความพูดเยอะระดับ10 การเดินทางยาว 6 ชม. ในเครื่องบินของนางจึงเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวต่อการรักษาความสงบภายในห้องผู้โดยสารเป็นอย่างมาก

ทางเรานั้นคิดวิธีต่างๆนาๆ ที่จะทำให้นางนิ่ง ซนน้อยๆ พูดเบาๆ สิ่งที่บ้านเราเตรียมไว้สำหรับ final choice คือ โหลดการ์ตูนที่น้องชอบมาเผื่อไว้แบบเต็มพิกัดกันไปเลยค่ะ เอาแบบอยากดูอะไรเต็มที่ไปเลยให้โอกาสแค่ 6 ชม.นี้เท่านั้น ฮ่าๆๆ แต่พอถึงเวลาจริง พอเครื่องเริ่มเทคออฟ เจ้าแสบน้อยกลับมาเกาะแขนป่ะป๊า กลัวเสียงดังของเครื่องบิน แล้วก็หลับไปเฉยเลย ตื่นอีกทีหลังจากบินไปแล้วครึ่งทาง โอ้ว..โลกสงบสุขกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ เวลาที่เหลือก็หลอกล่อด้วย ขนมบ้าง ของเล่นบ้าง การ์ตูนบ้าง สลับวนๆไปค่ะ สรุปว่าการรักษาความสงบภายในเครื่องบินของเราครั้งนี้ดีเกินคาด คลายความกังวลไปเลยค่ะ เกาะแขนแน่นเลย

แล้วนางก็ตีตั๋วนอนค่ะ ป่ะป๊าก็ลุกเดินวนไป

เรื่องสำคัญของพวกเรา “อาหารการกิน”
ในช่วงก่อนเดินทาง เราคุยกับน้องทุกวันว่าอยู่นู่นเราต้องกินง่ายๆ อยู่ง่ายๆนะคะ จะได้ไปเที่ยวกันสนุก ๆ กินอะไรก็ได้ กินที่ไหนก็ได้ ซึ่งตอนแรกก็ห่วงกันว่าจะต้องกินข้าวเปล่ากับไข่ต้มกันยาว ๆ รึเปล่า แต่สุดท้ายความกังวลทุกอย่างก็หมดไป น้องกินแหลกมากค่ะ ซูชิ อุด้งราเมน ข้าวปั้นจิ้มไข่กุ้งกับไข่แซลมอน (ซื้อไข่เป็นกล่องตาม supermarket) ปลาดิบ กุ้งหวาน ข้าวหน้าปลาไหล ไอติม ผลไม้สด บางวันก่อนนอนยังร้องกินโอเด้ง 7 อุ่น ๆ ปิดท้ายวัน สายแหลกมากๆ ไม่ต้องเดาเลยว่าลูกใคร ฮ่าๆๆๆๆ

มื้อแรกที่โตเกียว หน้าตาง่วงมาก แต่ก็ซดหมด
ร้องกินติมจ้า แถมยังบอกอีกว่า ดีเนอะแม่ ไอติมไม่ละลาย

ข้าวหน้าปลาไหลครึ่งชาม และ กินมาม่าครั้งแรก ก็ที่นี่ล่ะค่า






มีรูปครอบครัวแล้ว
น้องเจเปค สาวน้อยวัย 4 ขวบ จะพาเที่ยวญี่ปุ่นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่กำลังงามสะพรั่ง แนะนำการเตรียมตัวพาลูกเที่ยว ตั้งแต่จัดกระเป๋า อุปกรณ์กันหนาว และรถเข็นเด็กคู่ใจ ตามรีวิวนี้ได้ที่ https://pantip.com/topic/37072412 และฝากติดตามเพจพาลูกเที่ยว https://www.facebook.com/goaroundkid/
ขอบคุณรีวิวน้องเจเปคกับรถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Magical Air Plus Highseat ที่ช่วยให้การเดินทางทริปนี้สะดวกสบาย และคล่องตัวมากๆค่ะ
…ข้อแนะนำ…
รถเข็นเด็กเป็นสิ่งจำเป็นมาก เมื่อต้องไปต่างประเทศ ควรเลือกแบบที่พับกางง่าย เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง นอกจากนี้ความสบายของเด็กๆ ก็สำคัญเช่นกัน ต้องเป็นผ้าระบายอากาศ ไม่ร้อน ปรับเอนนอนได้ ถ้าเด็กๆ สบายตัว ไม่อึดอัด เขาก็จะสนุก มีความสุข ไม่งอแง ปิดเทอมนี้จัดทริปเลยค่ะ สนุกแน่นอน
#รถเข็นเด็กยอดขายอันดับ1ในญี่ปุ่น
#Aprica70ปีที่ใส่ใจคุณและลูกน้อย
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
โดยปกติแล้วคุณพ่อคุณแม่ที่ซื้อคาร์ซีท รถเข็นเด็กไป จะไม่ค่อยได้คำนึงถึงว่าใช้งานไปนานเท่าไหร่แล้ว แล้วเมื่อไหร่ถึงจะต้องซักทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค คาร์ซีท รถเข็นเด็ก จนกระทั้งเกิดความสกปรกขึ้น เช่น ฝุ่นควัน นม อาหาร หรือขนมต่างๆ หกใส่เบาะ คราบน้ำลาย คราบอาเจียน ที่ไม่สามารถเช็ดออกได้ เป็นคราบสกปรกเห็นได้ชัด ถึงจะทำความสะอาด แต่รู้ไหมว่ายิ่งทิ้งคราบแบบนั้นไว้นานเท่าไหร่ พวกเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่เกิดขึ้นจากการหมักหม่น ก็จะเกิดการสะสมมากขึ้น ส่งผลร้ายต่อเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีความบอบบาง แพ้ง่าย ทำให้เกิดโรคต่างๆได้ แนะนำการซักทำความสะอาดคาร์ซีท รถเข็นเด็ก เพื่อยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น ควรซักทำความสะอาดทุกๆ 3-6 เดือน ตามการใช้งาน เพื่อช่วยให้คาร์ซีท รถเข็นเด็ก ของลูกสะอาดพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย สำหรับการซักทำความสะอาด ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งซักทำความสะอาดได้จากร้านที่ซื้อสินค้ามา เช่น ร้าน BabyGift ที่รับบริการถึง 3 สาขา ใกล้บ้าน แต่ในช่วงวิกฤตโควิดแบบนี้ ทางเราจึงมีเทคนิคการซักทำความสะอาดด้วยตัวเองมาฝากกันค่ะ วิธีทำความสะอาด คาร์ซีท รถเข็นเด็ก แยกการทำความสะอาดออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือผ้าหุ้มเบาะ […]
เพราะความเป็นแม่มันอยู่ในสายเลือด เมื่อรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในท้องอีกหนึ่งชีวิต เราก็ต้องดูแลครรภ์นี้ให้ดีที่สุด เพราะผู้หญิงทุกคนก็อยากตั้งครรภ์ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าเมื่อระหว่างทาง จู่ๆ คุณหมอก็ตรวจพบว่า ครรภ์นี้เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วงานนี้ว่าที่คุณแม่มือใหม่อย่างเราๆ จะมีวิธีรับมืออย่างไร ควรจะควบคุมอาหารยังไง งานนี้เรามีคำตอบ ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์คือ ความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจพบขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่รกผลิตออกมามีผลต่อประสิทธิภาพของอินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ของแม่ โดยปกติตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาแต่ในกรณีนี้ตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลเลยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกระยะการตั้งครรภ์ แต่โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ บางคนอาจพบภาวะนี้ในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ ส่วนใหญ่คุณหมอ จะตรวจพบภาวะดังกล่าวได้จากการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด แต่คุณแม่ตั้งครรภ์บางราย อาจมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ปากแห้ง และรู้สึกเหนื่อยหากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งบางอาการค่อนข้างคล้ายคลึงกับอาการของคนตั้งครรภ์ ดังนั้น ควรปรึกษาคุณหมอหากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับอาการที่เผชิญอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ รวมทั้งอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ หากคุณแม่ตั้งครรภ์พบว่ามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์แล้ว จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อสุขภาพที่ดีต่อตนเองและลูกในครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาอีกด้วย แนวทางในการรักษาภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่ 1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คุณหมออาจให้เราตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด 4-5 ครั้ง/วัน ในช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหารเช้าและหลังมื้ออาหารทุกมื้อ เพื่อตรวจดูว่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ โดยเจาะเลือดที่ปลายนิ้วแล้วหยดเลือดลงบนแถบทดสอบ จากนั้นอ่านค่าด้วยเครื่องวัดระดับน้ำตาล ซึ่งจะแสดงระดับน้ำตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา 2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ […]
ไขข้อสงสัยที่สาวๆอยากรู้ “แม่เสริมหน้าอก ให้นมลูกได้ไหม?” วันนี้ Baby Gift มีคำตอบค่ะ ปัจจุบันการศัลยกรรมเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงและเข้าถึงทุกเพศทุกวัยทั่วโลก โดยเฉพาะการอัพไซส์ แม่เสริมหน้าอก เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้นสาวๆจะมีหน้าอกที่สวยงามและขนาดใหญ่ขึ้นตามความต้องการ รวมถึงมีร่องอกที่ชิดและชัดเจนกว่าเดิม ส่งผลให้สาวๆเกิดความมั่นใจในรูปร่างตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อสาวๆนิยมหันมาเสริมหน้าอก กันมากขึ้นจนเริ่มมีการตั้งคำถามว่า คุณแม่เสริมหน้าอก ให้นมลูกได้ไหม? คำตอบคือ ได้ค่ะ คุณแม่ที่เสริมหน้าอกมาแล้ว สามารถให้นมลูกได้ตามปกติและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะปัจจุบันการเสริมหน้าอกใช้เทคนิคใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปใต้หรือเหนือกล้ามเนื้อเต้านม ซึ่งอยู่คนละส่วนกับที่ใช้ผลิตน้ำนม และไม่ได้มีการตัดท่อน้ำนมหรือตกแต่งบริเวณหัวนม ส่วนในกรณีที่คุณแม่เสริมหน้าอกลังเลเรื่อง คุณแม่เสริมหน้าอก สามารถปั๊มนมได้ไหม? คำตอบคือ ทำได้ค่ะ คุณแม่ที่เสริมหน้าอกมาแล้ว สามารถปั๊มนมได้ตามปกติ โดยเลือกใช้เครื่องปั๊มนมที่มีคุณภาพ รองรับการปั๊มนมสำหรับคนที่เสริมหน้าอก อย่างไรก็ตาม การเสริมหน้าอกควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และเพื่อความสบายใจของคุณแแม่ควรปรึกษาคุณหมอในการวางแผนมีลูกเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเป็นกรณีไป ได้คำตอบแบบนี้แล้วคุณแม่มั่นใจหายห่วง เตรียมพร้อมรับมือเตรียมตัวเป็นคุณแม่กันดีกว่าค่ะ
การนับอายุครรภ์คือหนึ่งในเรื่องที่สร้างความสับสนให้คุณแม่มือใหม่หลายคน และมักจะถูกถามบ่อย ๆ ว่า “ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้ว?” “อายุครรภ์เท่าไหร่?” ซึ่งบางครั้งคุณแม่เองก็อาจจะยังไม่แน่ใจนัก การทราบอายุครรภ์ที่แม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตอบคำถาม แต่ยังเพื่อความปลอดภัยและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์นั่นเอง วันนี้ BabyGift จะพาคุณแม่มาไขข้อสงสัยและเรียนรู้วิธีการนับอายุครรภ์ให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุดกัน การนับอายุครรภ์สำคัญอย่างไร การนับอายุครรภ์ที่ถูกต้องและแม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินพัฒนาการของทารกได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสัปดาห์ รวมถึงวางแผนการตรวจครรภ์และติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ประโยชน์ของการนับอายุครรภ์ การนับอายุครรภ์มีประโยชน์หลายอย่างที่คุณแม่ควรรู้ ประการแรกคือช่วยให้แพทย์ประเมินพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ตรงตามช่วงอายุจริง เช่น ขนาดของทารก หรือการเต้นของหัวใจ ประการที่สองคือช่วยกำหนดวันคลอดที่คาดการณ์ไว้ (EDC) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเตรียมความพร้อมเรื่องของใช้ต่าง ๆ เช่น ของเตรียมคลอด ของใช้ลูกแรกเกิด อุปกรณ์แม่และเด็กมีอะไรบ้าง หรือการวางแผนการลาคลอด ประการที่สามคือใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทางการแพทย์ เช่น การให้ยา หรือการทำหัตถการต่าง ๆ อย่างปลอดภัย 6 วิธีนับอายุครรภ์ที่ทำได้ด้วยตัวเอง การนับอายุครรภ์ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด คุณแม่สามารถเริ่มต้นคำนวณได้ด้วยตัวเองหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป 1. นับอายุครรภ์ที่นับตามวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับคุณแม่ที่จำวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายได้แม่นยำ โดยสูตินรีแพทย์จะเริ่มนับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มา (LMP) และใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งปกติแล้วการตั้งครรภ์จะครบกำหนดที่ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย และสามารถนำไปคำนวณวันคลอดที่คาดไว้ได้อย่างแม่นยำ […]
นั่งดูหนังฝรั่งส่วนใหญ่ก็ฟังแค่เสียง แต่ตัวอักษรแปลด้านล่างก็มองเห็นไปพร้อมกันเพราะเลี่ยงไม่ได้ ทำให้หลายครั้งจะเกิดอาการสะดุดในการดู ด้วยมีความรู้สึกว่า”?!?” ในใจ ก็คนแปลนะสิคะ น่าจะเก่งการแป ลแต่คงไม่เก่งเรื่องสำนวน หลายครั้งที่คำไม่ได้มีความหมายตรงตามพจนานุกรม ดูมาหลายเรื่องหลายคำโดยที่ไม่ได้ใส่ใจนัก จนกระทั่งเจอกับคำว่า shower ซึ่งเป็นเรื่องของมารยาทและธรรรมเนียมต่างๆ เข้าพอดี ในหนังเรื่องหนึ่ง ตัวละครพูดว่า “…baby shower…” คำแปลขึ้นว่า “อาบน้ำเด็ก” ส่วนอีกเรื่องได้ยินคำว่า “…wedding shower…” คำแปลขึ้นว่า “รดน้ำแต่งงาน” คนดูที่ไม่ได้สนใจเสียงภาษาอังกฤษ ก็เข้าใจตามตัวอักษรไทยที่ปรากฏ คนที่ดูหนังจริงจังหน่อย อาจเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่ตัวละครพูดมันเกี่ยวกับเรื่องที่ดำเนินอยู่ยังไงหว่า? ใช่ค่ะ shower แปลว่ารดน้ำ อาบน้ำ ซึ่งถ้าละเอียดขึ้นอีกนิด ก็ต้องบอกว่าเป็นการรด หรืออาบโดยใช้ฝักบัวให้น้ำโปรยปรายลงมา ไม่ใช่นอนแช่อ่างหรือตักราดโครมๆ แต่ shower ในที่นี้ หมายถึงธรรมเนียมในการจัดงานปาร์ตี้ประเภทหนึ่ง ซึ่งเวลาพูดจะมีคำว่า party ตามหลังหรือไม่ก็ได้ การจัดงานเพื่อให้ของขวัญล่วงหน้าแบบนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมไทย ถ้าจะให้ของขวัญเด็กก็ต้องรอให้คลอดออกมาซะก่อน และด้วยความที่เราไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญอะไรดี ทุกวันนี้ก็เลยให้เงินแทนซะเลย อยากได้อะไรก็ซื้อเอาเอง ก็ดีไปอย่างค่ะ แต่ไร้อารมณ์ไปหน่อย การจัดปาร์ตี้แบบ shower นั้น สร้างความอบอุ่น สนุกสนาน มิตรภาพ และความใกล้ชิดได้ดีมาก แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่มีต่อกันและกัน เพราะเป็นงานเลี้ยงที่เจ้าภาพไม่ได้จัดให้ตัวเองแต่จัดให้กับคนที่ตนรัก กิจกรรมการเปิดของขวัญคือไฮไลต์ของงาน แต่ก็มีกิจกรรมอื่นๆ เช่น เกมหรือการแสดงก็เป็นสีสันของงานการจัดงานจะมี Theme […]
สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ส่วนใหญ่การทำความสะอาดขวดนม จะใช้วิธีการต้ม หรือนึ่ง โดยเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนสูง ซึ่งเหมาะกับพาชนะที่เป็นแก้ว หรือซิลิโคน ส่วนขวดนมแบบพลาสติกการใช้ความร้อนสูงมากๆ ทุกวันจะทำให้ขวดนมพลาสติกและจุกนมเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ และเกิดการปล่อยสารต่างๆ ออกมาจากพลาสติกนั้น เช่น สารพวกโพลีเมอร์ หรือฟอร์มัลดีไฮด์ปนเปื้อนออกมาจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพ แถมยังทิ้งไอน้ำไว้ที่ก้นขวด ซึ่งไอน้ำนี้อาจมีเชื้อแบคทีเรียแฝงอยู่ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้มีการคิดค้นการฆ่าเชื้อโรค โดยรังสี UV ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดนมพลาสติก ยางกัด จานชาม หรือแม้แต่อุปกรณ์อเลกทรอนิก มาทำความรู้จักกับ หลอดรังสี UV-C ที่หลายคนสงสัยว่า ฆ่าเชื้อโรคได้จริงไหม? รังสี UV คืออะไร แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 2 ส่วนคือ รังสีที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นรังสีที่มองเห็นได้ จะมี 7 สี แต่จะสามารถเห็นต่อเมื่ออากาศมีความชื้นสูง รังสีจากดวงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำในอากาศ เราจะสามารถมองเห็นสีทั้ง 7 ได้ ที่เรียกว่า “รุ้งกินน้ำ” นั่นเอง รังสีที่มองไม่เห็น คือพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากดวง อาทิตย์ มี 2 ส่วนคือ สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ […]






