Q&A ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับ เครื่องอบยูวี รวมคำถามยอดฮิตที่พ่อแม่ควรรู้

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ สำหรับลูกน้อย อาจได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ หรือแพทย์ สำหรับการจัดเตรียมอุปกรณ์ ฆ่าเชื้อโรคของใช้ต่างๆ ให้พร้อมก่อนคลอด จากในอดีตหลายๆ บ้าน อาจคุ้นเคยกับการลวกด้วยน้ำร้อน 100 องศาขึ้นไป ในการฆ่าเชื้อขวดนม ภาชนะ ไปจนถึงเสื้อผ้า ปลอกหมอนผ้าปูที่นอน ของเด็กได้ แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิดในปัจจุบัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอดห่วงไม่ได้ว่าเชื้อไวรัสนั้นจะหลุดรอดเข้ามาถึงตัวลูกน้อยของเราได้จากของใช้อื่นๆ ที่ไม่สามารถฆ่าเชื้อด้วยการ ลวก หรือการนึ่งได้ และมีบทความทางการแพทย์มากมาย ระบุว่า การนำพลาสติกไปลวกด้วยความร้อนสูง จะก่อให้เกิดการตกค้าง ปนเปื้อนของ ไมโครพลาสติก ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของลูกน้อยก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ จึงมีการผลิตคิดค้น และนำเข้า เครื่องอบยูวี สำหรับใช้ในบ้าน ซึ่งเป็นการใช้พลังงานจากรังสี UV-C ในการฆ่าเชื้อโรคร้ายที่อาจติดอยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ของลูกน้อย และฆ่าเชื้อของใช้คุณพ่อคุณแม่ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของรังสี UV-C
ส่วนประกอบสำคัญของ เครื่องอบ UV-C คือหลอด UV-C ซึ่งมีคุณสมบัติในการปล่อยรังสี UV-C มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคได้จริง แม้แต่เชื้อไวรัสโควิดก็ไม่รอด ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก และมีผลวิจัยต่างๆ จากหลากหลายสถาบันยืนยันแล้วว่า รังสี UV-C สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิดได้ 99.99% ทั้งในของเหลว บนพื้นผิวต่างๆ และในอากาศ และนอกจากไวรัสแล้ว ยังช่วยกำจัดเชื้อโรคปนเปื้อนอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น เชื้ออีโคไล (E. Coli) ที่ทำให้ท้องเสีย สแตฟีโลคอกคัส (Staphylococcus aureus) ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ ซาลโมเนลลา (Salmonella Typhimurium) ทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ไวรัส H1N1 เป็นต้น โดยรังสี UV-C จะเข้าไปทำลาย DNA และ RNA ของไวรัส
ในอุตสาหกรรมอาหาร ได้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้นานแล้ว และมีการพัฒนามาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคให้กับสิ่งในครัวเรือน โดยทำให้มีขนาดเล็กลง และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ง่ายขึ้น และประกอบกับสถานการณ์ไวรัสโควิดระบาด ทำให้ เครื่องอบ UV ฆ่าเชื้อสำหรับใช้ในบ้านเกิดดวามต้องการมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีการวางจำหน่ายมากมายหลากหลายยี่ห้อ ดังนั้น ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจซื้อ เบบี้กิ๊ฟขอมอบคำแนะนำ 7 ข้อสงสัยในการเลือกซื้อ เครื่องอบยูวี สำหรับฆ่าเชื้อของใช้ลูกน้อย เพื่อช่วยให้ตัดสินใจ และลดความกังวลจากการใช้งานได้ ดังนี้ค่ะ
1. หลอด UV ควรเลือกแบบไหนดี ใช้กี่หลอด หลอดUV ควรอยู่ตรงไหน?

สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ให้คำแนะนำในการเลือกใช้หลอด UVC ว่า
- หากเป็นหลอด UV-C ประเภท LED ควรเลือกชนิดที่เปล่งรังสีในช่วง 240-313 นาโนเมตร หรือ 260-275 นาโนเมตร จะเป็นค่าที่ดี และมีประสิทธิภาพมากพอในการฆ่าเชื้อ โดยข้อดีของ หลอดไฟ UV-C LED คือ ใช้งานได้ยาวนาน ไม่มีการปล่อยก๊าซโอโซนออกมา ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นตกค้างหลังจากฆ่าเชื้อโรคเสร็จ
- หากเป็นหลอด UV-C Lamp หรือ หลอดไอปรอท/อะมัลกัม แรงดันต่ำ (Ozone Free germicidal lamp) ควรเลือกที่ปราศจากก๊าซโอโซน (Ozone Free) และเปล่งรังสีในช่วง 254 นาโนเมตร ข้อดีคือ บำรุงดูแลรักษาได้ง่าย สามารถซื้อหลอดเปลี่ยนเองได้เหมือนหลอดไฟบ้าน
ที่สำคัญ ควรเลือกยี่ห้อที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานสินค้า เช่น CE, RoHS, มอก., มาตรฐาน ISO 15858:2016, มาตรฐาน ISO 14644 -1: 1999 เป็นต้น
นอกจากหลอด UV-C ที่มากับ เครื่องอบยูวี จะต้องได้มาตรฐาน ควรมีผลวิจัยรับรองประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียยืนยัน ประกอบกับการจดทะเบียนรับรองต่างๆ จากสถาบันระดับสากลที่น่าเชื่อถือ เอกสารการจดทะเบียนและนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานด้วย
สำหรับจำนวนของหลอด UV-C Lamp นั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของความจุภายในตู้ และค่าความยาวคลื่นแสงของรังสี UV-C ระยะเวลาในการฉายแสง วัดออกมาเป็นหน่วยไมโครวัตต์ต่อวินาที ต่อตารางเซนติเมตร (Ws/cm2) สำหรับบางเครื่องที่มีหลอดเดียวแต่ตู้มีขนาดเล็กอาจเพียงพอในการฆ่าเชื้อภายในตู้ แต่อาจใส่ของได้ไม่มากนัก หากเป็นตู้ที่มีขนาดใหญ่ และมีหลอดถึง 2 หลอด มีวัสดุที่กระจายแสงสะท้อนแสงได้ดี ก็จะช่วยให้ฆ่าเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า ตามสูตรคำนวณที่อ้างอิง : https://bit.ly/2wFvbuN
สำหรับจุดวางหลอด UV-C นั้น ควรอยู่ด้านบน และด้านข้าง ไม่ควรอยู่บริเวณด้านล่าง หากใช้ในการอบแห้งสิ่งของที่ต้องมีการล้างน้ำ เพราะคราบน้ำอาจหยดใส่หลอดไฟ จนก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
2. เครื่องอบยูวี ที่เป็นประตูกระจก อันตรายไหม?


หลายคนอาจกังวลว่า หากเลือกซื้อ เครื่องอบยูวี ที่มีฝาประตูตู้บานหน้าเป็นกระจก เวลาใช้งานโหมดฆ่าเชื้อด้วยUV รังสี UV-C จะทะลุผ่านตู้อบออกมาเป็นอันตรายต่อดวงตาและผิวหนังได้ไหม สำหรับเรื่องนี้มีทั้งบทความ และการทดสอบยืนยันแล้วว่า ว่าคุณสมบัติของ UV-C ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกได้ หากเป็นกระจกแท้ ไม่ใช่พลาสติกหนา เพื่อความสบายใจสามารถเลือก ชนิดที่เป็นกระจกเคลือบสีปรอท เพื่อเพิ่มความมั่นใจอีกชั้นในการป้องกันการทะลุ และเพิ่มการสะท้อนแสงภายในตู้ได้ดียิ่งขึ้น
ดูคลิปวิดิโอทดลอง การทะลุผ่านของรังสี UV-C Click
แหล่งที่มาข้อมูล UV-C ไม่สามารถทะลุผ่านกระจก Click
3. ทำไมความร้อนในการอบแห้ง ไม่ควรเกิน 50 องศา?

ข้อนี้ เกิดจากความสับสนระหว่างการฆ่าเชื้อด้วย น้ำร้อน หรือการนึ่ง ที่ต้องต้มน้ำให้เดือดถึง 100 องศา ในการฆ่าเชื้อโรค จึงคิดว่า การฆ่าเชื้อโรคด้วยเครื่องอบยูวี ก็ควรจะ 100 องศา เหมือนกันสิ? ซึ่งความจริงแล้ว การฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV-C นั้น เป็นการใช้พลังงานแสงในการทำลาย DNA และ RNA ของเชื้อโรค ไม่ได้ใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อเหมือนกับ การลวกหรือนึ่ง แต่การอบแห้งขวดนม ด้วยโหมด DRY ต่างหาก ที่ใช้ความร้อนและลม ในการเป่าให้ขวดนมแห้ง การเลือกใช้ความร้อนที่ไม่เกิน 50 องศา ซึ่งไม่ร้อนมากเกินไป จะช่วยให้ขวดนมใช้งานได้ยาวนานตามอายุการใช้งานที่กำหนด ไม่กรอบแห้ง แตกร้าว เสียหายไว และไม่ก่อให้เกิดการระเหยของไมโครพลาสม่า จากพลาสติก ที่มักเกิดจากการต้มในน้ำร้อนด้วย
อ่านข่าวเรื่อง ไมโครพลาสติก เพิ่มเติมที่ Click
4. ขวดนม และของใช้อะไรบ้าง ไม่ควรนำเข้า เครื่องอบยูวี

สิ่งที่สามารถนำเข้าไปฆ่าเชื้อใน เครื่องอบยูวี ได้ ได้แก่ ขวดนมพลาสติกที่ได้มาตรฐาน ไม่มีสาร BBA หรือที่มีสัญลักษณ์ BPA FREE ได้แก่วัสดุ PP, PES, PPSU แก้ว และซิลิโคน สามารถนำเข้าฆ่าเชื้อด้วยเครื่องอบยูวี ได้ รวมไปถึงกรวยปั๊มนม ภาชนะทานอาหาร หรืออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ กุญแจบ้าน ธนบัตร กระเป๋าสตางค์ ที่สัมผัสเป็นประจำ ของคุณพ่อคุณแม่
แต่สิ่งที่ห้ามนำเข้าฆ่าเชื้อเด็ดขาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากลาเท็กซ์ พลาสติก PET และยางพาราธรรมชาติ ฟองน้ำ เพราะอาจทำให้ละลาย กรอบ หรือแข็งขึ้น เป็นอันตรายต่อการนำไปใช้งานต่อนั่นเองค่ะ
5. วางเรียงของใช้ใน เครื่องอบยูวี แบบไหนถูกต้อง
หลักการฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV-C นั้น เกิดจากแสงที่ตกกระทบลงบนผิววัตถุนั้น การที่บริเวณโดยรอบตู้และฝาตู้ เป็นวัสดุสะท้อนแสง เช่น Stainless Steel หรือ กระจกเคลือบสีปรอท จะช่วยให้การกระจายแสง สะท้อนไปมาได้โดยรอบมากก็จริง แต่หากการวางของทับกัน หรือวางผิด อาจทำให้การฆ่าเชื้อโรคส่งไปไม่ถึงของชิ้นอื่นๆ ในเครื่องอบได้ เพราะรังสี UV-C ไม่สามารถทะลุจากขวดชั้นบน ลงไปยังขวดชั้นล่างได้นั่นเอง

ฉะนั้นการวางขวดนมที่ถูกต้อง ควรถอดแยกชิ้นส่วน ระหว่างจุกนม และขวดนม วางขวดนมหงายขึ้นด้านบนเพื่อให้แสงส่องเข้าไปภายในขวดนมได้ จุกนมให้วางด้านดูดขึ้นด้านบน เพื่อฆ่าเชื้อบริเวณที่ต้องนำเข้าปาก หากเป็นตุ๊กตาชิ้นใหญ่ อาจต้องสลับกลับด้าน เพื่อให้ได้รับรังสี UV-C ได้ครบรอบด้าน หากเข้าใจหลักการดังนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้กับการฆ่าเชื้อสิ่งของอื่นๆ ได้ค่ะ
6. วิธีการดูแลรักษา ทำเองได้ไหม? ดูแลยากรึเปล่า
ข้อดีของเครื่องอบยูวี นอกจากจะใช้งานง่ายไม่ยุ่งยากแล้ว ยังดูแลทำความสะอาดเองได้ง่ายมากๆ เพราะไม่ใช้น้ำในการอบจึงไม่มีคราบตะกรัน หรือเชื้อราเกิดขึ้น สามารถทำความสะอาดเพียงแค่ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเปล่าหมาดๆ เช็ดบริเวณที่น้ำหยดบ่อยๆ เท่านั้น เพื่อลดการเกิดคราบน้ำ โดยไม่ตอ้งใช้น้ำยาใดๆ มาเช็ด เพราะจะทำให้ความเงาวาวลดลง ทำให้การสะท้อนแสงเสื่อมประสิทธิภาพได้
VDO สาธิต วิธีการดูแลทำความสะอาด เครื่องอบยูวี รุ่น Baby UV Gen 3 แบรนด์ Prince&Princess
สำหรับหลอด UV-C สามารถติดต่อศูนย์บริการหลังการขายเพื่อสั่งซื้อ และเปลี่ยนได้เอง โดยสังเกตจากสัญลักษณ์ หรือไฟแจ้งเตือนเมื่อหลอดไฟขาด ก็สามารถถอดเปลี่ยนได้เองเหมือนการเปลี่ยนหลอดไฟทั่วไป และอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่ทราบคือ การดูแลบริเวณพัดลมระบายอากาศ หมั่นล้างหรือเปลี่ยน Filter กรองอากาศไม่ให้ฝุ่นเกาะหนา ทุก 30 วัน เพื่อให้พัดลมทำงานได้ดี ลดการเกิดปัญหาเครื่องทำงานหนักได้ค่ะ
7. นำของกิน เข้าเครื่องอบยูวีได้ไหม?
หลายๆ บ้าน มีความกังวลว่า เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย อาจปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่ปรุงกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ส้มตำ ปลาแซลมอน จึงอยากนำเข้าเครื่องอบยูวี เพื่อฆ่าเชื้อ ไม่มีข้อห้ามในการอบฆ่าเชื้ออาหาร หากเครื่องอบ UV มีขนาดใหญ่เพียงพอ ที่สามารถจะเทใส่จาน แล้ววางเพื่อรับรังสี UV-C ได้พอดี แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ กลิ่นอาหารที่ยังติดค้างอยู่ภายในเครื่อง หากนำไปใช้ฆ่าเชื้อขวดนมของลูกต่อ อาจทำให้กลิ่นไปติดที่ขวดนม ทำให้ลูกอาจไม่ยอมทานนมด้วยขวดนั้นไปเลยได้ และห้ามนำเข้าทั้งถุงพลาสติก ถุงร้อน โดยเด็ดขาด เพราะอาจละลาย หรือก่อให้เกิดการระเหยของสารพิษในพลาสติก เป็นอันตรายมากกว่าเดิมได้ค่ะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม :
สำนักวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ https://arch.wu.ac.th/?p=6971
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) http://www.nimt.or.th/main/?p=31767
GET GET GOT https://www.getgetgot.com/blog/uv-sterilisers-best-for-baby-bottles
ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/rama-health/news-469601
MGR Online https://mgronline.com/qol/detail/9630000043446
ข่าวสารจุฬาฯ https://www.chula.ac.th/news/44406/

สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าควรซื้อเครื่องอบยูวีหรือไม่ สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอบยูวีหรือสินค้าอื่นๆ ก็ตาม ทั้งยังสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ? สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ […]
นมแม่ คืออาหารมหัศจรรย์ของลูกน้อย อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่ครบถ้วนและเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกน้อย ซึ่งคุณค่าสารอาหารในนมแม่ สำคัญที่สุดต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูกทุกด้าน ได้แก่ อุ่นนมแม่ให้ถูก ลูกได้คุณค่าเต็มที่ เมื่อรู้ว่านมแม่มีคุณค่ามหาศาลอย่างนี้แล้ว คุณแม่ต้องให้ลูกน้อยกินนมแม่ให้นานที่สุด เพื่อให้ลูกได้รับคุณค่าน้ำนมให้มากที่สุด ด้วยการทำสต๊อกนมแม่เก็บไว้ให้ลูก และให้ความสำคัญกับการอุ่นนมแม่ที่แช่แข็งหรือทำสต๊อกไว้มาให้ลูกกินด้วย เพราะหากอุ่นนมแม่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้ลูกเจ็บป่วยท้องเสีย แถมยังสูญเสียสารอาหารที่มีคุณค่าในนมแม่ไป เราจึงขอแนะนำวิธีการอุ่นนมที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดมาฝากกันค่ะ วิธี อุ่นนมแม่ จากช่องแช่แข็ง ปัจจุบันมีเครื่องอุ่นนม ที่ช่วยอำนวยความสะดวกคุณแม่ในการละลายนมแม่แช่แข็ง ซึ่งมีการทำงานที่หลากหลายทั้งอุ่นนม ละลายน้ำแข็ง อุ่นอาหาร และฆ่าเชื้อได้ โดยคุณแม่ควรพิจารณาเลือกซื้อที่มีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเลือกปรับอุณหภูมิได้ตามความเหมาะสม เพื่อรักษาคุณค่าของนมแม่ไว้ให้ครบถ้วน ข้อควรระวัง เรื่องเข้าใจผิดของการ อุ่นนมแม่ ทำเสียคุณค่าน้ำนม ข้อมูลเพิ่มเติม :https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/HpH/admin/news_files/718_49_1.pdf, FB: สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ,https://www.phyathai.com/https://library.thaibf.com/ (คลังข้อมูล มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย)
ว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย พอรู้ข่าวดีว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์คงเกิดอาการดีใจอยู่ไม่น้อย แต่ในความดีใจของคุณแม่ก็เกิดคำถามและความกังวลในหัวอยู่มากมาย โดยเฉพาะการลุ้นพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์อยู่ตลอด หนึ่งในนั้นเชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลาย คงอยากรู้สินะว่า ลูกในครรภ์จะได้ยินเสียงเราตอนไหน และการได้ยินของลูกจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ และคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถสื่อสารในรูปแบบไหนได้บ้าง ที่จะช่วยการกระตุ้นให้ลูกน้อยได้รับรู้ เพราะคุณแม่ทั้งหลายต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าการพูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์ เป็นการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีกับลูกได้ดีอีกอย่างหนึ่ง บางทีเราเองก็จะเห็นคุณแม่หลายๆคน เปิดเพลงคลาสสิกให้ลูกฟังสไตล์โมซาส เผื่อลูกจะได้อารมณ์ดี บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็เล่านิทาน แต่จริงๆแล้วคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าลูกในครรภ์จะได้ยินเสียงตอนกี่เดือนกันแน่ พัฒนาการการได้ยินของลูกน้อยในครรภ์ เริ่มต้นอย่างไร คุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการ การได้ยินของลูกน้อยอย่างไรได้บ้าง ดังนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการการได้ยินของทารกในครรภ์ได้ เพราะจริงๆแล้ว ทารกจะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่เดือนที่ 5 เป็นต้นไป และการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ โดยคุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการการได้ยินของทารกในครรภ์ อย่างมีประสิทธิภาพแบบง่ายๆ ได้ดังนี้ 1. พูดคุยกับลูกบ่อยๆ โดยการใช้น้ำเสียงปกติในชีวิตประจำวันที่เป็นอยู่ รวมถึงคุณแม่อาจจะเพิ่มการร้องเพลง หรืออ่านหนังสือ เข้าไปด้วยก็เป็นการช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการได้ยินของทารกในครรภ์แล้ว 2. เปิดเพลงให้ลูกฟังบ่อยๆ โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะเป็นเพลงแนวไหน สามารถเปิดได้หมด ทั้ง โมสาร์ท คลาสสิก แจ๊ส ป๊อป ร็อค ลูกทุ่ง เพียงแค่ขอให้เป็นเพลงที่ฟังสบายๆ ไม่รุนแรงเกินไป ก็ช่วยให้ลูกได้รู้สึกถึงจังหวะมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นพัฒนาการการได้ยิน พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวเมื่อลูกได้ดิ้นและขยับตัวตามจังหวะดนตรีเพลง […]
ถ้าพูดถึงสิ่งที่แม่ๆ เป็นกังวลที่สุดตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 ซึ่งตอนนี้แพร่ระบาดและคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วทั่วโลกกว่า 4,000 ราย แถมยังดูทีท่าไม่มีจะหยุดเสียด้วย COVID-19 หรือที่เราเรียกกันว่าไวรัสโคโรน่านั้น เป็นเชื้อก่อโรคชนิดหนึ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยล่ะค่ะ ความน่ากลัวของมันก็คือ มันจะลอยอยู่ในอากาศ ทำให้สามารถติดต่อกันได้ง่ายมากๆ แค่หายใจเข้าไปก็สามารถติดต่อกันได้แล้ว นอกจากการหายใจ การสัมผัสกันก็ยังถือเป็นการแพร่เชื้อชั้นดี ไม่ต้องพูดถึงเวลาไอหรือจามกันเลย แค่ฟังก็รู้สึกชีวิตอยู่ยากแล้ว และยังจะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ถ้ามีอีกหนึ่งชีวิตพ่วงมาด้วย แต่อย่ากลัวไปค่ะ เราจะต้องรอด ขอแค่เปลี่ยนตัวเองเป็นคุณแม่สายคลีนตั้งแต่หัวจรดเท้า แค่นี้ก็อย่าหวังว่าเชื้อโรคจะได้แอ้ม วิธีเอาตัวรอดจากไวรัสโคโรน่าฉบับคุณแม่ต้องไปทำงาน 1.พกหน้ากากติดตัวให้เป็นนิสัย คงไม่ใช่แค่พก แต่ขอให้คุณแม่สวมเอาไว้ค่ะ เพราะการสวมหน้ากากเป็นวิธีป้องกันที่ง่ายและเบสิคที่สุดในตอนนี้แล้ว อย่างที่บอกว่าไวรัสจะลอยอยู่ในอากาศ คุณแม่จะไม่ทราบเลยว่าแต่ละครั้งที่หายใจเข้าไปนั้นจะเอาอะไรเข้าไปบ้าง เพราะฉะนั้น คุณแม่ควรจะใส่หน้ากากตลอดเวลา และควรจะเลือกหน้ากากที่มีความเหมาะสมด้วยนะคะ เพราะหน้ากากบางชนิดก็บางเกินไป ไม่สามารถกันได้นะ 2. ล้างมือทุกชั่วโมง ความจริงเรื่องการล้างมือนี่ถ้าไม่มีไวรัสระบาดก็ควรจะทำให้ติดเป็นนิสัยนะ เหตุผลที่เราควรล้างมือบ่อยๆ เพราะไม่ใช่แค่ไวรัสโคโรน่าเท่านั้นที่ติดต่อผ่านการสัมผัส แต่เชื้อโรคอื่นๆ ก็จะตกค้างอยู่ที่มือเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม การล้างมือเป็นประจำจะทำให้มือของเราสะอาด เวลาหยิบจับอาหารอะไรเข้าปากก็หมดห่วง อย่าลืมว่าการล้างมือที่ถูกต้องควรล้างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงซอกเล็บด้วยนะคะ 3. พกเจลแอลกอฮอล์ บางทีการเดินตามหาน้ำล้างมือในสถานที่ต่างๆ ก็อาจดูจะเป็นเรื่องยากเกินไปซักนิด ดังนั้นเราจึงมีตัวเลือกใหม่ฉบับพกพาให้คุณแม่สะดวกได้มากขึ้นกว่าเดิม เจลแอลกอฮอล์ที่ดีควรมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ 70-95% […]
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังหมดช่วงลาคลอด หรือผู้ที่ต้องการให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม การพิจารณาเนิร์สเซอรี หรือสถานรับเลี้ยงเด็กจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ แต่คำถามที่ตามมาคือ เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อลูกมากแค่ไหน และควรส่งลูกไปเนอสเซอรี่ อายุเท่าไหร่ บทความนี้ BabyGift จะมาให้คำตอบอย่างละเอียด เพื่อช่วยคุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เนิร์สเซอรีคืออะไร เนิร์สเซอรี หรือที่เรียกกันว่า เดย์แคร์ (Day Care) คือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียนในช่วงเวลากลางวัน มักรับดูแลเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 3 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจต้องกลับไปทำงานประจำ โดยเน้นการดูแลพื้นฐาน การให้ความอบอุ่น และการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการตามวัย เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาลต่อไป ข้อดีและข้อเสียของเนิร์สเซอรี การส่งลูกไปเนิร์สเซอรีมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณพ่อคุณแม่ควรนำมาพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้การตัดสินใจนั้นเหมาะสมกับวิถีชีวิตของครอบครัวและพัฒนาการของลูกน้อยที่สุด ข้อดีของเนิร์สเซอรี ข้อเสียของเนิร์สเซอรี เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อลูกมากแค่ไหน คำถามว่า เนิร์สเซอรี จำเป็นต่อลูกน้อยมากแค่ไหนนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะหลักการสำคัญคือเด็กเล็กวัยต่ำกว่า 3 ขวบยังต้องการความผูกพันที่มั่นคงจากผู้เลี้ยงดูหลัก (พ่อแม่) เป็นอันดับแรก การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในทางกลับกัน เนิร์สเซอรีจะจำเป็นต่อแม่และเด็ก ที่ไม่มีผู้ดูแลในช่วงกลางวัน หรือเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเริ่มฝึกทักษะสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นมันคือตัวช่วยในการจัดการชีวิตของครอบครัวมากกว่าความจำเป็นด้านพัฒนาการหลักของลูก ควรพาลูกไปเนิร์สเซอรีอายุเท่าไหร่ สำหรับคำถามว่า ควรพาลูกไปเนิร์สเซอรีอายุเท่าไหร่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักแนะนำว่าควรรอให้ลูกอายุ 3 […]
คำถามติดอันดับยอดฮิตของคุณแม่มือใหม่คือ “เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร และต่างจากประจำเดือนอย่างไร?” เพราะเจ้าเลือดตัวนี้จะเป็นตัวชี้ชะตาเลยว่า เรากำลังจะเป็นแม่คนหรือเปล่า เอาล่ะค่ะ เราจะไม่ปล่อยให้คุณแม่ต้องสงสัยกันนาน ลองมาดูกันดีกว่าว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณแม่นั้นเป็นเลือดล้างหน้าเด็กหรือประจำเดือนกันแน่ เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร? เลือดล้างหน้าเด็กนั้นเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังจะเป็นแม่คน แต่ก็ไม่ใช่ว่าแม่ท้องทุกคนจะมีเลือดล้างหน้าเด็กนะคะ เลือดล้างหน้าเด็กก็คืออาการที่มีเลือดออกมาจากทางช่องคลอด แต่ก็เป็นแค่แบบกะปริบกะปรอยเท่านั้นเอง เลือดล้างหน้าเด็กเกิดจากอะไร? เลือดล้างหน้าเด็กเกิดจากการที่ตัวอ่อนเข้าฝังตัวกับเยื่อบุโพรงมดลูกค่ะ เพราะบางครั้งการฝังตัวนี้อาจจะทำให้หลอดเลือดฝอยในโพรงมดลูกแตก ทำให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอด แต่ไม่ได้เยอะอะไรเท่าไหร่นะ เลือดล้างหน้าเด็กมาแค่วันเดียวใช่หรือไม่? ส่วนใหญ่แล้วเลือดล้างหน้าเด็กจะมาประมาณ 2-3 วันค่ะ แต่จะมาไม่ตรงกับรอบเดือนของเรานะคะ โดยจะมาก่อนครบกำหนดรอบเดือนประมาณ 1 อาทิตย์ เลือดล้างหน้าเด็กกับประจำเดือนต่างกันอย่างไร? เลือดล้างหน้าเด็กกับประจำเดือนค่อนข้างแตกต่างกัน และแยกได้อย่างค่อนข้างง่ายเลยล่ะค่ะ อย่างหนึ่งคือเลือดล้างหน้าเด็กจะมีสีที่จางกว่าเลือดประจำเดือนค่ะ และมีปริมาณไม่เยอะเท่า นอกจากนี้ในบางคนที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำแล้ว จะยิ่งสังเกตง่ายกว่าเดิมอีกค่ะ เพราะเลือดล้างหน้าเด็กจะไม่มาพร้อมกับอาการปวดท้องค่ะ และที่สำคัญคือ เลือดล้างหน้าเด็กจะมาไม่ตรงรอบเดือนของเราด้วย แล้วอาการแท้งคุกคามคืออะไร? อาการหรือภาวะแท้งคุกคามคือการแท้งบุตรที่มีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดก่อนครบกำหนดคลอด โดยมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของทารกในครรภ์ คุณแม่ที่ตั้งท้องตอนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โรคเรื้อรัง หรือตำแหน่งการฝังตัวของตัวอ่อนที่ผิดไปจากปกติ อาการแท้งคุกคามนี่เกิดขึ้นได้ในทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์เลยนะคะ เพราะงั้นคุณแม่ที่กำลังท้องอ่อนๆ หรือยังไม่รู้ตัวว่าท้อง การมีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดก็สามารถเป็นได้ทั้งเลือดล้างหน้าเด็ก ประจำเดือน และแท้งคุกคามเลย ความแตกต่างระหว่างเลือดล้างหน้าเด็กกับแท้งคุกคาม? ถ้าคุณยังไม่รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นแม่คน แต่มีเลือดไหลออกมาจากทางช่องคลอดที่ไม่ตรงกับการมารอบเดือนแล้วนั้น จะมีสาเหตุได้อยู่สองอย่างค่ะ ก็คืออาจจะเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก หรือแท้งคุกคาม […]








