Baby Gift สำรวจศูนย์วิจัยที่ญี่ปุ่น เจาะลึกนวัตกรรมคาร์ซีท เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกน้อย

ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวให้ความสำคัญกับ “คาร์ซีท” หรือ เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์จำเป็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยในขณะที่เดินทางด้วยรถยนต์กันเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุด นางสาวอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมชม “Aprica Central Research Center” ที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น และแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์ซีท เจาะลึกถึงแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสรีระของเด็กในแต่ละช่วงวัย การเลือกสรรวัสดุที่ปลอดภัย และขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงวิธีทดสอบคาร์ซีทในห้องปฎิบัติการด้านความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก

อะปริก้า (Aprica) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.  2490 โดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความห่วงใยและใส่ใจเกี่ยวกับเด็กทารก เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็ก จึงได้ช่วยกันคิดค้นและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีเป้าหมายคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็กและพ่อแม่ ด้วยความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 70 ปี อะปริก้า จึงได้รับการยอมรับและไว้วางใจอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และอะปริก้ายังได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำรถเข็นและผลิตภัณฑ์เด็กรุ่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ Royal Knot เพื่อทูลเกล้าถวายแด่ราชวงศ์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในอีกหลายประเทศทั่วโลก

Aprica Central Research Center เป็นศูนย์กลางวิจัยเกี่ยวกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์เด็กตั้งอยู่ในเมืองนาราประเทศญี่ปุ่นด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านเยน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมประวัติความเป็นมาของแบรนด์อะปริก้า แนวคิดปรัญชาการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก รวมทั้งเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยเฉพาะด้าน Childcare Engineering หรือวิศวกรรมศาสตร์เพื่อการดูแลเด็ก ด้วยการศึกษาสิ่งแวดล้อมและการดูแลเด็กแรกเกิดที่เหมาะสม และนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อยของพ่อแม่ รวมเข้ากับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการของเด็กวัยแรกเกิดอย่างแท้จริง

โดยอะปริก้าเป็นบริษัทแรกในโลก ที่มีการใช้หุ่นจำลองเด็กทารกขนาด 2.5 กิโลกรัม ที่มีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านบาท โดยหุ่นจำลองนี้มีข้อต่อและอวัยวะในร่างกายเช่นเดียวกับเด็กทารก ติดตั้งเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณในส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อตรวจวัดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการกระแทกในอุบัติเหตุจำลองรูปแบบต่างๆ รวมทั้งใช้ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ และวิเคราะห์การโอบอุ้มของอ้อมกอดแม่ เพื่อคิดค้นอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่นอกจากจะเน้นความปลอดภัยแล้ว ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กวัยแรกเกิดได้ดี

คาร์ซีทนับเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่อะปริก้าให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเชื่อว่าในขณะที่เด็กเดินทางด้วยรถ เด็กควรได้รับการดูแลปกป้องเป็นพิเศษเพื่อให้การนอนหลับไม่ถูกรบกวนจากการเดินทาง ดังนั้นคาร์ซีทจึงมีส่วนสำคัญที่นอกจากจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุแล้วยังช่วยสร้างเสริมการนอนหลับได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในหลายประเทศคาร์ซีทถือเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับเด็กแรกเกิดที่มีกฏหมายบังคับใช้ อะปริก้าจึงได้พัฒนาคาร์ซีทที่สามารถปรับเปลี่ยนใช้ได้ถึง 3 รูปแบบในตัวเดียวกันซึ่งจะเป็นได้ทั้งเตียงนอน เพื่อรองรับสรีระที่อ่อนบางในวัยแรกเกิด และปรับเปลี่ยนเป็นเก้าอี้นิรภัยสำหรับวัยที่เริ่มหัดนั่งและยืนได้แล้ว รวมไปถึงอะปริก้ายังได้พัฒนา Junior Seat หรือ Booster สำหรับเด็กที่เริ่มโตเต็มวัยเพื่อเตรียมพร้อมการนั่งรถโดยใช้สายเข็มขัดนิรภัยเหมือนผู้ใหญ่อีกด้วย ซึ่งทำการทดสอบในการเกิดอุบัติเหตุรูปแบบต่างๆ ภายในห้องทดลองของบริษัทจนได้รับการรับรองมาตรฐานขั้นสูงมากกว่า 1,000 ครั้งต่อปี เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถพัฒนานวัตกรรมการปกป้องเด็กทารกให้มีความปลอดภัยสูงสุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กทารกที่ตัวเล็ก หรือคลอดก่อนกำหนด ซึ่งมีร่างกายบอบบางและต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ คาร์ซีทของอะปริก้าได้ออกแบบให้ทารกสามารถนอนได้แบบเหยียดตรงตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง เพราะช่วยให้ระบบทางเดินหายใจสะดวก หลีกเลี่ยงการกดทับช่องท้อง และเป็นผลดีกับกระดูกสันหลัง อีกด้วย

และอีกหนึ่งนวัตกรรมที่โดดเด่นของอะปริก้า คือ รถเข็นเด็กที่ออกแบบตามหลัก Baby Ergonomic Design เพื่อรองรับสรีระของเด็กทั้ง 3 ช่วงวัย โดย เด็กแรกเกิด ที่ศีรษะและคอมีความเปราะบาง ต้องการปกป้องอย่างอ่อนโยน การใช้ Head Support ที่หนานุ่มและเว้าโค้งจะช่วยสอดรับศีรษะ และคอที่ยังไม่แข็งได้อย่างมั่นคง ที่นอนปรับราบ ช่วยปกป้องการกดทับที่ท้อง เบาะรองปลายเท้า ช่วยรองรับสรีระในท่านอนได้สบายมากขึ้น เด็กวัย 7 เดือนขึ้นไป ที่เริ่มหัดนั่ง เบาะรองนั่งจะช่วยรองรับข้อเข่า และสะโพกช่วยให้เด็กทรงตัวได้ดี ตัวไม่ไหลเลื่อนไปข้างหน้าและนั่งได้สบายมากขึ้น นวมด้านข้างยังช่วยโอบกระชับช่วงเอวและสะโพก ช่วยให้เด็กหัดนั่งได้อย่างสมบูรณ์ และสบายตัวมากยิ่งขึ้น และ สำหรับเด็กวัย 18 เดือนขึ้นไป เบาะที่สามารถปรับลงมาได้ จะรองรับข้อเข่าและน่องได้พอดี ช่วยให้เด็กนั่งในท่าที่ถูกต้อง พนักพิงบริเวณศีรษะที่ชันขึ้นในองศาที่เหมาะสม จะช่วยรองรับช่วงต้นคอ พร้อมหมอนรองศรีษะที่ประคองศีรษะขณะหลับได้ดี คอไม่พับแม้ต้องหลับในท่านั่ง ปกป้องสรีระลูกน้อย

ในประเทศไทย บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของอะปริก้าอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

หมอนให้นม เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้แม่และทารกรู้สึกสบายขณะให้นม มักจะมีรูปทรงคล้ายตัว C หรือ U ซึ่งช่วยรองรับทารก วัสดุส่วนใหญ่จะอ่อนโยน เพื่อไม่ผิวลูกเกิดอาการระคายเคือง ตัวหมอนหรือเบาะควรมีความนุ่ม ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดได้ง่าย ซึ่งในบทความนี้ BabyGift จะชวนแม่ๆ มารู้จักหมอนรองให้นมกันให้มากขึ้น พร้อมยี่ห้อดีๆ มาแนะนำกันค่ะ  รู้จัก หมอนรองให้นม ตัวช่วยคุณแม่ให้นมลูกที่สะดวก สบายขึ้น !  หมอนที่ใช้รองให้นมเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้การให้นมแม่สะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับแม่มือใหม่หรือแม่ที่ต้องให้นมบ่อยๆ เพราะช่วยรองรับน้ำหนักทารกขณะให้นม ลดความเมื่อยล้าของแขนและไหล่แม่ หมอนให้นมจะช่วยจัดท่าให้นมที่เหมาะสม ทำให้ทารกดูดนมได้ง่ายขึ้น ช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลัง และคอของแม่ จึงเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกที่ไม่ว่าคุณแม่น้ำนมเยอะ หรือน้ำนมน้อยต้องมีติดบ้านไว้กันเลยหล่ะค่ะ (อ่านเรื่องวิธีกระตุ้นน้ำนม เพิ่มเติมได้อีก BabyGift มีเขียนไว้แล้วค่ะ)  ข้อดีของการใช้หมอนรองให้นม   การใช้หมอนเพื่อให้นมนั้น มีข้อดีหลายประการ ซึ่งช่วยให้การให้นมลูกสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูกันค่ะว่ามีข้อดีอะไรบ้าง  แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหมอนให้นมจะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะจำเป็นสำหรับคุณแม่ทุกคน บางคนอาจรู้สึกสบายกว่าเมื่อไม่ใช้หมอน ดังนั้นควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเองและลูกที่สุดค่ะ  วิธีเลือกหมอนรองให้นม  การเลือกหมอนที่ใช้ช่วยคุณแม่สำหรับให้นมที่เหมาะกับการใช้งานนั้น สำคัญมากสำหรับความสะดวกสบายของทั้งตัวแม่และลูก ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่สบาย และผ่อนคลายมากขึ้น เราลองมาดูกันค่ะ ว่าต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง  แนะนำ ท่าอุ้มลูกให้นมที่ถูกต้อง […]

อายุครรภ์คืออะไรกันนะ? เมื่อตั้งท้อง สิ่งหนึ่งที่เป็นคำถามยอดฮิตเลยก็คือ “ท้องกี่เดือน” หรือ “คลอดเมื่อไหร่” การที่เราจะตอบคำถามพวกนี้ได้นั้นเราจะต้องทราบอายุครรภ์ของเราก่อนค่ะ พูดง่าย ๆ อายุครรภ์ก็คือระยะเวลาที่ลูกของเราได้อยู่ในท้องของเรามา แต่ถ้าหากจะพูดให้ดูมีหลักการหน่อยแล้ว อายุครรภ์ก็คือระยะเวลาที่นับตั้งแต่วันแรกของรอบเดือนล่าสุดของเรามาจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วนั้น อายุครรภ์ที่นับจนถึงกำหนดคลอดควรจะเท่ากับ 40 สัปดาห์โดยประมาณค่ะ เราจะรู้อายุครรภ์ของเราได้อย่างไร? 1. การตรวจภายในโดยวัดขนาดของมดลูก ฟังดูน่ากลัวนิดนึงใช่มั้ยคะ วิธีนี้สามารถกะอายุครรภ์โดยประมาณของคุณแม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำเท่าไหร่หรอกนะ เพราะว่าเด็กแต่ละคนตัวใหญ่เล็กไม่เท่ากัน อาจมีคลาดเคลื่อนบ้าง 2. การอัลตราซาวด์ วิธีการตรวจแบบนี้จะตรวจได้เมื่อตอนอายุครรภ์สัก 5-6 สัปดาห์ขึ้นไป ส่วนถ้าอยากได้ผลแม่น ๆ หน่อยก็อาจจะมาตรวจช่วง 8-18 สัปดาห์ก็ได้นะ สำหรับวิธีนี้คุณหมอก็จะใช้วิธีการวัดขนาดของมดลูกเช่นกัน แต่จะเป็นการวัดผ่านการทำอัลตราซาวด์ แม้จะไม่ได้ตรงเป๊ะแบบ 100% แต่ก็ไม่คลาดเคลื่อนมากค่ะ 3. การนับรอบเดือน การนับรอบเดือนจะสามารถใช้ได้กับคุณแม่ที่มีรอบเดือนแบบมาสม่ำเสมอ ตรงกันทุกเดือน สามารถนับได้โดยการนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุด ให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันแรกของการตั้งครรภ์ค่ะ วันนี้คุณแม่ไปพบคุณหมอครั้งแรก คุณหมอจะประเมินวันคลอดคร่าว ๆ ด้วยการนับรอบเดือนแบบนี้แหละ เพราะงั้นทางที่ดี เราควรจะจดรอบเดือนของเราทุกเดือนนะ เราทราบอายุครรภ์กันเพื่ออะไร? การทราบอายุครรภ์นั้นมีประโยชน์แน่นอนค่ะ อย่างแรกคือเราก็จะทราบได้ว่าเราจะคลอดเมื่อไหร่หรือประมาณช่วงไหน จะได้เตรียมตัวได้ถูก […]

1.เลือกจากประเภทการใช้งานให้เหมาะสมกับสรีระและน้ำหนักของเด็กค่ะโดยทั่วไปรถเข็นจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 2. วัสดุโครงสร้างของรถเข็นเด็กต้องแข็งแรงและที่สำคัญน้ำหนักต้องเบาเพราะว่าบางครั้งคุณแม่อาจจะต้องเดินทางโดยลำพังกับลูกน้อย นอกจากนี้เบาะที่สัมผัสของตัวน้องควรทำจากวัสดุที่นุ่มสบายเพื่อให้เด็กนั่งได้นาน อีกทั้งยังต้องมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนที่ดีเนื่องจากอากาศที่เมืองไทยค่อนข้างร้อนและระบบปรับอุณหภูมิในเด็กเล็กนั้นยังทำงานได้ไม่ดีนักทำให้เด็กจะร้อนและเหงื่อออกได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ 3. ล้อต้องเป็นล้อที่สามารถหมุนได้สะดวกและแข็งแรง เพราะจะทำให้การเคลื่อนตัวของรถเข็นคล่องตัวขึ้นแม้ว่าคุณแม่จะต้องเข็นรถในที่ที่แคบ 4. โครงสร้างของผลิตภัณฑ์ต้องออกแบบมาเพื่อรักษาให้ขาและข้อต่อสะโพกอยู่ในรูปทรงตามธรรมชาติโดยประคองขาและข้อต่อสะโพกในอยู่ในรูปทรงตัว“M” ซึ่งเป็นท่าที่จะทำให้ขาและสะโพกของลูกน้อยมั่นคงที่สุดรวมทั้งจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกทั้งสองส่วนให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ดีที่สุด 5. มีหลังคาที่สามารถปกป้องลูกน้อยจากแสงแดดและรังสียูวีเพราะผิวหนังของเด็กนั้นยังบอบบางโดยที่บังแดดควรจะปรับได้ตามทิศทางของแสงแดดที่ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาในแต่ละวัน นอกจากนี้ที่บังแดดยังช่วยบังลมให้ลูกน้อยได้อีกด้วย 6. โครงสร้างของรถเข็นเด็ก ต้องออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบการหายใจในกรณีที่เด็กอาจจะเผลอหลับบนรถเข็น โดยมีเบาะที่จะทำให้ศีรษะเด็กไม่เคลื่อนที่และป้องกันการบิดของลำคอจึงช่วยป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทางเดินหายใจอุดกั้น 7. ข้อสำคัญอีกประการก็คือหากคุณใช้รถเข็นเด็กแรกเกิด ควรจะเลือกประเภทที่สามารถหันที่นั่งรถเอาหาตัวคุณแม่ได้ เนื่องจากเด็กเล็กต้องการความเอาใจใส่จากแม่เป็นพิเศษ เมื่อน้องออกไปข้างนอกเขาต้องการจะมองเห็นคุณแม่เพื่อความอุ่นใจค่ะ แต่ถ้าเป็นเด็กโตแล้ว เด็กจะให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวซึ่งในวัยนี้คุณแม่อาจจะปรับที่นั่งรถเข็นให้มองออกไปข้างนอกได้ค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างถูกต้อง

เมื่อลูกน้อยอายุประมาณ 5 เดือนขึ้นไป ฟันซี่แรกก็จะเริ่มขึ้น ฟันจะค่อย ๆ ดันเหงือกขึ้นมา ทำให้ลูกเริ่มมีอาการคันเหงือก เจ็บเหงือก ลูกเลยชอบที่จะหยิบของเล่นเข้าปากเพื่อกัดเล่น เคี้ยวเล่น ให้ผ่อนคลายอาการคันเหงือกนี้ แต่เพื่อความสะอาด เพื่อความปลอดภัยกับเหงือกและฟันซี่แรกของลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่จึงมักจะมองหายางกัดมาให้ลูกน้อยได้กัดเล่น แต่ยางกัดเด็ก ไม่ใช่อะไรก็ได้นะคะ คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจด้วยว่า วัสดุไร้สารเคมี นุ่มอ่อนโยนสำหรับเด็ก รูปทรงไม่เป็นอันตราย และไม่ทำให้เหงือกและฟันของลูกน้อยบาดเจ็บ แล้วแบบนี้จะเลือกยางกัดเด็กอย่างไรดี เด็กแรกเกิดใช้ยางกัดได้ไหม เรามีคำตอบมาให้ในบทความนี้ค่ะ ยางกัดเด็ก ลดคันเหงือก แบบไหนดี ? ลูกควรใช้ได้ตอนอายุเท่าไหร่ สามารถเริ่มเล่นยางกัดได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือน ขึ้นไป เนื่องจากยางกัดเด็กสามารถเป็นของเล่นเสริมพัฒนาการได้ หรือ เมื่อลูกอายุประมาณ 5 เดือน ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตอาการลูก ว่ามักจะหยิบของเล่นทุกอย่างมากัดเล่นหรือเปล่า พอกัดไม่ได้เนื่องจากของเล่นนั้นแข็งเกินไป ระคายช่องปาก ก็จะทำให้ลูกร้องไห้งอแง เริ่มมีน้ำลายไหลมากขึ้นด้วย อาการเหล่านี้บ่งบอกว่าลูกอยากหาอะไรกัดเคี้ยวเล่นเพื่อบรรเทาอาการคันเหงือก ก็สามารถเริ่มใช้ยางกัดเด็กได้แล้วค่ะ ยางกัดเด็กมีกี่ประเภท พร้อมวิธีการเลือกยางกัดที่พ่อแม่ต้องรู้ ! 1. ยางกัดเด็กแบบซิลิโคน ยางกัดเด็กแบบซิลิโคน จะผลิตจากซิลิโคนฟู้ดส์เกรด BPA Free100% […]

แม่ใบเตย-พ่อแมน ปลื้มใจ ที่ได้ตัวช่วยดีๆอย่างรถเข็น Aprica เข็นพาลูกออกไปไหนมาไหนก็ลื่นสมูทไม่มีสะดุด ช้อปปิ้งนานแค่ไหน น้องเวทมนต์ ก็นอนสบายหลับสนิทไม่งอแง การมีรถเข็นเด็กแรกเกิดดีๆสักคันที่แม่ไว้วางใจ การพาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องยากคุณแม่ใบเตยเลือก รถเข็น Aprica รุ่น Optia Cushion Premuim พา น้องเวทมนต์ ไปข้างนอกแบบสบายๆ ปรับเป็นแบบเข็นไปเห็นหน้าลูกไปก็ได้ สบายใจหายห่วงสุดๆ ตามมาส่องความน่ารัก ” น้องเวทมนต์ “ ลูกสาวตัวน้อยของแม่ใบเตย-พ่อแมนสุดน่ารักกันเลยค่า BabyGift ยินดีแนะนำรถเข็นที่เหมาะกับลูกน้อยและไลฟ์สไตล์คุณพ่อคุณแม่ ทักมาปรึกษาได้เลยค่า

ปัญหาลูกทารกนอนยาก ไม่ยอมนอน ถือเป็นหนึ่งปัญหาปวดหัวใจ ทำคุณพ่อคุณแม่หลายๆ บ้านเครียดและไม่สบายใจไปตามๆ กัน เพราะเมื่อลูกนอนยาก งอแง ไม่ยอมหลับ ก็มักจะงอแงร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ปลอบอย่างไรก็ไม่หาย กว่าจะนอนได้ก็นานเป็นชั่วโมง  แถมเวลาลูกหลับแล้วตื่นมาทีไรก็ยังงอแง อารมณ์ไม่ดี เลี้ยงยากจนคุณแม่ๆ ทั้งหลายเพลียใจ ลูกน้อยทารกควรนอนมากแค่ไหน ? คุณแม่รู้ไหมว่า…ลูกทารกวัยแรกเกิด- 1 เดือน นอนกลางวันถึงวันละ 8-9 ชั่วโมง และกลางคืนอีก 8-9 ชั่วโมง รวม 15-18 ชั่วโมงต่อวัน  ส่วนลูกวัย 1 -3 เดือน นอนกลางวันวันละ 6-7 ชั่วโมง และกลางคืนอีก 9-10 ชั่วโมง   รวมประมาณ 15 ชั่วโมง  จนเมื่อลูกน้อยวัย 6 เดือน เริ่มนอนน้อยลง คือ นอนกลางวันลงเหลือ 3-4 ชั่วโมง และกลางคืน 10-11 ชั่วโมง รวม […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages