10 วิธีทำให้ลูกฉลาดรอบรู้

เลี้ยงลูกให้มีความสุข เด็กที่มีความสุขคือเด็กที่รู้สึกปลอดภัย มั่นคง ทั้งในด้านอารมณ์ความรู้สึก และสิ่งแวดล้อมภายนอก เด็กที่มีความสุขจะรู้ว่าตนเองมีคุณค่าในแบบที่ตัวเองเป็น พ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่มีความสุขได้โดยการใช้เวลากับลูกให้มากๆ รู้จักสื่อสารพูดคุยกับลูก และสอนให้ให้ลูกรู้จักภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น การซื้อของและสมัครเรียนเสริมนอกเวลาให้ลูก ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าความสุข ถ้าอยากให้ลูกมีความสุข คุณเองควรใช้เวลากับลูกให้มากขึ้นมากกว่า ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง อีกหนึ่งวิธีที่จะเลี้ยงลูกให้มีความรอบรู้คือ การพอลูกออกไปท่องโลกกว้าง หรือชวนทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ใช่ให้พวกเขาอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว กิจกรรมที่น่าสนใจ และทำให้ลูกได้ประสบการณ์ใหม่ๆ นั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น งานอาสาสมัคร ไปทำบุญที่วัด เล่นกีฬาที่สโมสรในหมู่บ้าน พาลูกไปซื้อของที่ตลาด เป็นต้น สอนให้ลูกเป็นคนรักการเรียนรู้ พยายามกระตุ้นให้ลูกเป็นเด็กที่รักการเรียนรู้ และทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วย คุณอาจกระตุ้นการเรียนรู้ให้กับลูกผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวตามธรรมชาติ พาลูกไปพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ชวนลูกอ่านนิทาน ชวนลูกดูภาพยนตร์ด้วยกัน เป็นต้น สอนให้รู้จักเคารพผู้อื่น การรู้จักเคารพผู้อื่น เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญ หรือที่มาของคุณธรรมในตัวเด็ก เด็กที่ถูกเลี้ยงให้รู้จักเคารพกฎเกณฑ์ เคารพตนเอง เคารพผู้อื่น รวมถึงเคารพสิทธิของคนรอบข้าง จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นคนดีและมีคุณธรรม การสอนเรื่องความเคารพให้กับลูกตั้งแต่ยังเด็กจึงนับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สอนให้ลูกรู้จักเชื่อฟังพ่อแม่ วิธีง่ายที่สุดในการสอนให้ลูกเป็นเด็กที่รู้จักเชื่อฟังพ่อแม่ คือ ความสม่ำเสมอและความยุติธรรม อย่าทำให้ลูกสับสนด้วยการอนุญาตให้ลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในวันนึง แต่พออีกวันกลับห้ามทำ และคุณต้องปฏิบัติกับลูกทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วย เช่น […]

กรนและหยุดหายใจยิ่งอันตรายตอนท้อง

การนอนกรนของแม่ท้อง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ เช่น ท้องโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย การสูบฉีดเลือด ระบบไหลเวียนของเลือด รวมทั้งการเต้นของหัวใจ ซึ่งการสูบฉีดไหลเวียนเลือดที่มากขึ้น จะไปกระตุ้นเส้นเลือดในโพรงจมูก ทำให้มีภาวะบวมน้ำส่งผลให้เวลานอน จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก และเกิดเสียงกรนนั่นเอง ประกอบกับลักษณะการนอนของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ช่วง 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะนอนมากกว่าปกติ แต่ประสิทธิภาพ การนอนลดลง ช่วงหลับลึกและหลับฝันน้อยลง ทำให้ง่วงบ่อยและงีบในตอนกลางวัน ต่อมาช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน คุณแม่จึงจะเริ่มนอนเหมือนปกติ แต่ประสิทธิภาพการนอนจะยังไม่เหมือนเดิม ทำให้คุณแม่รู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม พอเข้า 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อายุครรภ์ 6-9 เดือน คุณแม่จะนอนสั้นลง ประสิทธิภาพการนอนยิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ และเป็นช่วงที่คุณแม่นอนกรนมากขึ้น ทั้งนอนกรนผิดปกติ หรือภาวะหยุดหัวใจขณะหลับก็จะเกิดขึ้นในช่วงใกล้คลอดนี้ด้วย แม้โอกาสเกิดขึ้นจะมีน้อยก็ตาม 6 ปัจจัยเสี่ยงภาวะหยุดหายใจเพิ่ม หากคุณแม่เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ต้องติดตามและเฝ้าสังเกตอาการตัวเอง เพื่อป้องกันและรักษาต่อไป โดยกลุ่มเสี่ยงมีปัจจัยดังนี้ อ้วนก่อนท้อง น้ำหนักตัวเกินก่อนท้อง น้ำหนักเพิ่มมากเกินไประหว่างท้อง คือเพิ่มเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานของแม่ท้อง มีการสะสมไขมันที่รอบคอบมากเกินไป หรือเป็นคนคอสั้น มีความดันสูง […]

คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการท้องผูกควรทำอย่าไรดี

ในช่วงที่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์มักมีการท้องผูก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ระบบการขับถ่ายเริ่มเปลี่ยนไปด้วย วิธีแก้ท้องผูกสำหรับคนท้องกับ 7 อาหารช่วยให้คุณแม่ท้อง หมดปัญหาเรื่องท้องผูกอีกต่อไป ตำลึง เป็นผักไม้เลื้อยที่ปลูกง่ายมีขายทั่วไปที่สำคัญนำมาปรุงอาหารจานอร่อยก็แสนจะง่าย เช่น แกงจืดตำลึง ตำลึงผัด น้ำมันหอย เป็นต้น และอย่างที่รู้ดีว่า ผักใบเขียวเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญอย่างเบต้าแคโรทีนที่มีส่วนในการบำรุงสายตาและมีเส้นใยอาหารอยู่มากด้วยค่ะ กุยช่าย เพราะเป็นผักที่มีกลิ่นแรงคะแนนความนิยมอาจไม่มากแต่ประโยชน์ทางสารอาหารสิ่งที่ได้เรียกว่ามากโขค่ะ ไม่ว่าเบต้าแคโรทีน แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต และฟอสฟอรัส มีเส้นใยอาหารที่ดีต่อระบบการย่อยอาหาร ฉะนั้นถ้าไม่ฝืนความรู้สึกเกินไปกับการกินก็ไม่น่าพลาดกับเมนูกุยช่ายผัดกับเนื้อสัตว์ ลูกพรุน ไม่ว่าพรุนสด พรุนเมล็ด หรือน้ำลูกพรุนสกัดแบบสำเร็จรูป เป็นทางเลือกหนึ่งในการกินแก้อาการท้องผูกที่ช่วยให้คุณแม่ขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะผลไม้ประเภทนี้อุดมไปด้วยไฟเบอร์มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ค่ะ กล้วย ผลไม้ดีๆ ที่กินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีให้เลือกหลายชนิดตามความชอบไม่ว่าจะเป็น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ ที่สำคัญกินได้ทั้งปี ราคาไม่แพง ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายช่วยใช้ขับถ่ายสะดวก มะละกอสุก อีกหนึ่งผลไม้หากินง่ายราคาเบาๆ มากด้วยคุณค่าด้านโภชนาการไม่ว่าวิตามินบี1 บี2 และเบต้าแคโรทีน รวมถึงประโยชน์ทางยา แก้เรื่องท้องผูก เหมาะเป็นผลไม้มื้ออาหารว่างของแม่ท้องทีเดียว น้ำ นอกจากร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับน้ำอย่างพอเพียงเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายโดยผ่านการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8 แก้ว การดื่มน้ำยังเป็นวิธีที่ช่วยให้ระดับขับถ่ายทำงานได้ดีเป็นปกติด้วยค่ะ ข้าวกล้อง บางครั้งก็เรียกว่าข้าวแดง ข้าวซ้อมมือ ข้าวอนามัย ที่มีความต่างทางสีสัน ด้านคุณค่าทางสารอาหารแบบข้าวหอม เพราะอุดมด้วยสารอาหารมีสรรพคุณเป็นยาอาหารสุภาพของใครหลายๆ […]

โยคะคุณแม่หลังคลอด

โยคะ ช่วยอะไรคุณแม่ได้บ้าง ช่วยให้เลือดไหวเวียนไปเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อต่างๆ ดีขึ้น ช่วยผ่อนคลายความเครียด และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้จิตใจสงบลงหรือเย็นลง ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว รูปร่างและการทรงตัวดีขึ้น ช่วยรีดไขมันส่วนเกินได้เป็นอย่างดี ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น ช่วยให้มีสติในการทำสิ่งต่างๆ ดีขึ้น ลดอาการปวดหลัง ปวดเมื่อยจากการตั้งครรภ์ ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ชวนคุณแม่เริ่มฝึก 3 ท่าโยคะง่ายๆ ท่านอน นอนหงาย เปิดเท้าห่างกันพอควร แขนทั้งสองวางข้างตัว หงายฝ่ามือ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน เริ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปิดตาสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า ทำใจให้ว่าง หายใจเข้า-ออก ผ่านช่องจมูกช้าๆ พิจารณาลมหายใจไปเรื่อยๆ ลมหายใจเข้า ท้องพอง  ลมหายใจออก ท้องแฟบ  ท่าไหว้พระอาทิตย์  ยืนแยกเท้า พนมมือ หายใจเข้า หายใจออก ยืดแขนทั้งสองไปข้างหน้า หายใจเข้า ยกแขนทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ แอ่นอก  เงยหน้า เมื่อแขนทั้งสองเหยียดตรงจะแนบหู หายใจออก ก้มตัว ปล่อยศีรษะและมือสบายๆ หายใจเข้า ยกแขนทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ แอ่นอก เงยหน้า แขนแนบหู หายใจออกวางแขนลงข้างตัว ท่าภูเขา ยืนตรงแยกเท้า ยืดตัวหลังตรง […]

คุณแม่หลังคลอดควรใส่ใจเรื่องใดบ้าง

แม้ลูกคือคนสำคัญที่สุดสำหรับแม่หลังคลอดทุกคน แต่ สิ่งที่แม่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วยสิ่งที่คุณแม่หลังคลอดควรดูแลเป็นพิเศษมีดังนี้ 1.พักผ่อนให้มากที่สุดคุณแม่ควรพักผ่อนให้มากในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด โดยควรนอนพักผ่อนกลางคืนให้ได้ 6-8ชั่วโมง ส่วนหลังอาหารกลางวันก็ควรหาเวลาพักผ่อนให้ได้ประมาณ 30 นาที และภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอดนี้คุณแม่ไม่ควรหยิบจับหรือยกสิ่งของหนักใดเลยทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อและมดลูกต้องกลับคืนสู่สภาพปกติ หากคุณแม่พักผ่อนน้อยหรือยกสิ่งของหนักก็อาจกระทบกระเทือนถึงอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานมดลูกได้   2.รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีประโยชน์ในช่วงที่ร่างกายคุณแม่กำลังฟื้นตัวคุณแม่ควรรับประทานอาหารจำพวกเนื้อ นม ไข่ ผักและผลไม้สด งดอาหารที่มีรสจัด ของหมักดองทุกชนิดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากๆเพื่อป้องกันอาการท้องผูก   3.รักษาความสะอาดของร่างกายคุณแม่สามารถอาบน้ำชำระล้างร่างกายได้ตั้งแต่ 12-14 ชั่วโมงหลังคลอด หมั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่เพราะหลังคลอดคุณแม่มักมีเหงื่อออกง่าย สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำนมออกมาแล้วแนะนำให้เปลี่ยนเสื้อชั้นในบ่อยๆ หรืออาจใช้แผ่นซับน้ำนมก็สามารถช่วยได้เช่นกันค่ะ นอกจากนี้คุณแม่ควรคำนึงถึงการรักษาความสะอาดอวัยวะเพศให้เป็นอย่างดีทุกครั้งหลังการขับถ่าย เพราะในช่วงหลังคลอด น้ำคาวปลาจะถูกขับออกมาเยอะ ทุกครั้งที่คุณแม่ขับถ่ายเสร็จแล้วจึงควรทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นและหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่มดลูกจนอาจก่อให้เกิดอาการอักเสบติดเชื้อได้   4.หมั่นดูแลเต้านมและหัวนมให้สะอาดเสมอทุกครั้งที่คุณแม่อาบน้ำควรทำความสะอาดหัวนมอยู่เสมอ สำหรับก่อนให้นมลูกคุณแม่ควรใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดบริเวณเต้านมและรอบหัวนมให้สะอาด หลังจากให้นมลูกเสร็จแล้วคุณแม่ก็เช็ดหรือล้างทำความสะอาดอีกรอบค่ะ ในระหว่างที่คุณแม่ให้นมลูกถ้าหากหัวนมอักเสบหรือมีปัญหาจนไม่สามารถให้นมลูกได้คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ   5.ดูแลแผลฝีเย็บหรือแผลผ่าตัดไม่ว่าคุณแม่จะคลอดด้วยวิธีธรรมชาติหรือผ่าคลอดก็ตาม การดูแลแผลหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ควรเน้นใส่ใจในเรื่องความสะอาดเพราะหากแผลติดเชื้อจากสิ่งสกปรกแล้วจะยิ่งทำให้แผลหายช้ามากขึ้น   6.งดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย6สัปดาห์สำหรับคุณแม่ที่คลอดโดยธรรมชาติ ควรงดการมีสัมพันธ์อย่างน้อย 6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการฉีกขาดของแผล   7.หยุดกังวลกับประจำเดือนที่อาจมาช้าคุณแม่ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประจำเดือนจะมาภายใน 5-6 สัปดาห์หลังคลอด ส่วนคุณแม่ที่ให้นมลูกประจำเดือนจะมาช้ากว่านั้นค่ะ ดังนั้น หากประจำเดือนมาช้าก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต่อให้ประจำเดือนยังไม่มาคุณแม่ก็มีสิทธิ์ตั้งครรภ์ได้ปกติเช่นกันหากไม่ได้คุมกำเนิดอย่างถูกต้อง 8.หลังคลอด1เดือนควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายโดยส่วนใหญ่หลังจากคุณแม่คลอดบุตรได้ 1 เดือนแล้ว คุณหมอจะนัดให้ไปตรวจร่างกายอีกครั้งเพื่อเช็คดูอวัยวะภายในของคุณแม่ว่ากลับคืนสู่สภาพปกติหรือยัง และเพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกกับมะเร็งเต้านมไปพร้อมกันด้วยค่ะ อีกทั้งคุณหมอยังให้คำแนะนำด้านการคุมกำเนิดในหลังจากระยะนี้ต่อไปด้วย   9.ออกกำลังกายฟื้นฟูสุขภาพคุณแม่สามารถออกกำลังกายเบาๆ ในช่วงหลังคลอด 6 สัปดาห์เป็นต้นไป ช่วงแรกอาจจะเป็นการเดินหรือทำงานบ้านเบาๆ […]

ก้าวแรกของลูกกับรองเท้าคู่แรก

ลูกสบายเท้า แม่สบายใจ การเลือกซื้อรองเท้าให้ลูกน้อยนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้ สบาย  ให้ลูกลองสวมเดิน แล้วคุณแม่ลองสังเกตดูว่าลูกใส่สบายหรือเปล่า รองเท้าที่ใส่แล้วสบายต้องเหลือที่ว่างตรงปลายนิ้วโป้งเท้ากับปลายรองเท้าพอสมควรประมาณ 1 เซนติเมตร เบา ควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นอ่อน ทำจากวัสดุที่นุ่ม น้ำหนักเบา และยืดหยุ่นได้ดี เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยควบคุมเท้าและการทรงตัวได้ดีกว่ารองเท้าที่มีพื้นแข็ง เหมาะสม รองเท้าที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยนั้นต้องหัวกว้างหรือป้าน เพื่อให้เท้ากางได้สบาย เวลาใส่เท้า ลูกก็จะไม่งองุ้ม และควรเลือกรองเท้าที่มีสายรัดกระชับข้อเท้า และส้นรองเท้า เพื่อช่วยประคองกล้ามเนื้อเท้าในเวลาเดิน ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยเดินทรงตัวได้ดีขึ้น ระบายอากาศ รองเท้าที่ระบายอากาศได้ดีนั้น ต้องทำจากผ้าใบคุณภาพดี หรือหนังฟอกเนื้อโปร่ง ซึ่งจะช่วยระบายความอับชื้นให้ลูกน้อยเวลามีเหงื่อออกได้ ใส่ง่ายถอดง่าย รองเท้าที่ดีสำหรับลูกน้อยนั้น ควรเป็นรองเท้าที่ง่ายต่อการใส่และสะดวกต่อการถอด เพราะจะทำ ให้ลูกรู้สึกดีกับการใส่รองเท้า ทำให้ลูกอยากใส่มากกว่ารองเท้าที่มีขั้นตอนในการใส่ยุ่งยาก หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะหนีบ วัยเตาะแตะไม่ควรใส่รองเท้าแตะหนีบ เพราะจะทำให้ปวดหัวเข่า ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับเข่าของลูกน้อยได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ก็ควรปล่อยให้ลูกได้เดินเท้าเปล่าด้วยนะคะ เช่น อยู่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกใส่รองเท้าหรอกค่ะ เพราะการปล่อยให้ลูกน้อยได้เดินเท้าเปล่านั้นจะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ผิวสัมผัสของพื้นที่แตกต่างกัน และที่สำคัญยังช่วยพัฒนาทักษะการทรงตัว พัฒนากล้ามเนื้อเท้า เรียนรู้การใช้เท้าและนิ้วเท้าอีกด้วย ข้อมูลจาก : Enfa Smart Club

10 กิจกรรมสนุกๆ เมื่อตั้งครรภ์

คุณแม่รู้ไหม? ในช่วงตั้งครรภ์นอกเหนือจากบทบาทว่าที่คุณแม่แล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่คุณแม่จะได้สวมบทบาทสนุกๆ อีก 10 อย่างเพื่อการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพและมีความสุข 1.นักออกกำลังกาย : สุขภาพ ที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ ซึ่งการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 โดยต้องเป็นกีฬา หรือกิจกรรมที่ไม่ใช้แรงหรือมีการกระแทก เช่น การว่ายน้ำ เดิน เต้นแอโรบิกเบาๆ บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ขี่จักรยาน อยู่กับที่ ควรหาโอกาสออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและไม่อ่อนแรงง่าย 2. นักสำรวจ : หมั่นสำรวจ และ สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก อย่างผิวพรรณ เส้นผม เล็บ เพื่อบำรุงอย่างถูกวิธี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน อาการหรือความผิดปกติต่างๆ การดิ้น ของลูก โรคประจำตัว จดบันทึกการเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้นำไปถามคุณหมอเมื่อนัดตรวจครรภ์ หรือถ้ามีความผิดปกติที่ร้ายแรงจะได้รักษาได้ทันค่ะ 3. นักโภชนาการ : การพิถี พิถันเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่ทราบกันดี อยู่แล้ว ซึ่งการกินอาหารครบ 5หมู่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่และช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์ของร่าง กายให้กับลูกในท้อง รวมถึงต้องกินอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารค้างคืนหรืออาหารสำเร็จรูปเพราะคุณค่าทางอาหารจะลดลง หากอยากกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือขนมต่างๆ ก็สามารถกินได้ให้พอหายอยาก ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะจะทำให้อ้วนและยังมีสารต่างๆ จากส่วนผสมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายค่ะ 4. นักกิจกรรม : วันว่างอย่าลืม ผ่อนคลายด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้ำต้นไม้อยู่ที่บ้าน ไปเดินผ่อนคลายเปิดหูเปิดตานอกบ้าน ฟังการเสวนาหรือเข้าอบรมเกี่ยวกับการตั้งครรภ์จะช่วยให้ได้รับความรู้และพัก ผ่อนในวันหยุด 5. […]

หนาวนี้…เตรียมตัวให้พร้อม พาลูกเล็กๆไปเที่ยวกัน

สำหรับบ้านที่มีลูกเล็กๆและวางแผนจะไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวนี้ เรามีคำแนะนำในการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ทริปแรกของเจ้าตัวเล็กไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด 1.จองตั๋วและเช็คเวลาเดินทางตรวจสอบสภาพอากาศ หากเดินทางด้วยรถไฟหรือเครื่องบิน จัดการจองตั๋วและเช็คเวลาออกเดินทางให้เรียบร้อย ตรวจสอบสภาพอากาศของสถานที่ที่จะไป เพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสม อย่าลืมถามที่พักด้วยว่ามีเตียงสำหรับเด็กโดยเฉพาะหรือไม่ ถ้าไม่มีจะได้เตรียมพร้อมที่นอนสำหรับลูก (หรือของคุณพ่อเอง) เผื่อไว้อีกหนึ่งตัวเลือก 2. Car Seat เมื่อต้องพาลูกน้อยเดินทางไปด้วย อุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อการเดินทางได้อย่างปลอดภัย คือคาร์ซีท เตรียมคาร์ซีททาี่เหมาะสมสำหรับวัยของลูกน้อยแล้ว สิ่งสำคัญอีกสิ่งที่ไม่ควรลืมคือ วิธีการติดตั้งอย่่างถูกต้อง และควรให้ลูกน้อยล็อคเข็มขัดนิรภัย 5 จุด เพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทางด้วยนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก : http://bit.ly/product-carseat 3.รถเข็นเด็ก ในกรณีที่ลูกยังเล็กยังไม่สามารถก้าวเดินด้วยตัวเองได้ ให้นำรถเข็นไปด้วย แต่ควรเป็นรถเข็นเด็กแบบที่น้ำหนักเบา  พับเก็บง่าย และควรเลือกแบบที่ปรับเอนนอนได้เพราะน้องเล็กๆยังต้องนอนหลับตอนกลางวัน และเมื่อไปเที่ยวต่างประเทศที่อากาศค่อนข้างหนาว ควรมีอุปกรณ์เสริมสำหรับรถเข็น คือ ผ้าห่มคลุมเท้า หรือ ผ้าคลุมกันหิมะ ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ลูกน้อย รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก : http://bit.ly/รถเข็นเด็ก-Aprica 4.เป้อุ้มเด็ก อย่าลืมพกเป้อุ้มเด็กไปด้วย เพราะเป้อุ้มเด็กเป็นตัวช่วยเพิ่มความสะดวกและความคล่องตัว โดยเฉพาะเป้อุ้มเด็กที่ใช้ควบคู่กับรถเข็นเด็ก เพื่อการปรับเปลี่ยนให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมออกเดินทางได้ทุกสถานการณ์ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก : http://bit.ly/product-เป้อุ้มเด็ก 5.ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงและแมลง ปัจจุบันมีทั้งแบบสเปรย์แป้ง โลชั่น หรือสติ๊กเกอร์ สำหรับป้องกันยุงและแมลงไม่ให้มารบกวน ที่สามารถใช้ได้ทุกคนในครอบครัว […]

คาร์ซีท (carseat) ดีอย่างไร ?

ครอบครัวที่มีรถยนต์ และมีลูกเล็ก ๆ ควรฝึกให้ลูกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อความปลอดภัยของเด็ก หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ถึงแม้ว่าคาร์ซีทจะมีราคาค่อนข้างแพง และมั่นใจว่าคุณพ่อหรือคุณแม่นั้นขับรถอย่างปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งในขณะนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทันได้ปกป้องลูกน้อยเลยด้วยซ้ำ อุ้มลูกไว้กับตัวไม่ปลอดภัยจริงหรือ? ถึงแม้คุณแม้จะอุ้มลูกไว้อย่างใกล้ชิด แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ลูกอาจบาดเจ็บมากจนถึงขึ้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากลูกจะอยู่ตรงกลางระหว่างรถกับคุณแม่ เมื่อเกิดแรงกระแทก ลูกจะโดนก่อนเต็ม ๆ ซ้ำยังเป็นกันชนช่วยลดแรงกระแทกที่จะมาถึงคุณแม่อีกด้วย กลายเป็นว่าคุณแม่ต่างหากที่ปลอดภัย อย่างนี้แล้วเปลี่ยนใจมาใช้คาร์ซีทกันดีกว่า คาร์ซีทดีอย่างไร? คาร์ซีท carseat มีประโยชน์ช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และลดการบาดเจ็บของร่างกายลูกได้ เมื่อติดตั้งอย่างถูกวิธี สายรัดอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องไม่รัดคอลูกให้อึดอัดและไม่หลวมเกินไป จนเด็กหลุดออกจากคาร์ซีท ไปกับกระแทกกับส่วนต่าง ๆ ของรถ หรือหลุดออกนอกตัวรถ จุดเหมาะที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการติดตั้งคาร์ซีท ควรจะเป็นกึ่งกลาง ของเบาะหลัง หรือบริเวณใกล้เคียงตรงกลางรถให้มากที่สุด เพราะช่วยลดการกระแทกที่เข้ามาด้านข้างรถได้ เลือกคาร์ซีทให้เหมาะกับวัย และน้ำหนักตัวของลูกน้อย เด็กแรกเกิด –  12 เดือน หรือน้ำหนักไม่เกิน 10 kg. ควรใช้คาร์ซีท carseat แบบนั่งหันหน้าไปด้านหลังรถ และแบบปรับเอนไปกับที่นั่งประมาณ 45 องศา คาร์ซีทชนิดนี้จะปกป้องศีรษะ ช่วงต้นคอ และกระดูกสันหลังของเด็กได้ดีที่สุด เด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปี หรือน้ำหนัก […]

ชวนลูกน้อยหาความสุขใกล้ๆตัว

ความสุขมีอยู่รอบตัวเราและลูกค่ะ Smart Tips ขอชวนคุณจูงมือเจ้าตัวเล็กมาร่วมหาความสุขจากธรรมชาติรอบตัวไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมทั้งในและนอกบ้าน การฟังเสียงรอบข้างให้ใจเพลิดเพลิน และการสังเกตศิลปะที่ธรรมชาติรังสรรค์มาค่ะ พร้อมแล้วไปหาความสุขใส่ตัวกันเถอะ… กระชับใจใกล้ธรรมชาติ สัมผัสกับธรรมชาติทั้งแบบ Indoor และ outdoor เพื่อให้ดวงใจน้อยๆ ของเจ้าหนูดื่มด่ำไปกับความสุขที่ได้จากธรรมชาติกันค่ะ Indoor ชวนเจ้าตัวเล็กมาเป็นมัณฑนากรจิ๋ว โดยร่วมกันเปลี่ยนมุมเดิมๆ ในบ้านให้รายล้อมด้วยธรรมชาติเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งอ่าน เขียน และเล่นได้ในที่เดียว… หามุมที่อากาศถ่ายเทเปิดประตูหรือหน้าต่างให้แสงแดดรำไรสาดส่องเข้ามาในห้อง และสายลมเย็นๆ พัดผ่านได้สะดวก พร้อมหาเบาะรองนั่ง และเก้าอี้ญี่ปุ่นแสนสวยตั้งไว้สำหรับเป็นมุมของเด็กๆ ไว้อ่าน เขียน หรือประดิษฐ์งานศิลป์ชิ้นโปรด เข้าสู่ยามค่ำคืนลองงดใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ แล้วให้โอกาสแสงจันทร์ได้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหนูผ่านการเล่านิทานจากเงา หรือถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ แก่กันท่ามกลางแสงจันทร์นวลๆ ก็ถือเป็นกิจกรรมที่แสนจะสุนทรียะเช่นกันค่ะ Outdoor เด็กๆ ควรมีกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งนอกจากสุขภาพของพวกเขาจะดีจากการได้เล่นแล้ว คุณยังสามารถใช้กิจกรรมกลางแจ้งสร้างสุนทรียะให้เขาได้ด้วย ชวนเจ้าตัวเล็กรังสรรค์ผลงานจากธรรมชาติเพื่อธรรมชาติสิคะ เช่น ทำกระบะขนาดพอเหมาะจากวัสดุไม้ เพื่อใส่อาหารนก หรือผลไม้น่าอร่อยอย่างเช่น ผลกล้วยสุก กับแอปเปิ้ลสีแดงสวยผ่าซีก สำหรับเจ้ากระรอกน้อย หรือคุณนกที่บินร่อนอยู่บริเวณนั้น กระชับอารมณ์ด้วยเสียงแสนละมุน เสียงอันไพเราะแสนละมุน ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงสายลมเย็นๆ หรือน้ำเสียงหวานๆ ของคุณจะช่วยกล่อมเกลาให้เจ้าหนูไม่มีอารมณ์ที่หมองมัวได้ด้วยนะคะ สายลมกับกระดิ่งลมของหนู ยามกระดิ่งต้องลมดังกรุ๊งกริ๊ง เป็นเสียงที่เสนาะหูใช่มั้ยล่ะคะ ลองให้เด็กๆ เลือกซื้อหรือประดิษฐ์กระดิ่งลมตามสไตล์ของเขาเอง พร้อมกับเลือกมุมแขวนกระดิ่งด้วยตัวเองสิคะ รับรองว่าเจ้าหนูต้องร้อง “ว้าว!… เสียงกระดิ่งลมของหนูเพราะจัง” ชัวร์ เก้าอี้ดนตรีคึกคัก ภาพการเคลื่อนไหวยึกยักไปมาเพื่อหาจังหวะแย่งเก้าอี้ของเด็กๆ โดยมีเสียงทำนองเพลงที่เด็กๆ คัดสรรเองกับมือ จะช่วยให้เสียงหัวเราะแห่งความสุขเบ่งบานได้ไม่ยากค่ะ แถมเกมนี้ยังสร้างให้เด็กๆ มีหัวใจนักกีฬาด้วยนะคะ […]