ขอใบสูติบัตร แจ้งเกิดภายในกี่วัน รู้ลึกขั้นตอนการขอสูติบัตรอย่างละเอียด

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่มือใหม่ที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการมาของลูกน้อย นอกจากจะต้องตระเตรียมของใช้จำเป็นต่าง ๆ แล้ว อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยคือการแจ้งเกิดเพื่อขอสูติบัตร ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางกฎหมายที่เปรียบเสมือนใบเบิกทางแรกของลูกในโลกใบนี้ วันนี้เราจะมาเจาะลึกทุกขั้นตอนการขอสูติบัตรแบบละเอียด เพื่อให้คุณแม่คุณพ่อหมดกังวล และพร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ใบสูติบัตรคืออะไร
ใบสูติบัตร หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อ ใบเกิด คือเอกสารทางราชการที่ออกให้เพื่อรับรองการเกิดของบุคคล โดยถือเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่ยืนยันสถานะความเป็นคนไทย และยังใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการขอเอกสารสำคัญอื่น ๆ เช่น บัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทาง อีกทั้งยังเป็นการนำเข้าข้อมูลสู่ทะเบียนราษฎรอย่างเป็นทางการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิต่าง ๆ ที่ลูกน้อยพึงได้รับตามกฎหมาย
ทำไมต้องมีการแจ้งเกิด

การแจ้งเกิดเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นการทำตามกฎหมาย และเป็นการสร้างตัวตนทางทะเบียนราษฎรให้กับลูกน้อยอย่างถูกต้องสมบูรณ์ การมี ใบสูติบัตรทำให้ลูกได้รับสิทธิ์และสวัสดิการต่าง ๆ จากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล สิทธิ์ในการศึกษา หรือสิทธิ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของเด็ก นอกจากนี้ สูติบัตรยังเป็นหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพ่อแม่ลูกอีกด้วย
เอกสารสำคัญที่พ่อและแม่ต้องเตรียม
ก่อนจะไปแจ้งเกิด คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความรวดเร็วและไม่เสียเวลาที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ เอกสารสำคัญที่ต้องใช้มีดังนี้
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้ง : ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปแจ้ง
- สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน : หรือหนังสือรับรองการแจ้งย้ายที่อยู่ เพื่อใช้ในการเพิ่มชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้าน
- หนังสือรับรองการเกิด (ท.ร. 1/1) : เอกสารที่ออกให้โดยโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่เด็กเกิด
- ทะเบียนสมรส (ถ้ามี) : เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันสถานะสมรสของพ่อแม่
ขั้นตอนการแจ้งเกิดมีอะไรบ้าง
ขั้นตอนการแจ้งเกิดนั้นไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่มีข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกันไปตามแต่ละกรณี ซึ่งสามารถสรุปได้ง่าย ๆ ดังนี้
กรณีเด็กเกิดในโรงพยาบาล
ถือเป็นกรณีที่พบได้บ่อยและเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุด เนื่องจากโรงพยาบาลจะออกหนังสือรับรองการเกิด (ท.ร. 1/1) ให้ ผู้แจ้งเพียงแค่เตรียมเอกสารที่จำเป็นดังต่อไปนี้
- บัตรประชาชนของผู้แจ้งและของบิดามารดา
- สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
- หนังสือรับรองการเกิด (ท.ร. 1/1) ที่ออกโดยโรงพยาบาล
จากนั้นให้นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่สำนักงานทะเบียนในพื้นที่ที่เด็กเกิด หรือที่บิดามารดามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านได้เลยภายใน 15 วัน เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบและออกสูติบัตรให้ภายในวันเดียวกัน
กรณีเด็กเกิดที่บ้านหรือสถานที่ที่ไม่ใช่สถานพยาบาล
ในกรณีนี้ผู้แจ้งจะต้องนำพยานบุคคล 2 คนที่สามารถยืนยันการคลอดได้ พร้อมเอกสารสำคัญไปแจ้งเกิดที่สำนักงานทะเบียนที่บิดามารดามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านภายใน 15 วัน ซึ่งเอกสารที่ต้องใช้มีดังนี้
- บัตรประชาชนของผู้แจ้ง
- สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
- พยานบุคคล อย่างน้อย 2 คนที่เห็นการคลอดหรือผู้ทำคลอด
เมื่อเอกสารครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะสอบสวนพยานหลักฐานเพื่อออกใบแจ้งการเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า) และออกสูติบัตรให้ตามลำดับ
กรณีเด็กถูกทอดทิ้ง
หากพบเด็กถูกทอดทิ้ง ผู้ที่พบจะต้องรีบนำเด็กส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์โดยเร็วที่สุด ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้จะเป็นผู้ดำเนินการแจ้งเกิดให้เด็กภายใน 15 วันนับจากวันที่รับเด็กไว้ โดยจะมีการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทะเบียนพิจารณาและออกสูติบัตรให้ต่อไป ซึ่งเอกสารที่ต้องใช้แจ้งเกิดกรณีนี้จะแตกต่างออกไป ดังนี้
- บัตรประจำตัวผู้แจ้ง
- สำเนาทะเบียนบ้านของสถานสงเคราะห์
- บันทึกการรับตัวเด็ก และหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กรณีที่เด็กมีพ่อหรือแม่ที่ไม่ใช่สัญชาติไทย หรือทั้งพ่อและแม่ไม่ได้มีสัญชาติไทย
สำหรับเด็กที่เกิดในประเทศไทย แต่มีพ่อหรือแม่เป็นชาวต่างชาติ หรือทั้งคู่เป็นชาวต่างชาติ ผู้แจ้งจะต้องนำเอกสารที่จำเป็นพร้อมกับเอกสารยืนยันตัวตนของชาวต่างชาติไปแจ้งเกิดที่สำนักงานทะเบียนท้องถิ่น ซึ่งเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่
- บัตรประชาชนของผู้แจ้ง
- หนังสือเดินทาง หรือเอกสารแสดงตนของบิดามารดาชาวต่างชาติ
- สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
- หนังสือรับรองการเกิด (ท.ร. 1/1) ที่ออกโดยโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารและออกสูติบัตรให้ตามประเภทที่กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย
ต้องแจ้งเกิดภายในกี่วัน

ตามกฎหมายแล้ว คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่ต้องแจ้งเกิดลูกน้อย ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่เด็กเกิด หากพ้นกำหนดนี้แล้วจะถือว่าเป็นการแจ้งเกิดล่าช้า ซึ่งจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 1,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถแจ้งเกิดได้ตามกำหนด ก็ยังสามารถแจ้งเกิดภายหลังได้ แต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่เกิด โดยต้องมีเหตุผลและพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อพิจารณาด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแจ้งเกิด
แจ้งเกิดออนไลน์ ได้หรือเปล่า
ปัจจุบันนี้ยัง ไม่สามารถ แจ้งเกิดออนไลน์ได้ ผู้แจ้งยังจำเป็นต้องเดินทางไปดำเนินการด้วยตนเองที่สำนักงานทะเบียนในพื้นที่ที่เด็กเกิดหรือพื้นที่ที่บิดามารดามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
แจ้งเกิดไม่มีทะเบียนบ้านต้องทำยังไง
หากไม่มีทะเบียนบ้านที่จะเพิ่มชื่อเด็กได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถไปแจ้งเกิด ณ สำนักทะเบียนที่เด็กเกิดได้เลย โดยเจ้าหน้าที่จะออกสูติบัตรให้ก่อน แต่ยังไม่สามารถเพิ่มชื่อเด็กเข้าทะเบียนบ้านได้ จนกว่าจะมีการย้ายเข้าทะเบียนบ้านในภายหลัง
สามารถแจ้งเกิดย้อนหลังได้ไหม?
สามารถแจ้งเกิดย้อนหลังได้ หากพ้นกำหนด 15 วัน หรือ 30 วันตามกฎหมายแล้ว ผู้แจ้งจะต้องไปดำเนินการที่สำนักงานทะเบียนพร้อมเอกสารที่จำเป็นและจะต้องชำระค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด
สรุปบทความ
การแจ้งเกิดเพื่อขอสูติบัตรเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะเป็นใบเบิกทางที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของลูกน้อย แม้จะดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยากในตอนแรก แต่เมื่อรู้ขั้นตอนและเตรียมเอกสารให้พร้อม ก็จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก และเมื่อภารกิจเรื่องเอกสารผ่านพ้นไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับเจ้าตัวเล็กอย่างเต็มที่ และเมื่อไหร่ที่ต้องการตัวช่วยดี ๆ ที่เข้าใจเรื่องแม่และเด็กแบบรู้ลึกรู้จริง BabyGift ก็พร้อมที่จะเป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่อยู่เคียงข้างคุณเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการหาของเตรียมคลอดมีอะไรบ้าง หรือจะเป็นคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเลือกเป้อุ้มเด็กยี่ห้อไหนดี เครื่องปั๊มนม หรือคาร์ซีทเด็กแรกเกิด ที่ BabyGift เราคัดสรรสินค้าแม่และเด็กที่ดีที่สุดเพื่อลูกน้อยของคุณ เพราะเราเชื่อว่าการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกคือความสุขของพ่อแม่ทุกคน
สามารถดูสินค้าทั้งหมดได้ที่ BabyGift Shop
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
สำหรับคนที่ชอบการเข้าครัว ทำอาหาร ถนอมอาหาร คงรู้จัก อลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminium foil) กันอย่างแน่นอน เพราะเป็นอุปกรณ์ในการถนอมอาหารและใช้ในการนำความร้อนปรุงอาหาร ปัจจุบันได้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ นำอลูมิเนียมฟอยล์ไปแปรรูปเป็น ถุงเก็บน้ำนม อลูมิเนียมฟอยล์ เพื่อช่วยในการเก็บรักษาน้ำนมแม่ ไม่ให้มีกลิ่นเหม็นหืน และยังช่วยให้อุ่นนมได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาก ๆ เราจึงได้หาข้อมูลคุณสมบัติทั้งข้อดีและข้อเสียมาบอกกัน จะน่าใช้หรือไม่ ตอบโจทย์คุณแม่นักปั๊มแค่ไหน ไปดูกันเลย ถุงเก็บน้ำนม อลูมิเนียมฟอยล์ คืออะไร ? คือ การใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ เป็นวัสดุหลักในการผลิตถุงเก็บน้ำนม แทนการใช้พลาสติก โดยการขึ้นรูปถุงนมด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ ผ่านการเคลือบด้วย Polyethylene, Polyamide และ Polyester รวม 4 ชั้น ให้ถุงเก็บน้ำนมแข็งแรงทนทานกว่าถุงเก็บน้ำนมพลาสติกใสทั่วไป รวมถึงอลูมิเนียมฟอยล์จะมีคุณสมบัติทึบแสง 100% เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำนมแม่ให้คงรสชาติ กลิ่นไม่เหม็นหืน แบบเดียวกันกับการห่ออาหาร ถนอมอาหารในครัวเรือน ทดลองอุ่นนมแม่แช่แข็ง ด้วยเครื่องอุ่นนม Baby Bottle Warmerถุงเก็บน้ำนม อลูมิเนียมฟอยล์ VS ถุงเก็บน้ำนมพลาสติก ถุงเก็บน้ำนมอลูมิเนียมฟอยล์ *อลูมิเนียมฟอยล์นำความร้อนได้ดี จะไม่ต้องใช้โหมดละลายน้ำแข็ง (Defrost) เพราะจะทำให้อุณหภูมิของน้ำนมสูงเกินไป* ถุงเก็บน้ำนมพลาสติก *ความร้อน 60 […]
คาร์ซีทออร์แกนิค เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยและฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อคาร์ซีทแล้ว เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็เป็นอีกปัจจัยที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด เนื่องจากผิวลูกน้อยบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึงหลายเท่า มีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือติดเชื้อได้ง่าย เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ คุณพ่อคุณแม่ จึงต้องใส่ใจและพิจารณาวัสดุที่จะมาสัมผัสกับผิวลูกน้อยเป็นอย่างดี ผ้าฝ้าย Organic หรือผ้าที่ทำจากฝ้าย Organic 100% เป็นผ้าที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจะทำให้ผ้าฝ้ายที่ได้มานั้น ปลอดจากสารพิษ และยาฆ่าแมลง ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำร้ายสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งองค์กรผู้บริโภคสินค้าออร์แกนิค (The Organic Consumers Association) ยังแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าออร์แกนิคคอตตอน หรือผ้าฝ้าย Organic 100% เป็นทางเลือกแรกอีกด้วย คาร์ซีทออร์แกนิค มีข้อดีอย่างไรบ้าง 1. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ จากข้อมูลในรัฐแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ระบุว่าในการปลูกฝ้ายด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปจะมีการใช้ยาฆ่าแมลง โดยเฉลี่ยต่อปีจะมีการมูลค่ากว่า 2.6 พันล้านเหรียญ และผลการทดสอบยาฆ่าแมลงจำนวน 5 […]
เด็กบางคนจะมีเหงื่อออกมาก ทั้งบนศีรษะ หน้า หน้าอก แผ่นหลัง จนหมอน และชุดนอนเปียกชื้น โดยเฉพาะเด็กที่ปกติมีเหงื่อมาก เมื่อนอนไปได้สักระยะหนึ่งอุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้น ทำให้มีเหงื่อออกจนคุณพ่อคุณแม่ตกใจเกรงลูกจะเป็นโรคร้าย เพราะมีคนกล่าวว่า เหงื่อออกมากเวลากลางคืนอาจจะเป็นอาการระยะเริ่มต้นของโรคต่างๆ ดังนี้ >>>ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็ปไซด์ maerakluke.com
สำหรับ Working Women หลายๆ คน การทำงานก็คือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง และเป็นความสุขในการใช้ชีวิต แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนไป มีครอบครัว มีลูกขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าการปรับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าเราขับรถเป็นประจำ พอท้องแล้วยังจะขับรถได้อยู่มั้ย ในบทความนี้ BabyGift จะมานำเสนอเรื่องเกี่ยวกับคนท้องขับรถได้มั้ย และคำแนะนำต่างๆ เพื่อให้คุณแม่อุ่นใจกันมากขึ้นค่ะ คนท้องขับรถได้ไหม ? ชวนคุณแม่ดูคำแนะนำ ข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยก่อนขับรถ ตลอดระยะเวลา 9 เดือนของการตั้งครรภ์ คุณแม่มักจะเผชิญกับคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ซึ่งหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ “คนท้องขับรถได้ไหม?” คำถามนี้มักสร้างความกังวลให้กับคุณแม่หลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ การตัดสินใจว่าจะขับรถหรือไม่ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงข้อควรระวังและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เราลองมาดูรายละเอียดกันค่ะ คนท้องขับรถได้ไหม ? โดยทั่วไปหากมีความจำเป็นคนท้องสามารถขับรถได้นะคะ แต่หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า โดยไม่ควรขับรถในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจมีอาการแพ้ท้องกะหันทัน จนไม่สามารถโฟกัสที่การขับขี่ได้ดีเท่าที่ควร (อ่านเคล็ดลับลดอาการแพ้ท้องของคุณแม่เพิ่มเติมได้อีกนะคะ) และในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน ควรงดขับรถโดยเด็ดขาด เนื่องจากครรภ์ใหญ่ขึ้น หากเบรกกระทันหันอาจทำให้ท้องกระแทกพวงมาลัยได้ อีกทั้งเป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวคลอด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยหากจำเป็นต้องขับรถ BabyGift มีคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยมาฝากดังนี้ค่ะ คำแนะนำเพิ่มเติมเมื่อคนท้องต้องขับรถ คนท้องขับรถมอไซค์อันตรายไหม […]
เมื่อเริ่มตังครรภ์ มีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณแม่ทุกคนก็ต้องตื่นเต้นอยากเจอหน้าลูกและสงสัยว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ ไปถึงไหนแล้วใช่ไหมคะ เราจึงนำพัฒนาการของลูกน้อยตลอดเก้าเดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่มาให้ชมกัน เบบี้กิ๊ฟขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ ลูกน้อยตัวโตแค่ไหนแล้ว เราลองเทียบกับผลไม้ให้ดูค่ะ พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 1 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 1 คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เข้าเดือนที่สองไปแล้ว เพราะว่าในเดือนแรกนี้จะเป็นช่วงที่ไข่กับอสุจิเข้าผสมกัน มีการแบ่งเซลล์แล้วก็ฝังตัวของเอ็มบริโอ ซึ่งในระยะนี้เจ้าหนูน้อยก็จะเล็กจิ๋วมาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีขนาดไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนการพัฒนาหลัก ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาในส่วนของรก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับสารอาหารจากคุณแม่ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 2 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 เดือนนี้แหละที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านจะเริ่มรู้ตัว มีอาการแพ้ท้อง แล้วก็ไปหาคุณหมอเพื่อการฝากครรภ์กันแล้ว ในช่วงเดือนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ก็จะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพัฒนาของระบบประสาท เนื้อเยื่อเส้นใยประสาท แล้วก็ไขสันหลัง คุณแม่สามารถทำอัลตราซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเต้นได้แล้วนะคะ พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 28 กรัม และมีความยาวประมาณ 7.6 ซ.ม. แล้วค่ะ […]
ว่าที่คุณแม่มือใหม่หลายคนคงจะปวดหัวไม่น้อย ว่าลูกน้อยของเราควรจะหนุน หมอนทารก นอนหรือไม่ แล้ว หมอนหัวทุย จำเป็นไหม กดมือถือหาข้อมูลทีไรก็หาข้อสรุปไม่ได้เสียที ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้หายสงสัยกันค่า หมอนทารก ทารกควรหนุนหรือไม่ คำแนะนำจากกุมารแพทย์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยกล่าวว่า ท่านอนที่ดีและปลอดภัยสำหรับทารกที่สุดก็คือ การนอนหงายโดยไม่หนุนอะไรทั้งสิ้น เพราะสรีระของกะโหลกศีรษะของทารก ซึ่งจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ทำให้พอดีในการนอนแล้วถึงแม้จะนอนหงาย และนอกจากนี้จะต้องไม่มีสิ่งของอื่นๆ เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตา ของเล่น ฯลฯ อยู่บนเตียงขณะลูกน้อยนอนหลับ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจากการนอน หรือโรคไหลตายในทารก (SIDS) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตเด็กๆ มากมายทั่วโลก และโรคนี้มักจะเกิดกับเด็กอายุไม่เกิน 4 เดือนมากที่สุด โดยที่เด็กยังแข็งแรงดีอีกด้วย แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่หนึ่งในปัจจัยที่ชัดเจนและกระตุ้นให้เกิดการเสียชีวิตคือการที่มีผ้า วัตถุนุ่มๆ หรือการใช้ที่นอนที่อ่อนยวบเกินไป ไปอุดกั้นทางเดินหายใจของลูก จากการที่ลูกเกิดพลิกตัวนอนคว่ำ หรือคว้าวัตถุเหล่านั้นมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเด็กยังเล็กเกินไปที่จะชันคอหรือพลิกตัวกลับได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ทารกจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้หมอนหนุนนอนจนกว่าจะเข้าสู่วัยเตาะแตะหรือ 18 เดือนขึ้นไป หรือช้ากว่านั้นได้ยิ่งดีค่ะ กลัวลูกหัวแบน ทำไงดี อีกหนึ่งความกังวลใหญ่ของบรรดาแม่ๆ คือ กลัวลูกหัวแบน เพราะต้องนอนหงายตลอดเวลา ปัจจุบันจึงได้มีการผลิตคิดค้นหมอนหนุนสำหรับทารกเพื่อป้องกันหัวแบน และลูกน้อยยังคงนอนหงายได้ด้วย แต่ทั้งนี้คุณหมอและผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่แนะนำให้ใช้หมอนหนุนมากนัก เพราะหากใช้หมอนที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ […]