หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จำเป็นไหม คุณแม่ต้องมีหรือเปล่า?

คุณแม่มือใหม่กับการเอาลูกน้อยเข้าเต้า ให้นมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ เพราะการที่แขนของคุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักลูกและต้องก้มตัวให้นมลูกน้อยบ่อย ๆ อาจจะทำให้คุณแม่ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดแขน หรือ เมื่อยล้าได้สะสมจนส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้ เพราะเห็นถึงปัญหาของคุณแม่หลังคลอด หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จึงถูกออกแบบมาเพื่อคุณแม่ให้นมโดยเฉพาะเลยค่ะ หมอนออกแบบตามสรีระศาสตร์ทารก ช่วยประคองคอและหลังของลูกน้อย พร้อมช่วยลดอาการปวดเมื่อยของคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้มทารกได้ด้วยค่ะ

หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จำเป็นต้องมีไหม?

คุณแม่ที่เชี่ยวชาญในการอุ้มทารกเป็นอย่างดี อุ้มลูกน้อยได้สบายหายห่วง เบาะอุ้มให้นมอาจจะดูไม่จำเป็นเท่าไหร่ค่ะ แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เวลาให้นมลูกยังต้องเกร็งแขน จนต้องใช้วิธีเอาหมอนหนุนมาวางซ้อนกันหลาย ๆ ใบ เพื่อรองรับลูกน้อย ยกลูกให้ถึงเต้านม หมอนรองให้นมก็ถือว่าจำเป็นต้องมีค่ะ เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยอยู่ในระดับที่ให้นมได้สะดวกมากขึ้น ลดอาการปวดเมื่อยของคุณแม่ และที่สำคัญหมอนทั่วไปไม่เหมาะกับการให้ทารกนอนระหว่างให้นม เพราะหมอนไม่ได้โค้งกระชับรองรับสรีระทารกค่ะ

วิธีเลือกซื้อหมอนรองให้นม

1. เลือกจากรูปทรง
หมอนรองให้นมมีหลายรูปแบบ เช่น รูปตัวยู, เบาะตามสรีระทารก เป็นต้น คุณแม่ควรจะเลือกแบบที่ตัวเองถนัด ที่สำคัญคุณสมบัติหลักควรจะกระชับรองรับสรีระทารกได้เป็นอย่างดี

2. กระชับแนบตัวลูก หรือ ตัวคุณแม่
หมอนรองให้นมควรจะแนบกระชับตัวลูกน้อย รองรับตามสรีระเด็กทารก เพื่อให้คุณแม่อุ้มได้ถูกท่า หากเป็นแบบหมอนรูปตัวยู ควรจะปรับสายได้เพื่อให้แนบกระชับกับเอวคุณแม่ ไม่ให้หมอนเลื่อนหลุดง่าย ๆ ช่วยให้คุณแม่ให้นมลูกน้อยได้สบายขึ้น

3. วัสดุของหมอนให้นม
คุณแม่ควรเลือกวัสดุหมอนที่อ่อนโยน เพื่อไม่ผิวลูกเกิดอาการระคายเคือง ตัวหมอนหรือเบาะควรมีความนุ่ม ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดได้ง่ายด้วย

4. องศาหมอนให้นมต้องเหมาะกับทารก
ตัวเบาะจะต้องออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์และกระดูกสันหลังของทารก ทำให้ทารกนอนในท่าที่ถูกต้อง

5. ราคาคุ้มกับคุณภาพ
ราคาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกซื้อของคุณแม่ ทั้งนี้ควรเลือกหมอนที่มีคุณภาพดี ออกแบบโดยคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ไม่ควรเกินจากงบประมาณของคุณแม่

หมอนให้นมลูก มีข้อดีอะไรบ้าง?

หมอนให้นม รูปตัวยู

  1. หมอนสามารถโอบรอบเอวของคุณแม่ มีสายรัดที่สามารถปรับความยาวได้ ทำให้สามารถปรับให้กระชับได้ตามสรีระของคุณแม่ ทำให้ปลอดภัยและหมอนไม่เลื่อนหลุดเมื่อขยับตัวหรือทารกดิ้น
  2. มีแผ่นประคองหลัง (Back Support) ที่ช่วยทำให้คุณแม่นั่งในท่าที่เหมาะสม ช่วยป้องกันอาการปวดหลังและคอได้
  3.  มีที่พักแขนและข้อศอก ช่วยลดอาการปวดแขนและไหล่ เหมาะกับคุณแม่มือใหม่ที่ตั้งใจเลี้ยงด้วยนมแม่ โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก
  4. วัสดุด้านในทำมาจาก 100% Polyurethane Foam Pad ไม่เสียรูปทรงของหมอน
  5. ปลอกหมอนทำจากผ้าฝ้าย (Cotton 100%) ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวของทารก
  6. มีซิปที่สามารถเปิดออกและถอดปลอกหมอนไปทำความสะอาดได้ง่าย

เบาะอุ้มให้นม

  1. ตัวเบาะออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์และกระดูกสันหลังของทารก ทำให้ทารกนอนในท่าที่ถูกต้อง ให้ถูกหลักที่ 45 องศา
  2. ช่วยให้ลูกน้อยคอไม่พับ คอไม่เอียง หายใจสะดวกขณะกลืนนม กันการแหวะนม โดยไม่ต้องอุ้มเรอ
  3. อุ้มกล่อมลูกได้สะดวกหลังทานนม เพราะตัวเบาะมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง
  4. ทุกคนในครอบครัวสามารถอุ้มเด็กได้ถูกหลัก
  5. ทำให้คุณแม่สามารถนั่งหลังตรงเวลาให้นม ลดปวดไหล่ ปวดหลัง และลดอาการเอ็นข้อมืออักเสบจากการอุ้มลูกเป็นเวลานาน
  6. ทำความสะอาดง่าย ตัวเบาะกันไรฝุ่น กับแบคทีเรีย

ท่าอุ้มให้นมลูก สำหรับคุณแม่มือใหม่

1. ท่าอุ้มนอนขวางบนตักแม่

      อุ้มลูกวางขวางไว้บนตัก ให้ท้ายทอยอยู่ที่แขนของคุณแม่ ปลายแขนของคุณแม่ช้อนไปที่ส่วนหลังและก้นของลูก ตะแคงตัวลูกเข้าหาเต้านมให้หน้าอกลูกและคุณแม่ชิดกัน มืออีกข้างพยุงเต้านม

      2. ท่าอุ้มนอนขวางบนตักแบบประยุกต์

      อุ้มลูกน้อยวางไว้บนตัก คล้ายท่าแรกแต่เปลี่ยนการวางมือของคุณแม่ โดยใช้มือด้านตรงข้ามกับเต้านมช้อนระหว่างท้ายทอยและคอของลูกแทนมืออีกข้างพยุงเต้านม

      3. ท่าอุ้มรักบี้

      วางหมอนหนา ๆ ไว้ข้างลำตัว จัดตำแหน่งลูกน้อยให้อยู่บนหมอนให้ลำตัวของลูกน้อยอยู่ใต้แขนของคุณแม่ ใช้มือประคองที่ท้ายทอยคอ และส่วนหลังของลูกน้อยเหมือนอุ้มลูกฟุตบอลที่เหน็บไว้ข้างลำตัว

      หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม ช่วยลดอาการปวดเมื่อยและช่วยให้คุณแม่สะดวกในการอุ้มลูกน้อยมากขึ้น หากคุณพ่อคุณแม่สนใจซื้อหรืออยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถแวะมาเลือกหมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม เบาะอุ้มเด็ก ของใช้ทารกได้ที่ร้าน BabyGift 4 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ได้เลยนะคะ ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ

      สินค้าที่เกี่ยวข้อง

      คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

      สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

      7,700.00
      คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

      สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

      7,700.00
      คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

      สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

      7,700.00
      คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

      สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

      7,700.00
      คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

      สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

      7,700.00
      คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

      สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

      7,700.00

      บทความแนะนำ

      การใช้ชีวิตของคุณแม่ทุกคนจะเปลี่ยนไปแน่นอนเมื่อเริ่มตั้งท้อง เพราะฮอร์โมนในร่างกายของเราเปลี่ยนไป ทำให้ทั้งร่างกาย สุขภาพ และอารมณ์ของเราไม่เหมือนเดิม คุณแม่ที่ตั้งท้องมาถึงไตรมาส 2 จะต้องเจอกับปัญหาสุขภาพอะไรกันบ้าง เราไปดูกันค่ะ 1. ตะคริว ขอบอกเลยค่ะ ว่าอาการตะคริวนี่ถือว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยของแม่ท้องเลยทีเดียว เพราะมดลูกที่ใหญ่ขึ้นไปกดทับบริเวณเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดีพอ โดยอาการนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน ในช่วงที่คุณแม่นอนราบนั่นเอง 2. ตกขาว อาการตกขาวก็เป็นอาการหนึ่งที่คุณแม่ต้องเจอเช่นเดียวค่ะ ถ้าตกขาวเป็นสีขาวปกติก็เป็นเรื่องทั่วไปนะ ไม่ได้มีปัญหาหรือน่าห่วงอะไร แต่เมื่อใดที่ตกขาวมีสีเปลี่ยนไป หรือมีกลิ่นเหม็นแล้วล่ะก็ คุณแม่จะต้องรีบไปพบคุณหมอนะคะ เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณแม่กำลังติดเชื้อทางช่องคลอดค่ะ 3. ฟันผุและปัญหาทางช่องปาก แม่ท้องจะต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ เพราะจะต้องแบ่งกับลูกน้อยด้วย และคุณแม่ที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอจะพบกับปัญหาฟันผุ เนื่องจากโดนลูกแบ่งแคลเซียมไปนั่นเองค่ะ ส่วนสำหรับปัญหาทางช่องปากนั้น คุณแม่ส่วนใหญ่จะพบกับปัญหาเลือดออกตามไรฟันค่ะ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรจะไปพบทันตแพทย์เป็นประจำนะคะ 4. เลือดกำเดา ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปนำไปสู่ปัญหาในโพรงจมูกของคุณแม่ค่ะ เพราะฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตเลือดเพิ่มขึ้นไปด้วย เส้นเลือดฝอยภายในจมูกจึงบวมและแตกออกมาได้ง่าย เพราะอย่างนั้นถ้าคุณแม่รู้สึกระคายเคืองในจมูก ขอแนะนำให้คุณแม่ใช้น้ำเกลือที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปล้างจมูกนะคะ และห้ามใช้ของแข็งแหย่เข้าไปในโพรงจมูกโดยเด็ดขาดเลยค่ะ 5. ผิวแตกลาย เนื่องจากท้องที่ใหญ่ขึ้น ผิวของคุณแม่จึงแตกเป็นลายทางค่ะ โดยผิวที่แตกลายนี้เราสามารถหาครีมมาทาเพื่อบรรเทาได้นะคะ แต่ในคุณแม่บางคนอาจจะเจออาการคันร่วมด้วย ซึ่งถ้าคุณแม่เผลอเกาแล้วนั้น ก็อาจจะทำให้เกิดบาดแผลและนำไปสู่การติดเชื้อได้ค่ะ 6. เส้นเลือดขอด น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น […]

      หากคุณแม่กำลังเลี้ยงลูกอยู่บ้านตลอดเวลา และให้นมแม่แก่ลูกน้อยแบบ 100% อยู่  คงจะยังไม่ต้องหาข้อมูลหรือกังวลกับการเลือกซื้อขวดนมหรือจุกนมให้ลูกมากนักเพราะยังไม่ได้ใช้ แต่เมื่อไรที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงาน ไปทำธุระข้างนอก หรือต้องให้นมแม่กับลูกด้วยขวดนมแล้ว สิ่งที่ต้องนึกถึงคือการเลือกขวดนมและจุกนมที่จะช่วยให้ลูกกินนมแม่ได้เต็มอิ่ม สบายท้อง ไม่ดูดลมเข้าไปและไม่เสี่ยงต่อการแน่นท้อง หรือร้องโคลิก และที่สำคัญจุกนมที่เลือกให้ลูกนั้นควรจะมีคุณสมบัติที่คล้ายการดูดจากเต้านมแม่ เพื่อให้ลูกน้อยไม่สับสนระหว่างเต้านมกับขวดนม ยอมกินนมแม่จากขวด และยอมกลับมากินนมแม่จากเต้าคุณแม่ได้เสมอ  เราจึงมาแนะนำให้คุณแม่รู้จักกับจุกนมคอแคบ และจุดนมคอกว้าง เพื่อให้คุณแม่หลายๆ ท่านที่ยังไม่รู้จัก ได้เห็นถึงความแตกต่าง และตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม ถูกใจ ลูกน้อยอิ่มนมได้เต็มที่โดยไม่มีปัญหาสุขภาพมาฝากกัน ชวนแม่เรียนรู้เรื่องจุกนมลูก เพราะลูกน้อยวัยทารกจะเคยชินกับการกินนมจากอกคุณแม่  เมื่อต้องมากินนมจากขวดจึงอาจสับสนและมีปัญหา คุณแม่จึงควรพิถีพิถันพิจารณาเลือกใช้จุกนมที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยดูดนมได้อย่างสะดวก ปลอดภัย โดยควรศึกษาเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้  ขนาดของจุกนมที่แตกต่างว่าเหมาะกับลูกวัยไหน  วิธีทำความสะอาดและการเก็บรักษาจุกนมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานเสมอ เรื่องน่ารู้ของ ปลายจุกนม เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะในการใช้งาน นั่นคือ– ปลายจุกนมเป็นรูวงกลม มักเป็นรูจุกนมที่ช่วยให้น้ำนมไหลได้ง่าย คือแม้ลูกจะไม่ดูด น้ำนมก็ไหลผ่านออกได้จึงเป็นจุกนมที่ช่วยให้ลูกดูดนมง่าย ไม่ต้องใช้แรงเยอะ– ปลายจุกนมเป็นรูตัว Y (Three-Cut) เป็นจุกนมที่หากไม่ดูดนมจะไม่ไหล ต้องใช้แรงดูดของลูกให้น้ำนมไหลผ่านออกมา (ยกเว้นเป็นจุกนมสำหรับเด็กที่มีภาวะพิเศษดูดนมเองไม่ได้ จะมีการทำให้น้ำนมไหลออกได้ง่ายขึ้น)– ปลายจุกนมเป็นรูกากบาท (Cross-Cut) มักเป็นจุกนมที่ต้องใช้แรงดูดเหมือนรูตัว Y คือหากลูกไม่ดูดนมจะไม่ไหล  น้ำนมจะออกมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงดูดของลูกเอง ช่วยป้องกันอาการสำลักให้ลูกน้อยได้นอกจากนี้รูของปลายจุกนม […]

      หนึ่งในความปรารถนาสูงสุดของคุณแม่ตั้งครรภ์ คือการคลอดลูกน้อยได้อย่างปลอดภัย ลูกน้อยแรกคลอดมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด   แต่ปัญหาหนึ่งที่คุณแม่หลายๆ ท่านต้องพบเจอ คือภาวะคลอดก่อนกำหนด  ที่ทำให้คุณแม่จำเป็นต้องคลอดก่อนเวลา ลูกน้อยต้องคลอดในขณะที่ยังตัวเล็ก มีโอกาสเจ็บป่วย และพิการ รวมทั้งอวัยวะต่างๆ ยังทำงานหรือพัฒนาได้ไม่ดี เรื่องการคลอดก่อนกำหนดแบบนี้ไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นจะดีกว่าไหม? หากเราสามารถตรวจสอบหรือเช็กก่อนได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะคลอดก่อนกำหนดร้ายนี้เกิดขึ้น รู้จักกับปัจจัยเสี่ยง เลี่ยงคลอดก่อนกำหนด ไม่มีแม่ท้องคนไหนอยากให้ลูกคลอดก่อนกำหนด ดังนั้นการรู้ทัน ป้องกันไว้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและดีต่อทุกคน เราจึงอยากให้คุณแม่ตั้งครรภ์มาลองสังเกตและรู้จักกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด นั่นคือ การวัดปากมดลูก ป้องกันและลดปัญหาคลอดก่อนกำหนด เพราะความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดมีค่อนข้างมาก หากคุณแม่ได้สังเกตรู้ก่อนเพื่อป้องกันจะทำให้ลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ทางการแพทย์ใช้ในการป้องกันและลดปัญหาคลอดก่อนกำหนด คือการวัดปากมดลูก  แต่จะต้องทำอย่างไร มีข้อจำกัดหรืออันตรายหรือไม่…ไปดูกันค่ะ การวัดปากมดลูกคืออะไร? คือการตรวจคัดกรองว่าคุณแม่มีภาวะปากมดลูกสั้นหรือไม่ ด้วยวิธีการประเมินปากมดลูกจากการวัดความยาวของปากมดลูก ผ่านการสแกนด้วยอัลตร้าซาวนด์ทางช่องคลอด หรือโดยแพทย์ วิธีนี้เป็นการวัดความยาวและประเมินความยาวปากมดลูกของคุณแม่ตั้งครรภ์ว่ามีขนาดปกติ หรือมีความสั้นจนเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด  การวัดปากมดลูกหรือัลตราซาวนด์ปากมดลูกนี้ มีความปลอดภัย คุณแม่ไม่เจ็บ ทำไมต้องวัดปากมดลูก เพราะปากมดลูกเป็นส่วนล่างของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด ตามปกติหากคุณแม่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ปากมดลูกจะมีความยาวอย่างน้อยประมาณ 3 ซม. ซึ่งหากในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่มีปากมดลูกสั้นกว่าปกติ จะสัมพันธ์และทำให้มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด  ยิ่งความยาวของปากมดลูกสั้นก็จะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดมากยิ่งขึ้น รวมถึงแพทย์จะได้ตรวจด้วยว่าคุณแม่มีการเปิดของปากมดลูกด้านในหรือเปล่า เพราะหากปากมดลูกเปิดเร็วก็อาจคลอดก่อนกำหนดเร็วด้วย ดังนั้นการที่สูติแพทย์ทำการวัดความยาวปากมดลูกโดยอัลตราซาวนด์  […]

      ลูกควรเลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่? อยากฝึกให้ลูกนั่งกระโถน นั่งชักโครกขับถ่ายเองได้เริ่มเมื่อไหร่ดี? คงเป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่มักสงสัยกันใช่ไหมคะ เพราะการฝึกลูกให้เลิกใส่ผ้าอ้อม ฝึกลูกนั่งกระโถน ไปจนฝึกให้เข้าห้องน้ำเองได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมที่จะเลิกใส่ผ้าอ้อม พร้อมนั่งกระโถนแล้ว มาเช็กกันเลยค่ะ ทำไมต้องฝึกลูกเรื่องขับถ่าย  การฝึกลูกขับถ่ายให้เหมาะสม จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ ที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงเป็นการปลูกฝังด้านสุขอนามัย ความสะอาด รู้จักร่างกายตัวเอง และรู้จักการช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นได้ หากพ่อแม่ไม่สอนลูกเรื่องการขับถ่าย ปล่อยให้ขับถ่ายในผ้าอ้อมไปจนโต จะทำให้ลูกมีการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสมตามวัย เมื่อลูกต้องไปโรงเรียน จะทำให้มีปัญหาในการดูแลความสะอาด อาจเกิดการขับถ่ายเล็ดราด หรือยังต้องใส่ผ้าอ้อมจนอึดอัด  ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ ส่งผลต่อพัฒนาการตามวัยได้ ฝึกลูกนั่งชักโครก เลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ตอนไหน? วัยที่มีพัฒนาการและพฤติกรรมพร้อมพี่จะเริ่มฝึกได้ ควรเริ่มเมื่ออายุ 1 ปี – 1 ปี 6 เดือน และมักจะทำได้ดีตอนอายุ 2 ปี หรือเด็กบางคนอาจจะมาฝึกตอนอายุ  2 ปี และนั่งกระโถนได้เองตอนอายุ 3 ปี หรือบางคนอาจทำได้เมื่อโตกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและสัญญาณต่าง ๆ ที่แสดงออกมาทั้งทางร่างกาย การสื่อสาร และความต้องการของลูก ไม่ควรเกิดจากการบังคับลูก 8 สัญญาณที่บอกว่าลูกพร้อมนั่งกระโถนเองได้แล้ว 7 เทคนิคฝึกลูกขับถ่าย […]

      เมื่อเริ่มตังครรภ์ มีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณแม่ทุกคนก็ต้องตื่นเต้นอยากเจอหน้าลูกและสงสัยว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ ไปถึงไหนแล้วใช่ไหมคะ เราจึงนำพัฒนาการของลูกน้อยตลอดเก้าเดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่มาให้ชมกัน เบบี้กิ๊ฟขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ ลูกน้อยตัวโตแค่ไหนแล้ว เราลองเทียบกับผลไม้ให้ดูค่ะ พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 1 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 1 คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เข้าเดือนที่สองไปแล้ว เพราะว่าในเดือนแรกนี้จะเป็นช่วงที่ไข่กับอสุจิเข้าผสมกัน มีการแบ่งเซลล์แล้วก็ฝังตัวของเอ็มบริโอ ซึ่งในระยะนี้เจ้าหนูน้อยก็จะเล็กจิ๋วมาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีขนาดไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนการพัฒนาหลัก ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาในส่วนของรก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับสารอาหารจากคุณแม่ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 2  พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 เดือนนี้แหละที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านจะเริ่มรู้ตัว มีอาการแพ้ท้อง แล้วก็ไปหาคุณหมอเพื่อการฝากครรภ์กันแล้ว ในช่วงเดือนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ก็จะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพัฒนาของระบบประสาท เนื้อเยื่อเส้นใยประสาท แล้วก็ไขสันหลัง คุณแม่สามารถทำอัลตราซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเต้นได้แล้วนะคะ พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 28 กรัม และมีความยาวประมาณ 7.6 ซ.ม. แล้วค่ะ […]

      วันหยุดสัปดาห์นี้ คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนอยู่บ้านกับเจ้าตัวเล็ก ยังไม่มีแพลนทำอะไรกันบ้าง?ลองมาดู กิจกรรมครอบครัว สนุกๆแม้อยู่ที่บ้าน ที่ Baby Gift นำมาฝากกันค่ะ รับรองว่าวันหยุดนี้ไม่เงียบเหงาแน่นอน ถ้าพร้อมแล้ว ตามมาดูกันเลย !! ทำอาหารเมนูพิเศษร่วมกัน สิ่งที่มีค่ามากกว่า การมอบของขวัญให้แก่กัน คือ การที่ครอบครัวพูดคุยและใช้เวลาดีๆด้วยกัน เชื่อว่าในวันจันทร์ถึงศุกร์ คนในครอบครัวก็ต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องทำ จนอาจไม่มีเวลาว่างที่จะได้อยู่ร่วมกันมาก การทำอาหารเมนูพิเศษร่วมกันในวันหยุด จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมครอบครัว ที่สามารถสร้างช่วงเวลาดีๆให้กับลูกน้อย และสร้างความสันพันธ์ในครอบครัวได้ดีเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยฝึกทักษะด้านทำครัวให้กับเจ้าตัวเล็กแล้ว การได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการและกระบวนการคิดได้หลายๆด้าน เสริมสร้างจินตนาการได้ดี เด็กจะจดจำและเรียนรู้ได้ง่ายกว่าการมองเห็นเพียงภาพจากในหนังสือ หรือจากที่โรงเรียน รับรองว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นแววตาที่ตื่นเต้น และมีความสุขของเขาอย่างแน่นอน แต่งานนี้ไม่ง่ายเลย คุณแม่อาจจะต้องเตรียมตัวรับมือกับความวุ่นวายของลูกๆเป็นพิเศษ วันหยุดสัปดาห์นี้ อย่าลืมลองถามเจ้าตัวเล็กว่าอยากทานเมนูอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แล้วเตรียมของให้พร้อมเข้าครัวกันเลย จัดสวนปลูกต้นไม้กับเจ้าตัวเล็ก อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆที่บ้านกับเจ้าตัวเล็ก สำหรับบ้านที่ชอบธรรมชาติและมีพื้นที่ว่างนอกตัวบ้าน วันหยุดนี้ลองจูงมือลูกน้อยของคุณและคนในครอบครัว มาจัดสวนปลูกต้นไม้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะ นอกจากของเล่นที่ซื้อให้เด็กๆจะช่วยเสริมพัฒนาการแล้ว ของเล่นจากธรรมชาติก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญและเป็นประโยชน์มากๆเช่นกัน การที่เด็กได้คลุกคลีกับพื้นดิน ต้นไม้ หรือแมลง จะทำให้เด็กเข้าใกล้ธรรมชาติและรู้จักโลกนี้มากยิ่งขึ้น การปลูกต้นไม้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ลูกเรียนรู้การมีความรับผิดชอบและดูแลต้นไม้นั้นๆ นอกจากจะทำให้สนุกสนานเพลิดเพลินกับธรรมชาติแล้ว ยังช่วยทำให้คนในบ้านมีเวลาร่วมกันมากขึ้น เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้บ้านร่มรื่นน่าอยู่ ระหว่างปลูกต้นไม้นั้นคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสอนเจ้าตัวเล็กได้ ทั้งเรื่องดิน เรื่องพืช […]

      Menu
      All Categories
      All Brands
      All Ages
      Promotions
      Locations
      BabyGift Family
      BabyGift Care
      Parents Guide
      News & Event

      All Categories

      All Categories
      All Brands
      All Ages