คาร์ซีท เด็กแรกเกิด ต้องเลือกยังไง ? แจกทิปส์ที่พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนเลือกซื้อเพื่อต้อนรับลูกน้อยกัน !

คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อย และคุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมพร้อมคาร์ซีทให้เรียบร้อยก่อนที่ลูกน้อยจะคลอด เพราะเมื่อออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ต้องนั่งคาร์ซีทกลับบ้าน ทั้งเพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยเอง และเพื่อปฏิบัติตามกฏหโมายเรื่องการกำหนดที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดอย่างไรดี ควรเลือกแบบไหน คาร์ซีทสำหรับเด็กมีกี่ประเภท เลือกอย่างไร BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันแล้วค่ะ
เลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิด อย่างไรดี ? ต้องรู้อะไร ? เลือกยังไงดี หาคำตอบได้จากบทความนี้ !

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องเตรียมไว้ให้กับลูกตั้งแต่ก่อนคลอด และควรที่จะให้ลูกได้ใช้ตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากร่างกายของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง ยังไม่สามารถรับแรงกระแทกได้มากเท่าไหร่ อีกทั้งเราไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงควรป้องกันไว้ก่อนและเตรียมความพร้อมในทุกสถานการณ์ คาร์ซีท เด็กแรกเกิด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี ต้องเลือกแบบไหน คาร์ซีท มีกี่แบบ ต้องเลือกอย่างไร ? ในบทความนี้ BabyGift มีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดมาฝากกันค่ะ เรามารู้จักประเภทของคาร์ซีทกันก่อนเลย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดได้ดังนี้
1. New Born Only : หรือคาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก มีน้ำหนักเบา สามารถถอดออกและถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ เวลาที่ลูกนอนหลับก็ไม่ต้องปลุกลูก หรืออุ้มลูกออกจากคาร์ซีท ทำให้ลูกน้อยนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ในบางรุ่นสามารถนำไปใช้บนเครื่องบินหรือใช้กับรถเข็นเด็กได้ด้วย หรือบางรุ่นก็สามารถปรับเป็นเปลนอนได้ แต่คาร์ซีท เด็กแรกเกิดประเภทนี้มักจะมีอายุการใช้งานที่สั้น ส่วนใหญ่แล้วจะนั่งได้ไม่เกิน 18 เดือน เพราะเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น คาร์ซีทแบบกระเช้าก็จะมีขนาดเล็กเกินไป จึงต้องรีบหาคาร์ซีทตัวใหม่มาทดแทน
2. Convertible : หรือคาร์ซีทเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าคาร์ซีทแบบกระเช้า โดยแต่ละรุ่นนั้นก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันไป โดยมีอายุการใช้งานตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 4 ปี 7 ปี หรือจนถึง 12 ปีเลยทีเดียว สามารถใช้งานกับเด็กได้หลายช่วงอายุ มีฟังก์ชั่นความปลอดภัยมากขึ้น โครงสร้างของคาร์ซีทใหญ่ขึ้น และปรับการใช้งานได้ 2 รูปแบบ คือ ปรับให้คาร์ซีทหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) สำหรับเด็กแรกเกิด และปรับให้หันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) สำหรับเด็กโต มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทำให้มีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือ มีน้ำหนักเยอะ ไม่สามารถถอดออกแล้วเดินถือได้เหมือนคาร์ซีทแบบกระเช้า และต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้ง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังมีความสงสัยว่า แล้วจะเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดเป็นแบบคาร์ซีทกระเช้าหรือคาร์ซีทแบบ Convertible ก็ต้องเลือกจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ความสะดวกสบายในการใช้งาน หากครอบครัวไหนเดินทางบ่อย ต้องพาลูกน้อยไปยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำ การใช้คาร์ซีทแบบกระเช้าก็สะดวกสบายในการขนย้ายมากกว่าคาร์ซีทแบบ Convertible เพราะคาร์ซีทแบบกระเช้าสามารถนำไปติดตั้งบนรถเข็นได้ หรือปรับเป็นเปลนอนได้ด้วย แต่มีข้อเสียคือ ใช้งานได้ในระยะสั้น และมีความแข็งแรงทนทานน้อยกว่า แต่ถ้าบ้านไหนไม่อยากเปลี่ยนคาร์ซีทบ่อย ๆ อยากใช้งานได้อย่างยาวนาน มีความแข็งแรงทนทาน การเลือกคาร์ซีทแบบ Convertible ก็ตอบโจทย์มากกว่าค่ะ

จะเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด ควรเลือกอย่างไร ?
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกคาร์ซีทเด็กแรกเกิดนั้น มีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน นอกจากความสะดวกสบายและความเหมาะสมในการใชงานแล้ว ควรพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. เลือกคาร์ซีทที่มีการรับรองมาตรฐาน
สำหรับคาร์ซีทในประเทศไทย ได้มีประกาศจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ว่าคาร์ซีทจะต้องผลิตหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยของยุโรปเท่านั้น ทั้งนี้ ยังมีประกาศเพิ่มข้อบังคับให้คาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนจากด้านข้างด้วย ซึ่งตรงกับข้อบังคับของมาตรฐานคาร์ซีท ECE R129 (i-Size) อันเป็นมาตรฐานฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด ดังนั้นแล้ว หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนกำลังเลือกดูคาร์ซีทให้ลูกน้อยอยู่ ก็ให้มองหาสินค้าที่มีสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) รับรองว่าอุ่นใจในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยแน่นอนค่ะ (สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คาร์ซีทในประเทศไทย ใช้มาตรฐานใหม่ ECE R129 (i-Size) ได้ในบทความนี้ที่ BabyGift เขียนเอาไว้แล้วเพิ่มเติมได้เลยนะคะ)
2. เลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก
สำหรับรูปแบบคาร์ซีท เด็กแรกเกิดนั้น ควรเลือกคาร์ซีทสำหรับทารกที่เป็นแบบปรับให้หันหน้าไปด้านหลังรถ หรือ Rear – Facing Car Seat เท่านั้น เพราะมีความปลอดภัยต่อลูกน้อยมากที่สุด ซึ่งคาร์ซีทแบบกระเช้าหรือ New Born Only Car seat และคาร์ซีทแบบ Convertible ก็สามารถปรับให้เป็นรูปแบบหันหน้าไปด้านหลังรถ (Rear – facing Car Seat) ได้ทั้ง 2 แบบค่ะ และเมื่อลูกอายุ 2 ขวบขึ้นไป ก็จะสามารถนั่งคาร์ซีทแบบหันหน้ามาด้านหน้า (Forward-facing Car Seat) ได้
3. เลือกคาร์ซีทที่มีสายรัดเข็มขัด 5 จุด
คาร์ซีทที่มีสายรัดเข็มขัด 5 จุด จะมีความปลอดภัยมากกว่าสายรัดเข็มขัด 3 จุด ซึ่งสายรัดเข็มขัด 5 จุดจะประกอบด้วยสายรัดช่วงไหล่ 2 เส้น สายรัดเอว 2 เส้น และสายรัดผ่านระหว่างขาอีก 1 เส้น ซึ่งระบบเข็มขัดรัด 5 จุดนี้ จะสามารถป้องกันลูกน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ดีและมีความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ ควรเลือกคาร์ซีทที่มีการป้องกันแรงกระแทกด้านข้างด้วยนะคะ เพราะในอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น มากกว่า 25 -30 % จะเป็นการชนกระแทกที่เกิดขึ้นจากทางด้านข้าง เพื่อการป้องกันสูงสุด จึงต้องให้ความสำคัญกับการกันกระแทกด้านข้างด้วยค่ะ
4. เลือกให้เหมาะสมกับขนาดรถ และติดตั้งให้ถูกตำแหน่ง
การเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดนั้น นอกจากจะต้องเลือกขนาดของคาร์ซีทให้มีความเหมาะสมกับขนาดรถยนต์ของเราเพื่อความมั่นคงแน่นหนาและปลอดภัยสูงสุดแล้ว ควรติดตั้งให้ถูกตำแหน่งด้วย เช่น หากรถที่ใช้อยู่เป็นประจำเป็นรถเก๋ง ก็ควรติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะหลัง ไม่ควรติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะหน้าด้านข้างที่นั่งคนขับ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุเด็กอาจโดนกระแทกจากถุงลมนิรภัยและเป็นอันตรายได้
5. เลือกซื้อคาร์ซีทจากศูนย์ในประเทศไทย
ควรซื้อคาร์ซีทที่มีศูนย์ในประเทศไทย เพื่อความสะดวกในการส่งซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ หรือสามารถเคลมได้ ทั้งนี้ ควรเลือกซื้อจากร้านที่มีความน่าเชื่อถือ และนำเข้าคาร์ซีทอย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วยนะคะ ซึ่งสามารถปรึกษากับ BabyGift ได้ จะได้อุ่นใจว่าใช้สินค้าที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้อง สามารถเคลมได้และส่งซ่อมได้ หายห่วงเรื่องบริการหลังการขายค่ะ และถ้าเป็นไปได้ ควรซื้อคาร์ซีทที่เป็นของใหม่ และยังไม่ผ่านการใช้งาน เสี่ยงต่อการชำรุดเสียหายน้อยกว่า หากมีความจำเป็นจะต้องซื้อคาร์ซีทมือสองควรตรวจสอบว่าไม่มีชิ้นส่วนใดขาดหายไป ไม่มีรอยแตกหรือรอยร้าว และไม่เคยผ่านอุบัติเหตุทางรถยนต์มาก่อน เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบนิรภัยได้
ฟังก์ชั่นอื่นๆ ของคาร์ซีทที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการใช้งานมีอะไรบ้าง ?

คาร์ซีท เด็กแรกเกิดในปัจจุบันยังมีฟังก์ชั่นให้เลือกอีกหลายแบบ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อตัวเด็ก และเพิ่มความสะดวกต่อทั้งตัวเด็ก และคุณพ่อคุณแม่ขณะใช้งาน นอกจากจะพิจารณาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และปัจจัยต่างๆ ข้างต้นแล้ว ฟังก์ชั่นอื่นๆ ของคาร์ซีทก็มีอีกหลายแบบ ดังนี้ค่ะ
1.คาร์ซีทที่สามารถหมุนได้
เป็นคาร์ซีทที่สามารถหมุนหันหน้าเข้าออกเบาะรถได้ในตัวเดียว โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ ซึ่งคาร์ซีทประเภทนี้จะมีข้อดีตรงที่หมุนได้ 360 องศา ทำให้สะดวกสบายต่อการติดตั้ง ติดตั้งครั้งเดียวจบ สะดวกต่อการอุ้มลูกขึ้นลงรถ ง่ายต่อการดูแลลูกไม่ว่าจะเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือเล่นกับลูก สามารถปรับการใช้งานได้ตามการใช้ชีวิตของลูก เวลาอุ้มลูกเข้า – ออกจากคาร์ซีท ก็แค่หมุนไปในองศาที่คุณพ่อแม่สะดวก แต่คาร์ซีทแบบนี้มักจะมีช่วงอายุการใช้งานสั้น เพราะส่วนใหญ่จะใช้ได้จนถึงลูกอายุ 4 ปีเท่านั้นค่ะ
2. คาร์ซีทแบบไม่สามารถหมุนได้
คาร์ซีทประเภทนี้ส่วนใหญ่จะออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานของเด็กโตด้วย จึงไม่มีฟังก์ชั่นการหมุนมาให้ และจะต้องติดตั้งใหม่เมื่อลูกโตขึ้น จากการนั่งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) ไปเป็นการนั่งหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) แต่คาร์ซีทแบบนี้ จะใช้งานได้นานขึ้นกว่าแบบที่หมุนได้ บางรุ่นใช้ได้ถึง 12 ปี เลยทีเดียวค่ะ
3. คาร์ซีทปรับนอนราบได้ และหมุนได้
คาร์ซีทแรกเกิดประเภทนี้ จะมีความพิเศษกว่าแบบอื่นคือ สามารถปรับนอนราบได้สูงสุด 170 องศา และยังหมุนได้ด้วย เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด และเด็กเล็กที่ต้องเดินทางบ่อย นอกจากนี้ ยังเหมาะกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย เพราะการปรับนอนราบจะช่วยทำให้เด็กนั่งคาร์ซีทได้สบายขึ้น และหายใจสะดวกขึ้น การนอบราบยังช่วยให้เด็กหายใจได้อย่างเต็มที่ ช่วยเรื่องการพัฒนาทางสมองและระบบต่างๆ ของร่างกาย คาร์ซีทแบบนี้ทำให้ลูกสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในขณะเดินทาง โดยคาร์ซีทประเภทนี้จะเหมาะกับรถที่มีพื้นที่กว้าง เพราะต้องปรับเอนนอนให้กับลูก และเนื่องจากเป็นคาร์ซีทหมุนได้ จึงมีช่วงอายุการใช้งานสั้นกว่า ส่วนมากใช้ได้ถึงอายุ 4 ปี
ข้อควรระวังในการเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดที่พ่อแม่ควรรู้

การเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกน้อยนั้น นอกจากจะต้องเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมกับการใช้งาน มีฟังก์ชั่นตามที่ต้องการ และมีมาตรฐานการรับรองคุณภาพที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลแล้ว การเลือกซื้อคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงอย่างเต็มที่ จะต้องพิจารณาว่าลูกน้อยของเราต้องได้รับการปกป้องอย่างดีที่สุดในทุกๆ ด้าน เพื่อความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยหลักๆ แล้วจะมีอยู่ 8 จุดสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจในการเลือกซื้อคาร์ซีท รวมถึงการซื้อของใช้ต่างๆ ให้กับเด็กแรกเกิด ซึ่งมาจากการค้นคว้าและวิจัยโดย Aprica ที่มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- สมองและศีรษะ : บริเวณศีรษะของเด็กแรกเกิดนั้นจะมีความเปราะบาง เด็กแรกเกิดจะมีขนาดศีรษะเท่ากับ 1 ใน 4 ของร่างกาย ถือได้ว่ามีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับขนาดของร่างกายโดยรวม คาร์ซีทสำหรับลูกน้อยจึงควรมีส่วนที่ Support บริเวณศีรษะได้ดี และสามารถปกป้องบริเวณศีรษะของลูกน้อยได้อย่างดีเยี่ยม
- ระบบหายใจ : ระบบหายใจของเด็กเล็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทารกจะใช้ท้องเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ช่วยในการหายใจ เมื่ออยู่ในลักษณะท่าทางที่ต้องงอตัวหรือถูกกดทับบริเวณท้องจะทำให้เกิดสภาวะหายใจติดขัดได้ง่าย คาร์ซีทที่ดีต้องสามารถปรับระดับองศาการนอนให้เหมาะสม โดยองศาที่เหมาะสมอยู่ที่ 135 -170 องศา
- กระดูกสันหลัง : เด็กแรกเกิดจะมีแนวกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง สะโพกสามารถเคลื่อนได้ง่าย ดังนั้นจึงควรดูแลจัดให้สรีระอยู่ในท่านั่งและนอนให้เหมาะสม ให้ลูกน้อยสามารถขยับแขนและขาได้ง่ายเป็นธรรมชาติ เบาะรองนอนของคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดจึงควรมีการออกแบบเพื่อ support ช่วงหลังและสะโพกของเด็กได้ดี
- ระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย : เด็กแรกเกิดมีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายต่ำ ดังนั้นตัวช่วยในการปรับอุณหภูมิให้มีความเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คาร์ซีทสำหรับเด็กเล็กควรมีการระบายอากาศที่ดีโดยเฉพาะด้านหลังของตัวเด็ก เพราะเป็นจุดที่เหงื่อออกได้ง่ายมากกว่าจุดอื่นๆ
- การนอนที่ยังไม่เป็นระบบ : เด็กแรกเกิดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนและเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 จะเริ่มเรียนรู้ความแตกต่างของกลางวันกลางคืนค่ะ ดังนั้นการเลือกคาร์ซีทที่สามารถให้ลูกน้อยของเรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ขณะเดินทางก็จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านร่างกายอย่างเหมาะสม
- ผิวหนังบองบางไวต่อสิ่งสัมผัส : ผิวหนังของเด็กเล็กมีความบอบบางมาก จึงไวต่อสิ่งสัมผัสและผิวแห้งง่าย ด้วยรูขุมขนที่ละเอียดเล็ก จึงทำให้คลายความร้อนได้ช้าและทำให้มีเหงื่อออกมาก เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็ควรที่จะปลอดภัยต่อผิวเด็ก ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และควรระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม ไม่กักเก็บเหงื่อ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว รู้สึกระคายเคือง หรืออาจเกิดอาการแพ้เหงื่อตัวเองได้
- ประสาทสัมผัสที่อ่อนแอ : เด็กแรกเกิดจะมีระยะการมองเห็นสั้นๆ และยังมองเห็นได้ไม่ดีพอ เด็กจะรับรู้ข้อมูลส่วนใหญ่ผ่านการสัมผัสทางด้านร่างกาย คาร์ซีทจึงควรมีหลังคาที่สามารถปิดบังแสงแดด และสามารถป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อทั้งผิว และสายตาของเด็กเล็กได้
- ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย : ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเด็กแรกเกิดจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ที่ติดตัวเด็กไปเป็นระยะเวลาหลายปี ดังนั้น การเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดควรเลือกที่ทำจากวัสดุอันไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก มีความปลอดภัยต่อลูกน้อย และสามารถทำความสะอาดได้ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค ฝุ่น และแบคทีเรียที่อาจทำให้ลูกน้อยป่วยได้
7 คาร์ซีทเด็กแรกเกิดที่ BabyGift อยากแนะนำ !
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่กำลังเตรียมพร้อมเลือกซื้อคาร์ซีทให้กับลูกน้อย ก็น่าจะมีแนวทางในการเลือกบ้างแล้วนะคะ ซึ่งคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดในท้องตลาดนั้นก็มีหลายรุ่นหลายแบบด้วยกัน ถ้าใครยังไม่มีคาร์ซีทในใจ BabyGift มีมาแนะนำแล้วค่ะ

1. คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto R The First
คาร์ซีทของ Ailebebe รุ่น Kurutto R The First เป็นคาร์ซีทเพื่อเด็กแรกเกิดที่ได้การรับรองมาตรฐานใหม่ ECE R129 ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น มี Head Support ใหม่ที่หนาขึ้น 100 มิลลิเมตร ช่วยป้องกันการกระแทกด้านข้างได้อย่างมั่นใจ โครงสร้างออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ของทารก เพื่อปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยอย่างรอบด้าน
จุดเด่น
- ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ECE R129 (i – Size)
- เป็นคาร์ซีททรงไข่ Egg – Shell Protection เพื่อทารกแรกเกิดอย่างแท้จริง
- พนักพิงสามารถยุบตัวได้ จึงช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยปกป้องกระดูกสันหลังของลูกน้อย
- โครงคาร์ซีทเป็นไฟเบอร์กลาส มีความทนทาน แข็งแรง แตกหักยาก
- ผ้าที่บุคาร์ซีทสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ 99% ด้วยพลัง Ion Silver
- ด้านหลังและด้านข้างของคาร์ซีทมีช่องระบายอากาศถึง 1695 ช่อง
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมระบบ Jumping Harness
- สามารถหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้อุ้มลูกขึ้นลงคาร์ซีทได้อย่างปลอดภัย
- หลังคาของคาร์ซีทสามารถคลุมได้มิดชิดถึงปลายเท้า ยาว 98 เซนติเมตรช่วยป้องกันรังสี UV และปกป้องดวงตาของลูกน้อย
การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนักไม่เกิน 18 กิโลกรัม หรือความสูงระหว่าง 40 – 105 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น
ราคาโดยประมาณ : 28,900 บาท
ช่องทางการสั่งซื้อสินค้าใน BabyGift : คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto R The First

2. คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto R Grance
อีกหนึ่งคาร์ซีทเพื่อเด็กแรกเกิดจากแบรนด์ Ailebebe รุ่น Kurutto R Grance ได้การรับรองมาตรฐานใหม่ ECE R129 เช่นเดียวกัน มาพร้อม Head Support ใหม่ที่หนาขึ้น เบาะมีขนาดใหญ่พิเศษ เสริมกันกระแทกด้านข้างได้อย่างมั่นใจ ได้รับการทดสอบแรงกระแทกทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง อุ่นใจในเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อย
จุดเด่น
- ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ECE R129 (i – Size)
- เป็นคาร์ซีททรงไข่ Egg – Shell Protection เพื่อทารกแรกเกิดอย่างแท้จริง
- พนักพิงสามารถยุบตัวได้ จึงช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยปกป้องกระดูกสันหลังของเด็กเล็ก
- โครงคาร์ซีทเป็นไฟเบอร์กลาส มีความทนทาน แข็งแรง แตกหักยาก
- ด้านหลังและด้านข้างของคาร์ซีทมีช่องระบายอากาศถึง 1695 ช่อง
- คาร์ซีทบุผ้าตาข่าย W Russell ตลอดช่วงตัว มีการถักทอแบบตัว W ทำให้ระบายอากาศได้ดีขึ้น
- สามารถหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้อุ้มลูกขึ้นลงคาร์ซีทได้อย่างปลอดภัย
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมระบบ Jumping Harness
- หลังคาของคาร์ซีทสามารถคลุมได้มิดชิดถึงปลายเท้า ยาว 79 เซนติเมตรช่วยป้องกันรังสี UV และปกป้องดวงตาของลูกน้อย
การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนักไม่เกิน 18 กิโลกรัม หรือความสูงระหว่าง 40 – 105 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น

3. คาร์ซีทแรกเกิด APRICA รุ่น Fladea Grow Safety Plus
คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด APRICA รุ่น Fladea Grow Safety Plus ได้รับการคิดค้นวิจัยโดยกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นรุ่นเดียวในโลกที่มีการออกแบบเป็น Flatbed Design จดสิทธิบัตรเฉพาะแบรนด์ APRICA เท่านั้น โดยคาร์ซีทสามารถปรับนอนราบได้ ให้ลูกน้อยได้นั่งสบายระดับ First Class ปลอดภัยสูงสุดทุกการเดินทาง ติดตั้งครั้งเดียวจบ สามารถปรับใช้งานได้ทั้งแบบนอนราบ แบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) และหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing)
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ระดับยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
- ออกแบบเป็น Flatbed Design คาร์ซีทที่สามารถปรับนอนราบได้ ให้ทารกนอนหงายอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ท้องไม่งอ คอไม่พับ หายใจสะดวก ป้องกันภาวะ Baby Shaken Syndrome ได้อย่างอุ่นใจ
- ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ระบบทางเดินหายใจยังไม่แข็งแรง ก็สามารถใช้คาร์ซีทนอนราบได้อย่างปลอดภัย
- มี Mamoru Support เบาะนอนสำหรับทารก พร้อมเสริมนวมปลายเท้า กันกระแทกรอบด้าน 360 องศา นอนสบาย อบอุ่น และปลอดภัยมากขึ้น
- นวัตกรรมช่องระบายอากาศด้านหลัง อากาศถ่ายเทได้ดี ระบายความร้อนไม่ให้สะสมที่เบาะ นั่งนานได้โดยไม่รู้สึกร้อน
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา พร้อมล็อค 4 ทิศทาง เพิ่มความปลอดภัยในการหมุนมากขึ้น ช่วยพาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ
- มี Side Protection ป้องกันการกระแทกด้านข้างได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
- มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง พร้อมเสริมนวมหนานุ่ม สวมใส่สบาย
- หลังคาขนาดใหญ่ กันความร้อน กันแดด UV Protection 99% ปกป้องดวงตาทารก พร้อมช่องระบายอากาศ 2 ช่อง อากาศถ่ายเทได้ดี
การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือความสูงระหว่าง 40 – 100 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น

4. คาร์ซีทแรกเกิด RENOLUX รุ่น GAIA
มาดูคาร์ซีทจากแบรนด์ประเทศฝรั่งเศสกันบ้างค่ะ กับแบรนด์ RENOLUX รุ่น GAIA เป็นสิทธิบัตรความปลอดภัยเฉพาะแบรนด์เท่านั้นที่เลือกใช้เหล็กเป็นโครงสร้างหลักของคาร์ซีท ฉีดขึ้นรูปห่อหุ้มด้วยโฟมชนิดพิเศษ มีความแข็งแรงทนทาน ดูดซับแรงกระแทกได้มากกว่าคาร์ซีททั่วไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวค่ะ พร้อมสัมผัสที่นุ่มสบายเหมือนยกโซฟามาไว้ในรถ ให้ลูกน้อยได้นั่งคาร์ซีทอย่างสบายตัว พร้อมความปลอดภัยแบบจัดเต็ม
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- เป็นแบรนด์เดียวในโลกที่มีเทคโนโลยี Softness Cushion ใช้โครงเหล็กทั้งตัว หุ้มด้วยโฟมพิเศษ ทำให้เบาะนุ่มพิเศษ นั่งสบายเหมือนโซฟา ดูดซับแรงกระแทกได้มากกว่าคาร์ซีททั่วไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์
- ปรับเลื่อนระดับเพิ่มพื้นที่วางขาได้ ให้ลูกนั่งหันหน้าเข้าเบาะได้นานที่สุด 4 ปี หรือจนกว่าจะมีส่วนสูง 105 เซนติเมตร
- หมุนง่ายได้ถึง 180 องศา สะดวกสบาย ช่วยอุ้มลูกเข้าหรือออกคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น
- เนื้อผ้าสัมผัสเย็น หนานุ่ม นั่งสบายมากขึ้น
- มี Side Protection ป้องกันการชนด้านข้าง รองรับแรงกระแทกได้ดี
การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40 – 105 เซ็นติเมตร หรือ อายุ 0 – 4 ปี
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศฝรั่งเศส

5. คาร์ซีทแรกเกิด KINDERKRAFT รุ่น I-360
ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนมองหาคาร์ซีทที่ใช้งานได้อย่างยาวนาน ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กจนถึงเด็กโต แนะนำเป็นรุ่นนี้เลยค่ะ คาร์ซีทของ KINDERKRAFT รุ่น I-360 ใช้งานได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 12 ปี ได้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่ยุโรป R129 (i-Size) จากประเทศเยอรมนี ติดตั้งง่ายด้วยระบบ ISOFIX และ Support leg รองรับการใช้งานได้ทุกช่วงอายุ มีซัพพอร์ตเด็กแรกเกิด ช่วยให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ซึ่งสามารถถอดออกได้ เมื่อลูกโตขึ้น พร้อมเนื้อผ้าเนียนนุ่ม สัมผัสสบาย ระบายอากาศได้ดี ให้ลูกน้อยสบายตัวตลอดการเดินทาง
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหมยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา หมุ่นง่าย พาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ
- ปรับการใช้งานได้ 3 STEPs ติดตั้งได้ทั้งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rearward Facing) หันหน้าไปหน้ารถ (Forward Facing) และปรับเป็นบูสเตอร์ซีทเด็กโต (Booster Seat)
- ติดตั้งง่ายด้วยระบบ ISOFIX และ Support leg ขาค้ำยัน ช่วยยึดคาร์ซีทให้แน่นหนากับเบาะรถยนต์
- ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ ตามสรีระลูกน้อย และปรับความสูงพนักพิงศีรษะได้ 12 ระดับ ตามสรีระลูกน้อยแต่ละวัยจนถึงส่วนสูง 150 เซนติเมตร
- มี Head Support หนา 3 ชั้น ปกป้องศีรษะ และลำคอทารกแรกเกิดได้อย่างแน่นหนา
- มี Side Protect เสริมการ์ดด้านข้าง ป้องกันการกระแทกได้อย่างปลอดภัย
- มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้จนลูกน้อยส่วนสูง 100 เซนติเมตร
- โครงคาร์ซีทใหญ่ แข็งแรง แตกหักยาก ดูดซับแรงกระแทกได้ดี
- มีซัพพอร์ตเด็กแรกเกิด ช่วยให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ สามารถถอดออกได้ เมื่อลูกโตขึ้น
- เนื้อผ้าเนียนนุ่ม สัมผัสสบาย ระบายอากาศได้ดี
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือมีความสูง 40 – 150 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศเยอรมนี

6. คาร์ซีทแรกเกิด KINDERKRAFT รุ่น I-GROW
คาร์ซีทอีกรุ่นหนึ่งที่ใช้งานได้อย่างยาวนานตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 12 ปี จัดเต็มเรื่องความปลอดภัย มีระบบติดตั้งเสริม TOP TETHER ตะขอเกี่ยวเบาะรถยนต์ พร้อมหมุนได้ 360 องศา เพียงกดปุ่มก็พาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก โครงคาร์ซีทมีขนาดใหญ่ แข็งแรง แตกหักยาก ดูดซับแรงกระแทกได้ดี มีซัพพอร์ตเด็กแรกเกิด ช่วยให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ สามารถถอดออกได้เมื่อลูกโตขึ้น เนื้อผ้าเนียนนุ่ม สัมผัสสบาย ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อลูกรัก
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งปลอดภัยสูง ด้วยระบบ ISOFIX และ TOP TETHER ตะขอเกี่ยวเบาะรถยนต์
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา พาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ
- ปรับการใช้งานได้ 3 STEPs ติดตั้งได้ทั้งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rearward Facing) หันหน้าไปหน้ารถ (Forward Facing) และปรับเป็นบูสเตอร์ซีทเด็กโต (Booster Seat)
- ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ และปรับความสูงพนักพิงศีรษะได้ 12 ระดับ ตามสรีระลูกน้อยแต่ละวัยจนถึงส่วนสูง 150 เซนติเมตร
- มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้จนลูกน้อยส่วนสูง 100 เซนติเมตร
- มี Head Support หนา 3 ชั้น ปกป้องศีรษะ และลำคอทารกแรกเกิดได้อย่างแน่นหนา
- มี Side Protect เสริมการ์ดด้านข้าง ป้องกันการกระแทกได้อย่างปลอดภัย
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือ ความสูง 40 – 150 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศเยอรมนี

7. คาร์ซีทกระเช้า KINDERKRAFT รุ่น MINK PRO
ถ้ากำลังมองหาคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย มีน้ำหนักเบา แนะนำเป็นคาร์ซีทแบบกระเช้าจาก KINDERKRAFT รุ่น MINK PRO ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยยุโรป R129 (i-Size) จากประเทศเยอรมนี มีน้ำหนักเบาเพียง 3.5 กิโลกรัม ถอด และถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ ติดตั้งแบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rearward Facing) มีซัพพอร์ตแรกเกิดหนานุ่มทั้งชิ้น ให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ระดับยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
- ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้ เช่น รถเข็นเด็กรุ่น Apino และรถเข็นรุ่น NEA
- ปรับพนักพิงศีรษะและเข็มขัดนิรภัยพร้อมกันได้ 5 ระดับ ตามสรีระลูกน้อย
- มี Head Support เมมโมรี่โฟมหนา 3 ชั้น เสริมด้านในด้วย EPS โฟม ปกป้องศีรษะ และลำคอทารกแรกเกิดได้อย่างแน่นหนา
- มี Side Protect เสริมการ์ดป้องกันการกระแทกด้านข้าง ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
- เข็มขัดนิรภัย 3 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม สัมผัสสบาย มีความปลอดภัยสูง
- มีหลังคาบังแดด ปกป้องสายตาทารกที่ยังบอบบาง ให้ลูกน้อยหลับสนิทมากขึ้น
- โครงคาร์ซีทแข็งแรง แตกหักยาก ดูดซับแรงกระแทกได้สูง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ความสูง 40 – 75 เซนติเมตร หรือน้ำหนัก 0 – 13 กิโลกรัม
การติดตั้ง : ระบบ Belt
แบรนด์ : ประเทศเยอรมนี

8. คาร์ซีทกระเช้า KINDERKRAFT รุ่น I-CARE
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาคาร์ซีทแรกเกิด ยี่ห้อไหนดีที่เป็นคาร์ซีทแบบกระเช้า รุ่นนี้ก็น่าสนใจค่ะ เป็นคาร์ซีทกระเช้าเด็กแรกเกิดที่สามารถถอดและถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ เลย ติดตั้งกับรถเข็นเด็กได้ สะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมจัดเต็มเรื่องความปลอดภัย ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยยุโรป R129 (i-Size)
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้ เช่น รถเข็นเด็ก รุ่น NEA
- ปรับพนักพิงศีรษะและเข็มขัดนิรภัยพร้อมกันได้ 4 ระดับ ตามสรีระลูกน้อย
- น้ำหนักเบาเพียง 4.2 กิโลกรัม ถอดออก และถือหิ้วได้สะดวก
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม สัมผัสสบาย
- พนักพิงแข็งแรง หนา 3 ชั้น ลดแรงกระแทกได้ดี
- มีฟังก์ชั่น Side Protect เสริมการ์ดป้องกันการกระแทกด้านข้าง
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม สัมผัสสบาย มีความปลอดภัยสูง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ส่วนสูง 40 – 87 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ Belt (ฐาน Isofix จำหน่ายแยก)
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านใดที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดอย่างไรดี ต้องพิจารณาจากปัจจัยใดบ้าง ก็หวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ หรือถ้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า BabyGift เป็นร้านจำหน่ายสินค้าแม่ และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการคัดสรรคาร์ซีทที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกช่วงวัย คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเลือกชมคาร์ซีทสำหรับแรกเกิดได้ด้วยตัวเอง หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
อ้างอิงที่มาข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.babylist.com/hello-baby/car-seats
https://www.tcc.or.th/tcc_media/info-how-to-choose-carseat/
https://www.princsuvarnabhumi.com/news/car-seat

สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คาร์ซีทออร์แกนิค เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยและฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อคาร์ซีทแล้ว เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็เป็นอีกปัจจัยที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด เนื่องจากผิวลูกน้อยบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึงหลายเท่า มีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือติดเชื้อได้ง่าย เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ คุณพ่อคุณแม่ จึงต้องใส่ใจและพิจารณาวัสดุที่จะมาสัมผัสกับผิวลูกน้อยเป็นอย่างดี ผ้าฝ้าย Organic หรือผ้าที่ทำจากฝ้าย Organic 100% เป็นผ้าที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจะทำให้ผ้าฝ้ายที่ได้มานั้น ปลอดจากสารพิษ และยาฆ่าแมลง ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำร้ายสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งองค์กรผู้บริโภคสินค้าออร์แกนิค (The Organic Consumers Association) ยังแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าออร์แกนิคคอตตอน หรือผ้าฝ้าย Organic 100% เป็นทางเลือกแรกอีกด้วย คาร์ซีทออร์แกนิค มีข้อดีอย่างไรบ้าง 1. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ จากข้อมูลในรัฐแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ระบุว่าในการปลูกฝ้ายด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปจะมีการใช้ยาฆ่าแมลง โดยเฉลี่ยต่อปีจะมีการมูลค่ากว่า 2.6 พันล้านเหรียญ และผลการทดสอบยาฆ่าแมลงจำนวน 5 […]
คำถามติดอันดับยอดฮิตของคุณแม่มือใหม่คือ “เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร และต่างจากประจำเดือนอย่างไร?” เพราะเจ้าเลือดตัวนี้จะเป็นตัวชี้ชะตาเลยว่า เรากำลังจะเป็นแม่คนหรือเปล่า เอาล่ะค่ะ เราจะไม่ปล่อยให้คุณแม่ต้องสงสัยกันนาน ลองมาดูกันดีกว่าว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณแม่นั้นเป็นเลือดล้างหน้าเด็กหรือประจำเดือนกันแน่ เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร? เลือดล้างหน้าเด็กนั้นเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังจะเป็นแม่คน แต่ก็ไม่ใช่ว่าแม่ท้องทุกคนจะมีเลือดล้างหน้าเด็กนะคะ เลือดล้างหน้าเด็กก็คืออาการที่มีเลือดออกมาจากทางช่องคลอด แต่ก็เป็นแค่แบบกะปริบกะปรอยเท่านั้นเอง เลือดล้างหน้าเด็กเกิดจากอะไร? เลือดล้างหน้าเด็กเกิดจากการที่ตัวอ่อนเข้าฝังตัวกับเยื่อบุโพรงมดลูกค่ะ เพราะบางครั้งการฝังตัวนี้อาจจะทำให้หลอดเลือดฝอยในโพรงมดลูกแตก ทำให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอด แต่ไม่ได้เยอะอะไรเท่าไหร่นะ เลือดล้างหน้าเด็กมาแค่วันเดียวใช่หรือไม่? ส่วนใหญ่แล้วเลือดล้างหน้าเด็กจะมาประมาณ 2-3 วันค่ะ แต่จะมาไม่ตรงกับรอบเดือนของเรานะคะ โดยจะมาก่อนครบกำหนดรอบเดือนประมาณ 1 อาทิตย์ เลือดล้างหน้าเด็กกับประจำเดือนต่างกันอย่างไร? เลือดล้างหน้าเด็กกับประจำเดือนค่อนข้างแตกต่างกัน และแยกได้อย่างค่อนข้างง่ายเลยล่ะค่ะ อย่างหนึ่งคือเลือดล้างหน้าเด็กจะมีสีที่จางกว่าเลือดประจำเดือนค่ะ และมีปริมาณไม่เยอะเท่า นอกจากนี้ในบางคนที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำแล้ว จะยิ่งสังเกตง่ายกว่าเดิมอีกค่ะ เพราะเลือดล้างหน้าเด็กจะไม่มาพร้อมกับอาการปวดท้องค่ะ และที่สำคัญคือ เลือดล้างหน้าเด็กจะมาไม่ตรงรอบเดือนของเราด้วย แล้วอาการแท้งคุกคามคืออะไร? อาการหรือภาวะแท้งคุกคามคือการแท้งบุตรที่มีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดก่อนครบกำหนดคลอด โดยมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของทารกในครรภ์ คุณแม่ที่ตั้งท้องตอนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โรคเรื้อรัง หรือตำแหน่งการฝังตัวของตัวอ่อนที่ผิดไปจากปกติ อาการแท้งคุกคามนี่เกิดขึ้นได้ในทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์เลยนะคะ เพราะงั้นคุณแม่ที่กำลังท้องอ่อนๆ หรือยังไม่รู้ตัวว่าท้อง การมีเลือดออกมาจากทางช่องคลอดก็สามารถเป็นได้ทั้งเลือดล้างหน้าเด็ก ประจำเดือน และแท้งคุกคามเลย ความแตกต่างระหว่างเลือดล้างหน้าเด็กกับแท้งคุกคาม? ถ้าคุณยังไม่รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นแม่คน แต่มีเลือดไหลออกมาจากทางช่องคลอดที่ไม่ตรงกับการมารอบเดือนแล้วนั้น จะมีสาเหตุได้อยู่สองอย่างค่ะ ก็คืออาจจะเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก หรือแท้งคุกคาม […]
ช่วงนี้บอกได้เลยว่า กราฟความเป็นห่วงและกังวลของแม่ๆ ก็คงจะพุ่งปรี๊ดทะลุเพดาน เพราะมีเชื้อโรคตัวร้ายอย่าง COVID ที่ความร้ายกาจนั้นอยู่ที่มันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเกิดมายุคไหน ก็คงจะหนีไม่พ้นจากการปลูกฝังให้ล้างมือ แต่เด็กๆ ยุคนี้จะไม่หยุดอยู่แค่ที่ล้างมือค่ะ เพราะเราจะมีขั้นตอนเพื่อสุขอนามัยที่ดีที่เยอะกว่านั้น มาดูกันเลยค่ะ ว่ายุคแห่งสงคราม “โรค” เช่นนี้ เราจะฝึกให้ลูกน้อยดูแลสุขอนามัยของตัวเองยังไงได้บ้าง 1. ล้างมือให้นานกว่าเดิม เพิ่มเติมคือมีท่า ตอนนี้คงจะพูดแค่ว่าให้ล้างมือให้สะอาดไม่ได้อีกต่อไป แต่จะต้องเน้นให้ล้างมือนานกว่าเดิม เพราะมือที่ดูเหมือนว่าสะอาดแล้ว อาจจะไม่ได้สะอาดอย่างที่เห็น การล้างมือที่ถูกต้องที่เราอยากให้คุณแม่ปลูกฝังลูกๆ ก็คือการล้างมือแบบ 7 ขั้นตอนค่ะ ลองมาดูกันนะ ว่าทำแบบไหนบ้าง แม้ขั้นตอนจะดูเยอะไปซักนิด แต่คุณแม่มั่นใจได้เลยค่ะ ว่าถ้าลูกน้อยทำครบ 7 ขั้นตอนนี้ ต่อให้เชื้อโรคที่แฝงตัวอยู่ในซอกเล็บยังต้องกลัว! การันตีมือสะอาดหมดจด ตั้งแต่ข้อมือยันปลายเล็บเลยล่ะ! 2. มือกับหน้า ไม่ควรมาเจอกัน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบังคับไม่ให้ลูกๆ ใช้มือสัมผัสหน้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะห้ามไม่ได้นะคะ คุณแม่อาจจะต้องค่อยๆ สอนไป อาจจะแกล้งบอกเค้าว่ามือกับหน้าโกรธกันอยู่ ไม่ควรมาเจอกัน หรือเวลาลูกจะใช้มือมาจับที่หน้า อย่าดุ อย่าทำเสียงดัง หรือทำให้เค้าตกใจ แต่ใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้เค้าใช้มือไปจับอย่างอื่นแทน ถ้าวิธีพวกนี้ไม่เวิร์ค เราอาจจะใช้วิธีคุยกับเค้าไปตรงๆ เล่าให้เค้าฟังว่าที่มือของเค้ามีเชื้อโรค ซึ่งมันจะมากัดที่หน้าถ้าเผลอเอามือไปจับก็ได้เช่นกันค่า […]
…แต่ก็ไม่ง่ายเลย ให้คาร์ซีทเป็นเก้าอี้วิเศษของเด็กๆ ประสบการณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่อยากแชร์ให้ทุกๆบ้านฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ วิธีนี้พิสูจน์แล้วได้ผลแน่นอนค่ะ แต่ช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็งหน่อยนะคะ อ่านจบแล้วนำไปฝึกกับลูกๆเราได้เลยค่ะ ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆ เรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ” คาร์ซีทของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย 1. สร้างความผูกพันกับคาร์ซีท อนุญาตให้ลูกเอาสติ๊กเกอร์มาตกแต่งคาร์ซีทของตัวเองได้ เอาให้ถูกใจเลยเพราะต้องนั่งไปอีกนาน 2. มอบรางวัล บอกลูกว่า เราจะออกเดินทางได้ก็ต่อเมื่อล็อกสายรัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วลูกจะรีบทำตัวน่ารักเพราะอยากไปเที่ยว แต่ถ้ากำลังพาไปหาหมอ อาจให้ขนมเป็นรางวัลได้ 3. เบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าโยเยนัก ชวนคุยเรื่องการ์ตูนที่ลูกกำลังอินดีกว่า แค่นี้ก็เผลอจดจ่อกับการโม้เรื่องเจ้าหญิงกับฮีโร่ จนไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองถูกจับนั่งคาร์ซีทเรียบร้อยแล้ว (มุกนี้ไม่เหนื่อย แถมสนุกดีด้วย) 4. เตรียมของเล่นแก้เบื่อ ควรมีของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในรถ แนะนำว่าควรเป็นของเบาๆ และไม่แข็ง เช่น หนังสือผ้า เพราะคุณอาจโดนลูกเอาของในมือปาใส่ขณะขับรถ […]
คุณแม่มือใหม่กำลังคิดว่าจำเป็นต้องมีเครื่องปั๊มนมไว้ใช้หรือไม่? หรือกำลังสงสัยว่าควรเลือกแบบไหนดี? วันนี้เรามาตอบทุกคำถามเกี่ยวกับเครื่องปั๊มนมกันอย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณแม่เตรียมตัวได้อย่างมั่นใจและเลือกซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง ประโยชน์ของเครื่องปั๊มนม เครื่องปั๊มนมเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่สามารถเก็บนมแม่ไว้ล่วงหน้าได้ ช่วยแก้ปัญหาเมื่อต้องออกไปทำงานหรือมีธุระนอกบ้าน ลดความกังวลเรื่องลูกหิวนม นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการผลิตนมแม่ให้ต่อเนื่อง และบรรเทาอาการเต้านมตึงเมื่อมีนมมากเกินไป เครื่องปั๊มนมมีกี่ประเภท เครื่องปั๊มนมมีให้เลือกหลากหลายประเภทตามความต้องการ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง เครื่องปั๊มนมแบบใช้มือ ที่ปั๊มนมแบบใช้มือเป็นตัวเลือกพื้นฐานที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้ปั๊มนมบ่อย ใช้งานได้ทุกที่โดยไม่ต้องพึ่งกระแสไฟฟ้า ราคาไม่แพง และเก็บรักษาง่าย แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าและอาจเมื่อยมือในการใช้งาน เครื่องปั๊มนมแบบไฟฟ้าเดี่ยว เครื่องปั๊มนมไฟฟ้าแบบเดี่ยวใช้ปั๊มทีละข้าง ทำงานอัตโนมัติช่วยประหยัดแรงคุณแม่ เหมาะสำหรับการใช้งานเป็นครั้งคราว สะดวกกว่าแบบใช้มือและมีราคาที่เหมาะสม แต่ใช้เวลานานกว่าแบบปั๊มคู่เมื่อต้องปั๊มทั้งสองข้าง เครื่องปั๊มนมแบบไฟฟ้าคู่ เครื่องปั๊มนมไฟฟ้าแบบคู่สามารถปั๊มทั้งสองข้างพร้อมกัน ประหยัดเวลาได้มาก เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องปั๊มนมเป็นประจำหรือต้องทำงานนอกบ้าน ช่วยกระตุ้นการผลิตนมได้ดีกว่า แต่ราคาสูงกว่าและต้องใช้พลังงานไฟฟ้า เครื่องปั๊มนมสำหรับใช้ในโรงพยาบาล เครื่องปั๊มนมระดับโรงพยาบาลมีขนาดใหญ่และประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับกรณีที่ลูกต้องเข้ารับการดูแลพิเศษในไอซียู หรือคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องการให้นม สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคนโดยมีอุปกรณ์ส่วนตัวแยกกัน วิธีการใช้เครื่องปั๊มนมที่ถูกต้อง การใช้เครื่องปั๊มนมอย่างถูกต้องจะช่วยให้ได้นมมากขึ้นและปลอดภัย มีขั้นตอนดังนี้ เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องปั๊มนมสำหรับมือใหม่ การเลือกเครื่องปั๊มนมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละคน วิธีทำความสะอาดเครื่องปั๊มนม การดูแลรักษาเครื่องปั๊มนมให้สะอาดเป็นเรื่องสำคัญมาก 3 เครื่องปั๊มนมที่คุณแม่เลือกใช้ เรามาดูเครื่องปั๊มนมยอดนิยม 3 รุ่นที่คุณแม่หลายคนให้ความไว้วางใจ แต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ช่วยตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของคุณแม่ยุคใหม่ 1. ATTITUDE MOM เครื่องปั๊มนมไร้สาย […]
พูดถึง “ตะคริว” แม้จะไม่ใช่คุณแม่ท้องยังต้องส่ายหน้าเพราะไม่อยากเป็น ก็เป็นตะคริวทีไรปวดขา ปวดน่องจนขยับไม่ได้และทรมานสุดใจจริงๆ ยิ่งเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่แทบทุกคนจะต้องเผชิญอาการปวดตะคริวนี้ ยิ่งแสนทรมาน ไหนจะท้องใหญ่ขยับตัวลำบาก เคลื่อนไหวยาก มาเป็นตะคริวตอนกลางคืนหรือดึกๆ อีก ทำให้นอนไม่หลับ นอนไม่เต็มที่ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไร ฉะนั้นถ้าคุณแม่ท้องรู้ทันและป้องกันตะคริวได้ล่วงหน้า เชื่อว่าแม่ๆ จะต้องแฮปปิ้ยิ้มร่าแน่นอน ทำไม? แม่ท้อง ต้องเป็นตะคริว จริงๆ แล้วไม่ใช่แม่ท้องเท่านั้นที่เป็นตะคริว เพราะคนทั่วๆ ไปก็มักจะเป็นได้ ยิ่งคนในวัยทำงาน เพราะอาการ “ตะคริว” หรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เกิดจากการขาดแคลเซียม และมีฟอสฟอรัสมากเกินไปในกระแสเลือด การยืน เดิน หรือต้องนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเป็นเวลานานๆ ซึ่งจะทำให้เลือดเดินไม่สะดวก เกิดของเสียคั่งบริเวณน่อง เลือดไหลเวียนไปส่วนล่างได้ไม่สะดวก ทำให้กล้ามมเนื้อหดตัวจนเกิดตะคริวได้ ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์ทำไมถึงเป็นตะคริวบ่อยและเป็นเกือบทุกราย โดยมักจะมีอาการเป็นตะคริวเกิดขึ้นบ่อยในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ นั่นก็เพราะว่าในช่วงท้อง จะมีภาวะที่รวมเอาสาเหตุปัจจัยเกือบทุกอย่างที่ทำให้เป็นตะคริวไว้ด้วยกัน ตั้งแต่น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งจะทำให้ขาทั้งสองข้างของคุณแม่แบกรับน้ำหนักตัวที่มากขึ้น ส่งผลให้ระบบหมุนเวียนโลหิตบริเวณขาตึงแน่นเกินไป เลือดเดินไม่สะดวกเกิดของเสียคั่งบริเวณน่อง อิริยาบถการยืน เดินหรือนั่งในท่าเดิมๆ นานๆ และการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดตะคริวได้นั่นเอง 4 เคล็ดลับ […]








