ซื้อคาร์ซีทมือสองดีไหม ? จะซื้อมือสอง ต้องรู้อะไรก่อนบ้าง ? (พร้อมคาร์ซีทคุณภาพดีแนะนำ !)

คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกน้อย และต้องใช้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยที่สามารถรัดเข็มขัดนิรภัยขณะนั่งรถได้อย่างปลอดภัย และคาร์ซีทเองก็มีอยู่หลายแบบ หลายยี่ห้อ และหลายราคาเช่นกัน ซึ่งคาร์ซีทที่เป็นของใหม่นั้น คุณพ่อคุณแม่บางท่านก็อาจจะมองว่ามีราคาสูงเกินไป และต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ก็เลยมองหาคาร์ซีทมือสองที่มีราคาย่อมเยากว่า โดยเฉพาะคาร์ซีทแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่นแบบมือสองที่มีราคาย่อมเยากว่าของใหม่มาก และดูจากสภาพภายนอกก็ยังมีความใหม่ ไม่เก่า และน่าใช้ แต่ความจริงแล้ว เราควรใช้คาร์ซีทแบบมือสองหรือเปล่า ? จะเลือกอย่างไร ? คุณภาพจะดีหรือไม่ ต้องพิจารณาอย่างไร มาอ่านเพิ่มเติมกันเลยค่ะ 

ควรซื้อไหม คาร์ซีทมือสอง ? แชร์สิ่งต้องรู้ก่อนซื้อคาร์ซีทแบบมือสอง ในบทความนี้กัน ! 

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่า ทำไมคาร์ซีทแบรนด์ดังนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหลายที่ขายกันตามท้องตลาดในราคาสองสามหมื่นบาทนั้น เมื่อเป็นคาร์ซีทมือสองก็ยังคงมีสภาพเยี่ยมเหมือนใหม่แถมยังดูน่าใช้ ที่สำคัญคือขายกันในราคาแค่ไม่กี่พันบาทเท่านั้น เรียกได้ว่าทั้งสภาพ และราคาดูมีความน่าสนใจ ดูมีความคุ้มค่ามากๆ จนหลายคนอยากซื้อมาใช้ให้ลูกนั่งกันเลยทีเดียว แต่ความจริงก็คือ คาร์ซีทมือสองญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นเค้าไม่ใช้กันแล้ว เรียกง่ายๆ ก็คือ เป็นของที่เค้าเอาทิ้งกันแล้วนั่นเอง แต่ด้วยเทคนิคการทำความสะอาดขั้นเทพของคนญี่ปุ่นที่ไม่ว่าของจะเก่า เลอะเทอะ เปรอะเปื้อนแค่ไหน ไม่ว่าจะมีคราบเลือด คราบอาเจียน มีเชื้อรา มีกลิ่นเหม็นจากปัสสาวะเด็ก หรือมีคราบสิ่งสกปรกอื่นๆ หรือสีซีดจางขนาดไหนก็สามารถนำมาทำความสะอาดให้ดูเหมือนใหม่ได้ ทำให้คาร์ซีทที่ถูกใช้มานานหลายปียังดูสะอาดและสวยสภาพดีไม่ต่างจากของใหม่นั่นเองค่ะ และถ้าเป็นแบบนี้ะถ้าเป็นแบบนี้ คาร์ซีทมือสอง ปลอดภัยจริงหรือ ? ควรซื้อมาใช้หรือไม่ เรามาดูกันต่อเลยค่ะ  

ในขั้นตอนการทำความสะอาดคาร์ซีทที่สกปรกมากๆ นั้นอาจจะต้องมีการถอดชิ้นส่วนสำคัญๆ เช่น เข็มขัดนิรภัย ตัวล็อคต่างๆ เพื่อทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม การประกอบชิ้นส่วนเหล่านี้กลับเข้าไปดังเดิมจากผู้ที่ไม่มีความชำนาญ และไม่มีอุปกรณ์เฉพาะของโรงงานผู้ผลิต จะทำให้ระบบภายในของคาร์ซีทนั้นหลวมไม่แน่นหนาและไม่มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะใช้ปกป้องเด็กได้ รวมถึงจะไม่ได้รับการรับประกัน และอาจไม่สามารถส่งเข้าศูนย์ซ่อมได้อีก ซึ่งสำหรับคนญี่ปุ่นเองแล้ว จะไม่ซื้อคาร์ซีทที่เป็นของมือสองไปใช้อย่างเด็ดขาด แต่ในประเทศไทยที่มีการจำหน่ายคาร์ซีทมือสองญี่ปุ่นที่เป็นแบรนด์ดังต่างๆ นั้น ก็เพราะว่ามีการซื้อมาในราคาที่ถูกมากๆ และสามารถนำมาตั้งราคาขายในราคาที่ต่ำกว่าสินค้ามือหนึ่งมากๆ และยังคงได้กำไรอยู่ ทำให้มีการซื้อมาขายต่อกันอย่างแพร่หลาย และได้รับความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาคาร์ซีทราคาย่อมเยาให้ลูกน้อย ด้วยสภาพสินค้าที่ดูเหมือนใหม่และมีราคามีต่ำกว่ามือหนึ่งนั้น ก็สามารถดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่รู้หรือไม่ว่า คาร์ซีทแบบมือสองนี้ มีอันตรายมากกว่าที่คิดค่ะ  

อันตรายจากการซื้อคาร์ซีทแบบมือสอง ที่พ่อแม่ควรตระหนักมีอะไรบ้าง ?

1. ไม่ทราบประวัติการใช้ของคาร์ซีทอย่างแน่ชัด
คาร์ซีทมือสองญี่ปุ่นที่ขายในออนไลน์หรือวางขายในร้านขายสินค้ามือสองจากญี่ปุ่นนั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าคาร์ซีทตัวนั้นมีประวัติการใช้งานอย่างไร ผ่านการเกิดอุบัติเหตุมาหรือไม่ ซึ่งถ้าผ่านการเกิดอุบัติเหตุหรือเคยโดนชนมาแล้วยิ่งไม่ควรใช้อย่างเด็ดขาดเพราะระบบความปลอดภัยต่างๆ อาจเสียหายไปแล้ว และไม่สามารถปกป้องลูกน้อยของเราได้ โดยองค์กรบริหารความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา หรือ NHTSA กล่าวว่า คาร์ซีทที่เคยใช้งานจนผ่านอุบัติเหตุมาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำคาร์ซีทนั้นมาใช้งานต่อ แต่ให้เปลี่ยนใหม่ทันที ดังนั้นแล้วหากไม่รู้ประวัติการใช้งาน ก็ไม่ควรซื้ออย่างยิ่งค่ะ  

2. มีการเสื่อมสภาพไปตามเวลา  
แม้ว่าสภาพภายนอกของคาร์ซีทมือสองจะดูใหม่เอี่ยม แต่โครงสร้างภายในอาจเสื่อมสภาพไปแล้ว ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ เมื่อนำมาใช้งานก็อาจจะไม่มีประสิทธิภาพและเป็นอันตรายต่อลูกรักได้  เช่น เข็มขัดไม่สามารถล็อคได้ โครงสร้างภายในหัก บิดเบี้ยว เหล็กขึ้นสนิม เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายขณะใช้งานได้ และไม่สามารถปกป้องลูกรักของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพในขณะที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ซึ่งแทนที่จะช่วยป้องกันความเสียหาย อาจทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มมากขึ้นก็ได้ค่ะ  

3. ใช้งานได้ในระยะเวลาจำกัด  
โดยทั่วไปแล้วคาร์ซีทจะมีอายุการใช้งานไม่เกิน 6 ปี (ยกเว้นบางรุ่นที่สามารถใช้ได้ถึง 12 ปี) ซึ่งการซื้อคาร์ซีทแบบมือสองนั้น บางตัวอาจจะใช้งานมาแล้วเกือบ 6 ปี ซึ่งใกล้หมดอายุการใช้งานพอดี ทำให้คาร์ซีทเสื่อมสภาพทั้งโครงสร้างและวัสดุต่างๆ หากซื้อคาร์ซีทแบบมือสองมา ก็อาจใช้งานได้ในระยะเวลาสั้นๆ และต้องหาซื้อคาร์ซีทตัวใหม่ ดูเผินๆ แล้วสินค้ามือสองอาจมีราคาย่อมเยากว่า แต่เมื่อเทียบกับระยะเวลาในการใช้งานแล้ว สินค้ามือหนึ่งอาจมีความคุ้มค่ามากกว่า ปลอดภัยกว่า และใช้งานได้ยาวนานกว่าก็ได้ค่ะ 

4. เป็นคาร์ซีทที่ตกรุ่น และไม่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย  
คาร์ซีทที่เป็นของมือสองบางรุ่นนั้นผลิตมานานแล้ว ซึ่งระบบความปลอดภัยต่างๆ อาจไม่ทันสมัยเท่าคาร์ซีทมือหนึ่งที่เป็นรุ่นใหม่และออกวางขายในท้องตลาดได้ไม่นาน คาร์ซีทแบบมือสองนั้นอาจไม่สามารถปกป้องลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ ไม่ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัยที่ใช้กันในปัจจุบัน โดยสำหรับคาร์ซีทในประเทศไทยที่ได้มีประกาศจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ว่าคาร์ซีทจะต้องผลิตหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยของยุโรปเท่านั้น และเพิ่มข้อบังคับให้คาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนจากด้านข้างด้วย ซึ่งตรงกับข้อบังคับของมาตรฐานคาร์ซีท ECE R129 (i-Size) อันเป็นมาตรฐานฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด ดังนั้นแล้ว ควรเลือกใช้คาร์ซีทที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคาร์ซีท ECE R129 (i-Size) ซึ่งคาร์ซีทแบบมือสองนั้น ก็อาจจะไม่ผ่านมาตรฐานนี้ค่ะ  

5. ไม่มีคู่มือการใช้งาน และไม่ทราบวันหมดอายุของคาร์ซีท
คาร์ซีทมือสองที่วางขายในร้านขายสินค้ามือสองนั้น บางตัวก็จำหน่ายเพียงคาร์ซีทเดี่ยวๆ ไม่มีกล่องและไม่มีคู่มือการใช้งานมาให้ ทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคาร์ซีทตัวนี้ผลิตเมื่อไหร่และหมดอายุการใช้งานในปีไหน ซึ่งคาร์ซีทบางตัวบางรุ่นก็ไม่ได้ระบุวันหมดอายุการใช้งานเอาไว้ในตัวสินค้า การซื้อคาร์ซีทแบบมือสองจากร้านทั่วไปนั้น ทำให้เราไม่ทราบวันผลิตและวันหมดอายุการใช้งานที่แน่ชัด หากหมดอายุการใช้งานพอดีแต่เราซื้อไปให้ลูกนั่งเพราะเห็นว่าสภาพภายนอกยังคงใหม่อยู่ ก็อาจจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับลูกน้อยโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังไม่มีการรับประกัน ไม่สามารถเปลี่ยนอะไหล่และไม่สามารถส่งซ่อมได้ด้วย ต่างจากการซื้อสินค้ามือหนึ่งที่นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกต้อง ซึ่งเราสามารถสอบถามวันผลิต – วันหมดอายุของสินค้าได้ และยังสามารถส่งซ่อมที่ศูนย์ได้อย่างสะดวกสบาย  

มาดูคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้คาร์ซีทแบบมือสองในต่างประเทศกันบ้าง ! 

ในต่างประเทศที่มีการใช้คาร์ซีทอย่างแพร่หลายและมีกฎหมายบังคับควบคุมการใช้คาร์ซีทอย่างเข้มงวด หน่วยงานรัฐบาลและเอกชนต่างก็ร่วมกันออกมารณรงค์ให้พ่อแม่ทุกคนเข้าใจและตระหนักถึงภัยอันตรายจากการใช้คาร์ซีทแบบมือสองกันอย่างจริงจัง  ตัวอย่างเช่น 

  • ประเทศอังกฤษ เว็บไซต์  childcarseats.org.uk ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้คาร์ซีทอย่างถูกต้อง ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคาร์ซีทที่เป็นของมือสองด้วยคำแนะนำง่ายๆ ว่า หากเป็นไปได้ ก็ไม่ควรซื้อคาร์ซีทแบบมือสองมาใช้ หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรเลือกอย่างละเอียด 
  • ประเทศสหรัฐอเมริกา เว็บไซต์ healthychildren.org หรือสมาคมกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กในประเทศสหรัฐอเมริกามีคำแนะนำเกี่ยวกับคาร์ซีทแบบมือสองว่า ห้ามใช้คาร์ซีทเก่าที่ไม่รู้ประวัติการใช้งานโดยละเอียดอย่างเด็ดขาด รวมถึงอย่าซื้อคาร์ซีทที่มีสภาพเก่าเกินไป เป็นคาร์ซีทที่มีรอยแตกหรือชำรุด คาร์ซีทที่ไม่มีวันที่ผลิตและชื่อรุ่น คาร์ซีทที่ไม่มีคู่มือมาให้ รวมถึงคาร์ซีทที่มีอะไหล่ และส่วนประกอบไม่ครบ เพราะเราไม่สามารถบอกได้เลยว่าคาร์ซีทตัวนั้นมีความบกพร่องหรือเคยถูกเรียกคืนหรือไม่  
  • ประเทศแคนาดา Transport Canada หรือ กรมการขนส่งแห่งประเทศแคนาดาได้ระบุไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้คาร์ซีทในแคนาดา ว่าคาร์ซีทที่ขายในประเทศแคนาดาทุกตัวมีการระบุวันหมดอายุ พร้อมทั้งแนะนำให้ประชาชนทิ้งหรือทำลายคาร์ซีทที่หมดอายุ และไม่ควรนำไปขายต่อ หรือมอบให้แก่เพื่อน หรือบุคคลในครอบครัวนำไปใช้ต่อ และมีข้อแนะนำว่าคาร์ซีทแบบมือสองต้องมีคุณสมบัติตรงกับมาตรฐานความปลอดภัยด้านยานยนต์ของแคนาดา หรือ Canadian Motor Vehicle Safety Standard และตามบทบัญญัติในกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค Canada Consumer Product Safety Act ยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามนำคาร์ซีทที่มีไว้ในครอบครองก่อนวันที่ 1 มกราคม 2012 ออกโฆษณา จำหน่าย หรือมอบให้ผู้อื่นอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องกันความปลอดภัยของผู้บริโภค

แล้วถ้าจำเป็นจะต้องใช้ของมือสองจริงๆ เราควรเลือกอย่างไร ?  

แม้ว่าการเลือกใช้คาร์ซีทมือสองจะมีความเสี่ยงมากกว่า และอาจปกป้องลูกน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้ไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการใช้คาร์ซีทมือหนึ่ง แต่ถ้าครอบครัวไหนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้คาร์ซีทที่เป็นของมือสองจริงๆ ก็มีสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดังนี้ค่ะ  

  • พยายามเลือกคาร์ซีทที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) ซึ่งมาตรฐานฉบับใหม่นี้ได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2556 หากจะเลือกซื้อคาร์ซีทที่เป็นสินค้ามือสอง ก็ให้มองหาตัวที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) เป็นหลักค่ะ  
  • ซื้อสินค้าต่อจากผู้ขายที่ไว้ใจได้เท่านั้น ควรพิจารณาซื้อคาร์ซีทที่เป็นของมือสองจากคนใกล้ตัวเรามากกว่าซื้อในตลาดคาร์ซีทมือสองญี่ปุ่นทั่วไป เพราะอย่างน้อยเราก็ทราบได้ว่า ผู้ขายเคยมีประวัติเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มาก่อนหรือเปล่า และคาร์ซีทตัวนี้เคยผ่านการชนมาก่อนหรือไม่ อาจซื้อจากญาติของเรา พี่น้องของเราที่มีลูก หรือจากเพื่อนสนิทของเรา เพราะอย่างน้อยก็มั่นใจว่าสามารถสืบประวัติการใช้งานได้  
  • ตรวจสอบคุณภาพของคาร์ซีทอย่างละเอียด ดูว่าคาร์ซีทมีสภาพดีหรือไม่ ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ และดูด้วยว่าคาร์ซีทใกล้หมดอายุการใช้งานแล้วหรือยัง ควรเลือกซื้อคาร์ซีทที่สามารถใช้ได้อีกอย่างน้อย 2 ปี ก่อนถึงวันหมดอายุการใช้งาน ถ้าหากคาร์ซีทระบุแค่วันผลิต ก็ให้นับไปอีก 6 ปี ซึ่งเป็นอายุการใช้งานของคาร์ซีทโดยเฉลี่ย  
  • เลือกแบบที่เหมาะกับลูกจริงๆ ทั้งในเรื่องของขนาดตัวลูก และอายุของลูก ผู้ปกครองบางท่านอาจเห็นว่าคาร์ซีทที่เป็นสินค้ามือสองตัวนั้นๆ มีราคาย่อมเยา โดยเฉพาะคาร์ซีทมือสองญี่ปุ่นที่เป็นแบรนด์ดังและได้รับความนิยมสูง ก็อาจจะตัดสินใจซื้อโดยลืมคำนึงถึงความเหมาะสมกับการใช้งานว่า เหมาะกับช่วงอายุ น้ำหนัก และส่วนสูงของลูกหรือไม่ ลูกสามารถนั่งได้สบายและมีความปลอดภัยจริงๆ หรือเปล่า หากซื้อมาแต่ใช้งานไม่ได้ ลูกนั่งไม่ได้ ก็เป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ค่ะ  

BabyGift แนะนำคาร์ซีทที่ได้มาตรฐาน รับประกันความปลอดภัย ใช้งานได้ยาวนาน  

เชื่อว่าความปลอดภัยของลูกรักนั้น เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญมาเป็นอันดับ 1 และคงไม่มีอยากให้เจ้าตัวน้อยของเราเสี่ยงอันตรายจากการใช้คาร์ซีทที่ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐาน หากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านใดกำลังมองหาคาร์ซีทที่ได้การรับรองมาตรฐานจากยุโรป และมีความคุ้มค่า ใช้งานได้หลายปี เรามีมาแนะนำแล้วค่ะ

1. คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium 

สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่อยากซื้อคาร์ซีทตัวที่สองให้ลูก ซึ่งเป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กโต แนะนำเป็นของแบรนด์ AILEBEBE รุ่น Papatto Premium แบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่นที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1 – 11 ปีเลยทีเดียว รุ่นนี้มี Head Support หนานุ่มถึง 3 ชั้น ช่วยป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง ช่วยปกป้องศีรษะ และลำคอของเด็กได้เป็นอย่างดี หมอนรองมีความนุ่ม สามารถระบายอากาศได้ดี นอนพิงได้สบายมากขึ้น ปรับเอนตามเบาะรถยนต์ได้มากถึง 120 องศา ให้ลูกได้นั่งสบาย พร้อมมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย  

จุดเด่น  

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากยุโรป ECE R44/04  
  • ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ประคองหลังและโอบอุ้มร่างกายให้นั่งสบายตลอดทาง 
  • มี Top Tether ตะขอเกี่ยวเบาะหลัง ป้องกันคาร์ซีทคว่ำหน้า  
  • ซัพพอร์ตเป็นหมอนหนานุ่ม 3 ชั้น ช่วยป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง ช่วยปกป้องศีรษะ และลำคอของเด็กได้เป็นอย่างดี  
  • ผ้า Mesh เรียบนุ่มตลอดช่วงตัว ระบายอากาศดี  
  • ช่องระบายอากาศด้านหลัง 864 ช่อง ระบายอากาศดี  
  • พนักพิงปรับได้ตามความสูง ถึง 145 เซนติเมตร  
  • ปรับเอนนอนได้ตามเบาะรถยนต์ ได้ 120 องศา  
  • ปรับเป็นบูสเตอร์ซีท (Booster Seat) ได้ หรือ จะถอดพนักพิงเป็นบูสเตอร์ซีทแบบพกพาได้ 

การใช้งาน : เด็กโต 1 – 11 ปี หรือ น้ำหนัก 9 – 36 กิโลกรัม หรือมีส่วนสูง 75 – 145 เซนติเมตร  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX 

แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น 

3. คาร์ซีทแรกเกิด APRICA รุ่น Fladea Grow Safety Plus 

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด APRICA รุ่น Fladea Grow Safety Plus ได้รับการคิดค้นวิจัยโดยกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นรุ่นเดียวในโลกที่มีการออกแบบเป็น Flatbed Design จดสิทธิบัตรเฉพาะแบรนด์ APRICA เท่านั้น โดยคาร์ซีทสามารถปรับนอนราบได้ ให้ลูกน้อยได้นั่งสบายระดับ First Class ปลอดภัยสูงสุดทุกการเดินทาง ติดตั้งครั้งเดียวจบ สามารถปรับใช้งานได้ทั้งแบบนอนราบ แบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) และหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 4 ปีเลยค่ะ  

 จุดเด่น  

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ระดับยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด  
  • ออกแบบเป็น Flatbed Design เป็นคาร์ซีทที่สามารถปรับนอนราบได้ ให้ทารกนอนหงายอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ท้องไม่งอ คอไม่พับ หายใจสะดวก ป้องกันภาวะ Baby Shaken Syndrome ได้อย่างอุ่นใจ  
  • ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ระบบทางเดินหายใจยังไม่แข็งแรง ก็สามารถใช้คาร์ซีทนอนราบได้อย่างปลอดภัย  
  • มี Mamoru Support เบาะนอนสำหรับทารก พร้อมเสริมนวมปลายเท้า กันกระแทกรอบด้าน 360 องศา นอนสบาย อบอุ่น และปลอดภัยมากขึ้น  
  • นวัตกรรมช่องระบายอากาศด้านหลัง อากาศถ่ายเทได้ดี ระบายความร้อนไม่ให้สะสมที่เบาะ นั่งนานได้โดยไม่รู้สึกร้อน  
  • คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา พร้อมล็อค 4 ทิศทาง เพิ่มความปลอดภัยในการหมุนมากขึ้น ช่วยพาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ  
  • มี Side Protection ป้องกันการกระแทกด้านข้างได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล  
  • มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง พร้อมเสริมนวมหนานุ่ม สวมใส่สบาย  
  • หลังคาขนาดใหญ่ กันความร้อน กันแดด UV Protection 99% ปกป้องดวงตาทารก พร้อมช่องระบายอากาศ 2 ช่อง อากาศถ่ายเทได้ดี  

 การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือความสูงระหว่าง 40 – 100 เซนติเมตร  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX 

แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น

สิ่งสำคัญที่สุด และมีค่ามากที่สุดก็คือ ชีวิต และความปลอดภัยของลูกเรา ดังนั้นการเลือกซื้อคาร์ซีทที่เป็นของมือสองนั้นก็ต้องพิจารณาว่า สามารถให้ความปลอดภัยกับลูกเราจริงๆ หรือไม่ และมั่นใจได้ว่ามีประสิทธิภาพที่จะปกป้องลูกของเราได้จริงหรือเปล่า ถึงแม่ว่าคาร์ซีทมือสองนั้นจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากก็ตาม แต่ก็ต้องคำนึงว่าคุ้มค่ากับชีวิตและความปลอดภัยของลูกเราหรือไม่ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอย่างเช่น วิธีการเลือกคาร์ซีทแบบเจาะลึก หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการคัดสรรคาร์ซีทที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกช่วงวัย ยินดีต้อนรับคุณพ่อคุณแม่ สามารถให้มาเลือกชมคาร์ซีทได้ด้วยตัวเอง พาลูกมาลองนั่งได้ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ  

อ้างอิงที่มาข้อมูลบางส่วนจาก https://www.motherschoice.com.au/blog/post/buying-a-new-or-second-hand-convertible-car-seat-which-is-best  
https://www.safekids.org/blog/it-okay-use-second-hand-car-seat 

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

คุณแพรว เพชรแพรว อัครเตชวาทิน หรือแม่แพรว จากเพจ PRAEW ที่หลายคนรู้จักกันดีในบทบาทของ Influencer สายแม่และเด็ก ที่แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกเชิงบวกได้อย่างดี ซึ่งเราจะเห็นได้จากกน้อง เฌอลินน์ ลูกสาวคนโตที่โตขึ้นมาเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความสามารถ ทำให้ใครหลายๆคนหลงกับความน่ารักของน้อง เฌอลินน์ ไปตามๆกัน และล่าสุดต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแพรว กับการคลอดลูกคนที่ 2 ที่มีชื่อว่า เมอฌินน์ หรือฉายา เจ้าลูกชิ้น ลูกชายคนแรกของแม่แพรวด่วยค่ะ            และถ้าใครเคยตาม หรือเคยเข้าไปดูเพจ PRAEW จะรู้ว่า แม่แพรวจะ Post Content ให้ความรู้ แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกไว้เป็นจำนวนมาก และล่าสุด คุณแพรวก็ได้แชร์ประสบการณ์การใช้คาร์ซีทในวันแรกที่พาน้อง เมอฌินน์ ออกจากโรงพยาบาล วันนี้ทาง BabyGift ขอนำมาแชร์ต่อค่ะ พร้อมพามาดูกันว่า คาร์ซีทที่น้อง เมอฌินน์ ใช้คือคาร์ซีทรุ่นไหน  คุณแพรว ได้แชร์ไว้ว่า ทุกครั้งที่นั่งรถ แพรวต้องให้ลูกนั่งคาร์ซีททุกครั้งค่ะ เพราะสำหรับแพรวความปลอดภัยของลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับคาร์ซีทที่แพรวเลือกให้เมอคือ คาร์ซีท Ailebebe Kurutto ค่ะ อันนี้เป็นรุ่น 6 รุ่นใหม่ของเค้าค่ะ คุณแพรว ยังบอกอีกว่า ที่แพรวเลือกรุ่นนี้เพราะแพรวมั่นใจคือเรื่องความปลอดภัยของเค้าค่ะ เค้ามีเทคโนโลยีพิเศษที่เพิ่มความปลอดภัยที่ทำให้เมอปลอดภัยมากขึ้นเวลาที่นอนอยู่บนคาร์ซีท วัสดุดีมาก! มีมาตรฐานรองรับจากโรงงานประเทศญี่ปุ่นและความปลอดภัยระดับยุโรป เบาะก็ Support ดี สบาย ระบายอากาศได้ ไม่อึดอัดเลยค่ะ ปรับเอนนอนได้ นั่งทุกครั้งเมอฌินน์หลับปุ๋ยตลอด ติดตั้งง่ายด้วยระบบ Isofix ที่สำคัญที่มามี๊แฮปปี้ที่สุด […]

“เวลาลูกสาววัย 5 เดือนดูดนมแม่ จะมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะที่ศีรษะจะเปียกตลอดเลยทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ถือเป็นอาการผิดปกติหรือเปล่า”  เด็กต้องการพลังงานเทียบกับน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆจึงต้องการใช้พลังงานสูงมาก เช่น เพื่อการสร้างเซลสมอง การสร้างเซลกล้ามเนื้อ ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องการพลังงานเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กล้ามเนื้อหัวใจในเด็กทารกเป็นเซลกล้ามเนื้อชนิดที่ล้าง่าย ต้องการพลังงานสูง ชีพจรของเด็กจึงเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ เด็กแรกเกิดชีพจรเต้น 140 ครั้งต่อนาที และลดลงเรื่อยๆเมื่อเด็กเติบโตขึ้น จนเป็น 60-80 ครั้งต่อนาทีเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานก็ย่อมมีมาก การระบายความร้อนออกจากร่างกายทำได้โดยการขับออกเป็นเหงื่อ ดังนั้นการที่เห็นว่าทารกนอนดูดนมเฉยๆ ทำไมถึงมีเหงื่อเยอะจัง เพราะภายในร่างกายของเขามีการทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ผิดปกติค่ะ ขณะที่ผู้ใหญ่จะใช้พลังงานสูงเท่ากับที่เด็กทารกต้องการ ก็ต่อเมื่อมีการออกกำลัง จนชีพจรเต้นเร็วเท่ากับเด็กทารก ถึงเวลานั้นเราก็มีเหงื่อออกเต็มตัวเหมือนเด็กทารกเวลาดูดนมเช่นกัน อย่างไรก็ดีมีโรคบางอย่างที่ทำให้ทารกมีเหงื่อออกมากผิดปกติกว่าเด็กคนอื่น เช่น โรคหัวใจ โรคธัยรอยด์เป็นพิษ แต่ลูกควรมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เลี้ยงไม่โต ดูดนมแล้วดูเหนื่อยต้องหยุดเป็นพักๆ ตรวจร่างกายฟังได้ยินเสียงผิดปกติที่หัวใจ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคเหล่านี้ ให้ปรึกษากุมารแพทย์ได้ค่ะ หากตรวจแล้วพบว่าลูกปกติดี การมีเหงื่อออกเวลาดูดนม นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังช่วยให้ต่อมเหงื่อทำงานขับของเสียออกทางผิวหนังอีกทางหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ให้ลูกตลอดเวลา เพียงใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ง่าย และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทจะดีกว่าค่ะ >>>ขอบคุณข้อมูล : สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

คุณอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับเกียรติเชิญให้เป็นวิทยากรให้ความรู้แก่บุคลลากรทางการศึกษา จำนวน 70 ท่าน ภายใต้ชื่อ “ความจำเป็นของคาร์ซีทและการเลือกใช้คาร์ซีทอย่างไรให้ถูกวิธี” ณ โรงเรียนเลิศหล้า ทั้งนี้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้คาร์ซีทอย่างถูกวิธี เพื่อให้บุคลลากรทางการศึกษาได้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นของคาร์ซีท และสามารถนำมาปรับใช้กับนักเรียนในโรงเรียนได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการบังคับใช้คาร์ซีทสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สิ่งแรกๆ ที่คุณแม่ส่วนใหญ่นึกถึงก็คือเรื่องของการคลอดใช่มั้ยล่ะคะ ส่วนวิธีการคลอดนั้น ก็อย่างที่คุณแม่ทราบกันดีว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ก็คือการคลอดธรรมชาติกับการผ่าคลอดค่ะ เราลองเปรียบเทียบกันดูดีกว่าว่าสองวิธีนี้ต่างกันยังไงบ้าง การคลอดธรรมชาติคืออะไร มีอะไรที่ต้องกังวลบ้าง? การคลอดธรรมชาติก็คือการที่คุณแม่เบ่งลูกน้อยออกมาทางช่องคลอด ซึ่งการคลอดแบบนี้คุณแม่จะต้องรอให้มีน้ำเดินหรือเจ็บท้องคลอด รวมถึงปากมดลูกเปิดมากพอที่จะทำการคลอดได้นั่นเอง ส่วนใหญ่แล้ว คุณแม่จะเจ็บท้องคลอดกันที่ช่วง 37-40 สัปดาห์ค่ะ การคลอดธรรมชาติมักเป็นที่นิยมเพราะคุณแม่ส่วนใหญ่ก็อยากมีประสบการณ์ อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดในการเบ่งคลอด แถมยังมีราคาถูกกว่าผ่าคลอดอีกด้วยนะ แม้ว่าการคลอดธรรมชาติจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แผลหายเร็ว และคุณแม่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แต่ก็มีหลายปัจจัยที่คุณแม่ควรทราบกันไว้ซักนิดนึงน้า ปัจจัยที่อาจทำให้การคลอดธรรมชาติไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเสมอไป 1. ลูกไม่กลับหัว ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการคลอดธรรมชาติ และมักจะจบลงด้วยการที่คุณหมอเปลี่ยนไปเป็นผ่าคลอดแทนค่ะ โดยปกติ เวลาที่จะคลอด ลูกน้อยจะต้องกลับหัวเพื่อใช้หัวดันออกมาจากช่องคลอด มีทารกบางรายที่ไม่ยอมกลับหัว หรืออาจจะกลับหัวผิดตำแหน่ง ทำให้คุณหมอไม่สามารถทำคลอดได้ 2. คุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น แรงเบ่งนั้นมีความสำคัญกับการคลอดธรรมชาติมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น ลูกน้อยก็จะไม่สามารถคลอดออกมาได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะ เพราะโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่คุณแม่ไปฝากครรภ์ เค้าจะมีการอบรม สอนวิธีการเบ่ง การหายใจ เพื่อให้คุณแม่สามารถเบ่งได้อย่างถูกวิธีค่ะ 3. คุณแม่มีโรคประจำตัว โรคประจำตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น โรคเบาหวาน […]

กำหนดคลอดใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานจะได้เจอหน้าลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่คงตื่นเต้นมากเลยใช่ไหมคะ แต่ก่อนจะไปคลอด เราแนะนำให้จัดกระเป๋า เตรียมของไปคลอด ก่อนนะคะ ซึ่งสามารถเริ่มจัดได้ตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 8 หรือเข้าสู่เดือนที่ 9 เลยค่ะ มีอะไรบ้างที่คุณแม่ต้องเตรียม ไปดูพร้อม ๆ กันเลย 10 ไอเท็ม คุณแม่ห้ามพลาด จัดกระเป๋า เตรียมของไปคลอด ต้องมีอะไรบ้าง ของใช้สำหรับลูกน้อย เตรียมของไปคลอด ผ้าห่อตัวเด็กแรกเกิด หมวก ถุงมือ ถุงเท้า เตรียมอย่างละ 2-3 ชุด แนะนำให้เลือกแบบผ้านุ่มพิเศษสำหรับทารกแรกเกิด หากใช้เป็นผ้าห่อตัวทารกเลยก็จะช่วยให้ทารกนอนในท่าตามธรรมชาติได้อย่างสบาย และยังสามารถขยับแขนได้อย่างอิสระ ช่วยให้ทารกหลับได้ง่ายและนานขึ้นด้วย ผ้าอ้อมผ้า ควรจะเตรียมไว้ประมาณ 1 แพ็ค (6 ผืน) ใช้ผ้าอ้อมที่เป็นเนื้อผ้าแบบใยไผ่ 100 % หรือ Cotton 100% เพราะสัมผัสจะนุ่ม ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับทารก แนะนำแบรนด์ IFLIN, Sofflin ผ้าเช็ดตัวเด็กทารก สำหรับทารกแรกเกิดที่ผิวยังบอบบางมาก ควรจะใช้ผ้าเช็ดตัวของทารกโดยเฉพาะ ซึ่งผ้าแบบใยไผ่จะเหมาะกับผิวเด็กทารกมากกว่า […]

คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อย และคุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมพร้อมคาร์ซีทให้เรียบร้อยก่อนที่ลูกน้อยจะคลอด เพราะเมื่อออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ต้องนั่งคาร์ซีทกลับบ้าน ทั้งเพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยเอง และเพื่อปฏิบัติตามกฏหโมายเรื่องการกำหนดที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดอย่างไรดี ควรเลือกแบบไหน คาร์ซีทสำหรับเด็กมีกี่ประเภท เลือกอย่างไร BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันแล้วค่ะ  เลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิด อย่างไรดี ? ต้องรู้อะไร ? เลือกยังไงดี หาคำตอบได้จากบทความนี้ !  คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องเตรียมไว้ให้กับลูกตั้งแต่ก่อนคลอด และควรที่จะให้ลูกได้ใช้ตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากร่างกายของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง ยังไม่สามารถรับแรงกระแทกได้มากเท่าไหร่ อีกทั้งเราไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงควรป้องกันไว้ก่อนและเตรียมความพร้อมในทุกสถานการณ์ คาร์ซีท เด็กแรกเกิด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี ต้องเลือกแบบไหน คาร์ซีท มีกี่แบบ ต้องเลือกอย่างไร ? ในบทความนี้ BabyGift มีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดมาฝากกันค่ะ เรามารู้จักประเภทของคาร์ซีทกันก่อนเลย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดได้ดังนี้  1. New Born Only : หรือคาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages