เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเริ่ม กฎหมายคาร์ซีท

หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้

เมื่อมี กฎหมายคาร์ซีท ออกมาแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องมองหาคาร์ซีทให้ลูกอย่างจริงจังเลยใช่ไหมคะ แล้วคาร์ซีทแบบไหนเหมาะสำหรับลูกเรา แบบไหนปลอดภัยกว่า วันนี้ Baby Gift ได้รวบรวมข้อมูลมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมความพร้อมแล้วค่ะ ไปดูกันเลย

หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้

เมื่อมี กฎหมายคาร์ซีท ออกมาแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องมองหาคาร์ซีทให้ลูกอย่างจริงจังเลยใช่ไหมคะ แล้วคาร์ซีทแบบไหนเหมาะสำหรับลูกเรา แบบไหนปลอดภัยกว่า วันนี้ Baby Gift ได้รวบรวมข้อมูลมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมความพร้อมแล้วค่ะ ไปดูกันเลย

ก่อนเริ่ม กฎหมายคาร์ซีท ต้องรู้วิธีเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะกับลูกก่อน

คาร์ซีท มีกี่ประเภท

โดยปกติแล้วในท้องตลาดมีคาร์ซีทที่วางจำหน่ายเอาไว้มากมายหลายประเภท และแบ่งการใช้งานตามช่วงอายุและน้ำหนักแต่หลัก ๆ เราสามารถแบ่งคาร์ซีททออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด และคาร์ซีทสำหรับเด็กโต ซึ่งในแต่ละประเภทสามารถแยกย่อยได้อีกเป็นอย่างละ 2 ประเภท รวมแล้วเราจะสามารถแบ่งคาร์ซีทออกได้ทั้งหมดเป็น 4 ประเภท เป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด 2 ประเภท และคาร์ซีทสำหรับเด็กโต 2 ประเภท

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด

1. Carrier Carseat คาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทประเภทนี้เป็นคาร์ซีทที่มีมานานแล้ว ลักษณะจะเหมือนกับกระเช้าขนาดเล็ก สามารถวางไว้ในรถได้เลย ในบางรุ่นสามารถปรับใช้งานเป็นรถเข็นได้เลยในตัว ใช้งานได้สองรูปแบบในตัวเดียว สามารถใช้งานได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนถึงเด็กอายุประมาณ 18 เดือนหรือประมาณขวบครึ่ง คาร์ซีทแบบนี้จะเป็นการติดตั้งหันหน้าเข้าหาเบาะรถยนต์ ซึ่งเป็นการนั่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็กแรกเกิด

2. Convertible Carseat คาร์ซีทเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต สามารถปรับใช้ 2 รูปแบบ คือ หันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) และหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) จึงสามารถใช้งานกับเด็กได้หลากหลายช่วงอายุ ในบางรุ่นสามารถใช้ได้ถึง 4 ปี , 7 ปี ไปจนถึง 12 ปี คาร์ซีทประเภทนี้เป็นคาร์ซีทที่พ่อแม่ส่วนใหญ่นิยมใช้ ซึ่งตัวคาร์ซีทจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากว่าตัวคาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทประเภท Convertible นี้จะเป็นประเภทที่ใช้กันอย่างหลากหลาย เพราะมีฟังก์ชั่นในการใช้งานเยอะ และสะดวกต่อการใช้งาน

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด

  • ผ่านการรับรองความปลอดภัยในระดับสากล ECE R44/04 และ ECE R129 (i-size)
  • ฟังก์ชั่นการใช้งานออกแบบมาเพื่อคุณพ่อ-คุณแม่สะดวกสบายในทุกครั้งของการใช้งาน
  • ตัวคาร์ซีทคิดค้นมาเพื่อเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ รองรับกับสรีระได้เป็นอย่างดี

เลือกคาร์ซีทที่ใช่ เพราะชีวิตของลูกไม่สามารถประเมินมูลค่าได้

คาร์ซีทสำหรับเด็กโต กฎหมายคาร์ซีท   

1. Forward Facing Carseat คาร์ซีทสำหรับเด็กโต คาร์ซีทที่มีพนักพิงหลังใช้สำหรับเป็นคาร์ซีทตัวที่ 2 ให้กับเด็ก เหมาะกับเด็กที่นั่งชันหลังได้อย่างแข็งแรง ซึ่งส่วนมากคาร์ซีทจะใช้ได้ตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 12 ปี หรือบางรุ่นพิเศษหน่อยก็สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 9 เดือน ขึ้นไป ตัวคาร์ซีทจะมีลักษณะที่เบาะกว้าง พนักพิงใหญ่และสูง เพื่อทำให้เด็กนั่งได้สบายที่สุด และเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเด็กในช่วงวัยนั้น ๆ

2. Booster Carseat คาร์ซีทสำหรับเด็กโตเหมือนกับ Forward facing แต่แตกต่างกันที่ ตัวคาร์ซีทแบบ Booster seat จะไม่มีพนักพิงหลัง และไม่มีฟังก์ชั่นมากเท่ากับคาร์ซีทแบบอื่นๆ แต่มีน้ำหนักเบา เหมาะกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป ที่นั่งชันหลังได้อย่างแข็งแรง และเป็นการเดินทางใกล้ๆ ไม่ต้องใช้ระยะเวลานาน

    คาร์ซีทสำหรับเด็กโต

    • ผ่านการรับรองความปลอดภัยในระดับสากล ECE R44/04 และ ECE R129 (i-size)
    • โครงสร้างที่มีขนาดใหญ่ รองรับกับสรีระและการเจริญเติบโตของเด็กได้เป็นอย่างดี
    • ลูกน้อยนั่งสบายด้วยการระบายอากาศรอบทิศทาง

    เพราะเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ออกแบบมารองรับกับช่วงอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป

    ระบบในการติดตั้งคาร์ซีท

    คุณพ่อคุณแม่ได้ทำความรู้จักกับคาร์ซีทและ กฎหมายนั่งคาร์ซีท กันไปแล้ว แต่อย่าพึ่งไปเลือกซื้อเด็ดขาดถ้ายังไม่ได้รู้จักระบบในการติดตั้งของคาร์ซีท หลัก ๆ แล้วคาร์ซีทมีระบบการติดตั้งอยู่ด้วยกัน 2 วิธี

    • ติดตั้งด้วยเข็มขัดนิรภัยของตัวรถยนต์
    • ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX

    โดยในแต่ละแบบก็จะมีความยากง่ายของการติดตั้งที่แตกต่างกันไป แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่ารถยนต์ของคุณพ่อคุณแม่ ว่ามีระบบในการติดตั้งแบบไหน แต่ต้องมี มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ระดับสากล

    ตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งคาร์ซีท (สำหรับประเทศไทย) 

    อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการใช้งานคาร์ซีทที่ไม่ควรละเลย ก็คือตำแหน่งในการติดตั้ง ไม่ใช่ว่าเลือกซื้อคาร์ซีทดี ๆ แล้วมาติดตั้งตำแหน่งไหนก็ได้ แล้วจะปลอดภัยเหมือนกัน เพราะในรถยนต์แต่ละคันมักจะมีระบบในการป้องกันอุบัติเหตุเอาไว้หลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือระบบแอร์แบคในรถยนต์ตำแหน่งของเบาะด้านหน้า ซึ่งห้ามนำคาร์ซีทมาติดตั้งไว้ที่เบาะตรงนี้ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แอร์แบคจะทำการพองตัวขึ้นมาและกระแทกเข้ากับคาร์ซีท ทำให้ลูกของเราที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทเกิดอันตรายได้ 

    สำหรับประเทศไทย ตำแหน่งที่ควรจะติดตั้งคาร์ซีทก็คือ “ตำแหน่งเบาะด้านหลังเยื้องกับคนขับ” เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมและปลอดภัยมากที่สุด เพราะว่าในประเทศไทยรถยนต์ทุกคันจะขับทางด้านขวาเสมอ เพราะฉะนั้นในฝั่งด้านซ้ายก็จะเป็นฝั่งที่ติดกับฟุตบาททำให้สะดวกในการนำลูกขึ้นรถหรือลงรถ

    ในส่วนของอุบัติเหตุก็ยังสามารถช่วยปกป้องลูกน้อยได้ เนื่องจากถนนส่วนใหญ่มี 2 เลนแล้วขับสวนกัน ในถนนลักษณะนี้โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจากทางฝั่งด้านขวา จะเยอะกว่าฝั่งด้านซ้าย นี่คือเหตุผลที่ควรจะติดตั้งคาร์ซีทไว้เบาะด้านหลังเยื้องกับคนขับ

    คาร์ซีท ควรจะใช้เมื่อไหร่

    เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านเป็นกังวลเหมือนกันนะคะ กับการที่จะต้องเริ่มใช้คาร์ซีท ไม่รู้ว่าควรจะให้ลูกเริ่มนั่งคาร์ซีท ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อายุเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมที่สุด วันนี้ BabyGift ตอบให้ค่ะ คาร์ซีทควรจะให้ลูกนั่งตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาลเลย เพราะในเด็กแรกเกิดต้องการการปกป้องดูแลเป็นพิเศษระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเขา ยังไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แนะนำว่าคาร์ซีทควรจะใช้ทุกครั้งที่พาลูกน้อยออกไปเดินทางนอกบ้าน หรือจะใช้จนกว่าเด็กจะมีอายุ 12 ปีขึ้นไป ส่วนสูงไม่เกิน 150 เซนติเมตร

    คาร์ซีทมือ 2 ราคาถูก ใช้งานได้เหมือนกันไหม

    ในประเด็นนี้ต้องบอกว่าสามารถใช้งานได้ ถ้ารู้ประวัติความเป็นมาของคาร์ซีทตัวนั้นแน่นอน อย่างเช่น ได้รับต่อมาจากญาติพี่น้อง เป็นต้น แต่ถ้าเราไม่ทราบประวัติความเป็นมาของคาร์ซีทตัวนั้นเลย ไม่แนะนำให้ซื้อเด็ดขาด เนื่องจากคาร์ซีทที่เคยประสบอุบัติเหตุมาแล้วนั้น จะหมดคุณสมบัติในการป้องกันลูกน้อยให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุไปเลย

    เพราะว่าวัสดุที่อยู่ด้านในคาร์ซีทนั้นจะเกิดการชำรุดเสียหาย ทำให้คุณสมบัติในการปกป้องอุบัติของคาร์ซีทตัวนั้นเสื่อมถอยลง และนอกจากนี้คาร์ซีทก็ยังมีวันหมดอายุด้วย โดยปกติทั่วไปแล้วคาร์ซีทจะมีอายุใช้งานอยู่ที่ 7 ปีนับจากวันที่ผลิต ถ้าหลังจากนี้ไปวัสดุต่าง ๆ ก็จะเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้คุณสมบัติในการปกป้องลูกน้อยลดลงตามไปด้วย

    สำหรับกฏหมายคาร์ซีทที่จะบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนสนใจที่จะเลือกดูคาร์ซีทที่มีมาตรฐาน คุณภาพดี และที่สำคัญราคาเป็นมิตร สามารถสอบถามกันได้เลยที่ BabyGift เรายินดีและพร้อมที่จะให้คำแนะนำสำหรับทุกข้อสงสัยของคุณพ่อคุณแม่เพื่อให้ได้คาร์ซีทที่ใช่ และปลอดภัยในทุกการเดินทางสำหรับลูกน้อย

    และสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่กำลังหาคาร์ซีทเด็กแรกเกิด ดีๆสักตัวอยู่ BABYGIFT ได้รวบรวมและคัดสรรมาให้ไว้ให้แล้ว สามารถดูได้ที่ คาร์ซีทแรกเกิดที่คัดสรรมาแล้วเพื่อคุณ

    สินค้าที่เกี่ยวข้อง

    คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

    สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

    7,700.00
    คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

    สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

    7,700.00
    คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

    สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

    7,700.00
    คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

    สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

    7,700.00
    คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

    สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

    7,700.00
    คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

    สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

    7,700.00

    บทความแนะนำ

    แผ่นรองคลาน ถือเป็นอีกหนึ่งไอเท็มจำเป็นที่ต้องมีในบ้าน ถึงแม้จะไม่อยู่ในลิสของใช้ลูกที่ต้องเตรียมไว้ก่อนคลอด แต่ก็ต้องทำความรู้จักกันไว้ล่วงหน้าซักนิด เพราะแผ่นรองคลาน ถือเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการลูกน้อย ในวันที่เขาเริ่มคว่ำตัว และเริ่มที่อยากจะคลาน ซึ่งอยู่ในช่วงวัย 4 – 5 เดือน เป็นต้นไป แล้วแผ่นรองคลานแบบไหนที่ดีต่อลูกน้อยที่สุด วันนี้ Babygift เตรียมคำตอบไว้ให้คุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ แผ่นรองคลานที่ทำจากโฟม EVA วัสดุประเภทโฟม EVA นั้น จะมีน้ำหนักเบา และสามารถตัดเป็นชิ้นได้ง่าย แผ่นรองคลานประเภทนี้ จึงมักจะทำมาในรูปแบบของตัวต่อจิ๊กซอว์ แบบแยกชิ้นส่วน ทั้งแบบตัวเลข หรือตัวอักษรภาษาอังกฤษ เพื่อให้ลูกฝึกต่อเล่น เสริมสร้างพัฒนาการได้ เมื่อถอดเป็นชิ้น ๆ สามารถใส่กระเป๋าพกพาได้ง่าย และมีราคาถูกที่สุดในบรรดาแผ่นรองคลานทุกชนิด แต่เนื่องจากน้ำหนักที่เบาเกินไป ทำให้แผ่นรองคลานไม่ยึดติดกับพื้นบ้าน เมื่อลูกฝึกเดินอาจทำให้ลื่นติดกับเท้า อาจทำให้ลื่นล้มได้ / วัสดุมีกลิ่น และมีสี ที่อาจเป็นอันตรายหากลูกสัมผัสและนำมือเข้าปาก / วัสดุเป็นโฟม จึงไม่ทนทานต่อการขีดข่วน เมื่อเด็กเล็กที่มีเล็บยาว ข่วน หรือจิกเวลาที่พยุงตัว ก็อาจจะทำให้ฉีกขาดได้ง่าย จึงใช้งานได้เพียงระยะสั้น / แผ่นที่แยกกันทำให้อาจเกิดร่อง ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และวัสดุชนิดนี้ไม่สามารถกันน้ำได้ […]

    เมื่อลูกน้อยอายุ 1 เดือนขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มต้องพาลูกออกจากบ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะพาไปหาหมอ หรือพาไปทำธุระต่าง ๆ ซึ่งถ้าพูดถึงการพาเด็กเล็กออกไปนอกบ้าน นอกจากจะต้องมีรถเข็นเด็กที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกน้อยแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจจะกำลังมองหา เป้อุ้มทารก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราอุ้มลูกได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ทำให้เมื่อยจนเกินไปเพราะช่วยถ่ายเทน้ำหนักได้ดี สำหรับบทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการเลือกซื้อเป้อุ้มทารกอย่างไรดีให้เหมาะกับลูกน้อยของเรา ตามไปดูกันเลยค่ะ BabyGift ชวนคุณแม่เลือก เป้อุ้มทารก 1 เดือน พร้อม 7 แบบเป้แนะนำ   เป้อุ้มทารก 1 เดือน จำเป็นหรือไม่ ? มีประโยชน์อย่างไร ?  ก่อนที่ BabyGift จะแนะนำแบบเป้ที่ดีกับลูกน้อยให้กับคุณแม่ ขอพาไปทำความรู้จักกับเป้อุ้มทารกกันก่อนนะคะ เป้อุ้มเด็ก หรือกระเป๋าอุ้มเด็กทารกเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการอุ้มลูกน้อยด้วยตัวเอง และยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูลูก เหมาะสำหรับการอุ้มเด็กเล็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งเป้อุ้มเด็กจะมีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวขนาดเล็ก เพราะมักจะไม่มีคนดูแลเด็กเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระอื่น ๆ นอกบ้าน หรือโดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านหรือทำธุระต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป้อุ้มเด็กเพื่อให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งคุณแม่สามารถใช้เป้อุ้มทารกได้ตั้งแต่ 1 เดือน ไปจนถึงอายุ 1 ขวบขึ้นไป เราไปดูประโยชน์ของเป้อุ้มเด็กกันต่อเลยค่ะ  ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่เล่าไปข้างต้นแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่จะตอบคำถามคุณแม่อีกว่า ทำไมถึงควรใช้เป้อุ้มเด็ก ซึ่ง BabyGift เคยเขียนเอาไว้แล้ว ลองตามไปอ่านเพิ่มเติมกันดูนะคะ   เลือกเป้อุ้มเด็ก อย่างไรดี ? ถึงจะดีต่อลูกน้อยมากที่สุด   คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจมีความกังวลว่าการใช้เป้อุ้มเด็ก […]

    หลายๆบ้านถามกันเข้ามาว่า เวลาพาลูกเที่ยว แม่แพรว ยังให้เฌอลินน์นั่งรถเข็นอยู่ไหม ? ต้องบอกแบบนี้เลยค่ะว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละวัน ว่าเราพาลูกน้อยไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ต้องเดินทางไกลหรือนานแค่ไหน ? อย่างเวลาแพรวพาลูกออกนอกบ้านนานๆ ถ้าไม่มีตัวช่วยอย่างเจ้ารถเข็นเลย บางครั้งก็ทำให้เฌอลินน์งอแง อยากให้อุ้มอยู่ตลอดเวลา พ่อแม่อย่างเราจะคอยอุ้มลูกทั้งวันก็คงไม่ไหวใช่มั้ยหล่ะคะ ถ้าได้รถเข็นมาเป็นตัวช่วยพาลูกเที่ยวในวันที่แม่เหนื่อย อุ้มลูกไม่ไหว ก็จะช่วยทำให้เราพาลูกเที่ยวแบบสบาย แม่ไม่เหนื่อย แฮปปี้กันทั้งครอบครัวเลยค่ะ แพรวเลือก รถเข็น Aprica รุ่น Optia Cushion Premium ให้เฌอลินน์ เพราะเขารองรับสรีระเด็กทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ขวบกันเลยทีเดียวค่ะ ตอนนี้เฌอลินน์ 2 ขวบแล้ว ตัวสูงแบบนี้ยังนั่งได้สบายๆไม่อึดอัด แถมแบรนด์ Aprica รุ่นนี้ไม่ใช่รถเข็นธรรมดาทั่วไป เป็นเบาะแบบ Ergonomic Design ที่ออกแบบคิดค้นโดยกุมารแพทย์ญี่ปุ่นด้วย ขนาดพ่อแม่อย่างเรายังตามหาซื้อเก้าอี้ Ergonomic มานั่งทำงานกันเลยใช่มั้ยคะ แพรวเองก็ขอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ขณะอยู่นอกบ้านแน่นอนค่ะ ซื้อรถเข็นมา ลูกไม่ยอมนั่งทำไงดี ? คุณพ่อคุณแม่ต้องลองสังเกตุดูค่ะ ด้วยสภาพอากาศเมืองไทยค่อนข้างร้อน เด็กเล็กๆ มักจะมีเหงื่อออกเยอะ ถ้าเป็นรถเข็นที่ไม่ค่อยระบายอากาศเวลาลูกนั่งนานๆ เขาจะหัวเปียกหลังแฉะ ไม่สบายตัวอยู่ตลอดเวลา การได้รถเข็นเบาะระบายอากาศดีๆ เวลาเราพาลูกออกนอกบ้าน ลูกจะยอมนั่งไม่งอแง […]

    ทารกแรกเกิดถึง 28 วัน เป็นช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวอย่างมาก จากที่อยู่ในท้องคุณแม่อย่างอบอุ่นถึง 9 เดือน ออกมาเจอสภาพแวดล้อมภายนอก คุณแม่จึงจำเป็นที่ต้องดูแลอย่างอ่อนโยนเลยนะคะ อย่าง วิธีอาบน้ำทารก เรื่องดูแลทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษเลยค่ะ วิธีอาบน้ำทารก ควรอาบน้ำวันละกี่ครั้ง คุณแม่มือใหม่ คุณพ่อมือใหม่ คงมีคำถามคาใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหมคะ ว่าทารกแรกเกิดควรอาบน้ำเช้า-เย็นหรือไม่ จริง ๆ แล้วเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 เดือน ควรจะอาบแค่วันละ 1 ครั้ง อาบในช่วงสายหรือบ่ายของวันเลยค่ะ และเด็กอายุ 1 เดือนขึ้นไปสามารถอาบน้ำได้วันละ 2 ครั้ง ส่วนการสระผมเด็กแรกเกิด – 2 เดือน สระเพียง 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้นค่ะ อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด อ่างอาบน้ำใส่น้ำอุ่น อ่างอาบน้ำเด็ก ควรจะกันกระแทกได้ดี อาจจะมีแผ่นวัดอุณหภุมิน้ำ ช่วยทำให้คุณแม่หรือพี่เลี้ยงเตรียมน้ำให้น้องได้ง่าย ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมกับสภาพผิวทารก สบู่เหลวอาบน้ำเด็กแรกเกิด ต้องมีความอ่อนโยน ค่า pH […]

    เนื่องในเดือนแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโรงเรียนทอสีได้จัดสัมนาเรื่อง“เลี้ยงลูกแบบสมเด็จย่า” โดยคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา อดีตข้าหลวงในพระองค์มาร่วมเล่าประสบการณ์และแบ่งปันคำสอนของสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนีหรือสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยเมื่อฟังแล้วรู้สึกอยากจะบอกต่อ ถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกของพระองค์ ที่มีทั้งความปราดเปรื่องหลักแหลมและมีเป้าหมายที่ชัดเจนสมควรใช้เป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น : คำพังเพยที่เราได้ยินบ่อยๆ แต่น้อยครั้งนักจะทำความเข้าใจอย่างจริงจังในขณะที่ตัวอย่างมีให้เห็นทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดีในเรื่องของการเลี้ยงดูบุตร สมเด็จย่าทรงเริ่มจากการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ทำเป็นต้นแบบในเรื่องของการมีวินัย การรักการค้นคว้าศึกษาหาความรู้ การประพฤติตัวที่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม ทั้งหมดนี้คือการตั้งตนเป็นต้นแบบให้กับลูกเพราะเด็กเล็กจะมีพฤติกรรมเลียนแบบจากคนใกล้ชิดเพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องลองตั้งคำถามกลับมาที่ตัวเองว่าทุกวันนี้ที่เราอยากให้ลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้แล้วเราล่ะเป็นแล้วหรือยัง ตั้งเป้าหมายในการเลี้ยงลูก: สมเด็จย่าทรงเป็นพระมารดาที่มีเป้าหมายในการเลี้ยงลูกอย่างชัดเจนคือทรงตั้งใจอบรมพัฒนาลูกๆ ให้ดีในทุกๆ ด้านเพื่อให้เป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ทรงไม่คิดถึงประโยชน์ของพระองค์เอง ประโยชน์ของพระโอรส หรือพระธิดา แต่ทรงมองถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ในปัจจุบันหลายครั้งที่เราเห็นพ่อแม่ส่งลูกเรียนพิเศษในทุกวิชาโดยที่ไม่ได้ถามลูกว่าลูกอยากเรียนอะไร หรือพ่อแม่ที่คาดหวังเรื่องผลการเรียนสูงๆ จากลูกเหล่านั้นคือการตั้งเป้าหมายกับลูกซึ่งเป็นการเอาความคาดหวังของตัวเองไปให้กับลูก เราจึงต้องมองย้อนกลับมาดูใหม่ว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือความคาดหวังนั้นเป็นไปเพื่อใคร เพื่อลูก เพื่อตัวเราเอง หรือเพื่อคนอื่นๆ ด้วย ถ้าพ่อแม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเลี้ยงลูกก็จะทำให้เราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเด็กๆ ได้สูงยิ่งขึ้น จัดแบบแผนและสร้างระเบียบวินัยตั้งแต่ลูกยังเล็ก: สมเด็จย่าทรงวางแผนการดำเนินชีวิตให้กับพระโอรสพระธิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เนื่องจากต้องทรงเป็นทั้ง “พ่อ” และ “แม่” ในเวลาเดียวกันทรงจัดการทุกอย่างเป็นเวลา โดยมีผู้ช่วยคือพระพี่เลี้ยงเพียงหนึ่งคนเท่านั้นเนื่องจากในเวลาที่เด็กยังเล็กเขาไม่มีความรู้เรื่องขอบเขตของเวลา พ่อแม่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดเวลาให้กับพวกเขาเช่นนอน รับประทานอาหาร เล่น ไปโรงเรียน อาบน้ำ ออกกำลังกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะสร้างวินัยให้กับลูกซึ่งสมเด็จย่าทรงเน้นเรื่องวินัยในการดำเนินชีวิตพระองค์รับสั่งถึงคำว่า “ระเบียบวินัยอย่างมีหลักการ” คือการกำหนดขอบเขตของเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสมดุลให้กับชีวิตซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตของเด็กๆ ต่อไป เล่นอย่างถูกวิธี : เมื่อถึงเวลาเล่นจะทรงปล่อยให้พระโอรสและพระธิดาเล่นอย่างอิสระ โดยจะทรงให้เล่นกับธรรมชาติ ต้นไม้ น้ำทรงเน้นให้เล่นกับสิ่งที่มีในธรรมชาติมากกว่าของเล่น ทรงอนุญาตให้พระโอรสเล่นจุดไฟแต่จะทรงบอกวิธีในการเล่นที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย ผลจากการที่พระโอรสและพระธิดาได้ทรงเล่นคลุกดินคลุกทรายหรือได้ทำการทดลองกับธรรมชาติเหล่านี้ส่งผลให้ทั้งสามพระองค์ได้พัฒนาความคิดและความสามารถโดยที่ไม่ทรงรู้ตัว ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างหลุมที่เกิดจากการปลูกต้นไม้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทดลองขุดดิน ใส่น้ำ ปลูกต้นไม้ จะสามารถสร้างแอ่งน้ำขึ้นมาได้ด้วยพระองค์เอง […]

    น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้  สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ […]

    Menu
    All Categories
    All Brands
    All Ages
    Promotions
    Locations
    BabyGift Family
    BabyGift Care
    Parents Guide
    News & Event

    All Categories

    All Categories
    All Brands
    All Ages