ล้างจมูกเด็ก 1 ขวบ ทำยังไงให้ปลอดภัย ? เลี่ยงป่วย ร่างกายแข็งแรง !

ในเด็กเล็กที่มักจะมีปัญหาสุขภาพาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาฝุ่นควัน เชื้อโรค ไวรัส เป็นหวัดคัดจมูก หรือเป็นโรคประจำตัวอย่างหอบหืด เป็นภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ การล้างจมูกจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยและช่วยขจัดเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการล้างจมูกเด็ก 1 ขวบที่เด็กเล็กยังสั่งน้ำมูกไม่เป็น การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยขจัดเชื้อโรคและสิ่งสกปรกได้เป็นอย่างดี ในบทความนี้ BabyGift จะมาแนะนำวิธีการล้างจมูกให้ลูกน้อย ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร ไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ 

แชร์วิธีการล้างจมูกเด็ก 1 ขวบ ขจัดสิ่งสกปรกและเชื้อโรค ให้ลูกน้อยหายใจโล่งขึ้น

การล้างจมูกเป็นการทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยการสวนล้างโดยใช้น้ำเกลือ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในโพรงจมูกอย่างน้ำมูกหรือสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ให้หมดไป ซึ่งสามารถลดปัญหาน้ำมูกไหลลงคอ และอาการคัดจมูกได้ดี ทั้งยังช่วยให้โพรงจมูกมีความชุ่มชื้นมากขึ้นด้วย ทำให้หายใจได้โล่งขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ การล้างจมูกไม่ได้ทำเฉพาะในเด็กที่มีอาการป่วย หรือเป็นภูมิแพ้เท่านั้น แต่การล้างจมูกเด็ก 1 ขวบที่มีสุขภาพแข็งแรงดีก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝุ่นควันหรือมีการระบาดของโรคทางเดินหายใจ ผู้ปกครองบางคนอาจพาลูกไปข้างนอกโดยใช้เป้อุ้มเด็ก ซึ่งทำให้เด็กได้สัมผัสกับอากาศนอกบ้านดังนั้นการล้างจมูกเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะหลังจากกลับมาบ้านแล้ว ก็จะช่วยขจัดเชื้อโรค และสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในโพรงจมูก ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาวะที่ดีขึ้น จะทำได้อย่างไร มาดูวิธีกันเลยค่ะ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม  

  1. น้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9% สามารถหาซื้อได้จากโรงพยาบาลหรือร้านขายยาทั่วไป  
  2. ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ  
  3. กระบอกฉีดยาพลาสติก (ไซริงค์) สำหรับเด็กเล็ก ขนาด 5 – 10 ซีซี 
  4. ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู่ 
  5. จุกล้างจมูก 
  6. ลูกยางแดงสำหรับดูดน้ำมูก เสมหะ ( ล้างจมูกเด็ก 1 ขวบควรใช้เบอร์ 0 – 2) 
  7. ภาชนะรองน้ำมูก หรือถ้าไม่ใช้ภาชนะ สามารถพาลูกไปล้างจมูกที่อ่างล้างหน้าก็ได้ค่ะ 

ขั้นตอนวิธีล้างจมูกเด็ก 1 ขวบ ในกรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือ และสั่งน้ำมูกเองไม่ได้

สำหรับเด็ก 1 ขวบที่ให้ความร่วมมือ และสามารถสั่งน้ำมูกเองได้ สามารถล้างจมูกให้ลูกในท่ายืนหรือนั่งตรงบริเวณอ่างล้างหน้าหรือทำให้ห้องน้ำได้เลย เพื่อป้องกันความเลอะเทอะ หรือล้างจมูกก่อนไปอาบน้ำเพื่อที่จะได้ล้างตัวลูกทีเดียวค่ะ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้  

  1. ผู้ปกครองล้างมือถูสบู่ให้สะอาด 
  2. นำเอาจุกล้างจมูกต่อเข้ากับกระบอกฉีดยาพลาสติก เพื่อป้องกันไม่ให้เข็มของกระบอกฉีดยากระแทกรูจมูกของลูก 
  3. เทน้ำเกลือใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ จากนั้นใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือประมาณ 0.5 ซีซี 
  4. จ่อปลายเข็มฉีดยาชิดรูจมูกของลูก 
  5. ค่อยๆ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในรูจมูกลูก โดยน้ำเกลือจะไหลออกมาจากรูจมูกอีกข้างโดยอัตโนมัติ จากนั้นให้ลูกสั่งน้ำมูกออกมา 
  6. ใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู่เช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมา 
  7. ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในแต่ละข้าง จนกว่าจมูกจะสะอาดและไม่มีน้ำมูก 

วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก 

  • กระบอกฉีดยาและภาชนะใส่น้ำเกลือ : ให้ล้างด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน และผึ่งให้แห้ง 
  • ลูกยางแดง : ล้างด้วยน้ำสบู่ทั้งภายนอกและภายใน จากนั้นล้างด้วยน้ำประปาจนสะอาด บีบน้ำที่ค้างในลูกยางออกจนหมด วางคว่ำในภาชนะที่สะอาด โดยคว่ำปลายลูกยางแดงลง ควรนำไปต้มในน้ำเดือดวันละ 1 ครั้ง โดยดูดน้ำเดือดเข้ามาในลูกยางแดง ต้มประมาณ 5 นาที จากนั้นบีบน้ำที่ค้างอยู่ในลูกยางแดงออกจนหมด วางคว่ำในภาชนะที่สะอาด โดยคว่ำปลายลูกยางแดงลง  

ข้อควรรู้ในการล้างจมูกลูกน้อย

  • การล้างจมูกไม่ควรใช้น้ำเปล่า เนื่องจากน้ำเปล่าไม่มีความสมดุลกับน้ำในเซลล์ร่างกาย หากใช้น้ำเปล่าอาจทำให้เกิดอาการสำลักและแสบในโพรงจมูกได้ รวมถึงมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มชึ้นด้วย  
  • การล้างจมูกเด็กสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงลูกโต โดยทั่วไปแล้วการล้างจมูกสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย 
  • การล้างจมูกนั้นสามารถล้างได้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ช่วงตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน หรือเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำมูกมากหรือรู้สึกแน่นจมูก หรือก่อนใช้ยาพ่นจมูก  
  • น้ำเกลือและอุปกรณ์ที่ล้างจมูกต้องสะอาด โดยเฉพาะน้ำเกลือไม่ควรใช้ขวดใหญ่ เพราะการเปิดฝาใช้บ่อยๆ อาจทำให้มีเชื้อโรคสะสมอยู่ได้ โดยทั่วไปควรใช้ขวดละ 100 ซีซี  
  • ห้ามนำน้ำเกลือที่เหลือในภาชนะเทกลับเข้าไปในขวดอย่างเด็ดขาด เพราะทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคและไม่ถูกสุขอนามัย 
  • แนะนำให้ล้างจมูกเด็กตอนท้องว่าง เพื่อป้องกันการอาเจียนที่อาจเกิดขึ้นได้   

ประโยชน์ของการล้างจมูกเด็ก มีอะไรบ้าง 

  • ช่วยกำจัดน้ำมูกเหนียวข้นที่ตกค้างอยู่ภายในโพรงจมูก ทำให้จมูกสะอาด 
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัดเรื้อรัง 
  • ช่วยป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคที่อยู่ภายในจมูกไม่ให้แพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ 
  • ช่วยป้องกันการลุกลามของไซนัสไม่ให้ลงไปยังปอด 
  • ช่วยลดปริมาณเชื้อโรค ของเสีย และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ และบรรเทาอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก 
  • เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูก 
  • ช่วยบรรเทาอาการแน่นจมูก หายใจไม่ออก ทำให้หายใจโล่งขึ้น ลองสังเกตดูว่า ลูกร้องงอแงไม่ยอมนอน ตื่นกลางดึก อาจเป็นเพราะหายใจไม่สะดวกหรือรู้สึกคัดจมูกหรือเปล่า การล้างจมูกเด็ก 1 ขวบ รวมถึงเด็กวัยอื่นๆ ก่อนนอน อาจช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ค่ะ  
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาพ่นจมูก โดยยาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อจมูกโล่งสะอาด 

BabyGift แนะนำสินค้าสำหรับเด็กเล็ก อำนวยความสะดวกให้ทั้งคุณแม่และคุณลูก 

1. Ailebebe คาร์ซีทแรกเกิด รุ่น Kurutto R The First

คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความปลอดภัยของลูกน้อยขณะนั่งรถยนต์ ในหลายๆ บ้านอาจต้องพาลูกน้อยนั่งรถออกไปข้างนอกบ่อยๆ จึงขอแนะนำเป็นคาร์ซีทของ Ailebebe รุ่น Kurutto R The First คาร์ซีทเพื่อเด็กแรกเกิดที่ได้การรับรองมาตรฐานใหม่ ECE R129 ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น มี Head Support ใหม่ที่หนาขึ้น 100 มิลลิเมตร ช่วยป้องกันการกระแทกด้านข้างได้อย่างมั่นใจ โครงสร้างออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ของทารก ปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยอย่างรอบด้าน ใช้งานได้ยาวนานตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4 ขวบเลยค่ะ  

จุดเด่น  

  • ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ECE R129 (i – Size) 
  • เป็นคาร์ซีททรงไข่ Egg – Shell Protection เพื่อทารกแรกเกิดอย่างแท้จริง  
  • พนักพิงสามารถยุบตัวได้  จึงช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยปกป้องกระดูกสันหลังของลูกน้อย 
  • โครงคาร์ซีทเป็นไฟเบอร์กลาส มีความทนทาน แข็งแรง แตกหักยาก  
  • ผ้าที่บุคาร์ซีทสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ 99 เปอร์เซ็นต์ ด้วยพลัง Ion Silver เมื่อเจอแบคทีเรียจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำลายเซลล์แบคทีเรียและทำให้เชื้อแบคทีเรียตายลง 
  • ด้านหลังและด้านข้างของคาร์ซีทมีช่องระบายอากาศถึง 1695 ช่อง ช่วยระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น ลดการสะสมความร้อน นั่งได้นานโดยไม่รู้สึกร้อนหลัง 
  • มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมระบบ Jumping Harness  
  • สามารถหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้อุ้มลูกขึ้นลงคาร์ซีทได้อย่างปลอดภัย  
  • หลังคาของคาร์ซีทสามารถคลุมได้มิดชิดถึงปลายเท้า ยาว 98 เซนติเมตรช่วยป้องกันรังสี UV และปกป้องดวงตาของลูกน้อย  

การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนักไม่เกิน 18 กิโลกรัม หรือความสูงระหว่าง 40 – 105 เซนติเมตร  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX 

แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น 

2. PRINCE & PRINCESS เครื่องอบยูวี รุ่น Baby UV Smart Tech

การทำความสะอาดของใช้ลูกน้อยนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เราสามารถฆ่าเชื้อโรคและไวรัสที่อาจปนเปื้อนอยู่ในอุปกรณ์ล้างจมูกเด็กด้วยเครื่องอบยูวี แนะนำเป็นแบรนด์ PRINCE & PRINCESS รุ่น Baby UV Smart Tech ที่มาด้วยดีไซน์เรียบหรูทันสมัย อบฆ่าเชื้อได้ทั้งขวดนม ของเล่น อุปกรณ์ปั๊มนม จานชาม แก้วน้ำ ช้อนส้อม และอุปกรณ์ของใช้อื่นๆ สำหรับเด็ก พิเศษด้วยการอบฆ่าเชื้อจากหลอดไฟ UV-C LED จำนวน 9 ดวง มีประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อสูง ไม่ก่อให้เกิดโอโซน​ ภายในเป็นวัสดุ Stainless พร้อมประตูกระจก ช่วยสะท้อนแสงยูวีรอบด้าน 360 องศา ฆ่าเชื้อทั่วถึงทุกชิ้น​ มั่นใจได้ว่าปลอดเชื้อและดีต่อสุขอนามัยของลูกน้อยอย่างแน่นอนค่ะ 

จุดเด่น  

  • เป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทย ที่มีผลวิจัยรับรองการฆ่าเชื้อ Human Coronavirus ได้ 99.9 เปอร์เซ็นต์ พร้อม​ผ่านการรับรองการฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ได้ 99.9 เปอร์เซ็นต์ จากสถาบันวิจัยระดับสากล​ 
  • การันตีคุณภาพการฆ่าเชื้อและมาตรฐานความปลอดภัยของ สคบ. 
  • เครื่องขนาดใหญ่ความจุ 20 ลิตร วางขวดนมได้ถึง 20 ขวด ในครั้งเดียว​ 
  • มีโหมดทำความสะอาดหลายโหมด เช่น โหมด TURBO อบแห้งรวดเร็ว โหมด UV อบฆ่าเชื้อแสงยูวี โหมด STORAGE เก็บขวดนมพร้อมฆ่าเชื้อไว้ภายในตู้ โหมด CLEAN แจ้งเตือนทำความสะอาด และโหมด SMART อบฆ่าเชื้อทุกครั้งเมื่อเปิด-ปิดประตูเพื่อลดการปนเปื้อน 
  • ใช้เครื่องทำความร้อน PTC Heater แบบเดียวกันกับบนเครื่องบิน ควบคุมอุณหภูมิไม่เกิน 45 องศาเซลเซียส 
  • มีพัดลมระบายอากาศ 2 ตัว ระบายอากาศ 2 ทิศทาง กำจัดกลิ่น แห้งไวกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมตัวเดียว 
  • แจ้งเตือนด้วยแสง LED สุดคมชัด แสดงสถานะหลอด UV-C/เวลา/อุณหภูมิ พร้อม Touch Screen ระบบสัมผัสทำงานรวดเร็ว ใช้งานได้ง่าย​ 
  • ทำความสะอาดง่าย เพียงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดตามพื้นผิว​ 
  • รับประกันสินค้านาน 2 ปี พร้อมเครื่องสำรองใช้งาน 

ประเทศผู้ผลิต : ประเทศเกาหลี

การล้างจมูกเด็ก 1 ขวบไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป แต่ก็อาจจะไม่ง่ายนักสำหรับครั้งแรกเพราะเด็กๆ อาจจะงอแงหรือรู้สึกแสบจมูกจนไม่ยอมให้ล้างจมูกได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ บอกลูกว่าเป็นการทำความสะอาดร่างกายอย่างหนึ่ง ไม่มีอันตราย หรืออาจจะสาธิตโดยการล้างจมูกตัวเองให้ลูกดูก่อนก็ได้ เมื่อเด็กเห็นว่าเราสามารถทำได้และไม่มีอันตรายใดๆ ก็อาจจะรู้สึกกลัวน้อยลง เมื่อทำบ่อยๆ เด็กก็จะเกิดความชินและไม่งอแง เมื่อลูกโตขึ้นอีกหน่อยก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เป็นการเสริมสร้างนิสัยการทำความสะอาดโพรงจมูกเป็นประจำเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีค่ะ 

ทั้งนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่สนใจสินค้าอื่นๆ สำหรับแม่และเด็ก สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกในการล้างจมูกให้ลูกๆ หรือสินค้าอื่น ๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 4 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ  

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กในรถยนต์ทุกที่นั่งจะต้องมีป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 เป็น มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท เพื่อบ่งชี้ว่าเบาะตัวนั้นๆได้ผ่านตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย ป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 จะเป็นป้ายสีส้ม มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ECE 44/03 และ ECE R 44/04 แบ่งตาม Group และแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆ ทั้งหมด 4 ประเภท (4 Categories) ตามการติดตั้งและการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้เราทราบว่าเบาะนั้นๆออกแบบมาสำหรับรถเราหรือไม่ มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ECE 44/03 และ ECE R 44/04 แบ่งตามภูมิภาค จากข้อมูลในหัวข้อนี้คงพอให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายและทราบถึงรายละเอียด ข้อมูลของเบาะนั้นจากป้ายมาตรฐาน ตลอดจนเป็นประโยชน์กับผู้ปกครองในการเลือกซื้อเบาะให้เหมาะกับลูกหลานและรถ ที่มีแนวทางการใช้งานเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ในครั้งแรกๆ เด็กๆอาจจะร้องเพราะกลัวการถูกล็อค แต่ถ้าเขาคุ้นเคยเสียก่อน ก็จะลดการร้องไม่ยอมของเด็กได้ การที่เด็กๆร้องก็จะทรมาณใจพ่อแม่เพราะสงสารลูกๆและเป็นสาเหตุทำให้ละเลยการใช้งานเบาะนิรภัยในครั้งต่อๆไป เพราะว่าเด็กที่นั่งอยู่ในเบาะนิรภัยจะมีการป้องกันการชนด้านข้างต่ำ การนั่งในตำแหน่งกลางจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับแรงกระแทก แต่ทั้งนี้รถควรจะเป็นรถขนาดใหญ่ที่เบาะกลางมีเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถติดตั้งตรงเบาะกลางได้ การติดตั้งทางฝั่งซ้ายหรือขวาก็สามารถทำได้ โดยที่ฝั่งตรงข้ามคนขับ (ฝั่งเดียวกับฟุตบาท) จะปลอดภัยกว่าฝั่งคนขับ  สำหรับการใช้งานเบาะนิรภัยร่วมกับรถปิกอัพให้ติดตั้งด้านหน้าข้างคนขับและห้ามใช้ถุงลมในที่นั่งด้านข้างคนขับ 1. เด็กสูงเพียงพอที่ขาและเข่าของเขาสามารถนั่งห้อยขาได้เบาะนั่งรถได้พอดี2. เด็กโตพอที่จะสามารถนั่งตัวตรง หลังพิงพนักพิงได้ตรง3. เข็มขัดนิรภัยของรถส่วนล่างจะต้องรัดได้ตรงส่วนกระดูกเชิงกรานไม่ใช้รัดตรงท้อง4. เข็มขัดที่พาดส่วนบ่าจะต้องพาดผ่านมาตรงส่วนหน้าอก […]

การนอนกรนของแม่ท้อง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ เช่น ท้องโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย การสูบฉีดเลือด ระบบไหลเวียนของเลือด รวมทั้งการเต้นของหัวใจ ซึ่งการสูบฉีดไหลเวียนเลือดที่มากขึ้น จะไปกระตุ้นเส้นเลือดในโพรงจมูก ทำให้มีภาวะบวมน้ำส่งผลให้เวลานอน จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก และเกิดเสียงกรนนั่นเอง ประกอบกับลักษณะการนอนของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ช่วง 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะนอนมากกว่าปกติ แต่ประสิทธิภาพ การนอนลดลง ช่วงหลับลึกและหลับฝันน้อยลง ทำให้ง่วงบ่อยและงีบในตอนกลางวัน ต่อมาช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน คุณแม่จึงจะเริ่มนอนเหมือนปกติ แต่ประสิทธิภาพการนอนจะยังไม่เหมือนเดิม ทำให้คุณแม่รู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม พอเข้า 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อายุครรภ์ 6-9 เดือน คุณแม่จะนอนสั้นลง ประสิทธิภาพการนอนยิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ และเป็นช่วงที่คุณแม่นอนกรนมากขึ้น ทั้งนอนกรนผิดปกติ หรือภาวะหยุดหัวใจขณะหลับก็จะเกิดขึ้นในช่วงใกล้คลอดนี้ด้วย แม้โอกาสเกิดขึ้นจะมีน้อยก็ตาม 6 ปัจจัยเสี่ยงภาวะหยุดหายใจเพิ่ม หากคุณแม่เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ต้องติดตามและเฝ้าสังเกตอาการตัวเอง เพื่อป้องกันและรักษาต่อไป โดยกลุ่มเสี่ยงมีปัจจัยดังนี้ ขอบคุณข้อมูลสัมภาษณ์จาก : พ.อ.(พ).ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญช์  ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยา โรคลมชักและการนอนหลับผิดปกติ โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก […]

ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้คาร์ซีทมือสอง โดย หมอวิน เพจ #เลี้ยงลูกตามใจหมอ ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยของคาร์ซีท #คาร์ซีทมือสอง ตามที่พ่อหมอเคยเขียนเรื่องการเลือกซื้อคาร์ซีทไว้แล้วตั้งแต่ตอนเปิดเพจครับ คลิกอ่านได้ครับที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1318721458224835&substory_index=0&id=1312969582133356 ก็เริ่มมีลูกเพจเริ่มถามเรื่อง “การซื้อคาร์ซีท” ในหัวข้อนอกเหนือจากคำถามเบื้องต้นครับ โดยเฉพาะเรื่อง “การซื้อคาร์ซีทมือสอง” หรือ “คาร์ซีทเก่า” ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมาร ฯ ของสหรัฐอเมริกา … บอกไว้ว่า

ว่าที่คุณแม่มือใหม่หลายคนคงจะปวดหัวไม่น้อย ว่าลูกน้อยของเราควรจะหนุน หมอนทารก นอนหรือไม่ แล้ว หมอนหัวทุย จำเป็นไหม กดมือถือหาข้อมูลทีไรก็หาข้อสรุปไม่ได้เสียที ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้หายสงสัยกันค่า หมอนทารก ทารกควรหนุนหรือไม่ คำแนะนำจากกุมารแพทย์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยกล่าวว่า ท่านอนที่ดีและปลอดภัยสำหรับทารกที่สุดก็คือ การนอนหงายโดยไม่หนุนอะไรทั้งสิ้น เพราะสรีระของกะโหลกศีรษะของทารก ซึ่งจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ทำให้พอดีในการนอนแล้วถึงแม้จะนอนหงาย และนอกจากนี้จะต้องไม่มีสิ่งของอื่นๆ เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตา ของเล่น ฯลฯ อยู่บนเตียงขณะลูกน้อยนอนหลับ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจากการนอน หรือโรคไหลตายในทารก (SIDS) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตเด็กๆ มากมายทั่วโลก และโรคนี้มักจะเกิดกับเด็กอายุไม่เกิน 4 เดือนมากที่สุด โดยที่เด็กยังแข็งแรงดีอีกด้วย แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่หนึ่งในปัจจัยที่ชัดเจนและกระตุ้นให้เกิดการเสียชีวิตคือการที่มีผ้า วัตถุนุ่มๆ หรือการใช้ที่นอนที่อ่อนยวบเกินไป ไปอุดกั้นทางเดินหายใจของลูก จากการที่ลูกเกิดพลิกตัวนอนคว่ำ หรือคว้าวัตถุเหล่านั้นมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเด็กยังเล็กเกินไปที่จะชันคอหรือพลิกตัวกลับได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ทารกจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้หมอนหนุนนอนจนกว่าจะเข้าสู่วัยเตาะแตะหรือ 18 เดือนขึ้นไป หรือช้ากว่านั้นได้ยิ่งดีค่ะ กลัวลูกหัวแบน ทำไงดี อีกหนึ่งความกังวลใหญ่ของบรรดาแม่ๆ คือ กลัวลูกหัวแบน เพราะต้องนอนหงายตลอดเวลา ปัจจุบันจึงได้มีการผลิตคิดค้นหมอนหนุนสำหรับทารกเพื่อป้องกันหัวแบน และลูกน้อยยังคงนอนหงายได้ด้วย แต่ทั้งนี้คุณหมอและผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่แนะนำให้ใช้หมอนหนุนมากนัก เพราะหากใช้หมอนที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ […]

1.เลือกจากประเภทการใช้งานให้เหมาะสมกับสรีระและน้ำหนักของเด็กค่ะโดยทั่วไปรถเข็นจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 2. วัสดุโครงสร้างของรถเข็นเด็กต้องแข็งแรงและที่สำคัญน้ำหนักต้องเบาเพราะว่าบางครั้งคุณแม่อาจจะต้องเดินทางโดยลำพังกับลูกน้อย นอกจากนี้เบาะที่สัมผัสของตัวน้องควรทำจากวัสดุที่นุ่มสบายเพื่อให้เด็กนั่งได้นาน อีกทั้งยังต้องมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนที่ดีเนื่องจากอากาศที่เมืองไทยค่อนข้างร้อนและระบบปรับอุณหภูมิในเด็กเล็กนั้นยังทำงานได้ไม่ดีนักทำให้เด็กจะร้อนและเหงื่อออกได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ 3. ล้อต้องเป็นล้อที่สามารถหมุนได้สะดวกและแข็งแรง เพราะจะทำให้การเคลื่อนตัวของรถเข็นคล่องตัวขึ้นแม้ว่าคุณแม่จะต้องเข็นรถในที่ที่แคบ 4. โครงสร้างของผลิตภัณฑ์ต้องออกแบบมาเพื่อรักษาให้ขาและข้อต่อสะโพกอยู่ในรูปทรงตามธรรมชาติโดยประคองขาและข้อต่อสะโพกในอยู่ในรูปทรงตัว“M” ซึ่งเป็นท่าที่จะทำให้ขาและสะโพกของลูกน้อยมั่นคงที่สุดรวมทั้งจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกทั้งสองส่วนให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ดีที่สุด 5. มีหลังคาที่สามารถปกป้องลูกน้อยจากแสงแดดและรังสียูวีเพราะผิวหนังของเด็กนั้นยังบอบบางโดยที่บังแดดควรจะปรับได้ตามทิศทางของแสงแดดที่ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาในแต่ละวัน นอกจากนี้ที่บังแดดยังช่วยบังลมให้ลูกน้อยได้อีกด้วย 6. โครงสร้างของรถเข็นเด็ก ต้องออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบการหายใจในกรณีที่เด็กอาจจะเผลอหลับบนรถเข็น โดยมีเบาะที่จะทำให้ศีรษะเด็กไม่เคลื่อนที่และป้องกันการบิดของลำคอจึงช่วยป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทางเดินหายใจอุดกั้น 7. ข้อสำคัญอีกประการก็คือหากคุณใช้รถเข็นเด็กแรกเกิด ควรจะเลือกประเภทที่สามารถหันที่นั่งรถเอาหาตัวคุณแม่ได้ เนื่องจากเด็กเล็กต้องการความเอาใจใส่จากแม่เป็นพิเศษ เมื่อน้องออกไปข้างนอกเขาต้องการจะมองเห็นคุณแม่เพื่อความอุ่นใจค่ะ แต่ถ้าเป็นเด็กโตแล้ว เด็กจะให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวซึ่งในวัยนี้คุณแม่อาจจะปรับที่นั่งรถเข็นให้มองออกไปข้างนอกได้ค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างถูกต้อง

ท้องทีต้องมานั่งกังวลเรื่องนู้นเรื่องนี้เต็มไปหมด นอกจากจะกังวลเรื่องการกินกับการเดินแล้ว ท่านอนก็ยังเป็นสิ่งที่แม่ท้องหลายๆ คนสงสัยว่าควรจะนอนท่าไหนกันแน่ บางคนก็บอกว่าให้นอนท่าที่สบายที่สุด บางคนก็บอกว่าให้นอนตะแคงข้างไหนก็ได้ ส่วนบางคนก็เจาะจงให้นอนตะแคงซ้าย ตกลงยังไงกันแน่นะ? แต่แน่นอนว่าท่านอนมีผลต่อทั้งสุขภาพของคุณแม่แล้วก็คุณลูก วันนี้เราลองมาดูคำตอบไขข้อสงสัยไปพร้อมๆ กันค่ะ ท่านอนที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ ท่านอนที่ดีที่สุดสำหรับแม่ท้องที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16 สัปดาห์ขึ้นไปคือ “ท่านอนตะแคงซ้าย” ค่ะ เพราะว่าการนอนตะแคงซ้ายจะช่วยให้มดลูกของคุณแม่ไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่อยู่ค่อนไปทางขวาและท่านี้ยังจะช่วยในเรื่องของระบบหมุนเวียนเลือดด้วยนะคะ เพราะพอเส้นเลือดดำไม่ถูกกดทับแล้ว เลือดก็จะสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจได้ดี แถมยังทำให้อาหารย่อยง่ายอีกด้วยนะ ถ้าคุณแม่นอนตะแคงขวา หัวใจก็จะทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องใช้แรงสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น แต่เอาจริงถ้าจะให้นอนตะแคงซ้ายทั้งคืนก็คงไม่ไหว คุณแม่ก็อาจจะตะแคงซ้ายขวาสลับกันก็ได้นะ แต่เน้นไปที่ด้านซ้ายให้เยอะกว่านะคะ สำหรับคุณแม่ที่ท้องใหญ่มากๆ คุณแม่อาจจะหาหมอนมารองใต้ท้องเพื่อช่วยพยุงท้องเอาไว้ จะได้นอนหลับสบายๆ ยาวๆ ถึงเช้าไปเลยเนอะ ท่านอนที่ไม่เหมาะสมกับคุณแม่ เดาได้ง่ายมาก ก็คือท่านอนคว่ำน่ะสิ อันนี้มันก็แน่อยู่แล้วแหละนะ ท้องก็ใหญ่ขึ้นทุกวันทุกวันจะให้นอนคว่ำได้ยังไงไหว แต่อีกท่านึงที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงก็คือท่านอนหงายค่ะ อ๊ะๆ คิดไม่ถึงกันใช่ไหมล่ะคะ ที่ท่านี้ควรหลีกเลี่ยงก็เพราะมดลูกของคุณแม่นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงอาจจะไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ตรงบริเวณกลางลำตัวได้ค่ะ พอทับไปแล้วคุณแม่ก็จะมีอาการเท้าบวม เป็นริดสีดวงทวาร หนักๆ หน่อยก็อาจทำให้วิงเวียนศีรษะจนถึงขั้นเป็นลมได้เลยล่ะ นอกจากนี้ยังทำให้คุณแม่ปวดหลังสุดๆ เพราะเหมือนกับต้องแบกรับน้ำหนักร่วมสิบโลไว้ทั้งคืน วิธีจัดท่านอน ไม่ใช่ว่าคุณแม่เดินมาถึงเตียงก็ล้มตึงลงไปนอนตะแคงได้เหมือนตอนไม่ท้องเลยนะ ตอนนี้เรามีลูกน้อยอยู่ในท้องแล้วก็ต้องคอยทำอะไรให้ช้าลง วิธีข้างล่างจะช่วยให้คุณแม่จัดท่านอนได้ถูกต้องแล้วก็จะช่วยลดอาการปวดหลังด้วยนะคะ เวลาจะพลิกตัวเปลี่ยนท่า คุณแม่ควรจะค่อยๆ พลิก […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages