ต้องเตรียมอะไรบ้าง ก่อนเริ่มให้ลูก กินแบบ BLW มื้อแรก

คุณแม่ยุคใหม่หลายๆ ท่านอาจจะรู้จัก วิธีการให้อาหารเสริมลูกน้อยแบบ Baby Led Weaning หรือการ กินแบบ BLW กันบ้างแล้ว  เพราะเป็นวิธีการที่หลายบ้านเริ่มนิยมใช้ เนื่องจากเป็นการฝึกลูกกินอาหารเสริมด้วยตัวเองตั้งแต่มื้อแรก  ในแบบที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องป้อน และไม่ต้องบดหรือปั่นอาหารให้ลูกน้อย

ที่สำคัญคือการให้ลูกกินอาหารเสริมด้วยวิธีนี้ ยังมีข้อดีหลายอย่าง เพราะเป็นการฝึกให้ลูกได้ใช้พัฒนาการทั้งด้านกล้ามเนื้อ สายตา ได้เรียนรู้รสชาติอาหารที่แตกต่าง และเป็นการฝึกพื้นฐานการช่วยเหลือตัวเองเพื่อพัฒนาให้ลูกสามารถทำอะไรได้เองเก่งขึ้นในอนาคต

กินแบบ BLW มีขั้นตอนอย่างไร?

วิธีการ กินแบบ BLW มีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  1. ให้ลูกกินด้วยวิธี BLW เมื่อลูกน้อยถึงวัยเริ่มอาหารเสริมและนั่งได้แล้ว จะต้องหัดนั่งกินอาหารด้วยตัวเองบนเก้าอี้ทานข้าวเด็ก หรือ High Chair ได้มั่นคง และเริ่มใช้มือหยิบจับอาหารเข้าปากเองได้ด้วย
  2. ในช่วงแรกคุณแม่เริ่มด้วยการเตรียมอาหารที่เป็นชิ้นๆ นิ่มๆ หรือ Finger food ที่ลูกจับถนัดมือกินได้เอง โดยไม่ต้องบดหรือปั่นอาหาร เช่น ผักต้มตุ๋น หั่นเป็นชิ้น อาทิ แครอทต้ม ข้าวโพดต้ม บล็อกโคลี่นึ่ง กะหล่ำดอกนึ่ง ผลไม้เนื้อนิ่ม ไข่แดงต้มสุก
  3. เมื่อลูกคุ้นเคยแล้วจากนั้น ปรับอาหารเป็นเมนูที่คล้ายผู้ใหญ่ แต่ต้องไม่ปรุงรสหรือปรุงน้อย และหั่นให้ลูกจับกินได้โดยไม่ติดคอ เช่น ข้าวไข่เจียวหั่นเล็ก ผัดฟักทองกับผักนึ่ง ตลอดจนหลีกเลี่ยงอาหารที่ห้ามกินและอาหารเสี่ยงการติดคอ
  4. เมื่อเตรียมอาหารแล้วคุณแม่ต้องให้ลูกน้อยนั่งในเก้าอี้ทานข้าว จัดอาหารใส่ถาดหรือจาน ล้างมือให้ลูก ใส่ผ้ากันเปื้อน ปูพลาสติกกันเลอะลงที่โต๊ะหรือพื้น แล้วให้ลูกได้หยิบอาหารกินด้วยต้วเอง

ซึ่งการให้ลูกกินด้วยวิธีการแบบนี้ จะช่วยให้ทั้งคุณแม่และคุณลูกรักมีความสุขกับมื้ออาหารของลูกมากขึ้น เพราะไม่ต้องเหนื่อยเดินป้อนข้าวลูก ลูกน้อยเองก็รู้สึกสนุก เพลิดเพลินกับการได้หยิบจับอาหารเข้าปาก ทำให้การ กินแบบ BLW เป็นที่นิยมกันในครอบครัวต่างประเทศ และนิยมในเมืองไทยบ้านเรามากขึ้น แต่การจะเริ่มให้ลูกกิน BLW จะต้องมีการเตรียมพร้อมก่อนให้มื้อแรก และคุณแม่ต้องเรียนรู้ข้อจำกัดและข้อควรระวังหลายๆ อย่าง ดังนั้นไปดูกันว่ามีอะไรที่คุณแม่ต้องพิถีพิถันใส่ใจบ้าง

แม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง? เมื่อเริ่มให้ลูก กินแบบ BLW

แม้จะดูเหมือนการให้อาหารเสริมลูกด้วยวิธีการ BLW นี้ จะไม่ได้ยุ่งยากนัก แต่ก็มีเรื่องสำคัญต่างๆ ที่คุณแม่จะต้องใส่ใจและพิถีพิถันเลือกให้ลูกน้อย เพื่อความปลอดภัย และให้อาหารลูกในแบบ BLW ได้สำเร็จ นั่นคือ

1) เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ในการกินให้พร้อม

ก้าอี้ทานข้าวเด็ก  หรือ High Chair เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนให้ลูกกิน BLW มื้อแรกเพราะลูกต้องนั่งกินอาหารเท่านั้น! เก้าอี้ทานข้าวจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้ลูกอยู่กับที่ นั่งกินอาหารอย่างปลอดภัย และอยู่ในระดับที่ใกล้สายตาพ่อแม่ ทั้งยังนั่งเก้าอี้นี้กินอาหารร่วมโต๊ะกับพ่อแม่ได้  ซึ่งเก้าอี้ทานข้าวเด็กที่ดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • มีความมั่นคงแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี โดยอาจสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 30-40 กิโลกรัม
  • ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย เช่นพลาสติกปลอดสารพิษที่ทนทาน หรืออาจเป็นไม้เนื้อแข็ง
  • มีโครงสร้างของขาเก้าอี้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เวลาเด็กนักกินข้าว นั่งได้อย่างบาลานซ์หรือสมดุง ไม่เอียงโยกหรือเอนล้มลงมาได้ เนื่องจากในแต่ละมื้อลูกจะต้องนั่งเป็นเวลานาน นั่งันละ 3 เวลา และเด็กมักจะไม่นั่งเฉยๆ
  • สามารถปรับระดับความสูงของเก้าอี้ได้หลายระดับ ซึ่งปัจจุบันมีเก้าอี้ทานข้าวเด็กสามารถปรับระดับได้ตั้งแต่ 5-10 ระดับ โดยจะเป็นระดับที่ปรับให้เหมาะกับความสูงของโต๊ะที่จะนั่งกับผู้ใหญ่ ระดับตัวของลูก และการให้ลูกยกแขนกินอาหารได้สะดวก
  • โครงสร้างการเชื่อมต่อ และการล็อกเก้าอี้ มีความแน่นหนาไม่มีโอกาสร่วงหลุดจนเป็นอันตราย
  • มีเข็มขัดนิรภัยล็อกตัวลูกน้อย 3-5 จุดตามความเหมาะสม เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ลูกเลื่อนหลุด หรือหล่นลงมาจากเก้าอี้
  • ต้องเป็นเก้าอี้ที่มีพนักพิงกว้างเหมาะสมกับลูก  พร้อมกับต้องมีเบาะรองนั่งที่ผลิตจากวัสดุที่ดี ออบแบบให้พอดีกับตัวลูก  เพื่อจะทำให้ลูกนั่งได้สบายไม่แข็งหรือรู้สึกเจ็บ รู้สึกอึดอัดได้
  • มีที่วางขาปรับขึ้น-ลงได้ จะช่วยให้ลูกวางขาสบาย  พร้อมกับปรับระดับขาให้ลูกนั่งวางขาได้แบบสบายที่สุด
  • มีถาดอาหาร  ที่สามารถปรับระดับ เข้า – ออก ตามสรีระของลูกน้อยได้ รวมทั้งถาดอาหารควรถอดออกมาทำความสะอาดได้สะดวก
  • เก้าอี้ทานข้าวของลูก ควรมีล้อที่สามารถล็อกได้มั่นคง ไม่เลื่อนไหลเวลาลูกนั่ง และสามารถปลดล็อกเพื่อเคลื่อนย้ายได้สะดวก  และยิ่งหากเก้าอี้ทานข้าวของลูกสามารถปรับพับเก็บได้ ยิ่งทำให้บ้านดูสะอาดเรียบร้อย ปลอดภับ เพราะสามารถเก็บเก้าอี้ให้เข้าที่เรียบร้อยได้ ไม่ต้องกางทิ้งไว้เกะกะบ้าน

จาน ชาม ถาดอาหารของลูก   ควรเป็นจานชามสำหรับเด็ก ที่ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย ไม่ใช้พลาสติกอันตราย น้ำหนักเบา ไม่แตกหักง่าย ไร้สารพิษ ไม่มีสีที่เป็นอันตราย ผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม สามารถใส่อาหารได้ทั้งร้อนและเย็น รวมถึงคุณแม่อาจเลือกจานชามที่มีลวดลายน่ารักมีสีสันถูกใจหรือดึงดูดใจคุณหนูๆ ให้ทานข้าวก็ได้

และเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้ลูกน้อยกินอาหารแบบ BLW ได้สะดวก โดยที่คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องการหกเลอะเทอะมาก คือการเลือกจานชามสำหรับเด็กที่ไม่เลื่อนออกจากเก้าอี้ทานข้าวง่ายๆ  นั่นคือจานหรือชามอาหารเด็กแบบที่มีกันลื่น หรือก้นจานชามมียางดูดติดกับโต๊ะ/เก้าอี้  ซึ่งเวลาที่ลูกใช้มือหยิบจับอาหาร กินบ้างเล่นบ้าง อาจจะมีการเล่นเคลื่อนไหว จนชามอาหารเลื่อนหรือหล่นได้ ดังนั้นการใช้จามกันลื่น จะช่วยให้จานอาหารอยู่กับที่ ป้องกันไม่ให้ลูกเลื่อนหรือเล่น จนจานชามตกหล่น ส่งผลให้คุณแม่ต้องล้างและใส่อาหารใหม่ให้ลูกนั่นเอง

ผ้ากันเปื้อน  เตรียมไว้ใส่ให้ลูกเวลากินอาหาร ป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าของลูกต้องเลอะอาหารมากเกินไป จนคุณแม่ทำความสะอาดได้ยาก

พลาสติกหรือผ้ายางกันเปื้อน ปูโต๊ะ พื้น หรือรองปูเก้าอี้ ช่วยให้คุณแม่ทำความสะอาดเก้าอี้ให้ลูก หรือพื้นบ้านได้สะดวกขึ้น เนื่องจากพลาสติกหรือผ้ายาง จะรองรับเศษอาหารไว้ก่อนในด้านแรก ทำให้เททิ้งสะดวก และล้างได้ก่อนที่จะเปื้อนโต๊ะหรือพื้น

อุปกรณ์ทำความสะอาด เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนปลอดภัย ผลิตจากส่วนประกอบของธรรมชาติที่ไม่มีสารเคมีตกค้าง สำหรับใช้ล้างเช็ดเก้าอี้ทานข้าวของลูก และล้างจานชามต่างๆ ให้สะอาดปราศจากเชื้อโรค

2) เรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลในยามฉุกเฉิน

คุณพ่อคุณแม่หรือคนในบ้านทุกคนควรมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องในการช่วยเหลือลูกน้อยได้เบื้องต้น กรณีที่ลูกมีอาการสำลัก ติดคอ หรือมีอะไรหลุดลงคอจนอุดกั้นทางเดินหายใจ เพื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะสามารถช่วยลูกได้ทันท่วงที หรือปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ถูกต้องก่อนส่งถึงมือคุณหมอ

3) รู้จักอาหารห้ามลูกกิน และอาหารเสี่ยงติดคอ

ได้แก่ อาหารที่มีเศษกระดูก ก้าง มีกระดูกอ่อน เมล็ดผลไม้หรือเมล็ดธัญพืช เมล็ดมะขาม เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม ผลไม้ชิ้นใหญ่  ไส้กรอก ลูกชิ้น  ป๊อบคอร์น  รวมถึงอาหารที่ห้ามลูกเล็กกิน เช่น น้ำแข็งก้อน เยลลี่  น้ำผึ้ง มะเขือเทศทั้งลูก เนยถั่ว หรืออาหารที่ลูกแพ้

สิ่งที่แม่ต้องรู้ เมื่อลูก กินแบบ BLW

  • ต้องมีผู้ใหญ่อยู่กับลูกขณะกินอาหารด้วยตลอดเวลา เพื่อดูแลและสังเกตอาการผิดปกติ
  • เรียนรู้วิธีสอนลูกให้ถูกต้อง  การให้ลูกกินอาหารในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น นั่งทานอาหารกับพ่อแม่ภายในเวลาไม่เกิน 45 นาที หากลูกไม่กินหรือกินเหลือ จะต้องเก็บตามชาม ให้เขาได้เรียนรู้ว่าหมดเวลากินแล้ว
  • ทำความเข้าใจเรื่องการให้อาหารแบบนี้กับผู้ใหญ่ในบ้าน ต้องบอกทุกคนว่าต้องให้ลูกหยิบอาหารเข้าปากเอง ต้องไม่ใช้ช้อนป้อนหรือเดินป้อนอาหารลูก ไม่ต้องใช้มือดัน หรือเชียร์กดดันให้ลูกกิน เพราะกินแบบนี้จะให้ลูกกำหนดและตัดสินใจกินเอง
  • ลูกอาจมีอาการขย้อนอาหารออกมาข้างหน้าได้บ้าง ซึ่งเป็นปกติไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นกลไกของร่างกายเพื่อไม่ให้อะไรหลุดลงไปติดคออุดทางเดินหายใจ  ซึ่งลูกเรียนรู้หลังการขย้อนว่าจะต้องเคี้ยวให้ละเอียดอีกครั้งแล้วค่อยกลืนใหม่ บางคนอาจจะอาเจียนออกมาได้  แต่เมื่อเวลาผ่านไปลูกจะเริ่มเรียนรู้ที่การกินได้ดีขึ้น เช่น ไม่กินคำใหญ่เ ต้องเคี้ยวอาหารเสมอ
  • กรณีเกิดเหตุการณ์อาหารติดคอ หรือมีอะไรไปขวางทางเดินหายใจ (choke) ลูกจะมีอาการไอไม่ออก หน้าซีดหน้าเขียว ดูทุรนทุราย และมีสีหน้าเปลี่ยน เมื่อเห็นเช่นนี้ต้องรีบช่วยเหลือลูกทันทีด้วยวิธีการกดนิ้วที่หน้าอก หรือจับลูกพาดขาแล้วตบหลังเบาๆ โดยทุกบ้านต้องศึกษาวิธีการช่วยเหลือนี้อย่างถูกต้องไว้ เพื่อนำมาใช้ช่วยชีวิตทุกคนได้ในอนาคต

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เคยมีคนบอกว่า แต่งงานแล้วอย่าเพิ่งมีลูกนะ เดี๋ยวไม่มีเวลาได้ไปท่องเที่ยว เพราะถ้ามีลูกน้อยจะเดินทางแต่ครั้ง ต้องเตรียมสัมภาระของลูก 1 กระเป๋าใหญ่ ต้องรับมือกับลูกที่อาจร้องงอแง เพราะพักผ่อนไม่เต็มที่ ถึงเวลานอนแล้วไม่ได้นอน งอแงต้อให้อุ้มตลอดเวลา ก็คงเที่ยวไม่สนุก แล้วก็จะเข็ดไม่อยากไปไหนอีกเลย แต่รู้ไหมว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับลูกน้อยเลย เพราะเด็กในช่วงวัยนึง เป็นช่วงวัยที่ต้องการการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการของลูกน้อยเป็นไปอย่างดีเยี่ยม …แต่ถ้าไม่ได้พาลูกออกนอกบ้านเลย แล้วจะเรียนรู้ได้อย่างไรหล่ะ??? แต่สำหรับครอบครัวพ่อเพชรจ้า-แม่นิวเคลียร์ สามารถพาน้องไทก้าเที่ยวได้ทุกที่ได้อย่างคล่องตัว พาออกนอกบ้านตั้งแต่น้องยังเล็กๆอยู่เลยค่ะ ก็เพราะมีตัวช่วยอย่าง รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Karoon เป็นรถเข็นเด็กที่เบาที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะเบาเพียง 3.6 kg. TRIP KOREA รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Karoon กับทริปแรกของน้องไทก้า ในวัยประมาณ 6 เดือน เดินทางไปไกลถึงแดนกิมจิ ประเทศเกาหลี ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียง 3.6 kg. ช่วยให้นำรถเข็นขึ้นเครื่องได้อย่างสบาย รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Karoon ปรับเข็นได้ 2 ทิศทาง ช่วยให้พ่อเพชรจ้าดูแลน้องไทก้าได้อย่างใกล้ชิด แบบ face to face […]

สวัสดีค่ะ ^_^  อุปกรณ์คู่ใจของแม่ ๆ สุดสตรองทุกท่านก็คงหนีไม่พ้น “รถเข็นเด็ก” จริงไหมคะ..? ส่วนตัวมดเอง ลองใช้รถเข็นมาหลายยี่ห้อ แต่ตอนนี้บ้านเรากำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลายวัน รถเข็นคันเดิมเริ่มไม่ตอบโจทย์เรื่องการพกพาอีกต่อไปแล้ว เพราะแค่ของใช้ก็เต็มรถแล้วค่ะ เราจึงมีโจทย์ในการหารถเข็นคันใหม่ว่า ต้องมีน้ำหนักเบา พับเก็บง่าย และแน่นอนว่าต้องเป็นแบรนด์ดังที่แม่ ๆ ไว้ใจ เหมือนสวรรค์มีตา 555 เพราะไม่กี่วันต่อมา เราก็ไปเจอใน IG คุณโอปอล์ว่า เพิ่งถอยรถเข็นใหม่ให้น้องอลิน อลันเหมือนกัน แถมยังเชียร์ว่ามันเบา ใช้งานสะดวกมากกก คุณแม่ขาช็อปอย่างเราก็ไม่รอช้าค่ะ ไปซื้อตามด่วน ๆ คุณโอปอล์ซื้อรถเข็นจากร้าน BABYGIFT ค่ะ มดเองไม่มีเวลาไปที่ร้าน เลยสั่งซื้อออนไลน์ กดสั่งปุ๊บ รอไม่นานก็มีน้องเสียงสวยโทรมานัดวันจัดส่งทันที 2 วันก็ได้ของค่ะ สะดวกมากก แล้วเราก็ได้รถเข็นที่ตอบโจทย์การใช้งานมา 1 คัน และนี่คือ “Aprica Magical Air Plus Highseat” รุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่ เล็ก และน้ำหนักเบา ที่สุด  ตัวนี้เค้าแนะนำสำหรับเด็กไม่เกิน 15 โล แต่ลูกบ้านนี้หนัก 16 โลก็ยังนั่งสบาย ๆ เลยค่ะ ราคาอยู่ที่ 10,335 บาท อย่างที่ทราบกันดีว่า “ถ้ารถเข็นต้อง Aprica”  ดังนั้นเค้าจึงมีความพิเศษค่ะรุ่นนี้น้ำหนักเบาเพียง 3.3 kg ถือมือเดียวได้สบาย ๆ และที่นั่งเป็นแบบ High Seat สูงจากพื้นดิน 52 cm. ซึ่งจะทำให้ฝุ่นละอองและความร้อนจากพื้นนั้นห่างจากลูกยิ่งขึ้น แถมยังสามารถพับเก็บได้แบบ One Step และล้อทั้ง 4 ก็จะติดกับพื้น ลากได้สบาย ๆ […]

เป้อุ้มเด็กเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต่างให้ความสนใจไม่แพ้กับคาร์ซีทและรถเข็นเด็กที่เป็นของจำเป็นสำหรับการเลี้ยงลูกน้อย โดยเฉพาะพ่อแม่เด็กอ่อนที่ต้องอุ้มลูกแทบจะตลอดเวลา หากอุ้มลูกนาน ๆ ก็อาจจะทำให้เมื่อยล้า ปวดแขน ปวดไหล่ ปวดหลัง และมีปัญหาด้านสุขภาพตามมาได้ จึงมองหาเป้อุ้มเด็กแรกเกิดที่จะมาช่วยทุ่นแรงให้อุ้มลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในบทความนี้ BabyGift จะขอแนะนำยี่ห้อเป้อุ้มทารกที่คุณภาพดี เป็นที่นิยมกันในตลาด พร้อมคำแนะนำในการเลือกให้กับคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ  BabyGift แนะนำยี่ห้อเป้อุ้มทารกคุณภาพดี พร้อมวิธีการเลือกที่พ่อแม่ต้องรู้ !  เป้อุ้มเด็ก หรือ เป้อุ้มทารก เป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อให้อุ้มลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยจนเกินไปในเวลาที่ต้องอุ้มลูกนาน ๆ และยังสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ในขณะเดียวกัน โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูลูก หรือต้องปล่อยให้ลูกอยู่ห่างจากตัว เป้อุ้มเด็กนั้นเหมาะสำหรับการอุ้มเด็กเล็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งเป้อุ้มเด็กจะมีประโยชน์อย่างมากในครอบครัวที่ไม่มีคนดูแลเด็กเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระอื่น ๆ นอกบ้าน หรือโดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย ก็สามารถใช้เป้อุ้มเด็กเพื่อให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ด้วย โดยสามารถใช้เป้อุ้มเด็กแรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบขึ้นไป และบางรุ่นก็สามารถใช้ได้จนถึง 3 ขวบเลยทีเดียว ซึ่งเป้อุ้มเด็กในท้องตลาดก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อด้วยกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่จะเลือกยังไง วันนี้เรามียี่ห้อมาแนะนำกันค่ะ 1. Hugpapa  แบรนด์ Hugpapa เป็นแบรนด์ดังจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ทางแบรนด์เน้นการผลิตและจำหน่ายเป้อุ้มเด็กโดยเฉพาะ และขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรมเป้อุ้มเด็กที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ให้ได้มากที่สุด และนอกจากนี้ ก็มีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จำหน่ายแยกอีกด้วย  สำหรับเป้อุ้มทารกจากแบรนด์ Hugpapa ที่ BabyGift อยากจะแนะนำก็คือ เป้อุ้ม Hugpapa รุ่น Dial-Fit Pro (3in1 Hip Seat Carrier) ที่มีเทคโนโลยี BOA ช่วยปรับให้เป้มีความกระชับตัวได้ง่ายมากขึ้นเพียงแค่หมุน ใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และสามารถปรับได้พอดีกับสรีระของทุกคน ตัว Hipseat เป็น EPP […]

เชื่อว่าอาการปวดหลังหรืออาการปวดเมื่อยตามร่างกายนั้น ต้องเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนเคยสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องนั่งหรืออยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน ๆ และก็อาจจะมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างเบาะยางพาราและเบาะเมมโมรี่โฟมเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย เนื่องจากวัสดุดังกล่าวให้ความรู้สึกที่นุ่มสบายและช่วยคลายความปวดได้ แต่ทราบหรือไม่คะว่า ปัจจุบันนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Vetagel (เวทาเจล) ซึ่งเป็นวัสดุเจลประเภทหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นสูง คืนตัวได้เร็ว และลดแรงกดทับได้ดีกว่ามาก ทั้งยังเป็นที่นิยมในประเทศเกาหลีอีกด้วย vetagel คืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มีประโยชน์ทางด้านสุขภาพของเราอย่างไร ไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ   Vetagel คือ อะไร ? ชวนรู้จักเจลชนิดพิเศษเพื่อสุขภาพ นำเข้าจากเกาหลีใต้ vetagel คือวัสดุเจลชนิดหนึ่ง เป็นเจลใสสีเขียวชนิดพิเศษ ผลิตขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ เนื้อเจลจะมีคุณสมบัติเหนียว แข็งแรง มีความยืดหยุ่นสูงมาก แม้มีแรงกดทับหนัก ๆ ก็ไม่เสียรูปทรงง่าย สามารถกระจายแรงกดทับได้ดีและคืนตัวได้เร็ว เมื่อเรากดลงไปในเนื้อเจล เนื้อเจลจะเด้งดึ๋งคืนตัวทันที (Fast Recovery Property) ทำให้เกิดแรงกดทับได้น้อยมาก ๆ ซึ่งแตกต่างจากวัสดุชนิดอื่น ๆ เช่น เมมโมรี่โฟมหรือยางพาราที่เมื่อเราใช้มือกดลงไป วัสดุจะค่อย ๆ คืนตัวช้า ๆ […]

เคล็ดลับการฝึกลูกนั่งคาร์ซีท car seat จากประสบการณ์จริงคุณแม่ลูกสอง โดย แม่ป่าน เพจ เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข by mommy Arpan 1. ฝึกเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ : ถ้าเป็นไปได้จัดเตรียมคาร์ซีท car seat ไว้ก่อนคลอด และให้ลูกนั่งตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล จะช่วยสร้างความคุ้นเคยให้กับทั้งตัวลูกและพ่อแม่ 2. ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอจนกลายเป็น routine (กิจวัตร) : ไม่ว่าจะไปไหน ใกล้หรือไกลต้องให้เด็กนั่ง car seat ทุกครั้ง เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ปฏิบัติจนคุ้นชิน และทุกอย่างจะง่ายขึ้นเองค่ะ 3. ปรับทัศนคติให้ตรงกัน (ปัญหาหลักที่หลายบ้านพบเจอ) : โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในบ้านที่อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือยังมองไม่เห็นความสำคัญ ลองนั่งพูดคุยบอกเล่าเหตุการณ์ๆต่างๆในข่าว ที่เวลาเกิดอุบัติเหตุและเด็กที่นั่ง car seat รอดชีวิต เปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้นั่งและเกิดความสูญเสียร้ายแรงตามมา และลองคุยปรับความเข้าใจกับท่านดู เชื่อว่าถ้าท่านรักและห่วงหลานๆเป็นทุน ยังไงวันหนึ่งท่านจะเข้าใจค่ะ อีกวิธีหนึ่งที่แนะนำคือลองหาวิดิโอใน Youtube สาธิตแรงกระแทกที่เกิดขณะรถชน (จะมีสาธิตเปรียบเทียบระหว่างมีคนอุ้มเด็ก กับเด็กนั่งคาร์ซีท ….หวังว่าภาพที่เห็นจะสามารถเปลี่ยนใจของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านได้นะคะ […]

คุณแพรว เพชรแพรว อัครเตชวาทิน หรือแม่แพรว จากเพจ PRAEW ที่หลายคนรู้จักกันดีในบทบาทของ Influencer สายแม่และเด็ก ที่แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกเชิงบวกได้อย่างดี ซึ่งเราจะเห็นได้จากกน้อง เฌอลินน์ ลูกสาวคนโตที่โตขึ้นมาเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความสามารถ ทำให้ใครหลายๆคนหลงกับความน่ารักของน้อง เฌอลินน์ ไปตามๆกัน และล่าสุดต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแพรว กับการคลอดลูกคนที่ 2 ที่มีชื่อว่า เมอฌินน์ หรือฉายา เจ้าลูกชิ้น ลูกชายคนแรกของแม่แพรวด่วยค่ะ            และถ้าใครเคยตาม หรือเคยเข้าไปดูเพจ PRAEW จะรู้ว่า แม่แพรวจะ Post Content ให้ความรู้ แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกไว้เป็นจำนวนมาก และล่าสุด คุณแพรวก็ได้แชร์ประสบการณ์การใช้คาร์ซีทในวันแรกที่พาน้อง เมอฌินน์ ออกจากโรงพยาบาล วันนี้ทาง BabyGift ขอนำมาแชร์ต่อค่ะ พร้อมพามาดูกันว่า คาร์ซีทที่น้อง เมอฌินน์ ใช้คือคาร์ซีทรุ่นไหน  คุณแพรว ได้แชร์ไว้ว่า ทุกครั้งที่นั่งรถ แพรวต้องให้ลูกนั่งคาร์ซีททุกครั้งค่ะ เพราะสำหรับแพรวความปลอดภัยของลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับคาร์ซีทที่แพรวเลือกให้เมอคือ คาร์ซีท Ailebebe Kurutto ค่ะ อันนี้เป็นรุ่น 6 รุ่นใหม่ของเค้าค่ะ คุณแพรว ยังบอกอีกว่า ที่แพรวเลือกรุ่นนี้เพราะแพรวมั่นใจคือเรื่องความปลอดภัยของเค้าค่ะ เค้ามีเทคโนโลยีพิเศษที่เพิ่มความปลอดภัยที่ทำให้เมอปลอดภัยมากขึ้นเวลาที่นอนอยู่บนคาร์ซีท วัสดุดีมาก! มีมาตรฐานรองรับจากโรงงานประเทศญี่ปุ่นและความปลอดภัยระดับยุโรป เบาะก็ Support ดี สบาย ระบายอากาศได้ ไม่อึดอัดเลยค่ะ ปรับเอนนอนได้ นั่งทุกครั้งเมอฌินน์หลับปุ๋ยตลอด ติดตั้งง่ายด้วยระบบ Isofix ที่สำคัญที่มามี๊แฮปปี้ที่สุด […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages