คลอดลูกแบบผ่า กับ แบบธรรมชาติ แบบไหนดีกว่ากัน

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สิ่งแรกๆ ที่คุณแม่ส่วนใหญ่นึกถึงก็คือเรื่องของการคลอดใช่มั้ยล่ะคะ ส่วนวิธีการคลอดนั้น ก็อย่างที่คุณแม่ทราบกันดีว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ก็คือการคลอดธรรมชาติกับการผ่าคลอดค่ะ เราลองเปรียบเทียบกันดูดีกว่าว่าสองวิธีนี้ต่างกันยังไงบ้าง
การคลอดธรรมชาติคืออะไร มีอะไรที่ต้องกังวลบ้าง?
การคลอดธรรมชาติก็คือการที่คุณแม่เบ่งลูกน้อยออกมาทางช่องคลอด ซึ่งการคลอดแบบนี้คุณแม่จะต้องรอให้มีน้ำเดินหรือเจ็บท้องคลอด รวมถึงปากมดลูกเปิดมากพอที่จะทำการคลอดได้นั่นเอง ส่วนใหญ่แล้ว คุณแม่จะเจ็บท้องคลอดกันที่ช่วง 37-40 สัปดาห์ค่ะ การคลอดธรรมชาติมักเป็นที่นิยมเพราะคุณแม่ส่วนใหญ่ก็อยากมีประสบการณ์ อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดในการเบ่งคลอด แถมยังมีราคาถูกกว่าผ่าคลอดอีกด้วยนะ แม้ว่าการคลอดธรรมชาติจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แผลหายเร็ว และคุณแม่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แต่ก็มีหลายปัจจัยที่คุณแม่ควรทราบกันไว้ซักนิดนึงน้า
ปัจจัยที่อาจทำให้การคลอดธรรมชาติไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเสมอไป
1. ลูกไม่กลับหัว
ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการคลอดธรรมชาติ และมักจะจบลงด้วยการที่คุณหมอเปลี่ยนไปเป็นผ่าคลอดแทนค่ะ โดยปกติ เวลาที่จะคลอด ลูกน้อยจะต้องกลับหัวเพื่อใช้หัวดันออกมาจากช่องคลอด มีทารกบางรายที่ไม่ยอมกลับหัว หรืออาจจะกลับหัวผิดตำแหน่ง ทำให้คุณหมอไม่สามารถทำคลอดได้
2. คุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น
แรงเบ่งนั้นมีความสำคัญกับการคลอดธรรมชาติมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น ลูกน้อยก็จะไม่สามารถคลอดออกมาได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะ เพราะโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่คุณแม่ไปฝากครรภ์ เค้าจะมีการอบรม สอนวิธีการเบ่ง การหายใจ เพื่อให้คุณแม่สามารถเบ่งได้อย่างถูกวิธีค่ะ
3. คุณแม่มีโรคประจำตัว
โรคประจำตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เพราะการคลอดธรรมชาติ รวมถึงการเบ่งที่คุณแม่ต้องออกแรงอาจมีผลโดยตรงกับโรคเหล่านี้ คุณแม่อาจจะเสียเลือดมากระหว่างคลอด หรือการออกแรงเบ่งมากเกินไปอาจทำให้คุณแม่ไม่สามารถรับเอาออกซิเจนเข้าไปได้ทัน คุณหมอก็เลยไม่ค่อยแนะนำให้คุณแม่ที่มีโรคประจำตัวคลอดน้องแบบธรรมชาติค่ะ
4. ลูกในท้องไม่แข็งแรงหรือมีภาวะรกเกาะต่ำ
เมื่อลูกในท้องไม่แข็งแรง หรือมีภาวะรกเกาะต่ำ การคลอดธรรมชาติจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะว่าด้วยอะไรหลายๆ อย่าง อย่างเช่น ลูกอาจจะรับออกซิเจนเข้าไปไม่เพียงพอระหว่างคลอด หรือรกขวางที่ปากมดลูก ทำให้ลูกน้อยไม่สามารถคลอดออกมาได้ เพราะฉะนั้น คุณแม่ที่เจอภาวะเหล่านี้ก็ควรจะเลี่ยงการคลอดธรรมชาติดีกว่านะ
การคลอดแบบผ่าคืออะไร มีอะไรที่ต้องกังวลบ้าง?
การคลอดแบบผ่าก็คือการที่คุณแม่จะถูกบล็อกหลัง และคุณหมอจะใช้เครื่องมือเปิดช่องท้องของคุณแม่เพื่อนำลูกน้อยออกมาแทนการคลอดผ่านช่องคลอดนั่นเองค่ะ โดยปกติแล้วการผ่าคลอดจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการคลอดธรรมชาติ เพราะต้องใช้เวชภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงคุณแม่ที่ผ่าคลอดจะต้องนอนที่โรงพยาบาลเพิ่มจากคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติอีก 1 คืน ปกติคุณหมอก็จะอนุญาตให้ผ่าคลอดได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 37 เป็นต้นไป โดยที่คุณแม่ไม่ต้องรอให้เจ็บท้องคลอดก่อนค่ะ การผ่าคลอดก็มีข้อดีคือคุณแม่สามารถระบุวันที่คุณแม่สะดวกได้ ไม่ต้องรอลุ้นว่าจะเจ็บท้องคลอดตอนไหน แอบกระซิบว่าเหมาะกับคุณแม่สายมู ที่ต้องการฤกษ์งามยามดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้ก็มีปัจจัยบางอย่างที่อยากมาเล่าให้คุณแม่ฟังกัน เพื่อเป็นตัวช่วยตัดสินใจว่าจะผ่าคลอดหรือจะคลอดแบบธรรมชาติดีน้า
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการผ่าคลอด
1. ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
การคลอดด้วยวิธีผ่าคลอดแผลจะหายช้ากว่าการคลอดธรรมชาติค่ะ เพราะคุณหมอจะใช้มีดกรีดที่บริเวณหน้าท้องของคุณแม่ เป็นช่องพอประมาณให้ลูกน้อยออกมาได้ แล้วเย็บกลับคืนให้เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นในช่วงแรกๆ คุณแม่ก็อาจจะลุกนั่งไม่สะดวก เรียกได้ว่าหลายวันอยู่เหมือนกันนะ บางคนก็อาจเป็นสัปดาห์ แต่วิธีแก้ไขก็คือ ให้คุณแม่พยายามเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดพังผืดขึ้นที่แผลนั่นเอง
2. ลูกจะมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าการคลอดธรรมชาติ
เวลาที่คุณแม่คลอดธรรมชาติ ลูกจะได้รับจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่อยู่ในช่องคลอด ส่วนลูกน้อยที่คลอดด้วยการผ่าคลอดก็จะไม่ได้รับตัวโพรไบโอติกนี้ค่ะ แต่ยังไงก็แล้วแต่ เจ้าตัวโพรไบโอติกนี้ก็สามารถมาทานเสริมข้างนอกด้วยนะ เพราะนมสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนมีส่วนผสมของจุลินทรีย์ตัวนี้ค่ะ
3. อาจเกิดการติดเชื้อได้
เนื่องจากการผ่าคลอดต้องใช้เครื่องมือมาช่วย แม้แทบจะไม่ค่อยพบกรณีนี้เลย แต่คุณแม่ก็อาจมีการติดเชื้อจากเครื่องมือที่ใช้ได้ค่ะ ซึ่งการติดเชื้อจากการผ่าคลอดนี้จะเป็นการติดเชื้อที่มีความรุนแรง และจะเกิดขึ้นบริณช่องท้องนั่นเอง
4. มีแผลเป็นที่หน้าท้อง
แน่นอนว่าเมื่อผ่าคลอดแล้วก็จะได้รับแผลเป็นบนหน้าท้องตามมา วิธีการผ่าท้องก็จะมีการผ่าสองแบบค่ะ คือการผ่าตามแนวตั้งขนานไปกับหน้าท้อง แล้วก็การผ่าแนวนอน ซึ่งแบบหลังจะนิยมมากกว่าในสมัยนี้ เพราะจะทิ้งแผลเป็นไว้ในจุดที่เห็นไม่ชัดเท่าไหร่ คุณแม่สุดเปรี้ยวก็สามารถกลับมาใส่บิกินี่โชว์ได้สบายใจเลยล่ะค่ะ
5. เมื่อมีลูกคนต่อไปจะไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้
เวลาคลอดด้วยการผ่าคลอดนั้น คุณหมอจะต้องใช้มีดกรีดเพื่อเปิดมดลูก และเย็บกลับคืน เพราะฉะนั้น เมื่อคุณแม่ตั้งท้องลูกคนถัดๆ ไปแล้ว มดลูกของคุณแม่ก็จะไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน และสามารถฉีกขาดได้หากมีการเบ่งท้องคลอดค่ะ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าคุณแม่ที่ผ่าคลอด 100% จะคลอดแบบธรรมชาติในท้องถัดมาไม่ได้ เพราะอันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอด้วยล่ะ
เป็นยังไงบ้างคะ การคลอดทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันใช่มั้ยล่ะ รู้อย่างนี้แล้ว คุณแม่อาจจะต้องลองชั่งน้ำหนักดูแล้วล่ะค่าว่าอยากเลือกแบบไหน แบบไหนกันนะที่จะเหมาะสมกับคุณแม่ที่สุด เพราะไม่มีใครฟันธงได้จริงๆ หรอกว่าการคลอดแบบไหนคือการคลอดที่ดีกว่ากัน
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
วิตามินมีความสำคัญต่อร่างกายของเราเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะตอนท้อง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่วิตามินที่เราได้รับเป็นปกตินั้นจะต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับเราเอง และอีกส่วนหนึ่งสำหรับลูกน้อย วิตามินส่วนใหญ่ก็จะสามารถพบได้ในอาหารทั่วไปเลยนะคะ หรือคุณแม่บางท่านอาจจะเลือกที่จะเสริมวิตามินเพิ่มเติมก็ได้อยู่ แต่ก่อนที่เราจะมองหาอาหารที่อุดมด้วยวิตามินมาทานนั้น เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าแม่ท้องควรจะเน้นวิตามินตัวไหนเป็นพิเศษกันบ้าง 1. วิตามินบี 1 วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่จะช่วยไม่ให้คุณแม่เกิดอาการเหน็บชา และมีความจำเป็นต่อร่างกายในการสร้างและการทำงานของเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาทต่างๆ ของทารก สำหรับคุณแม่ที่ได้รับวิตามินตัวนี้น้อยเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อหัวใจและปอดของลูกน้อยได้ค่ะ อาหารที่มีวิตามินบี 1 ไข่ไก่ ข้าวซ้อมมือ แป้งสาลี 2. วิตามินบี 2 และบี 6 สำหรับวิตามินตัวนี้นั้นจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองรวมถึงระบบประสาทของทารกเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าได้รับวิตามินตัวนี้น้อยเกินไป ก็อาจจะทำให้สมองของลูกน้อยพัฒนาได้อย่างไม่เต็มที่นะคะ อาหารที่มีวิตามินบี 2 และบี 6 เช่น ตับและไข่แดง 3. กรดโฟลิก กรดโฟลิกเป็นวิตามินที่ช่วยเรื่องของการสร้างอวัยวะให้แก่ลูกน้อย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องของสมองพิการและความพิการของร่างกายส่วนอื่น ๆ อาหารที่มีกรดโฟลิก เช่น ผักโขม อาโวคาโด ข้าวโพด 4. วิตามินบี 12 วิตามินบี 12 ก็เป็นวิตามินที่ช่วยในเรื่องของการทำงานระบบประสาทเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีส่วนในเรื่องของการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงอีกด้วยนะ และเม็ดเลือดแดงก็มีความสำคัญในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองของลูกน้อยของเรานั่นเอง อาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น ไข่ ตับ และผลิตภัณฑ์จากนม 5. วิตามินซี วิตามินซีจะมาช่วยคุณแม่ในเรื่องของภูมิคุ้มกัน […]
BabyGift Grand Opening ฉลองเปิดสาขาใหม่ “ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์” สาขาที่ 7 อย่างเป็นทางการตอกย้ำความเป็นผู้นำร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก BabyGift พร้อมที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณพ่อ-คุณแม่และลูกน้อยในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ” The Best Gift for your Baby ” ขอขอบคุณ แบรนด์ Partner ผู้บริหาร และคณะกรรมการทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่มาร่วมงาน และคอยสนับสนุนเบบี้กิ๊ฟอย่างดีตลอดมาค่ะ Attitude Mom Thailand : เครื่องปั๊มนม 5 โหมด อัจฉริยะ กรวยซิลิโคนแท้ Spectra Thailand เครื่องปั้มนม Iflin baby PUR Thailand Mellow for Kids ผ้ารองกันน้ำ100% เมลโล่ Bambies Thailand Baby Natura Beaba Thailand Luxury Baby […]
เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก […]
คุณแม่ทุกคนล้วนแต่คิดถึงลูกในท้องมาเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของอาหารการกินและการบำรุง แต่คุณแม่หลายๆ คนตอนนี้กลับต้องมานั่งเครียดกับปัญหาน้ำหนักของตัวเองที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจนเกินจะควบคุมได้ ถ้าพูดแบบชาวบ้านๆ เค้าเรียกกันว่า “น้ำหนักลงแม่หมด” ค่ะ และคุณลูกก็ยังตัวเล็กเหมือนเดิมนะ เพราะงั้น ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าน้ำหนักคุณแม่ขึ้นมากจนเกินไป ก็อย่าเพิ่งดีใจว่าลูกของคุณแม่ตัวใหญ่สมบูรณ์ เพราะความจริงแล้ว อาหารที่คุณแม่ทานเข้าไปนั้นอาจจะไม่ได้มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อทารกในครรภ์ หากแต่เป็นอาหารเพิ่มเนื้อหนังคุณแม่ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นแป้งเอย ไขมันเอย ทราบอย่างนี้แล้ว ก่อนจะนำอะไรเข้าปาก ลองฉุกคิดกันซักนิดก่อนดีกว่า ว่าอาหารคำนี้จะไปเป็นของคุณแม่หรือของคุณลูก น้ำหนักช่วงไตรมาส 2 ควรเป็นประมาณไหน? คุณแม่ทราบหรือเปล่าคะว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องนั้นจะมีความต้องการพลังงานมากกว่าสาวๆ ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน นั่นหมายถึงว่า โดยปกติแล้วเราจะต้องการพลังงานแค่ 2,000 กิโลแคลอรีใช่มั้ยคะ แต่คุณแม่ๆ ก็จะต้องการที่ประมาณ 2,300 กิโลแคลเพื่อที่จะนำมาสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของลูกน้อย ความจริงแล้ว ไม่มีใครสามารถบอกเป็นตัวเลขได้เป๊ะๆ ว่าน้ำหนักคุณแม่ควรจะเพิ่มขึ้นที่เท่าใด เพราะจะต้องคำนึงถึงน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ด้วย แต่ถ้าจะให้พูดโดยรวมๆ น้ำหนักของคุณแม่ควรจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 กิโลกรัม และไม่ควรเกิน 13 กิโลกรัมค่ะ ในช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น น้ำหนักของคุณแม่จะขึ้นเร็วกว่าในช่วงไตรมาสแรกอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉลี่ยแล้วจะขึ้นที่ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์เลยทีเดียวนะ เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่คุณแม่ส่วนใหญ่สามารถทานอะไรได้มากขึ้น […]
ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆเรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย เคล็ดลับก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีท อายุ ประเภทของคาร์ซีท คำแนะนำทั่วไป เด็กอ่อน คาร์ซีทสำหรับเด็กอ่อน เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี และมีน้ำหนักน้อยกว่า 9 kg.– ต้องนั่งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ เพราะคอยังไม่แข็งพอรับแรงกระแทกขณะรถวิ่ง เด็กก่อนวัยเรียน เก้าอี้แบบหันหน้าออก เด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป หรือหนัก 9 kg. ขึ้นไป เด็กเล็กวัยเรียน เบาะรองนั่ง เด็กควรสูงอย่างน้อย 120 cm.และต้องมั่นใจว่าเข็มขัดนิรภัยพาดที่ไหล่และต้นขาของเด็กอย่างพอดี เด็กโต เข็มขัดนิรภัย […]