Hypochlorous Acid กรดไฮโปคลอรัส คืออะไร?

Hypochlorous Acid หรือ HOCl คืออะไร?
Hypochlorous Acid หรือ กรดไฮโปคลอรัส มีชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl นั้น เป็นกรดอ่อน ๆ ชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นโดยธรรมชาติโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเพื่อการรักษาและการปกป้องร่างกาย ซึ่งกรดไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รวมไปถึงสปอร์ของเชื้อราได้ โดยการเข้าไปทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรค เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเหล่านั้น
เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส (HOCl) เป็นกรดชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน ในเม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์ จึงปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบาง หรือดวงตา ไม่ทำให้เกิดอาการแสบ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคมากกว่าสารฟอกขาวประเภทคลอรีนถึง 80-120 เท่า
กรดไฮโปคลอรัส สามารถพบได้จาก “ น้ำอิเล็กโทรไลต์ “ ซึ่งเป็นน้ำที่ได้จากกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งมีการคิดค้นครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์และนักเคมี นามว่า ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) เมื่อปีทศวรรษ 1834 โดยเขาได้คิดค้นหลักการสำคัญของกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสตั้งเป็นกฎสองข้อเรียกกันว่า Faraday’s Laws of Electrolysis ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาไฟฟ้าเคมี (Electrochemistry) มาจนถึงทุกวันนี้

กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คืออะไร ?
อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คือกระบวนการผ่านกระแสไฟฟ้า ด้วยเครื่องมือที่ใช้แยกสารละลายด้วยไฟฟ้า มีชื่อเรียกว่า เซลล์อิเล็กโทรไลต์ หรือ อิเล็กโทรลิติกเซลล์ ประกอบด้วย ขั้วไฟฟ้า (อิเล็กโทรด Electrode) ภาชนะบรรจุสารละลายอิเล็กโทรไลต์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสงตรง (D.C.) เช่น เซลล์ไฟฟ้า หรือ แบตเตอรี่

เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกส่งผ่านไปยังสารละลายที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า คือ น้ำประปา (H2O) ซึ่งประกอบไปด้วยคลอรีนอิสระ (Free Chlorine) และการใส่เกลือบริสุทธิ์ ที่มีส่วนประกอบคือ โซเดียมคลอไรท์ (NaCl) ลงไปในน้ำประปา จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมี หรือเรียกว่าการ อ็อกซิเดชั่น (Oxidation) ก็จะได้สารประกอบใหม่ขึ้นมา ได้แก่ Hypochlorous Acid (HOCl), Hypochlorite Ion (OCl-), Sodium Hypochlorite (NaOCl), Hydroxyl Radical (OH), Peroxide (H2O2)
กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) และ ไฮโปคลอไรต์ ไอออน (OCl-) แตกต่างกันอย่างไร?
ไฮโปคลอไรต์ ไอออน (OCl-) มีประจุเป็นลบ ในขณะที่กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) ไม่มีประจุไฟฟ้า กรดไฮโปคลอรัสเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและสามารถออกซิไดซ์แบคทีเรียในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ไฮโปคลอไรต์ไอออนอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงในการออกซิไดซ์แบคทีเรีย เพราะพื้นผิวของเชื้อโรคมีประจุลบ ซึ่งทำให้เกิดแรงผลักกันกับไฮโปคลอไรต์ไอออนที่มีประจุลบออกจากพื้นผิวของเชื้อโรค ทำให้ไฮโปคลอไรต์ไอออนมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคน้อยลง ในขณะที่กรดไฮโปคลอรัสไม่มีประจุไฟฟ้า จึงสามารถซึมผ่านเกราะป้องกันที่อยู่รอบ ๆ เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
Hypochlorous Acid ที่ได้จาก น้ำอิเล็กโทรไลต์ ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง?
เนื่องจากคุณสมบัติของกรดไฮโปคลอรัส ที่สามารถใช้กำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ การใช้กรดไฮโปคลอรัสจึงได้รับการศึกษาวิจัยมามากกว่า 30 ปี และมีการเผยแพร่งานวิจัยใหม่ทุกปี และงานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้มักศึกษาเน้นไปที่การใช้กรดไฮโปคลอรัสในการฆ่าเชื้ออาหารและโรงงานแปรรูปอาหาร นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยในฟาร์มสัตว์ปีก การบำบัดน้ำ และการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ เช่น การดูแลแผล ทันตกรรมและการฆ่าเชื้ออุปกรณ์การแพทย์




บทความและผลวิจัยจำนวนมากในต่างประเทศ
ได้มีการพูดถึงคุณสมบัติของ Hypochlorous Acid ไว้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เว็บไซต์ Cleanroom Technology ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ กรดไฮโปคลอรัส ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลสารฆ่าเชื้อประเภทคลอรีนชนิดหนึ่ง ไว้ว่า “ Hypochlorous Acid มีประสิทธิภาพสูงสุดในการฆ่าเชื้อเมื่อเทียบกับสารอื่น ๆ ในตระกูลคลอรีน และมีประสิทธิภาพมากกว่า โซเดียม ไฮโปคลอไรท์ (NaOCl) 80-120 เท่า เพราะกรดไฮโปคลอรัส ไม่มีประจุไฟฟ้า จึงสามารถเข้าไปทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรคได้รวดเร็วกว่า”
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK


ผลวิจัยจากสถาบัน Pennsylvania Animal Diagnostic ได้มีการนำ น้ำอิเล็กโทรไลต์ ไปทดลองประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อในตระกูลไวรัส Avian Influenza Virus (AIV), Newcastle Disease virus (NDV), Infectious Bronchitis virus (IBV), Fowl Adenovirus (FAV), Avian Reovirus และ Avian Herpesvirus
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK

เว็บไซต์ Green lodging news ได้ยกย่อง กรดไฮโปคลอรัส ว่าเป็น Powerful Sanitizer ซึ่งได้มาจากน้ำอิเล็กโทรไลต์ ที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และสปอร์ ได้ภายใน 15 วินาที และมีอาณุภาพสูงกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณของสารฟอกขาวทั่วไปที่ 200ppm ในขณะที่ กรดไฮโปคลอรัส ใช้เพียงปริมาณ 50 ppm เท่านั้น และยังเป็นสารที่มีความปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการทำความสะอาดในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล ศุนย์ดูแลด้านสุขภาพ โรงงานผลิตอาหาร รวมถึงใช้ในครัวเรือน
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK

บทความหนึ่งใน เว็บไซต์ Nature.com ที่เกี่ยวกับวงการทันตกรรม ได้กล่าวถึง สารฆ่าเชื้อธรรมชาติที่ทรงพลัง และไร้สารพิษ นั่นก็คือ กรดไฮโปคลอรัส ว่าเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และแม้กระทั่ง Clostridium difficile หรือเรียกกันว่า C. diff เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียและลำไส้ใหญ่อักเสบที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ในเวลาเพียง 15 วินาที โดยกรดไฮโปคลอรัส มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคมากกว่าสารฟอกขาว 200-300 เท่า และยังปลอดภัย 100% ซึ่งในวงการทันตแพทย์ได้นำน้ำอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งมีส่วนผสมของกรดไฮโปคลอรัส มาใช้ใน Waterlines หรือในระบบน้ำของ Unit ทำฟันด้วย
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK
ทำไมจึงไม่สามารถหาซื้อ น้ำอิเล็กโทรไลต์ ได้จากร้านค้าทั่วไป?
กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) ที่ผลิตได้ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสนั้น จะเริ่มสลายตัวกลับคืนสู่สารละลายตั้งต้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป เพราะน้ำอิเล็กโทรไลต์ เป็น Organic 100% เพียงแค่น้ำประปาและเกลือ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี สารกันเสีย เมื่อถูกวางทิ้งไว้จะค่อย ๆ สูญเสียประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค และกำจัดกลิ่นได้ในระยะเวลาอันสั้น
คุณสมบัติของ Hypochlorous Acid ที่อยู่ในน้ำอิเล็กโทรไลต์
ที่กล่าวมานั้น ได้ถูกนำมาปรับใช้ในครัวเรือน และในชีวิตประจำวันได้สารพัดประโยชน์

กรดไฮโปคลอรัส เป็นกรดอ่อน ๆ ชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในภูมิคุ้มกัน เป็นส่วนประกอบหนึ่งในเม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์ จึงไม่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบางของลูกน้อย

ไฮโปคลอรัส เอซิส สามารถใช้ฆ่าเชื้อโรคสิ่งของรอบตัวได้อย่างปลอดภัย และอ่อนโยน สามารถฉีดเช็ดเพื่อนำเข้าปากได้อย่างไม่เป็นอันตราย เพราะเป็น Organic 100% ไม่มีส่วนประกอบของสารเคมีอื่น

กรดไฮโปคลอรัส ที่อยู่ใน น้ำอิเล็กโทรไลต์ สามารถผลิตได้เองเรื่อยๆ เพียงแค่มี เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ น้ำประปา และเกลือบริสุทธิ์ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อ สามารถนำมาเช็ดฆ่าเชื้อสิ่งของรอบตัวได้บ่อยตามที่ต้องการ

กรดไฮโปคลอรัส ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จุลินทรีย์ เชื้อรา รวมถึงสามารถกำจัดยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้ได้ จึงได้มีนำน้ำอิเล็กโทรไลต์ไปใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร และโรงงานผลิตอาหารแปรรูป

เมื่อฉีดพ่นน้ำอิเล็กโทรไลต์ออกไป โมเลกุลของน้ำจะช่วยดักจับฝุ่นละออง สปอร์ ที่ปลิวอยู่ภายในบ้าน ให้ตกลงสู่พื้นได้

กรดไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติในการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้แก่ กลิ่นสารแอมโมเนีย กลิ่นอาหารคาว กลิ่นอับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้าน รวมถึงกลิ่นท่อระบายน้ำได้
คุณสมบัติต่าง ๆ ของ กรดไฮโปคลอรัส ( Hypochlorous Acid) นั้น ยังสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกมากมาย และใช้ได้ทุกส่วนภายในบ้าน ได้อย่างปลอดภัย เพราะไม่มีส่วนผสมของสารเคมี และสามารถผลิตเองได้ที่บ้าน ด้วย เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ช่วยให้คุณปกป้องคนในบ้านให้ห่างไกลจากไวรัสและแบคทีเรีย มีสุขอนามัยที่ดี และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย


สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การที่ลูกน้อยยังไม่สามารถนั่งในรถได้อย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัยธรรมดา การเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทางของลูกน้อย วันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีทอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกน้อยและปลอดภัยที่สุดค่ะ 1. รู้จักประเภทของคาร์ซีท ก่อนที่จะเลือกคาร์ซีทให้ลูกน้อย สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือประเภทของคาร์ซีทที่มีในตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้: คาร์ซีทสำหรับทารก (Rear-Facing Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จะติดตั้งหันหลังและรองรับศีรษะและคอของเด็กให้ดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ คาร์ซีทแบบหันหน้า (Forward-Facing Seat): ใช้ได้เมื่อเด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักประมาณ 9-18 กิโลกรัม ตัวคาร์ซีทจะหันหน้าไปข้างหน้าและมีเข็มขัดนิรภัยในตัว คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ (Booster Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนัก 15 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อเสริมให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยกับเด็กที่โตขึ้น 2. เลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก การเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับวัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการรองรับที่ดีในขณะนั่งในรถ หากเลือกคาร์ซีทผิดประเภทอาจทำให้ลูกไม่สามารถได้รับความปลอดภัยที่ดีที่สุดในกรณีเกิดอุบัติเหตุ 3. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเลือกซื้อคาร์ซีท คาร์ซีทที่ดีจะต้องมีการทดสอบด้านความปลอดภัยผ่านมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน […]
เดินทางมาเกินครึ่งทางแล้วขอคารวะให้กับความสตรองของแม่ๆ แต่ยิ่งใกล้วันครบกำหนดคลอดเท่าไหร่กลับยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม แถมร่างกายของคุณแม่ช่วงนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงแบบเยอะมากๆ คุณแม่บ้านไหนที่กำลังกังวลเรื่องท้องเล็ก ช่วง 6 เดือนนี่แหละค่ะ ที่ท้องของคุณแม่ๆ จะเริ่มใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แถมน้ำหนักก็ยังขึ้นพรวดๆ แบบก้าวกระโดด ช่วงนี้คุณแม่จะหิวเป็นพิเศษ แถมยังต้องทานอาหารเยอะขึ้นกว่าเดิมเพราะลูกน้อยของคุณแม่กำลังช่วยใช้พลังงาน ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป คุณแม่อาจจะรู้สึกถึงอาการท้องแข็ง อาการท้องแข็งคือเวลาที่มดลูกของคุณแม่หดตัว ท้องของคุณแม่ก็จะแข็งนูนขึ้นมาค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะ ถ้าไม่ได้เกิดแบบถี่ๆ ติดต่อกัน และเพราะความเปลี่ยนแปลงเยอะแยะเหล่านี้นี่แหละ ทำให้คุณแม่อาจจะต้องดูแลช่วงครึ่งหลังนี้เป็นพิเศษ เรามาดู 6 เรื่องที่คุณแม่ท้อง 6 เดือนต้องระวังกันค่ะ 1.ความเครียดไม่ใช่เรื่องดี อันที่จริงเรื่องความเครียดก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังตั้งแต่ตั้งครรภ์แรกๆ แล้วเนอะ แต่อย่างที่บอกค่ะ ว่าช่วงนี้คุณแม่จะเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก อาจจะทำให้เกิดความเครียดไม่รู้ตัว เช่น คุณแม่บางคนอาจจะเป็นกังวลกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาของตัวเอง หรือบางคนอาจจะมีอาการปวดชายโครงเพราะท้องที่ใหญ่ขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการเครียดตามมา หากคุณแม่เกิดอาการเครียดมากๆ แล้ว จะส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนและสารเคมี ซึ่งเจ้าสารเคมีตัวนี้จะส่งผลโดยตรงกับการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ค่ะ คุณแม่ที่เครียดมักจะคลอดก่อนกำหนด แถมยังทำให้ลูกมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์อีกด้วย 2.ไม่ใช่เวลาของกิจกรรมผาดโผน ด้วยขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้น การทำกิจกรรมผาดโผนต่างๆ อาจเป็นการเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการกระแทกบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างยิ่งค่ะ แถมการที่คุณแม่เคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็วหรือทำอะไรแบบปุปปับ ยังเป็นสาเหตุทำให้มดลูกเกิดการบีบรัดตัว เกิดอาการท้องแข็ง และถ้าเกิดคุณแม่มีอาการท้องแข็งบ่อยๆ เข้าล่ะก็ เสี่ยงคลอดก่อนกำหนดอยู่นะ 3. […]
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ สำหรับลูกน้อย อาจได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ หรือแพทย์ สำหรับการจัดเตรียมอุปกรณ์ ฆ่าเชื้อโรคของใช้ต่างๆ ให้พร้อมก่อนคลอด จากในอดีตหลายๆ บ้าน อาจคุ้นเคยกับการลวกด้วยน้ำร้อน 100 องศาขึ้นไป ในการฆ่าเชื้อขวดนม ภาชนะ ไปจนถึงเสื้อผ้า ปลอกหมอนผ้าปูที่นอน ของเด็กได้ แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิดในปัจจุบัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอดห่วงไม่ได้ว่าเชื้อไวรัสนั้นจะหลุดรอดเข้ามาถึงตัวลูกน้อยของเราได้จากของใช้อื่นๆ ที่ไม่สามารถฆ่าเชื้อด้วยการ ลวก หรือการนึ่งได้ และมีบทความทางการแพทย์มากมาย ระบุว่า การนำพลาสติกไปลวกด้วยความร้อนสูง จะก่อให้เกิดการตกค้าง ปนเปื้อนของ ไมโครพลาสติก ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของลูกน้อยก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ จึงมีการผลิตคิดค้น และนำเข้า เครื่องอบยูวี สำหรับใช้ในบ้าน ซึ่งเป็นการใช้พลังงานจากรังสี UV-C ในการฆ่าเชื้อโรคร้ายที่อาจติดอยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ของลูกน้อย และฆ่าเชื้อของใช้คุณพ่อคุณแม่ได้อีกด้วย ประโยชน์ของรังสี UV-C ส่วนประกอบสำคัญของ เครื่องอบ UV-C คือหลอด UV-C ซึ่งมีคุณสมบัติในการปล่อยรังสี UV-C มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคได้จริง แม้แต่เชื้อไวรัสโควิดก็ไม่รอด ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก และมีผลวิจัยต่างๆ จากหลากหลายสถาบันยืนยันแล้วว่า รังสี UV-C สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิดได้ 99.99% […]
การเลือกคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อยของคุณทำไมถึงต้องใช้คาร์ซีท carseat ที่มีความปลอดภัยจึงจำเป็นต่อคุณและลูกน้อยล่ะ? หลายประเทศได้ออกกฏหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของคาร์ซีท carseat สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ขวบ เนื่องจากคุณจะต้องใช้คาร์ซีท carseat ที่มีความปลอดภัยเพื่อป้องกันลูกน้อยจากอันตราย หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ขณะที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผู้โดยสารมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฏจราจร และหากคุณเดินทางพร้อมกับลูกน้อย โดยที่คุณจะต้องอุ้มลูกไว้ที่ตัก ก็อาจจะมีโอกาสที่คุณไม่สามารถที่จะอุ้มลูกได้อย่างมั่นคงและเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นลูกของคุณก็มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บสูงค่ะ ดังนั้นการมีคาร์ซีท ที่ปลอดภัยในรถยนต์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยลดการบาดเจ็บของลูกน้อยได้ ทั้งนี้พึงระวังไว้ว่าการใช้คาร์ชีทที่ไม่ถูกต้อง อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงแก่เด็กมากขึ้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณควรต้องเลือกใช้คาร์ซีท carseat ให้ถูกต้องพร้อมกับศึกษาการใช้งานอย่างถูกวิธีด้วยนะค่ะ หากไม่มีคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยแล้ว อัตราการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า จากสถิติได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบนั่งบนรถยนต์ที่ปราศจากคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยและประสบอุบัติเหตุ อัตราการเสียชีวิตจะมากกว่าการนั่งบนรถยนต์ที่ติดตั้งคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยถึง 4 เท่า***ข้อควรระวัง เมื่อใช้งานคาร์ซีท carseat ไม่ถูกวิธี จากผลสำรวจเมื่อปี 2008 โดยองค์การทางรถยนต์ประเทศญี่ปุ่น ( Japan Automobile Federation :JAF) เกี่ยวกับการใช้งาน คาร์ซีท carseat พบว่า 32.7 % ของคาร์ซีท carseat ที่ใช้งานนั้นติดตั้งอย่างไม่แน่นหนา ขณะที่อีก 67.3 % นั้นถูกพบว่ายังใช้งานได้ไม่ถูกต้องนัก ไม่ว่าจะเป็นการรัดสะโพกที่หลวมเกินไป หรือ การใช้งานที่หัวเข็มขัดที่ใช้ยึดที่นั่งไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกใช้คาร์ซีท carseat ที่ถูกต้องแล้ว แต่หากการใช้งานไม่ถูกวิธีก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเด็ก เพื่อลดปัญหาดังกล่าว เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานคาร์ซีทให้ถูกต้อง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อคาร์ซีท คุณควรศึกษาข้อมูลว่า คาร์ซีท […]
ด้วยนวัตกรรมที่ถูกวิจัยและคิดค้นโดยกุมารแพทย์จากญี่ปุ่น จึงทำให้มี 10 คุณสมบัติพิเศษ จากรถเข็นเด็ก Aprica นี้ ที่ช่วยให้คุณแม่มั่นใจได้ ว่าลูกน้อยปลอดภัยตลอดการเดินทางแน่นอนค่ะ Sofa Cushion ที่สุดของความนุ่มสบายด้วยนวัตกรรมใหม่ ยกโซฟามาไว้ในรถเข็นเด็ก ช่วยรองรับแรงกระแทก เข็นได้กับทุกพื้นผิวให้ลูกน้อยเพลดเพลินนุ่มสบายในทุกการเดินทาง Double Shock ลดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 40% ด้วยระบบรองรับแรงกระแทกได้ถึง 2 จุด ใต้ที่นั่ง และที่ล้อ Ergonomic Design ที่รองรับการเจริญเติบโต 3 ช่วงวัย ได้อย่างลงตัว Multi-Shockless โครงสร้างแบบลดรอยต่อ โครงสร้างของรถเข็นเด็กถูกเชื่อมต่อส่วนต่างๆเป็นชิ้นเดียวกัน จึงช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการสั่นสะเทือนได้ดี แม้ผ่านการใช้งานที่ยาวนาน Double Thermo System ลดความอับชื้นแบบ Double ลูกน้อยรู้สึกปลอดโปร่ง สบายตัวช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมด้วยฉนวนกับความร้อนพิเศษ ช่วยสะท้อนความร้อนจากพื้นพร้อมช่องระบายอากาศที่ด้านหลัง ช่วยระบายความร้อนได้ดี ลดความร้อนสะสมบริเวณหลังของลูกน้อย ให้ความรู้สึกสบายตัว เบาะรองนอนทรงนาฬิกาทราย เหมาะกับสรีระของลูกน้อยวัยแรกเกิด เพราะเด็กทารกจะนอนในท่ากางแขนกางขา เบาะรองนอนทรง WM สามารถรับสรีระได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้เคลื่อนไหวขยับแขนขาได้อย่างเป้นธรรมชาติ High Seat […]
…แต่ก็ไม่ง่ายเลย ให้คาร์ซีทเป็นเก้าอี้วิเศษของเด็กๆ ประสบการณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่อยากแชร์ให้ทุกๆบ้านฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ วิธีนี้พิสูจน์แล้วได้ผลแน่นอนค่ะ แต่ช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็งหน่อยนะคะ อ่านจบแล้วนำไปฝึกกับลูกๆเราได้เลยค่ะ ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆ เรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ” คาร์ซีทของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย 1. สร้างความผูกพันกับคาร์ซีท อนุญาตให้ลูกเอาสติ๊กเกอร์มาตกแต่งคาร์ซีทของตัวเองได้ เอาให้ถูกใจเลยเพราะต้องนั่งไปอีกนาน 2. มอบรางวัล บอกลูกว่า เราจะออกเดินทางได้ก็ต่อเมื่อล็อกสายรัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วลูกจะรีบทำตัวน่ารักเพราะอยากไปเที่ยว แต่ถ้ากำลังพาไปหาหมอ อาจให้ขนมเป็นรางวัลได้ 3. เบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าโยเยนัก ชวนคุยเรื่องการ์ตูนที่ลูกกำลังอินดีกว่า แค่นี้ก็เผลอจดจ่อกับการโม้เรื่องเจ้าหญิงกับฮีโร่ จนไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองถูกจับนั่งคาร์ซีทเรียบร้อยแล้ว (มุกนี้ไม่เหนื่อย แถมสนุกดีด้วย) 4. เตรียมของเล่นแก้เบื่อ ควรมีของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในรถ แนะนำว่าควรเป็นของเบาๆ และไม่แข็ง เช่น หนังสือผ้า เพราะคุณอาจโดนลูกเอาของในมือปาใส่ขณะขับรถ […]

ร้านสินค้าแม่และเด็กที่คัดสรรนวัตกรรมของใช้แม่และเด็กที่มี
คุณภาพให้คำปรึกษาและบริการ อย่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และมีความสุข
Online Shopping
สาขา ปิ่นเกล้า ราชพฤกษ์
สาขา Mega บางนา
สาขา Central World
สาขา The Crystal รามอินทรา
สาขา BTS วงเวียนใหญ่ (Outlet)
Copyright 2024 © Baby Gift (Retail) Co., Ltd.