เนิร์สเซอรีคืออะไร จำเป็นต่อลูกน้อยมากแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังหมดช่วงลาคลอด หรือผู้ที่ต้องการให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม การพิจารณาเนิร์สเซอรี หรือสถานรับเลี้ยงเด็กจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ แต่คำถามที่ตามมาคือ เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อลูกมากแค่ไหน และควรส่งลูกไปเนอสเซอรี่ อายุเท่าไหร่ บทความนี้ BabyGift จะมาให้คำตอบอย่างละเอียด เพื่อช่วยคุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
เนิร์สเซอรีคืออะไร
เนิร์สเซอรี หรือที่เรียกกันว่า เดย์แคร์ (Day Care) คือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียนในช่วงเวลากลางวัน มักรับดูแลเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 3 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจต้องกลับไปทำงานประจำ โดยเน้นการดูแลพื้นฐาน การให้ความอบอุ่น และการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการตามวัย เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาลต่อไป
ข้อดีและข้อเสียของเนิร์สเซอรี

การส่งลูกไปเนิร์สเซอรีมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณพ่อคุณแม่ควรนำมาพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้การตัดสินใจนั้นเหมาะสมกับวิถีชีวิตของครอบครัวและพัฒนาการของลูกน้อยที่สุด
ข้อดีของเนิร์สเซอรี
- ความสะดวกสบายในการจัดการเวลา : ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำสามารถฝากลูกได้อย่างสะดวก ทำให้มีเวลาจัดการภาระส่วนตัวและหน้าที่การงานได้เต็มที่ โดยเฉพาะเนิร์สเซอรีที่มีช่วงเวลารับ-ส่งยืดหยุ่น
- ฝึกทักษะการเข้าสังคม : ลูกน้อยได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในวัยเดียวกัน ได้ฝึกแบ่งปัน รอคอย และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการ
- การเสริมสร้างพัฒนาการที่เหมาะสม : บุคลากรในเนิร์สเซอรี มักมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัยอย่างเป็นระบบ
ข้อเสียของเนิร์สเซอรี
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่าย : การที่ลูกต้องอยู่รวมกับเด็กคนอื่น ๆ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อโรค เช่น ไข้หวัด โนโรไวรัส หรือโรคที่แพร่ทางระบบทางเดินหายใจได้ง่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจไว้ล่วงหน้า
- ค่าใช้จ่ายที่อาจสูง : โดยเฉพาะเนิร์สเซอรีคุณภาพดีหรือที่มีชื่อเสียง อาจมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินสำหรับบางครอบครัว
- ขาดการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา : แม้ว่าจะมีบุคลากรดูแลอย่างดี แต่ลูกก็ต้องอยู่ห่างจากคุณพ่อคุณแม่ อาจทำให้ไม่สามารถตรวจสอบความเป็นอยู่หรือให้ความดูแลที่ละเอียดอ่อนได้ตลอดเวลา
เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อลูกมากแค่ไหน
คำถามว่า เนิร์สเซอรี จำเป็นต่อลูกน้อยมากแค่ไหนนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะหลักการสำคัญคือเด็กเล็กวัยต่ำกว่า 3 ขวบยังต้องการความผูกพันที่มั่นคงจากผู้เลี้ยงดูหลัก (พ่อแม่) เป็นอันดับแรก การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในทางกลับกัน เนิร์สเซอรีจะจำเป็นต่อแม่และเด็ก ที่ไม่มีผู้ดูแลในช่วงกลางวัน หรือเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเริ่มฝึกทักษะสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นมันคือตัวช่วยในการจัดการชีวิตของครอบครัวมากกว่าความจำเป็นด้านพัฒนาการหลักของลูก
ควรพาลูกไปเนิร์สเซอรีอายุเท่าไหร่

สำหรับคำถามว่า ควรพาลูกไปเนิร์สเซอรีอายุเท่าไหร่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักแนะนำว่าควรรอให้ลูกอายุ 3 ขวบขึ้นไป แล้วจึงส่งเข้าเรียนชั้นอนุบาลเลยจะดีกว่า เนื่องจากเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบยังมีระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงพอ ทำให้เสี่ยงป่วยง่ายมาก และยังไม่ถึงวัยที่จำเป็นต้องได้รับทักษะทางวิชาการ การส่งลูกเข้าเนอสเซอรี่ อายุเท่าไหร่ จึงควรพิจารณาเมื่อถึงเวลาที่ลูกพร้อมจะห่างจากพ่อแม่และร่างกายแข็งแรงพอสมควรแล้ว
รวมวิธีเลือกเนิร์สเซอรีให้ปลอดภัยต่อลูกน้อย
การเลือกเนิร์สเซอรีที่มีคุณภาพและความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยเฉพาะเมื่อตัดสินใจจะส่งลูกไป เนอสเซอรี่ อายุเท่าไหร่ก็ตาม ควรพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้
- การรักษาความสะอาดและสุขอนามัย : ต้องมั่นใจว่าสถานที่สะอาด มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเป็นประจำ รวมถึงบุคลากรมีสุขอนามัยที่ดี
- อัตราส่วนครูต่อเด็กที่เหมาะสม : ต้องมีบุคลากรเพียงพอในการดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึงและใกล้ชิด ไม่แออัดจนเกินไป
- ระบบรักษาความปลอดภัย : ควรมีระบบการเข้า-ออกที่รัดกุม คนนอกไม่สามารถเข้าถึงเด็กได้ง่าย และสามารถตรวจสอบกล้องวงจรปิดได้หากมีเหตุฉุกเฉิน
- ทำเลที่ตั้งสะดวก : ควรเลือกสถานที่ที่ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน เพื่อความรวดเร็วในการรับ-ส่ง และสามารถเดินทางไปถึงได้ทันทีเมื่อมีเหตุจำเป็น
รวมสิ่งที่ต้องพิจารณาในการส่งลูกไปเนิร์สเซอรี
ก่อนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการส่งลูกไปเนิร์สเซอรี คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจนั้นเหมาะสมกับลูกที่สุด
- แนวทางการดูแลที่สอดคล้องกับครอบครัว : ตรวจสอบว่าวิธีการเลี้ยงดูและการให้อาหารของเนิร์สเซอรีตรงกับความต้องการและแนวปฏิบัติของที่บ้านหรือไม่
- การสอบถามและเยี่ยมชมสถานที่จริง : ควรไปสำรวจด้วยตนเองเพื่อดูสภาพแวดล้อม กิจกรรม และความน่าสนใจของของเล่นที่ใช้เสริมพัฒนาการ
- การพูดคุยกับบุคลากร : สังเกตทัศนคติ ความเชี่ยวชาญ และความรักในการดูแลเด็กของครูและพี่เลี้ยง เพื่อให้มั่นใจว่าจะดูแลลูกของเราได้ดี
- ความพร้อมด้านอารมณ์ของลูก : หากลูกยังอยู่ในวัยที่ต้องพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่สูง หรือมีอาการ “ติดแม่” มาก การพรากจากกันอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกปลอดภัยของลูกได้
สรุปบทความ
การเลือกส่งลูกเข้าเนิร์สเซอรี เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องความพร้อมของลูก เนอสเซอรี่ อายุเท่าไหร่ และความสะดวกของครอบครัว สิ่งสำคัญที่สุดคือการมอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย อบอุ่น และส่งเสริมพัฒนาการของลูกอย่างเหมาะสม และหากคุณกำลังมองหา สินค้าแม่และเด็กที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น เป้อุ้มเด็กยี่ห้อไหนดี หรือเครื่องปั๊มนม ที่ตอบโจทย์การให้นม BabyGift พร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้จริง เข้าใจลึก และคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้การเลี้ยงลูกของคุณเป็นช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกหรือไม่?
เนิร์สเซอรี ไม่ได้จำเป็นต่อพัฒนาการหลัก แต่เป็นตัวเสริมทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ตามวัย การได้รับความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวในวัยแรกเกิดถึง 3 ขวบยังคงสำคัญที่สุด
มีวิธีเตรียมตัวลูกก่อนไปเนิร์สเซอรีอย่างไรบ้าง?
ควรฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับการแยกจากพ่อแม่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ และฝึกกิจวัตรประจำวัน เช่น การกิน การนอน และการเข้าห้องน้ำ ให้สอดคล้องกับตารางเวลาของเนิร์สเซอรีล่วงหน้า
ควรเลือกเนิร์สเซอรีอย่างไรให้เหมาะกับลูก?
ควรเลือกจากอัตราส่วนครูต่อเด็กที่เหมาะสม ความสะอาดปลอดภัยของสถานที่ และกิจกรรมที่สอดคล้องกับอายุของลูก ที่สำคัญคือ เนิร์สเซอรี ต้องให้ลูกรู้สึกอุ่นใจและมีความสุข
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
การฝึกเด็กทารกให้นั่งมีผลต่อพัฒนาการของเด็กน้อยค่ะ แต่ว่าจะให้เด็กเริ่มหัดใช้เก้าอี้หัดนั่ง ใช้ตอนกี่เดือนดี จะฝึกเด็กน้อยของเราให้นั่งยังไง จะเริ่มให้เด็กหัดนั่งตอนไหนถึงจะดี ในบทความนี้ BabyGift มีเคล็ดไม่ลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ เด็กหัดนั่งกี่เดือนถึงจะดี ? แนะนำเคล็ดลับพร้อมตอบคำถาม และแนะนำยี่ห้อเก้าอี้เด็กน่าใช้ ! เก้าอี้หัดนั่งเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเด็กทารกฝึกนั่งอย่างปลอดภัย มีโครงสร้างที่มั่นคง และปลอดภัย ช่วยพยุงตัวเด็ก ใช้วัสดุที่นุ่มสบาย มีสายรัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย ซึ่งบางรุ่นก็ออกแบบมาให้มีถาดวางของด้านหน้าให้ด้วย เก้าอี้หัดนั่งจะช่วยให้เด็กได้ฝึกทรงตัว ฝึกกล้ามเนื้อ เตรียมความพร้อมสำหรับการนั่งด้วยตัวเอง สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการหัดนั่งจะเป็นยังไงบ้างนั้น ตามมาเรียนรู้เพิ่มเติมไปพร้อมๆ กันค่ะ พัฒนาการของเด็ก ก่อนจะไปดูว่าเก้าอี้หัดนั่ง ใช้ตอนกี่เดือน เราลองมาทำความรู้จักกับตัวอย่างพัฒนาการของเด็กกันก่อนดีกว่าค่ะ ซึ่งพัฒนาการของเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ ซึ่งถ้ามีข้อสงสัย หรือกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก ควรปรึกษากับแพทย์นะคะ สำหรับผู้ปกครองที่สนใจเรื่องพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ อีก ลองอ่านเพิ่มเติมได้อีกนะคะ BabyGift เคยเขียนไว้ในเว็บไซต์แล้วค่ะ เก้าอี้หัดนั่ง ใช้ตอนกี่เดือน ? โดยทั่วไป เด็กจะพร้อมหัดนั่งเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน ซึ่งในช่วงนี้ กล้ามเนื้อคอและหลังของเด็กจะแข็งแรงพอที่จะรองรับการนั่งได้ดีขึ้นค่ะ แต่ถึงแม้ว่าพัฒนาการของเด็กในช่วง 4-6 เดือนนั้น จะเริ่มควบคุมศีรษะได้ดี และอาจเริ่มพลิกตัวได้แล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการนั่ง แต่ก็ยังไม่ใช่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกนั่ง ซึ่งการเริ่มฝึกหัดนั่งในเด็กอายุ 6-8 เดือนนั้น […]
เพราะคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์สารอาหารที่มีครบถ้วน เพื่อพัฒนาลูกน้อยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความฉลาด การเติบโตแข็งแรง อารมณ์ดีมีความสุข ขับถ่ายง่าย แถมนมแม่ยังมีสารสร้างภูมิคุ้มกันมากมาย ทำให้ลูกน้อยไม่เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณแม่ทุกท่านจึงปรารถนาจะให้ลูกน้อยได้รับคุณค่าอันมหัศจรรย์จากน้ำนมแม่อย่างเต็มที่ไปจนโต หรือให้นมลูกได้นานที่สุด โดยคุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่ นอกจากจะให้นมแม่จากเต้าโดยตรงกับลูกน้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่เวิร์กกิ้งมัม จะต้องทำสต๊อกน้ำนมแม่เก็บแช่แข็งหรือแช่เย็นไว้ เพื่อให้ลูกรักยังได้กินนมแม่ตลอดเวลา แม้จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แต่มีคุณแม่มือใหม่หลายท่านที่ยังไม่มั่นใจหรือกังวล กับการละลายนมแม่ที่แช่แข็งมาใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าวิธีการไหนจะสะดวก สะอาด ปลอดภัย แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และทำแบบไหนจะไม่เสียคุณค่าน้ำนมแม่ ดังนั้นอยากรู้ว่าแต่ละ วิธีละลายน้ำนมแม่ แตกต่างกันอย่างไรไปดูกันค่ะ ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนช่องแช่ เพื่อละลายนมแม่ก่อน หากคุณแม่เก็บน้ำนมแม่ไว้ในช่องแช่แข็ง จำเป็นต้องนำนมแม่เปลี่ยนมาแช่ที่ช่องแช่เย็นธรรมดาด้านล่างก่อนประมาณ 1 วันหรือ 1 คืน เพื่อให้นมแม่ค่อยๆ ละลาย ควรนำนมเก่าที่แช่แข็งไว้ตามวันเวลาที่เก็บสต๊อกไว้นานที่สุดก่อน เพื่อไม่ให้นมเก่า เก็บไว้นานเกินไป แล้วจึงทยอยนำนมใหม่มาใช้ไล่ตามเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อนมแม่ละลายแล้ว คุณแม่ควรแบ่งนมแม่จากถุงเก็บน้ำนมใส่ขวดนม แบ่งปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อนั้นๆ แล้วจึงนำมาอุ่นหรือละลายก่อนให้ลูกกิน ซึ่งนมที่เหลือในถุงเก็บน้ำนมสามารถแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาให้ลูกกินให้หมดภายใน 2-3 วัน เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักจะนำมาอุ่นหรือละลายให้ลูกกินในมื้อถัดไปภายในวันเดียว หรือ 24 ชั่วโมง วิธีละลายน้ำนมแม่ […]
ท้องทีต้องมานั่งกังวลเรื่องนู้นเรื่องนี้เต็มไปหมด นอกจากจะกังวลเรื่องการกินกับการเดินแล้ว ท่านอนก็ยังเป็นสิ่งที่แม่ท้องหลายๆ คนสงสัยว่าควรจะนอนท่าไหนกันแน่ บางคนก็บอกว่าให้นอนท่าที่สบายที่สุด บางคนก็บอกว่าให้นอนตะแคงข้างไหนก็ได้ ส่วนบางคนก็เจาะจงให้นอนตะแคงซ้าย ตกลงยังไงกันแน่นะ? แต่แน่นอนว่าท่านอนมีผลต่อทั้งสุขภาพของคุณแม่แล้วก็คุณลูก วันนี้เราลองมาดูคำตอบไขข้อสงสัยไปพร้อมๆ กันค่ะ ท่านอนที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ ท่านอนที่ดีที่สุดสำหรับแม่ท้องที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16 สัปดาห์ขึ้นไปคือ “ท่านอนตะแคงซ้าย” ค่ะ เพราะว่าการนอนตะแคงซ้ายจะช่วยให้มดลูกของคุณแม่ไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่อยู่ค่อนไปทางขวาและท่านี้ยังจะช่วยในเรื่องของระบบหมุนเวียนเลือดด้วยนะคะ เพราะพอเส้นเลือดดำไม่ถูกกดทับแล้ว เลือดก็จะสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจได้ดี แถมยังทำให้อาหารย่อยง่ายอีกด้วยนะ ถ้าคุณแม่นอนตะแคงขวา หัวใจก็จะทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องใช้แรงสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น แต่เอาจริงถ้าจะให้นอนตะแคงซ้ายทั้งคืนก็คงไม่ไหว คุณแม่ก็อาจจะตะแคงซ้ายขวาสลับกันก็ได้นะ แต่เน้นไปที่ด้านซ้ายให้เยอะกว่านะคะ สำหรับคุณแม่ที่ท้องใหญ่มากๆ คุณแม่อาจจะหาหมอนมารองใต้ท้องเพื่อช่วยพยุงท้องเอาไว้ จะได้นอนหลับสบายๆ ยาวๆ ถึงเช้าไปเลยเนอะ ท่านอนที่ไม่เหมาะสมกับคุณแม่ เดาได้ง่ายมาก ก็คือท่านอนคว่ำน่ะสิ อันนี้มันก็แน่อยู่แล้วแหละนะ ท้องก็ใหญ่ขึ้นทุกวันทุกวันจะให้นอนคว่ำได้ยังไงไหว แต่อีกท่านึงที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงก็คือท่านอนหงายค่ะ อ๊ะๆ คิดไม่ถึงกันใช่ไหมล่ะคะ ที่ท่านี้ควรหลีกเลี่ยงก็เพราะมดลูกของคุณแม่นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงอาจจะไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ตรงบริเวณกลางลำตัวได้ค่ะ พอทับไปแล้วคุณแม่ก็จะมีอาการเท้าบวม เป็นริดสีดวงทวาร หนักๆ หน่อยก็อาจทำให้วิงเวียนศีรษะจนถึงขั้นเป็นลมได้เลยล่ะ นอกจากนี้ยังทำให้คุณแม่ปวดหลังสุดๆ เพราะเหมือนกับต้องแบกรับน้ำหนักร่วมสิบโลไว้ทั้งคืน วิธีจัดท่านอน ไม่ใช่ว่าคุณแม่เดินมาถึงเตียงก็ล้มตึงลงไปนอนตะแคงได้เหมือนตอนไม่ท้องเลยนะ ตอนนี้เรามีลูกน้อยอยู่ในท้องแล้วก็ต้องคอยทำอะไรให้ช้าลง วิธีข้างล่างจะช่วยให้คุณแม่จัดท่านอนได้ถูกต้องแล้วก็จะช่วยลดอาการปวดหลังด้วยนะคะ เวลาจะพลิกตัวเปลี่ยนท่า คุณแม่ควรจะค่อยๆ พลิก […]
คุณแพรว เพชรแพรว อัครเตชวาทิน หรือแม่แพรว จากเพจ PRAEW ที่หลายคนรู้จักกันดีในบทบาทของ Influencer สายแม่และเด็ก ที่แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกเชิงบวกได้อย่างดี ซึ่งเราจะเห็นได้จากกน้อง เฌอลินน์ ลูกสาวคนโตที่โตขึ้นมาเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความสามารถ ทำให้ใครหลายๆคนหลงกับความน่ารักของน้อง เฌอลินน์ ไปตามๆกัน และล่าสุดต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแพรว กับการคลอดลูกคนที่ 2 ที่มีชื่อว่า เมอฌินน์ หรือฉายา เจ้าลูกชิ้น ลูกชายคนแรกของแม่แพรวด่วยค่ะ และถ้าใครเคยตาม หรือเคยเข้าไปดูเพจ PRAEW จะรู้ว่า แม่แพรวจะ Post Content ให้ความรู้ แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกไว้เป็นจำนวนมาก และล่าสุด คุณแพรวก็ได้แชร์ประสบการณ์การใช้คาร์ซีทในวันแรกที่พาน้อง เมอฌินน์ ออกจากโรงพยาบาล วันนี้ทาง BabyGift ขอนำมาแชร์ต่อค่ะ พร้อมพามาดูกันว่า คาร์ซีทที่น้อง เมอฌินน์ ใช้คือคาร์ซีทรุ่นไหน คุณแพรว ได้แชร์ไว้ว่า ทุกครั้งที่นั่งรถ แพรวต้องให้ลูกนั่งคาร์ซีททุกครั้งค่ะ เพราะสำหรับแพรวความปลอดภัยของลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับคาร์ซีทที่แพรวเลือกให้เมอคือ คาร์ซีท Ailebebe Kurutto ค่ะ อันนี้เป็นรุ่น 6 รุ่นใหม่ของเค้าค่ะ คุณแพรว ยังบอกอีกว่า ที่แพรวเลือกรุ่นนี้เพราะแพรวมั่นใจคือเรื่องความปลอดภัยของเค้าค่ะ เค้ามีเทคโนโลยีพิเศษที่เพิ่มความปลอดภัยที่ทำให้เมอปลอดภัยมากขึ้นเวลาที่นอนอยู่บนคาร์ซีท วัสดุดีมาก! มีมาตรฐานรองรับจากโรงงานประเทศญี่ปุ่นและความปลอดภัยระดับยุโรป เบาะก็ Support ดี สบาย ระบายอากาศได้ ไม่อึดอัดเลยค่ะ ปรับเอนนอนได้ นั่งทุกครั้งเมอฌินน์หลับปุ๋ยตลอด ติดตั้งง่ายด้วยระบบ Isofix ที่สำคัญที่มามี๊แฮปปี้ที่สุด […]
อีกปัญหาหนึ่งของแม่ลูกอ่อนเกือบทุกบ้าน คือการอุ้มลูกน้อยทุกๆวัน พอนานๆก็อาจเริ่มมีอาการปวดแขน ปวดข้อมือกันบ้างแล้วใช่ไหมคะ? ได้เวลาหาตัวช่วยอย่าง #เป้อุ้มเด็ก ที่จะช่วยให้อุ้มลูกได้นานมากยิ่งขึ้น แบบไม่ปวดหลังปวดเมื่อย ลูกนั่งสบายอุ่นใจที่ได้ใกล้ชิดแม่ พร้อมกับแม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นไปได้ด้วย หรือเมื่อจำเป็นต้องพาลูกออกนอกบ้าน ก็สามารถอุ้มลูกได้อย่างคล่องตัว พ่อแม่หลายคน อาจสงสัยว่าถ้าไปเลือกซื้อเป้อุ้มที่ร้าน ลองใส่ครั้งแรกต้องทำยังไง?วันนี้ BABYGIFT มาแชร์ วิธีใส่เป้อุ้มเด็ก แบบ Hipseat อย่างถูกวิธีและปลอดภัย ตามมาดูกันเลยค่ะ ขั้นตอนที่ 1 เอา Hipseat ไว้ด้านหลังของคุณ ขั้นตอนที่ 2 แขม่วท้องเล็กน้อย ติดสายคาดให้แน่นที่สุดพร้อมล็อคเข็มขัด ขั้นตอนที่ 3 หมุน Hipseat มาไว้ด้านหลังของคุณ ขั้นตอนที่ 4 อุ้มเด็กนั่งบน Hipseat อย่างระมัดระวัง ขั้นตอนที่ 5 ค่อยๆใส่สายสะพายทีละข้าง โดยใช้มือประคองลูกตลอดเวลา ขั้นตอนที่ 6 เอื้อมมือไปติดตัวล็อคด้านหลัง พร้อมปรับให้กระชับตัว ขั้นตอนที่ 7 ช้อนก้นเด็กอีกครั้ง ให้นั่งชิดกับคนอุ้มมากที่สุด เป็นยังไงกันบ้างคะ วิธีใส่เป้อุ้มเด็กง่ายๆ เพียง 7 ขั้นตอน เท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถอุ้มลูกด้วย เป้อุ้มเด็ก […]






