Baby Checklist เตรียมให้พร้อมก่อนคลอด ของใช้ทารก ต้องมีอะไรบ้าง

คุณแม่มือใหม่ขอให้ยกมือขึ้น! ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับว่าที่คุณแม่ทุกคนด้วยนะคะ มั่นใจเลยว่า ตอนนี้คุณแม่ทั้งหลายต้องกำลังรู้สึกหัวหมุนติ้วๆ กับการเตรียมของให้ลูกน้อยอยู่แน่ๆ เพราะไอเท็มที่วางขายอยู่ในท้องตลาดนั้นมีเป็นล้านแปดพันเก้า อันนี้ก็น่ารัก อันนี้ก็ดูจำเป็น แต่ถ้าเราจะซื้อทุกอย่างก็คงไม่ไหว สำหรับบทความนี้ เราก็เลยนำเช็คลิสต์แบบครบถ้วนทุกหมวดมาฝากกันค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าคุณแม่ยังขาดอะไรไปบ้าง

1. หมวดการนอน
- เบาะนอน : ควรจะเป็นเบาะที่ไม่นิ่มจนเกินไป เพราะลูกน้อยยังคอไม่แข็ง เบาะที่นิ่มอาจทำให้หน้าจมลงไปในเบาะได้ค่ะ
- หมอนกันกรดไหลย้อน : หมอนประเภทนี้เป็นตัวช่วยชั้นดี เพราะระบบย่อยของลูกจะยังทำงานได้ไม่ดีพอ
- หมอนข้าง : ใช้ช่วยจัดท่าให้ลูกน้อยเวลานอน หรือใช้กั้นเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยก็ได้ค่ะ
- ผ้าห่อตัว : ตอนนอนนั้นทารกมักจะชอบผวา ผ้าห่อตัวเป็นตัวช่วยชั้นดี เหมือนมีแม่กอดตลอดเวลา
- เปล/เตียงเด็ก : เปลจะช่วยให้ลูกน้อยหลับง่ายขึ้น และสบายขึ้นด้วยค่ะ แถมยังเป็นตัวช่วยสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ชอบนอนดิ้นไม่ให้ไปทับลูกน้อยด้วยนะคะ

2. หมวดให้นม
- เครื่องปั๊มนม : ตัวช่วยมือหนึ่งเพื่อให้คุณแม่ทำสต็อกนม
- กรวยซิลิโคน : กรวยซิลิโคนจะใช้รองน้ำนมอีกข้างในขณะที่ลูกน้อยกำลังดูดอีกข้างนึงอยู่ค่ะ
- ถุงเก็บน้ำนม : ถุงเก็บน้ำนมจะต้องเป็นชนิดที่หนาหน่อย เพราะคุณแม่จะต้องนำไปแช่แข็งเพื่อทำสต็อก ถ้าบางไปอาจขาดได้นะ
- ขวดนม/จุกนม : ขวดนมควรจะมีอย่างน้อย 2-3 ขวด สำหรับลูกน้อยแรกเกิด ให้ใช้ขวดขนาด 4 ออนซ์ ส่วนจุกนมก็ไซส์ XS หรือ S พอนะคะ
- เครื่องนึ่งขวดนม : เมื่อคุณแม่ล้างขวดแล้ว ก็ต้องนำมานึ่งซะก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าจะสะอาดหมดจด
- ที่ล้างขวดนม : ใช้เป็นแปรงที่มีแปรงแยกสำหรับล้างจุกนมด้วยยิ่งดีค่ะ
3. หมวดการกิน
- เครื่องบดอาหาร : เครื่องบดอาหารจะช่วยเบาแรงคุณแม่ได้มาก แถมยังบดละเอียด ไม่ต้องห่วงว่าจะมีเศษอาหารติดคอลูกน้อยเลยค่ะ
- ช้อนส้อม : ช้อนส้อมควรจะมีขนาดเล็ก สำหรับเด็กเล็กควรจะเป็นช้อนที่ทำมาจากซิลิโคนนะ
- ถ้วยชาม : ถ้วยชามเป็นถ้วยแบบหลุมเดียวก่อนก็พอค่ะ พอน้องโตแล้วค่อยซื้อแบบหลายหลุม
4. หมวดอาบน้ำ/สุขอนามัย
- สบู่/แชมพูสำหรับเด็ก : แนะนำให้ใช้สบู่ที่เป็นแชมพูในตัว อย่าลืมดูสูตรอ่อนโยนและไม่ระคายเคืองตาด้วยนะคะ
- ผ้าเช็ดตัว : ผ้าเช็ดตัวลูกน้อยควรเป็นผ้าใยไผ่หรือผ้าสาลูค่ะ เพราะว่าไม่มีขนที่อาจหลุดมาติดตามตัวลูกน้อยได้
- แปรงเหงือก/แปรงสีฟันเด็ก : ไอเท็มนี้สำคัญมาก เพราะหลังดื่มนม คุณแม่ควรแปรงเหงือกหรือฟันให้ลูกน้อย เพื่อไม่ให้ฟันผุในอนาคตค่ะ
- กะละมัง : กะละมังควรจะเป็นวงรี เพื่อให้สามารถอาบน้ำให้น้องได้สะดวกค่ะ
- ผ้าอ้อมสำเร็จรูป : ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ดีจะต้องไม่ระคายเคืองผิว และซึมซับได้เยี่ยม เพื่อไม่ให้หนูน้อยรู้สึกเฉอะแฉะ
- บวบขัดตัว/ฟองน้ำ : อย่าลืมเลือกที่เป็นสำหรับเด็กด้วยนะคะ เพราะไม่งั้นอาจจะแข็งเกินไปสำหรับผิวลูกน้อยค่ะ
5. หมวดการแต่งตัว
- เสื้อผ้า : เสื้อผ้าก็ตามสไตล์ที่คุณแม่ชอบได้เลย
- ถุงเท้า : ตอนลูกน้อยยังเล็ก เราจะยังไม่ใส่รองเท้าให้ แต่ใส่เป็นถุงเท้าแทนค่ะ เพื่อให้เค้าไม่เย็นเท้า
- รองเท้า : รองเท้าควรจะเป็นแบบใส่ง่ายถอดง่าย ไม่หนัก และมีพื้นนิ่ม
- ถุงมือ : ถุงมือนี้จะใช้แค่ช่วงแรกๆ ก็พอ เพื่อกันไม่ให้น้องเอาเล็บมาข่วนหน้าค่ะ
- หมวก : หมวกไว้ใส่กันลมเวลาออกไปข้างนอก หรืออยู่ในห้องแอร์ค่ะ
6. หมวดเดินทาง
- เสื้อผ้า : เสื้อผ้าก็ตามสไตล์ที่คุณแม่ชอบได้เลย
- ถุงเท้า : ตอนลูกน้อยยังเล็ก เราจะยังไม่ใส่รองเท้าให้ แต่ใส่เป็นถุงเท้าแทนค่ะ เพื่อให้เค้าไม่เย็นเท้า
- รองเท้า : รองเท้าควรจะเป็นแบบใส่ง่ายถอดง่าย ไม่หนัก และมีพื้นนิ่ม
- ถุงมือ : ถุงมือนี้จะใช้แค่ช่วงแรกๆ ก็พอ เพื่อกันไม่ให้น้องเอาเล็บมาข่วนหน้าค่ะ
- หมวก : หมวกไว้ใส่กันลมเวลาออกไปข้างนอก หรืออยู่ในห้องแอร์ค่ะ
7. หมวดฝึกพัฒนาการ
- โมบาย : โมบายจะช่วยเรื่องการมองเห็นและดึงความสนใจของลูกน้อย ถ้ามีเสียงด้วยก็จะเพิ่มความเพลิดเพลินเข้าไปอีกนะ
- ของเล่นฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก : เช่น ตุ๊กตาบีบ ซึ่งจะช่วยให้น้องได้บีบ จับ ฝึกนิ้วไปเรื่อยๆ ค่ะ
- ยางกัด : พอฟันลูกน้อยเริ่มจะขึ้น เค้าก็จะคันเหงือกค่ะ จะสังเกตว่าเค้าจะชอบเอามือหรือของเข้าปาก เพราะงั้น ยางกัดนี่แหละจะเป็นตัวช่วยอันดับหนึ่ง
8. หมวดสุขภาพ/ดูแล
- ยาสามัญประจำบ้าน : เช่น ยาแก้ท้องอืด ยาแก้ไข้ แต่อย่าลืมว่าต้องสำหรับเด็กด้วยนะคะ
- ที่ฝนเล็บ/ที่ตัดเล็บ : เมื่อเล็บลูกน้อยยาว อย่าลืมตัดเล็บแล้วฝนให้เค้าด้วยน้า
9. หมวดปกป้องลูกน้อย
- สติกเกอร์ไล่ยุง : เนื่องจากยากันยุงจะมีสารพิษ เพราะฉะนั้นสติกเกอร์ไล่ยุงจะมีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ คุณแม่สามารถติดไว้ตามเตียงหรือโต๊ะได้เลย
- ที่รองคลาน : ที่รองคลานจะช่วยให้น้องไม่เจ็บเข่า แถมยังคลานสนุกอีกด้วย
- ที่กันเข่าด้าน : สำหรับคุณแม่ที่ไม่มีที่รองคลาน อาจจะซื้อที่กันเข่าด้านให้น้อง เพื่อให้น้องไม่เจ็บเข่า แล้วก็ช่วยให้เข่าไม่ด้านด้วยนะคะ
10. หมวดทำความสะอาด
- น้ำยาฆ่าเชื้อ : ใช้สำหรับเช็ดตามจุดต่างๆ เช่น โต๊ะ
- กระดาษเปียก : กระดาษเปียกควรเลือกที่เป็นสำหรับเด็ก คุณแม่สามารถใช้เช็ดมือ เช็ดหน้า หรือเช็ดก้นลูกน้อยได้ แถมยังเช็ดพวกสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ได้อีกด้วย
- แอลกอฮอล์ : ใช้เช็ดทำความสะอาดของใช้ต่างๆ ก่อนให้ลูกน้อยสัมผัส
- สำลีก้าน/สำลีก้อน : ใช้เช็ดทำความสะอาดลูกน้อย อย่าลืมว่าสำลีก้านจะต้องเป็นหัวขนาดเล็กที่สุดด้วยนะคะ
และนี่ก็คือเช็คลิสต์ของสำคัญที่คุณแม่ขาดกันไม่ได้เลยค่า ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากให้คุณแม่จำไว้เสมอว่า การซื้อสินค้าสำหรับลูกทุกครั้งนั้นควรคำนึงหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นเรื่องของคุณภาพ และการใช้งานในระยะยาวด้วยน้า
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
สำหรับ Working Women หลายๆ คน การทำงานก็คือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง และเป็นความสุขในการใช้ชีวิต แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนไป มีครอบครัว มีลูกขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าการปรับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าเราขับรถเป็นประจำ พอท้องแล้วยังจะขับรถได้อยู่มั้ย ในบทความนี้ BabyGift จะมานำเสนอเรื่องเกี่ยวกับคนท้องขับรถได้มั้ย และคำแนะนำต่างๆ เพื่อให้คุณแม่อุ่นใจกันมากขึ้นค่ะ คนท้องขับรถได้ไหม ? ชวนคุณแม่ดูคำแนะนำ ข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยก่อนขับรถ ตลอดระยะเวลา 9 เดือนของการตั้งครรภ์ คุณแม่มักจะเผชิญกับคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ซึ่งหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ “คนท้องขับรถได้ไหม?” คำถามนี้มักสร้างความกังวลให้กับคุณแม่หลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ การตัดสินใจว่าจะขับรถหรือไม่ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงข้อควรระวังและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เราลองมาดูรายละเอียดกันค่ะ คนท้องขับรถได้ไหม ? โดยทั่วไปหากมีความจำเป็นคนท้องสามารถขับรถได้นะคะ แต่หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า โดยไม่ควรขับรถในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจมีอาการแพ้ท้องกะหันทัน จนไม่สามารถโฟกัสที่การขับขี่ได้ดีเท่าที่ควร (อ่านเคล็ดลับลดอาการแพ้ท้องของคุณแม่เพิ่มเติมได้อีกนะคะ) และในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน ควรงดขับรถโดยเด็ดขาด เนื่องจากครรภ์ใหญ่ขึ้น หากเบรกกระทันหันอาจทำให้ท้องกระแทกพวงมาลัยได้ อีกทั้งเป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวคลอด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยหากจำเป็นต้องขับรถ BabyGift มีคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยมาฝากดังนี้ค่ะ คำแนะนำเพิ่มเติมเมื่อคนท้องต้องขับรถ คนท้องขับรถมอไซค์อันตรายไหม […]
แม่ท้องร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เนื่องฮอร์โมนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มสูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ โดยการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนดังกล่าวจะส่งผลให้เส้นเอ็นและข้อต่อเกิดการคลายตัวมากขึ้น รวมทั้งทำให้โครงสร้างภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับทารกในครรภ์ หนึ่งในนั้นการเปลี่ยนแปลของร่างกายก็คือสภาพผิวที่แห้งง่าย สีผิวเปลี่ยน คุณแม่บางคนเกิดกระได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงขนาดท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังบริเวณท้อง หน้าอก ต้นขา เกิดการยืดตึงจนเกิดรอยแตก การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ รวม ITEM ดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ BabyGift คัดสรรคุณภาพ 1. ผลิตภัณฑ์ป้องกันการแตกลาย ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของคุณแม่ว่าเป็นเนื้อครีมหรือเนื้อเซรั่ม ควรใช้ก่อนที่จะเกิดปัญหาเรื่องผิวแตกลายจะเป็นการดูและผิวได้ดีที่สุด 2. เข็มขัดพยุงครรภ์ รองรับน้ำหนักของครรภ์ที่ขยายใหญ่และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังช่วยในการบรรเทาอาการปวดหลังของแม่ท้องได้อีกด้วย การเริ่มใช้ขึ้นอยู่กับคุณแม่แต่ละคนเลยว่ารู้สึกหนักหรือหน่วงท้องเมื่อไหร่ 3. คาร์ซีทสำหรับแม่ท้อง อุปกรณ์เสริมบนรถยนต์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แม่ท้องและลูกในครรภ์ คาร์ซีทแม่ท้อง แบรนด์ Tummy Shleid นวัตกรรมจากประเทศออสเตรเลีย เปลี่ยนจากการที่เข็มขัดนิรภัยรถรัดหน้าท้อง มารัดที่ต้นขาแทน 4. ผลิตภัณฑ์น้ำฆ่าเชื้อธรรมชาติ แม่ท้องอยู่ในช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อาจทำให้ป่วยง่าย ไม่สบายบ่อย ติดเชื้อได้ง่าย การใช้แอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน การใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อจากธรรมชาติเพิ่มความปลอดภัยได้ 5. เครื่องอบ UV นวัตกรรมการฆ่าเชื้อขั้นสูงด้วยแสงยูวีหรือรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีมาตรฐานใกล้เคียงกับการฆ่าเชื้อในวงการแพทย์ สามารถใช้ได้ทั้ง โทรศัพท์มือถือ ของใช้ต่างๆ
เป้อุ้มเด็กเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต่างให้ความสนใจไม่แพ้กับคาร์ซีทและรถเข็นเด็กที่เป็นของจำเป็นสำหรับการเลี้ยงลูกน้อย โดยเฉพาะพ่อแม่เด็กอ่อนที่ต้องอุ้มลูกแทบจะตลอดเวลา หากอุ้มลูกนาน ๆ ก็อาจจะทำให้เมื่อยล้า ปวดแขน ปวดไหล่ ปวดหลัง และมีปัญหาด้านสุขภาพตามมาได้ จึงมองหาเป้อุ้มเด็กแรกเกิดที่จะมาช่วยทุ่นแรงให้อุ้มลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในบทความนี้ BabyGift จะขอแนะนำยี่ห้อเป้อุ้มทารกที่คุณภาพดี เป็นที่นิยมกันในตลาด พร้อมคำแนะนำในการเลือกให้กับคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ BabyGift แนะนำยี่ห้อเป้อุ้มทารกคุณภาพดี พร้อมวิธีการเลือกที่พ่อแม่ต้องรู้ ! เป้อุ้มเด็ก หรือ เป้อุ้มทารก เป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อให้อุ้มลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยจนเกินไปในเวลาที่ต้องอุ้มลูกนาน ๆ และยังสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ในขณะเดียวกัน โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูลูก หรือต้องปล่อยให้ลูกอยู่ห่างจากตัว เป้อุ้มเด็กนั้นเหมาะสำหรับการอุ้มเด็กเล็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งเป้อุ้มเด็กจะมีประโยชน์อย่างมากในครอบครัวที่ไม่มีคนดูแลเด็กเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระอื่น ๆ นอกบ้าน หรือโดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย ก็สามารถใช้เป้อุ้มเด็กเพื่อให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ด้วย โดยสามารถใช้เป้อุ้มเด็กแรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบขึ้นไป และบางรุ่นก็สามารถใช้ได้จนถึง 3 ขวบเลยทีเดียว ซึ่งเป้อุ้มเด็กในท้องตลาดก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อด้วยกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่จะเลือกยังไง วันนี้เรามียี่ห้อมาแนะนำกันค่ะ 1. Hugpapa แบรนด์ Hugpapa เป็นแบรนด์ดังจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ทางแบรนด์เน้นการผลิตและจำหน่ายเป้อุ้มเด็กโดยเฉพาะ และขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรมเป้อุ้มเด็กที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ให้ได้มากที่สุด และนอกจากนี้ ก็มีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จำหน่ายแยกอีกด้วย สำหรับเป้อุ้มทารกจากแบรนด์ Hugpapa ที่ BabyGift อยากจะแนะนำก็คือ เป้อุ้ม Hugpapa รุ่น Dial-Fit Pro (3in1 Hip Seat Carrier) ที่มีเทคโนโลยี BOA ช่วยปรับให้เป้มีความกระชับตัวได้ง่ายมากขึ้นเพียงแค่หมุน ใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และสามารถปรับได้พอดีกับสรีระของทุกคน ตัว Hipseat เป็น EPP […]
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหารถเข็นเด็กพับได้ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ในปี 2025 มีตัวเลือกมากมายจนอาจทำให้เลือกลำบาก จากรุ่นพื้นฐานไปจนถึงรุ่นพรีเมียมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี การเลือกรถเข็นเด็กพับได้ที่เหมาะสมจึงต้องคำนึงถึงความแข็งแรง ความสะดวกในการเข็น และฟีเจอร์ที่ตรงกับความต้องการของครอบครัว มาดูกันว่ามีตัวเลือกไหนบ้างที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับการลงทุน รถเข็นเด็กพับได้ ต่างจากรถเข็นเด็กทั่วไปอย่างไร รถเข็นเด็กพับได้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากรถเข็นเด็กทั่วไปอย่างชัดเจน คือ ความสะดวกในการพับเก็บและพกพา น้ำหนักที่เบากว่า และขนาดที่กะทัดรัดเมื่อพับแล้ว ทำให้เหมาะสำหรับครอบครัวที่ชอบเดินทางหรือมีพื้นที่จำกัด ในขณะที่รถเข็นทั่วไปมักเน้นความแข็งแรงและฟีเจอร์ครบครัน แต่ขนาดใหญ่และเคลื่อนย้ายยาก วิธีการเลือกรถเข็นเด็กพับได้ การเลือกรถเข็นเด็กพับได้ให้เหมาะสมต้องพิจารณาหลายปัจจัยสำคัญ เพื่อให้ได้ตัวที่ตรงกับความต้องการและใช้งานได้ยาวนาน เลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก การเลือกรถเข็นเด็กพับได้ตามช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะแต่ละวัยมีความต้องการที่แตกต่างกัน เลือกวัสดุที่แข็งแรง วัสดุที่ใช้ในการผลิตรถเข็นเด็กพับได้มีผลต่อความทนทานและความปลอดภัย ควรเลือกโครงอะลูมิเนียมผสมที่แข็งแรงทนต่อการบิดงอ เบาะที่มีสปริงและฟองน้ำคุณภาพดี ผ้าหุ้มเบาะที่ระบายอากาศได้ดี ล้อทำจากพลาสติก PU ที่ทนทานและลดแรงกระแทก และหลังคาที่ป้องกันแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกวัสดุคุณภาพจะช่วยให้รถเข็นเด็กพับได้ใช้งานได้นานและปลอดภัย เลือกที่มีมาตรฐานระดับสากล รถเข็นเด็กพับได้ที่ดีควรมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล พร้อมระบบความปลอดภัยที่รัดกุม ระบบล็อกโครงรถเข็นที่มั่นคง เข็มขัดนิรภัยที่ใช้งานง่าย และระบบล็อกล้อหลังที่ป้องกันการลื่นไถล การมีมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยของลูกน้อย เลือกที่มีฟังก์ชันเพิ่มเติม ฟีเจอร์พิเศษของรถเข็นเด็กพับได้ที่น่าสนใจ ได้แก่ การปรับเอนได้หลายระดับ ระบบเข็นแบบ 2 ทิศทาง หลังคาพร้อมหน้าต่างระบายอากาศ และช่องเก็บของขนาดใหญ่ ฟังก์ชันเหล่านี้จะเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพการใช้งาน ทำให้รถเข็นเด็กพับได้ตอบโจทย์การใช้งานได้มากขึ้น แนะนำ 8 รถเข็นเด็กพับได้ คุณภาพดีจาก BabyGift […]
คุณแม่หลาย ๆ ท่านคงเคยดูคลิปทารกน้อยใส่ห่วงลอยน้ำ ฝึกน้ำดำ และฝึกลอยตัวอยู่ในน้ำกันใช่ไหมคะ เป็นคลิปที่น่าเอ็นดูมากเลย และหากลูกรักของเราได้ลองทำดูบ้างคงน่ารักมากแน่นอน แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าจะให้ลูกเริ่มเรียนว่ายน้ำได้ตอนไหน ใช้อุปกรณ์อะไร ปลอดภัยแค่ไหน แล้วจะเลือกโรงเรียนว่ายน้ำแบบไหนให้ลูกดี เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ ลูกทารกเริ่มเรียนว่ายน้ำได้เมื่อไร? เด็กทารกสามารถเรียนว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 3-4 เดือนขึ้นไป โดยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าร่างกายของลูกพร้อมแค่ไหน ให้ลองเริ่มใช้ห่วงยางสวมศีรษะของลูกเพื่อช่วยพยุงตัวในน้ำ เมื่อปล่อยลูกลงสระน้ำแล้วลูกสามารถลอยตัวได้โดยไม่กลัวน้ำเลย การฝึกแบบนี้ก่อนจะช่วยให้ลูกมีความเคยชินกับน้ำ ไม่กลัวน้ำ และเพื่อในอนาคตจะได้หัดว่ายน้ำได้อย่างสบาย หรือจะเริ่มฝึกหรือเรียนว่ายน้ำในช่วงวัย 1 ขวบขึ้นไป ก็เป็นวัยที่เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ลูกมีพัฒนาการด้านภาษาดีขึ้น เข้าใจภาษาที่ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่สื่อสาร เริ่มควบคุมการเคลื่อนไหวแขนขาได้ดีขึ้นมากแล้ว สระน้ำแบบไหน ปลอดภัยต่อเด็กเล็ก สระน้ำระบบน้ำเกลือจะเป็นระบบควบคุมความสะอาดของน้ำด้วยเกลือธรรมชาติ มีค่า pH balance ในใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติของคน ทำให้ไม่ระคายเคืองต่อตาหรือผิวหนังของเด็กทารก สระน้ำระบบโอโซน จะเป็นระบบที่เอาก๊าซโอโซนมาบำบัดน้ำในสระ มีประสิทธิภาพสูง สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ในเวลาอันสั้น และไม่มีสารเคมีตกค้าง ไม่ทำให้ดวงตาหรือผิวหนังทารกระคายเคือง ซึ่งสระระบบนี้ยังไม่ค่อยมีให้บริการมากนัก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่แข็งแรง สระน้ำควรจะควบคุมอุณหภูมิน้ำให้อยู่ที่ประมาณ 30- 35 องศาเซลเซียส เพื่อให้ร่างกายของลูกสามารถปรับอุณหภูมิได้ง่าย ไม่ป่วย อุปกรณ์สำคัญเมื่อลูกเล็กต้องว่ายน้ำ เลือกโรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกแบบไหน ปลอดภัยเหมาะสม ข้อดี […]