วิธีซื้อคาร์ซีทที่ปลอดภัย แบบที่คนขายไม่เคยบอก

คาร์ซีทปลอดภัย สำหรับเด็กแรกเกิด จะต้องดูจากอะไรบ้าง วันนี้ BabyGift จะมาบอกวิธีดูคาร์ซีทที่ปลอดภัย แบบลึกซึ้งถึงโครงสร้างกันเลยค่ะ เพราะทุกวัสดุที่ประกอบอยู่ในคาร์ซีทนั้น มีผลต่อความปลอดภัยของลูกน้อยมาก และก่อนคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกรัก นี่คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้เลยค่ะ
โครงคาร์ซีท ทำจากอะไร แบบไหนที่ปลอดภัย
1. โครงพลาสติกทั่วไป (PP)

พลาสติกมีความแข็งแรง ทนต่อการกระแทก มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่มักจะใช้ภายในห้องโดยสารรถยนต์ เช่น แผงประตู หรือ คอนโซลรถ
เมื่อใช้พลาสติก 100% ทำเป็นโครงคาร์ซีทสำหรับเด็กโตโดยเฉพาะ ที่น้องมีสรีระแข็งแรงแล้ว ก็เพียงพอต่อการปกป้องน้องให้ปลอดภัยค่ะ
แต่สำหรับเด็กแรกเกิด ที่สรีระบอบบาง ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ การใช้พลาสติก 100% เลย อาจจะไม่พียงพอ โครงคาร์ซีทควรจะเสริมด้วยวัสดุอื่น ๆ เพิ่มความแข็งแรงด้วย เช่น เสริมด้วยไฟเบอร์กลาส
2. โครงพลาสติก เสริมไฟเบอร์กลาส

ไฟเบอร์กลาส หรือ เส้นใยแก้ว จะใช้เพื่อเสริมความแข็งแรงเป็นพิเศษ ใช้แทนโลหะได้เลย เช่น ทำชิ้นส่วนเครื่องบินเล็ก ทำชิ้นส่วนรถแข่ง เพราะทนต่อการถูกกระแทก ทนต่อการฉีกขาด มีน้ำหนักเบา และยังสามารถดัดโค้งจัดรูปทรงได้ ไม่เปราะง่าย
ในการทำโครงคาร์ซีทเด็กแรกเกิด เสริมด้วยไฟเบอร์กลาสจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงได้ดีมาก กันความร้อน ไม่สะสมความร้อน และสามารถจัดรูปทรงโครงคาร์ซีทให้โอบรับกับสรีระของเด็กทารกได้อย่างปลอดภัย ไม่เปราะบาง
คาร์ซีทเด็กแรกเกิดที่ใช้ไฟเบอร์กลาส ส่วนใหญ่จะพบในประเทศญี่ปุ่น เช่น แบรนด์ Ailebebe รุ่น Kurutto เพราะแบรนด์นี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับ 1 เลยค่ะ
3. โครงพลาสติก เสริมอลูมิเนียม

อลูมิเนียม เป็นวัสดุที่แข็งแรง แตกหักยาก มักจะใช้ทดแทนเหล็ก เพราะมีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก
และอลูมิเนียมสามารถใช้เสริมเป็นเสาซ้ายและขวาข้างคาร์ซีท ซึ่งจะช่วยทำให้โครงมีความแข็งแรงขึ้น ทนต่อการกระแทกได้ดีขึ้น แต่อลูมิเนียมก็เป็นวัสดุที่ไม่กันความร้อน หากทิ้งคาร์ซีทไว้ในรถเป็นเวลานาน ด้านในจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้คาร์ซีทสะสมความร้อนได้
4. โครงพลาสติก เสริมเหล็ก

เหล็ก แน่นอนว่าเป็นวัสดุที่แข็งแรงมาก ๆ แตกหักยาก ทนต่อการกระแทกได้ดีที่สุด เหล็กจึงนิยมใช้เสริมในคาร์ซีท ใช้เป็นเสาซ้ายและขวาข้างคาร์ซีท หรือ ใช้เป็นโครงคาร์ซีททั้งหมดเลย เพื่อเพิ่มความแข็งแรง แต่เหล็กก็ทำให้คาร์ซีทมีน้ำหนักเยอะขึ้นด้วย
และเหล็กก็เป็นวัสดุไม่กันความร้อน หากทิ้งคาร์ซีทไว้ในรถเป็นเวลานาน ก็ทำให้สะสมความร้อนภายในได้
แบรนด์คาร์ซีท เช่น Renolux จึงพัฒนาไม่ใช้พลาสติก แต่จะใช้โครงเหล็กทั้งหมด โดยการใช้เหล็กเป็นตัวขึ้นโครงด้านใน แล้วใช้เทคโนโลยีการฉีดโฟมโพลียูรีเทน ที่มีความหนาแน่นสูง ให้หุ้มตัวโครงเหล็กนั้นไว้ ให้เป็นรูปทรงเบาะคาร์ซีท กันความร้อน ไม่สะสมความร้อน กันการกระแทกได้ดีมาก และเทคโนโลยีนี้ยังเป็นสิทธิบัตรเฉพาะ Renolux เท่านั้น
ฟังก์ชั่นเสริมโครง เพิ่มความปลอดภัย
โครงด้านในเป็นตารางวาฟเฟิล

โครงคาร์ซีทที่มั่นคง ปลอดภัย โครงภายในควรจะต้องออกแบบให้เป็นเส้นตารางแนวตั้งและแนวนอน คล้ายกับวาฟเฟิล ด้วยนะคะ ความหนาตรงนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแรง ป้องกันการฉีกขาด ช่วยป้องกันการกระแทกได้มากขึ้นแบบทั่วทั้งโครงเลยค่ะ
มี Baby Catch Technology หรือ ระบบพนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ

เทคโนโลยีนี้พบได้ใน แบรนด์ Ailebebe รุ่น Kurutto เพียงแบรนด์เดียวเลยค่ะ การที่พนักพิงยุบตัวเองได้ จะช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ปกป้องกระดูกสันหลังของลูกน้อยที่ยังไม่แข็งแรง
ระบบพนักพิงยุบตัว เป็นหลักการเดียวกันกับการยุบตัวของพวงมาลัยในรถหรูหลาย ๆ ยี่ห้อ เพื่อช่วยลดแรงกระแทก ช่วยให้ปลอดภัยสูงสุดเลยนะคะ
วัสดุรองรับแรงกระแทกในคาร์ซีทเด็ก ทำจากอะไรบ้าง
1. โฟม EPS (Expanded Polystyrene)

โฟมสีขาว ที่เสริมในหมวกกันน๊อคเพื่อกันกระแทก คือวัสดุที่คาร์ซีทขาดไม่ได้เลยนะคะ โฟมตัวนี้มีความเหนียว แตกหักได้ง่าย แต่เป็นข้อดีในการนำมารองรับแรงกระแทก เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุมีการกระแทกเกิดขึ้น โฟมสีขาวนี้จะแตก ซึ่งการแตกของโฟมจะช่วยลดแรงกระแทกไม่ให้ไปถึงตัวเด็กมากเกินไป ลดโอกาสที่ลูกน้อยจะบาดเจ็บได้
2. โฟม EPP (Expanded Polypropylene)

โฟมสีดำมีความหนา มีความแข็ง ไม่ลามไฟ พร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย โฟมตัวนี้จะช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดีมาก ปกป้องสรีระเด็ก ๆ ในจุดสำคัญได้ เช่น การ์ดด้านข้าง, แผ่นหลัง
3. โพลียูรีเทน (Polyurethane)

ยางสังเคราะห์ ที่มีความนุ่มพิเศษ ยืดหยุ่นสูง และทนกว่ายางธรรมชาติ
เป็นวัสดุกันกระแทกในคาร์ซีทได้ (แต่ยังไม่มีวิจัยรองรับ) ที่มักจะใช้กับคาร์ซีทเด็กโตโดยเฉพาะ ไม่เหมาะใช้กับทารกแรกเกิดที่สรีระบอบบาง เนื่องจากโพลียูรีเทนมีความนุ่มเด้ง เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะมีแรงสะท้อนส่งกลับมาที่ทารก ทำให้ตัวของทารกเด้งกระแทกหลายรอบ จนทำให้ได้รับบาดเจ็บได้
ส่วนอายุการใช้งานก็น้อย เช่น เมื่อทิ้งไว้ในรถนานสัก 1 ปี โดนความร้อนและแสงยูวี สีจะเข้มขึ้น เปราะง่ายขึ้นด้วยค่ะ
4. เมมโมรี่โฟม

เป็นโฟมที่มีความนุ่ม รองรับน้ำหนักได้ดี เมื่อถูกกดทับก็สามารถคืนตัวได้ จึงเหมาะมากที่จะนำมาทำเป็นวัสดุกันกระแทกในคาร์ซีท ในจุดสำคัญที่เด็กควรได้รับการปกป้อง เช่น Head Support แรกเกิด เบาะรองหลัง เบาะรองนั่ง
แต่โฟมชนิดนี้มีความหนาแน่น ถ้าหากไม่เจาะรูระบายอากาศด้วย ก็จะสะสมความร้อนได้ค่ะ
ผ้าหุ้มคาร์ซีทเลือกแบบไหนดี
1. ผ้าออแกนิค

ผ้าออแกนิคจะช่วยลดโอกาสที่ลูกน้อยจะระคายเคืองผิวหรือไม่ระคายเคืองผิวเลย แต่ผ้าออแกนิคมักจะเป็นขุยง่าย ไม่ทนทานแบบผ้าชนิดอื่น และมักจะดูดซับเหงื่อไว้ ทำให้ผ้าอับชื้นได้ง่ายมาก จึงต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ เลยค่ะ
2. ผ้าโพลีเอสเตอร์

ผ้าโพลีเอสเตอร์เป็นผ้าที่นิยมใช้เป็นผ้าหุ้มคาร์ซีท มีความทนทาน ไม่ค่อยเป็นขุยง่าย เนื้อผ้าไม่ค่อยมีความนุ่ม ผ้าชนิดนี้จึงควรผสมกับผ้าอย่างอื่นด้วย เพื่อช่วยการระบายอากาศและเพิ่มความนุ่มในการสัมผัส
3. ผ้าฝ้าย

ผ้าฝ้ายจะผัสนุ่ม สบายที่สุด ระบายอากาศได้ดี แต่เนื้อผ้าที่มีความนุ่ม ก็มักจะซับเหงื่อได้เยอะมากเช่นกัน จึงต้องหมั่นซักทำความสะอาดผ้าหุ้มคาร์ซีทบ่อย ๆ
4. ผ้า AG Pure เคลือบ Ion Silver

ผ้าต้านเชื้อแบคทีเรีย เนื้อผ้าจะสัมผัสนุ่ม สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ด้วยตัวเอง ถึง 99% เนื้อผ้ามีความนุ่ม ระบายอากาศ มาพร้อมคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียได้เอง ทำให้ไม่ต้องซักทำความสะอาดผ้าหุ้มคาร์ซีทบ่อย ๆ แบบผ้าชนิดอื่น ๆ แต่เนื่องจากผ้าชนิดนี้มีราคาสูงจึงหาพบได้ยากในคาร์ซีททั่วไป
5. ผ้าตาข่าย W Russell

ผ้าตาข่าย W Russell จะถูกทักทอด้านในเป็นรูปตัว W ทำให้มีช่องว่างมากขึ้น มีรูระบายอากาศที่ใหญ่กว่า พร้อมมีผิวสัมผัสที่เรียบนุ่ม แตกต่างจากผ้าตาข่ายทั่วไปที่มีความแข็งกระด้าง
เมื่อใช้เป็นผ้าหุ้มคาร์ซีทตลอดช่วงตัว หรือ ในจุดที่ทารกเหงื่อออกเยอะ ๆ เช่น ศีรษะ หลัง เบาะรองนั่ง จะช่วยให้เย็นสบายมากขึ้น นั่งนาน ๆ ก็ไม่ร้อน แต่เนื่องจากผ้าตาข่าย W Russell มีราคาสูง จึงหาพบได้ยากในคาร์ซีททั่วไป
ได้ข้อมูลกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ว่าโครงคาร์ซีท วัสดุกันกระแทก และเนื้อผ้า แตกต่างกันยังไงบ้าง อย่าลืมว่าความปลอดภัยของลูกน้อยคือเรื่องที่สำคัญที่สุด และยังเป็นหัวใจหลักในการเลือกคาร์ซีทอีกด้วย ฉะนั้นก่อนจะซื้อต้องรู้ให้ลึกถึงโครงสร้างเลยนะคะ
BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ ประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการคัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพสำหรับเด็ก ที่ใส่ใจในความปลอดภัย มาตรฐานการผลิตจากหลากหลายประเทศ มาให้คุณพ่อคุณแม่เลือกซื้อได้อย่างครบวงจร พร้อมให้คำแนะนำในการเลือกซื้อสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูก สามารถแวะมาเลือก ของใช้ทารกได้ที่ร้าน BabyGift 5 สาขา ใกล้บ้านคุณ หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
ใช้เครื่องปั๊มนม ดียังไงนะ? คุณแม่รู้ไหมว่า การปั๊มนมมีส่วนช่วยคุณแม่และลูกน้อยได้มากมายกว่าที่คิด แต่เชื่อว่าสำหรับคุณแม่มือใหม่ การปั๊มนมครั้งแรกอาจไม่ใช่เรื่องง่าย อาจมีความกังวลใจต่างๆ นาๆ ว่าจะเริ่มยังไง ต้องทำอะไรบ้าง เราจึงอยากจะมาแนะนำวิธีการปั๊มนมครั้งแรก พร้อมกับเทคนิคการปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า เพื่อให้คุณแม่ได้ ใช้เครื่องปั๊มนมได้เก่ง คุ้มค่าอย่างมืออาชีพ ลูกน้อยก็มีน้ำนมแม่กินอิ่มอยู่เสมอค่ะ สอนคุณแม่ ใช้เครื่องปั๊มนม แม้คุณแม่จะลองปั๊มนมแล้ว น้ำนมจะยังไม่มี ก็ไม่ควรเครียด หรือตกใจ คิดว่าตัวเองไม่มีน้ำนม เพราะการปั๊มนมช่วงนี้เป็นการปั๊มนมเพื่อกระตุ้น และฝึก ใช้เครื่องปั๊มนมให้คุ้นเคย เมื่อคุณแม่ได้ใช้เครื่องปั๊มนมร่วมกับให้ลูกดูดกระตุ้นบ่อยๆ น้ำนมแม่จะมาเร็วขึ้น เมื่อ ใช้เครื่องปั๊มนม ปั๊มนมแบบไหน? ให้เกลี้ยงเต้า การปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า คือการระบายน้ำนมให้หมดจากเต้านมคุณแม่ในครั้งนั้นๆ เพื่อให้เต้านมคุณแม่ได้มีพื้นที่สำหรับการผลิตน้ำนมขึ้นใหม่อยู่เสมอ เพราะน้ำนมแม่จะมีรอบของการผลิตใหม่ๆ ในเต้านมตลอดเวลา เมื่อน้ำนมผลิตจนเต็มเต้า เต็มพื้นที่เก็บน้ำนม จะทำให้เต้านมคุณแม่คัดตึง ต้องให้ลูกน้อยดูดหรือปั๊มนมระบายออกมา ซึ่งการปั๊มนมออกมานั้น ยิ่งระบายน้ำนมออกได้เกลี้ยงเต้ามากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้นมแม่ผลิตออกมาสม่ำเสมอได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ เทคนิคปั๊มเกลี้ยงเต้า คุณแม่จะรู้ได้ว้าน้ำนมที่ปั๊มนั้นเกลี้ยงเต้าแล้ว เมื่อรู้สึกได้ว่าเต้านมอ่อนนุ่มนิ่มลง อาการคัดตึงเต้านมก่อนที่จะปั๊มนม (เพราะมีน้ำนมอยู่เต็มเต้านม) ก็จะหายไปด้วย
การนับอายุครรภ์คือหนึ่งในเรื่องที่สร้างความสับสนให้คุณแม่มือใหม่หลายคน และมักจะถูกถามบ่อย ๆ ว่า “ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้ว?” “อายุครรภ์เท่าไหร่?” ซึ่งบางครั้งคุณแม่เองก็อาจจะยังไม่แน่ใจนัก การทราบอายุครรภ์ที่แม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตอบคำถาม แต่ยังเพื่อความปลอดภัยและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์นั่นเอง วันนี้ BabyGift จะพาคุณแม่มาไขข้อสงสัยและเรียนรู้วิธีการนับอายุครรภ์ให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุดกัน การนับอายุครรภ์สำคัญอย่างไร การนับอายุครรภ์ที่ถูกต้องและแม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินพัฒนาการของทารกได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสัปดาห์ รวมถึงวางแผนการตรวจครรภ์และติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ประโยชน์ของการนับอายุครรภ์ การนับอายุครรภ์มีประโยชน์หลายอย่างที่คุณแม่ควรรู้ ประการแรกคือช่วยให้แพทย์ประเมินพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ตรงตามช่วงอายุจริง เช่น ขนาดของทารก หรือการเต้นของหัวใจ ประการที่สองคือช่วยกำหนดวันคลอดที่คาดการณ์ไว้ (EDC) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเตรียมความพร้อมเรื่องของใช้ต่าง ๆ เช่น ของเตรียมคลอด ของใช้ลูกแรกเกิด อุปกรณ์แม่และเด็กมีอะไรบ้าง หรือการวางแผนการลาคลอด ประการที่สามคือใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทางการแพทย์ เช่น การให้ยา หรือการทำหัตถการต่าง ๆ อย่างปลอดภัย 6 วิธีนับอายุครรภ์ที่ทำได้ด้วยตัวเอง การนับอายุครรภ์ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด คุณแม่สามารถเริ่มต้นคำนวณได้ด้วยตัวเองหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป 1. นับอายุครรภ์ที่นับตามวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับคุณแม่ที่จำวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายได้แม่นยำ โดยสูตินรีแพทย์จะเริ่มนับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มา (LMP) และใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งปกติแล้วการตั้งครรภ์จะครบกำหนดที่ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย และสามารถนำไปคำนวณวันคลอดที่คาดไว้ได้อย่างแม่นยำ […]
เคยมีคนบอกว่า แต่งงานแล้วอย่าเพิ่งมีลูกนะ เดี๋ยวไม่มีเวลาได้ไปท่องเที่ยว เพราะถ้ามีลูกน้อยจะเดินทางแต่ครั้ง ต้องเตรียมสัมภาระของลูก 1 กระเป๋าใหญ่ ต้องรับมือกับลูกที่อาจร้องงอแง เพราะพักผ่อนไม่เต็มที่ ถึงเวลานอนแล้วไม่ได้นอน งอแงต้อให้อุ้มตลอดเวลา ก็คงเที่ยวไม่สนุก แล้วก็จะเข็ดไม่อยากไปไหนอีกเลย แต่รู้ไหมว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับลูกน้อยเลย เพราะเด็กในช่วงวัยนึง เป็นช่วงวัยที่ต้องการการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการของลูกน้อยเป็นไปอย่างดีเยี่ยม …แต่ถ้าไม่ได้พาลูกออกนอกบ้านเลย แล้วจะเรียนรู้ได้อย่างไรหล่ะ??? แต่สำหรับครอบครัวพ่อเพชรจ้า-แม่นิวเคลียร์ สามารถพาน้องไทก้าเที่ยวได้ทุกที่ได้อย่างคล่องตัว พาออกนอกบ้านตั้งแต่น้องยังเล็กๆอยู่เลยค่ะ ก็เพราะมีตัวช่วยอย่าง รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Karoon เป็นรถเข็นเด็กที่เบาที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะเบาเพียง 3.6 kg. TRIP KOREA รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Karoon กับทริปแรกของน้องไทก้า ในวัยประมาณ 6 เดือน เดินทางไปไกลถึงแดนกิมจิ ประเทศเกาหลี ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียง 3.6 kg. ช่วยให้นำรถเข็นขึ้นเครื่องได้อย่างสบาย รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Karoon ปรับเข็นได้ 2 ทิศทาง ช่วยให้พ่อเพชรจ้าดูแลน้องไทก้าได้อย่างใกล้ชิด แบบ face to face […]
แม้ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ ก็ต้องดูแลความสวย ความงาม และดูแลตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตลอด เพราะตามธรรมชาติเค้าสร้างผู้หญิงขึ้นมาเพื่อเกิดมาตั้งครรภ์ ให้กำเนิดบุตร โดยเฉพาะช่วง 9 เดือนที่ตั้งครรภ์ ร่างกายของเราจะถูกเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด บางอย่างก็ไม่อยากให้เกิด โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณการแตกลายของบริเวณท้องนั้นเป็นสิ่งที่คุณแม่กังวลเป็นอย่างมาก แต่วิธีป้องกันคุณแม่ตั้งครรภ์หลายๆคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าท้องเราเกิดแตกลายขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอย่างไรดี ท้องลาย หรือ รอยผิวแตกลาย เป็นเส้นที่ปรากฏบริเวณผิวหนังหน้าท้อง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่มาพร้อมกับการขยายขนาดของหน้าท้องอย่างรวดเร็ว รอยแตกลายจะเป็นริ้วสีขาว สีชมพู สีแดง สีม่วง หรือสีน้ำตาล ตามแต่สภาพผิวหนัง ความตึงของผิวหนังบริเวณนั้น ของแต่ละคน สาเหตุท้องลาย ท้องลาย เป็นการฉีกขาดของผิวหนังชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไปบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเกิดจากการขยายขนาดของท้องทำให้เห็นเส้นเลือดที่อยู่ในชั้นลึกลงไป จึงเห็นเป็นลายเข้ม ต่อมาเส้นเลือดหดตัวจึงเห็นพื้นที่ขาวมากขึ้น โดยท้องลายเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ท้องลายเป็นเพียงรอยแตกลายที่เกิดขึ้นและจะค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไม่สามารถกำจัดรอยที่เคยมีออกไปได้ทั้งหมด หรือเมื่อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทางออกในการแก้ปัญหาท้องลาย 1. ควบคุมอาหาร คุณแม่ตั้งครรภ์ควรควบคุมเรื่องอาหาร ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งคุณแม่และลูกน้อย ไม่ควรกินอาหารที่เพิ่มน้ำหนักมากๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณท้องขยายเร็ว […]
ผ้าอ้อมเด็ก เป็นสิ่งที่อยู่คู่กายลูกน้อยแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง การเลือกผ้าอ้อมเด็กที่ดีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการซึมซับเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความสบายตัวของลูกน้อย สุขภาพผิว และความมั่นใจของคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลลูกรัก วันนี้ BabyGift จะมาเผยเคล็ดลับวิธีเลือกผ้าอ้อมเด็กอย่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัวที่สุดในทุกการเคลื่อนไหว ทำไมการเลือกผ้าอ้อมเด็กจึงสำคัญ การเลือกผ้าอ้อมเด็กมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขอนามัยของลูกน้อย เพราะผิวทารกนั้นบอบบางและแพ้ง่าย การสัมผัสกับความเปียกชื้นหรือสิ่งสกปรกเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อม การระคายเคือง และความไม่สบายตัว ซึ่งจะส่งผลให้ลูกน้อยงอแง การเลือกผ้าอ้อมเด็กที่มีคุณภาพดีจึงช่วยให้ผิวลูกแห้งสบาย ปราศจากเชื้อโรค และช่วยส่งเสริมให้ลูกมีอารมณ์ดี พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่ ความแตกต่างระหว่างผ้าอ้อมคุณภาพดีและผ้าอ้อมทั่วไป ผ้าอ้อมเด็กคุณภาพดีจะถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นที่วัสดุที่นุ่มพิเศษ มีการระบายอากาศที่ยอดเยี่ยม และมีนวัตกรรมการซึมซับที่รวดเร็วและกระจายตัวได้ดี ทำให้ผิวลูกแห้งสนิท ลดโอกาสเกิดผื่นผ้าอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ผ้าอ้อมทั่วไปอาจมีราคาที่ย่อมเยากว่า แต่มักใช้ใยสังเคราะห์ที่ระบายอากาศได้น้อยกว่า อาจก่อให้เกิดความอับชื้น และอาจมีการรั่วซึมได้ง่ายกว่า ซึ่งส่งผลให้ต้องเปลี่ยนบ่อยครั้งและอาจทำให้ผิวลูกระคายเคืองได้ง่าย ประเภทของผ้าอ้อมเด็กที่คุณแม่ควรรู้ เมื่อพูดถึงผ้าอ้อมเด็กที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามรูปแบบการสวมใส่ ซึ่งมีข้อดีและการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามช่วงวัยและกิจกรรมของลูกน้อย ผ้าอ้อมแบบกางเกง (Pant Type) ผ้าอ้อมเด็กแบบกางเกงเป็นตัวเลือกที่สะดวกอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ เพราะสามารถสวมใส่ได้ง่ายและรวดเร็วเหมือนการใส่กางเกงทั่วไป จึงเหมาะสำหรับลูกน้อยที่เริ่มดิ้น เริ่มคลาน หรืออยู่ในวัยหัดเดินที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ผ้าอ้อมเด็กแบบกางเกงจะมีความยืดหยุ่นสูง กระชับรอบเอวและขอบขา ทำให้ลูกเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว […]
บริษัท เบบี้กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) ได้คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของลูกค้าทุกท่าน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลที่จำเป็นของท่าน เพื่อระบุตัวบุคคลตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ แห่งราชอาณาจักรไทย นโยบายความเป็นส่วนตัวอธิบายถึงวิธีที่เราเก็บข้อมูล นำมาใช้ และ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (ในบางกรณี) โดยนโยบายนี้จะอธิบายถึงขั้นตอนการกระทำกับข้อมูลส่วนบุคคล และสุดท้ายนโยบายนี้จะอธิบายถึงตัวเลือกที่ท่านสามารถเลือกได้เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของท่านเอง การปกป้องดูแลข้อมูลส่วนตัวของท่านเปรียบเสมือนความไว้วางใจที่ท่านมีให้เราและเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ดังนั้นเราจึงจะขอใช้เพียงข้อมูลบางส่วนของท่านอันได้แก่ ชื่อ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะที่สอดคล้องกับนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เราได้กำหนดไว้ ทั้งนี้เราจึงเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำเนินความสัมพันธ์ทางธุรกรรมของเรากับท่านเท่านั้น ทางเราจะเก็บรักษาข้อมูลของท่านไว้เป็นระยะเวลาตราบเท่าที่กฎหมายกำหนดหรือ เป็นระยะเวลาตามวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลนั้นๆ ท่านสามารถเยี่ยมชมและท่องเว็บไซต์ของเราได้โดยไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ โดยตลอดการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ท่านจะอยู่ในฐานะผู้ไม่เปิดเผยตัวตน และไม่สามารถระบุตัวตนได้ตลอดเวลา จนกว่าท่านจะลงทะเบียนสมัครบัญชีผู้ใช้ และได้เข้าสู่ระบบด้วยชื่อบัญชีและรหัสผ่านของท่านเอง คลังข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท เบบี้กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จะไม่ยอมให้บุคคลภายนอกมีส่วนร่วมรู้เห็นข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่ได้เก็บไว้โดยเด็ดขาด ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บไว้จะได้รับการเปิดเผยเฉพาะภายในเครือบริษัทของเราเพื่อการดำเนินการภายในเท่านั้น เมื่อท่านได้สร้างบัญชีผู้ใช้กับบริษัท เบบี้กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) ข้อมูลส่วนบุคคลที่เราจะเก็บไว้ มีดังต่อไปนี้ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด, เพศ, อายุ, เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, สัญชาติ เป็นต้น ข้อมูลที่ใช้ในการติดต่อ เช่น […]






