Carseat Safety Series คาร์ซีทมีกี่แบบ และแบบไหนดีกว่ากัน

คาร์ซีท คืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็กในขณะที่เดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีราคา ฟังก์ชั่น ที่แตกต่างกัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ไม่แน่ใจว่าจะเลือกแบบไหนดีที่ลูกยอมนั่ง โดยเฉพาะคาร์ซีทแรกเกิด ที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายของเด็กบอบบางที่สุด ซึ่งการจะซื้อคาร์ซีทให้ปลอดภัย ต้องเลือกจากหลาย ๆ อย่าง เช่น เลือกประเภทคาร์ซีทให้เหมาะกับการใช้งาน เหมาะกับวัย ส่วนสูง และน้ำหนักของลูก 

วันนี้ Baygift จึงจะพาพ่อแม่ทุกคน มารู้จักกันว่า คาร์ซีทมีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย

คาร์ซีท ระบบติดตั้งมีกี่แบบ

เป็นเรื่องที่ต้องดูเป็นอันดับแรก ว่ารถที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันสามารถติดตั้งคาร์ซีทได้ด้วยระบบใด ซึ่งการติดตั้งจะมีอยู่ 2 ระบบ ดังนี้… 

  1. คาร์ซีทระบบ Belt

ระบบนี้สามารถติดตั้งได้กับรถยนต์ทุกรุ่น ทุกคัน แต่ขั้นตอนการติดตั้งค่อนข้างจะยุ่งยาก จึงต้องศึกษาคู่มืออย่างละเอียด หรือ ให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญช่วยติดตั้งให้เลย  

  1. คาร์ซีทระบบ Isofix

คือ ระบบการติดตั้งตามมาตรฐานยุโรป ติดตั้งง่าย ISOFIX จะมีในรถที่ผลิตในปี 2014 ขึ้นไป บางรุ่นที่เก่ากว่าปี 2014 ก็อาจจะมีเช่นกัน ดังนั้น ให้ลองสังเกตสัญลักษณ์ ISOFIX ที่เบาะด้านหลังว่ามีหรือไม่ หรือ หากไม่แน่ใจ ก็สามารถเอารุ่นรถ ปีรถ ไปสอบถามพนักงานผู้เชี่ยวชาญได้ 

คาร์ซีทเด็กมีกี่แบบ เลือกแบบไหนดี

คาร์ซีทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด และ คาร์ซีทสำหรับเด็กโต

คาร์ซีทเด็กแรกเกิด มีดังนี้

  1. คาร์ซีทกระเช้า 

คาร์ซีทแบบตระกร้าหิ้ว New Born Only คาร์ซีทประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถถอดออกและถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ บางรุ่นสามารถนำไปใช้บนเครื่องบินหรือรถเข็นเด็กได้ด้วย แต่มักจะมีอายุการใช้งานที่สั้น ส่วนใหญ่แล้วจะนั่งได้ไม่เกิน 18 เดือน เพราะเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น คาร์ซีทก็จะมีขนาดเล็กเกินไป จึงต้องรีบหาคาร์ซีทตัวใหม่มาทดแทน 

้อดี  

  •  มีน้ำหนักเบา ทำให้เคลื่อนย้ายได้ง่ายมาก 
  • สามารถถอดคาร์ซีทออกมาเดินถือได้เลย เวลาที่ลูกนอนหลับไม่ต้องปลุกลูก หรืออุ้มลูกออกจากคาร์ซีท ทำให้ลูกนอนหลับได้อย่างเต็มที่ 
  • บางรุ่นปรับใช้งานได้หลายแบบ เช่น ใช้งานกับรถเข็น ทำให้สะดวกมากขึ้น หรือบางรุ่นปรับเป็นเปลนอนได้ด้วย  

ข้อเสีย  

  • จากน้ำหนักที่เบาและรูปทรงเล็ก ทำให้โครงคาร์ซีทมีความบอบบาง กว่าคาร์ซีทประเภทอื่น 
  • เบาะ Support เด็กแรกเกิด จะมีชิ้นเล็กและบอบบางกว่าคาร์ซีทรุ่นอื่น 
  • ด้วยโครงที่เล็ก จึงใส่วัสดุรองรับแรงกระแทกได้ไม่เยอะ 
  • ระยะเวลาการใช้งานสั้น คาร์ซีทกระเช้าจะใช้งานได้จริงกับเด็กอายุไม่เกิน 1 ปี เพราะเด็กจะเริ่มตัวโตขึ้น มีความสูงเพิ่มขึ้นมากแล้ว  

 2. คาร์ซีทแบบ Convertible 

สามารถใช้งานกับเด็กได้หลายช่วงอายุ มีฟังก์ชั่นความปลอดภัยมากขึ้น โครงใหญ่ขึ้น และปรับการใช้งานได้ 2 รูปแบบ คือ ปรับคาร์ซีทหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) สำหรับเด็กแรกเกิด และปรับหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) สำหรับเด็กโต   

ข้อดี 

  • ใช้งานได้ยาวนานกว่าแบบกระเช้า เช่น 0-4 ปี, 0- 9 ปี , 0-12 ปี ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนคาร์ซีทให้ลูกบ่อย 
  • โครงสร้างใหญ่ ตัวเบาะกว้าง ทำให้ใส่วัสดุรองรับแรงกระแทกได้มากกว่าแบบกระเช้า 
  • มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทำให้มีความปลอดภัยสูง 
  • มีฟังก์ชั่นหลากหลาย ทั้ง ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่น มีขาค้ำยัน, ช่องระบายอากาศ, หมุนได้ 360 องศา , มีที่พักเท้า, มีที่วางแก้ว  

ข้อเสีย  

  •  โครงคาร์ซีทใหญ่ ต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้ง 
  • คาร์ซีทมีน้ำหนักเยอะ ไม่สามารถถอดออกแล้วเดินถือได้เหมือนคาร์ซีทแบบกระเช้า  

 คาร์ซีทแบบ Convertible แบ่งย่อยได้อีก 3 ประเภท ดังนี้… 

2.1 คาร์ซีทแบบหมุนได้  

คาร์ซีทแบบหมุนได้ 360 องศา ส่วนใหญ่จะเป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด เพราะเด็กแรกเกิดบอบบาง ต้องระมัดระวังในการพาเข้าหรือออกจากคาร์ซีท การหมุนหันมาหาแม่ได้ จะช่วยให้อุ้มลูกขึ้นลงรถได้สะดวก ไม่เสี่ยงหกล้ม แม้ที่จอดรถจะแคบ นอกจากนี้ ยังติดตั้งครั้งเดียวจบ สามารถปรับใช้งานได้ ทั้งแบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) และหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) ได้เลย

2.2 คาร์ซีทแบบหมุนไม่ได้  

คาร์ซีทประเภทนี้ส่วนใหญ่จะออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานของเด็กโตด้วย จึงไม่มีฟังก์ชั่นการหมุนมาให้ และจะต้องติดตั้งใหม่ จากการนั่งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) ไปเป็นการนั่งหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) แต่คาร์ซีทแบบนี้ จะใช้งานได้นานขึ้นกว่าแบบที่หมุนได้ บางรุ่นใช้ได้ถึง 12 ปี เลย 

2.3 คาร์ซีทปรับนอนราบได้ และหมุนได้  

คาร์ซีทแรกเกิดประเภทนี้ จะมีความพิเศษกว่าแบบอื่น เพราะปรับนอนราบได้สูงสุด 170 องศา และยังหมุนได้ด้วย เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด เด็กเล็ก ที่ต้องเดินทางบ่อย นอกจากนี้ยังเหมาะกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย เพราะการปรับนอนราบ จะช่วยทำให้เด็กนั่งคาร์ซีทได้สบายขึ้น หายใจสะดวกขึ้น 

คาร์ซีทเด็กโต มีดังนี้

  1. คาร์ซีทเด็กโต Forward Facing หรือ Combination Seat

เหมาะใช้เป็นคาร์ซีทตัวที่ 2 ให้กับลูก ใช้งานแบบหันหน้าไปหน้ารถอย่างเดียว บางรุ่นมีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด และปรับเป็นบูสเตอร์ซีทได้ในตัวเดียว จึงใช้งานได้ยาวนาน ส่วนใหญ่จะใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี – 12 ปี ตัวคาร์ซีทจะมีลักษณะเบาะกว้าง พนักพิงใหญ่และสูง เพื่อทำให้เด็กนั่งได้สบายและเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเด็ก 

ข้อดี  

  • โครงสร้างใหญ่ เบาะกว้าง ทำให้ลูกนั่งสบาย ไม่อึดอัด 
  • พนักพิงจะปรับความสูงได้เยอะ เพื่อรองรับสรีระเด็กได้ตามวัย 
  • บางรุ่นปรับเป็นบูสเตอร์ซีทได้ในตัวเดียว ใช้งานได้นาน 
  • วัสดุรองรับแรงกระแทกมีความแข็งแรง ทำให้คาร์ซีทมีความปลอดภัยสูง  

ข้อเสีย  

  • บางรุ่นจะมีน้ำหนักเยอะ เคลื่อนย้ายไม่ค่อยสะดวก 
  • บางรุ่นไม่สามารถปรับเบาะเอนนอนได้ อาจทำให้เด็กนอนหลับไม่สบาย ควรเลือกแบบปรับเอนได้

  1. บูสเตอร์ซีท Booster seat

จะแบ่งย่อยได้ 2 แบบ คือ บูสเตอร์ซีทแบบมีพนักพิง และ บูสเตอร์ซีทแบบไม่มีพนักพิง 

2.1 บูสเตอร์ซีท แบบไม่มีพนักพิง
จะเป็นเบาะรองนั่ง น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ฟังก์ชั่นหลัก ๆ จะช่วยเพิ่มความสูงให้เด็ก ๆ เพื่อให้คาดเข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ได้อย่างพอดี สายเข็มขัดไม่รัดคอ เหมาะกับเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป

ข้อดี 

    • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก สามาถพกเดินทางไปต่างประเทศได้ 

ข้อเสีย 

    • ไม่มีพนักพิงรองรับสรีระ เด็กจะพิงเบาะรถยนต์แทน 
    • หากไม่มีตัวปรับสายเข็มขัด อาจทำให้เข็มขัดนิรภัยรัดจนเกินไป หรือ สายเข็มขัดอาจพาดที่คอของเด็กได้ 

2.2 บูสเตอร์ซีท แบบมีพนักพิง
บูสเตอร์ซีทมีพนักพิง จะช่วยให้นั่งสบายมากขึ้น นอกจากเพิ่มความสูงให้เด็ก ๆ คาดเข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ได้อย่างพอดี สายเข็มขัดไม่รัดคอ ยังมีฟังก์ชั่นความปลอดภัยเสริมอีกด้วย เหมาะกับเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป

ข้อดี 

    • มีพนักพิงสูงใหญ่ หนานุ่ม จะช่วยให้เด็กนั่งพิงได้สบายมากขึ้น 
    • มีฟังก์ชั่นความปลอดภัยเสริม เช่น ซัพพอร์ตข้างศีรษะหนา กันกระแทกได้อย่างปลอดภัย

ข้อเสีย 

    • บางรุ่นมีน้ำหนักเยอะ อาจเคลื่อนย้ายบ่อยไม่สะดวก 
    • บูสเตอร์ซีทที่มีพนักพิง ตัวเบาะจะกว้าง ต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้ง

สำหรับ ตำแหน่งที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุด 

ในประเทศไทย ตำแหน่งในรถยนต์ที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุดก็คือ “เบาะหลังฝั่งคนนั่ง” ด้วยเหตุผลดังนี้…  

  • รถยนต์ในประเทศไทยขับฝั่งขวา ซึ่งก็จะทำให้ฝั่งขวาหรือฝั่งคนขับนั้น จะอยู่ฝั่งเดียวกันกับเกาะกลางถนน ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าฝั่งซ้ายที่จะอยู่ฝั่งเดียวกับฟุตบาท และในขณะที่พาลูกน้อยขึ้น-ลงรถฝั่งด้านซ้ายที่ติดกับฟุตบาทก็จะมีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งกว่า 
  • ระยะห่างระหว่างเบาะกับคาร์ซีท ปกติแล้วคนขับควรจะปรับเบาะให้มีความสบายมากที่สุดสำหรับการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความความสูงต่ำของเบาะ หรือการเอนหลังของพนักพิงเพื่อให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างราบรื่นมากที่สุด และการปรับเบาะก็มีโอกาสที่จะทำให้ช่องว่างระหว่างคาร์ซีทกับเบาะติดกันเกินไป จึงไม่ควรที่จะติดตั้งคาร์ซีทในฝั่งที่นั่งด้านหลังของคนขับ เพราะจะทำให้ลูกน้อยเสี่ยงได้รับแรงกระแทกจากเบาะหน้าของคนขับไปด้วย 

มาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่คงเลือกได้แล้วใช้ไหมคะ ว่าจะให้ลูกใช้คาร์ซีทแบบไหนดี หากยังไม่แน่ใจ สามารถพาลูกน้อยมาลองนั่งคาร์ซีทได้ทุกรุ่น หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟ 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ  

คาร์ซีท มีกี่แบบ แบบไหนดี รับชมได้ที่นี่

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

สวัสดีค่ะ ^_^  อุปกรณ์คู่ใจของแม่ ๆ สุดสตรองทุกท่านก็คงหนีไม่พ้น “รถเข็นเด็ก” จริงไหมคะ..? ส่วนตัวมดเอง ลองใช้รถเข็นมาหลายยี่ห้อ แต่ตอนนี้บ้านเรากำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลายวัน รถเข็นคันเดิมเริ่มไม่ตอบโจทย์เรื่องการพกพาอีกต่อไปแล้ว เพราะแค่ของใช้ก็เต็มรถแล้วค่ะ เราจึงมีโจทย์ในการหารถเข็นคันใหม่ว่า ต้องมีน้ำหนักเบา พับเก็บง่าย และแน่นอนว่าต้องเป็นแบรนด์ดังที่แม่ ๆ ไว้ใจ เหมือนสวรรค์มีตา 555 เพราะไม่กี่วันต่อมา เราก็ไปเจอใน IG คุณโอปอล์ว่า เพิ่งถอยรถเข็นใหม่ให้น้องอลิน อลันเหมือนกัน แถมยังเชียร์ว่ามันเบา ใช้งานสะดวกมากกก คุณแม่ขาช็อปอย่างเราก็ไม่รอช้าค่ะ ไปซื้อตามด่วน ๆ คุณโอปอล์ซื้อรถเข็นจากร้าน BABYGIFT ค่ะ มดเองไม่มีเวลาไปที่ร้าน เลยสั่งซื้อออนไลน์ กดสั่งปุ๊บ รอไม่นานก็มีน้องเสียงสวยโทรมานัดวันจัดส่งทันที 2 วันก็ได้ของค่ะ สะดวกมากก แล้วเราก็ได้รถเข็นที่ตอบโจทย์การใช้งานมา 1 คัน และนี่คือ “Aprica Magical Air Plus Highseat” รุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่ เล็ก และน้ำหนักเบา ที่สุด  ตัวนี้เค้าแนะนำสำหรับเด็กไม่เกิน 15 โล แต่ลูกบ้านนี้หนัก 16 โลก็ยังนั่งสบาย ๆ เลยค่ะ ราคาอยู่ที่ 10,335 บาท อย่างที่ทราบกันดีว่า “ถ้ารถเข็นต้อง Aprica”  ดังนั้นเค้าจึงมีความพิเศษค่ะรุ่นนี้น้ำหนักเบาเพียง 3.3 kg ถือมือเดียวได้สบาย ๆ และที่นั่งเป็นแบบ High Seat สูงจากพื้นดิน 52 cm. ซึ่งจะทำให้ฝุ่นละอองและความร้อนจากพื้นนั้นห่างจากลูกยิ่งขึ้น แถมยังสามารถพับเก็บได้แบบ One Step และล้อทั้ง 4 ก็จะติดกับพื้น ลากได้สบาย ๆ […]

เพราะคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์สารอาหารที่มีครบถ้วน เพื่อพัฒนาลูกน้อยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความฉลาด การเติบโตแข็งแรง อารมณ์ดีมีความสุข ขับถ่ายง่าย แถมนมแม่ยังมีสารสร้างภูมิคุ้มกันมากมาย ทำให้ลูกน้อยไม่เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณแม่ทุกท่านจึงปรารถนาจะให้ลูกน้อยได้รับคุณค่าอันมหัศจรรย์จากน้ำนมแม่อย่างเต็มที่ไปจนโต หรือให้นมลูกได้นานที่สุด  โดยคุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่ นอกจากจะให้นมแม่จากเต้าโดยตรงกับลูกน้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่เวิร์กกิ้งมัม จะต้องทำสต๊อกน้ำนมแม่เก็บแช่แข็งหรือแช่เย็นไว้ เพื่อให้ลูกรักยังได้กินนมแม่ตลอดเวลา แม้จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แต่มีคุณแม่มือใหม่หลายท่านที่ยังไม่มั่นใจหรือกังวล กับการละลายนมแม่ที่แช่แข็งมาใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าวิธีการไหนจะสะดวก สะอาด ปลอดภัย แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และทำแบบไหนจะไม่เสียคุณค่าน้ำนมแม่  ดังนั้นอยากรู้ว่าแต่ละ วิธีละลายน้ำนมแม่ แตกต่างกันอย่างไรไปดูกันค่ะ ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนช่องแช่ เพื่อละลายนมแม่ก่อน หากคุณแม่เก็บน้ำนมแม่ไว้ในช่องแช่แข็ง จำเป็นต้องนำนมแม่เปลี่ยนมาแช่ที่ช่องแช่เย็นธรรมดาด้านล่างก่อนประมาณ 1 วันหรือ 1 คืน เพื่อให้นมแม่ค่อยๆ ละลาย  ควรนำนมเก่าที่แช่แข็งไว้ตามวันเวลาที่เก็บสต๊อกไว้นานที่สุดก่อน  เพื่อไม่ให้นมเก่า เก็บไว้นานเกินไป  แล้วจึงทยอยนำนมใหม่มาใช้ไล่ตามเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อนมแม่ละลายแล้ว  คุณแม่ควรแบ่งนมแม่จากถุงเก็บน้ำนมใส่ขวดนม แบ่งปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อนั้นๆ แล้วจึงนำมาอุ่นหรือละลายก่อนให้ลูกกิน   ซึ่งนมที่เหลือในถุงเก็บน้ำนมสามารถแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาให้ลูกกินให้หมดภายใน 2-3 วัน เท่านั้น  แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักจะนำมาอุ่นหรือละลายให้ลูกกินในมื้อถัดไปภายในวันเดียว หรือ 24 ชั่วโมง วิธีละลายน้ำนมแม่ […]

หากคุณแม่กำลังเลี้ยงลูกอยู่บ้านตลอดเวลา และให้นมแม่แก่ลูกน้อยแบบ 100% อยู่  คงจะยังไม่ต้องหาข้อมูลหรือกังวลกับการเลือกซื้อขวดนมหรือจุกนมให้ลูกมากนักเพราะยังไม่ได้ใช้ แต่เมื่อไรที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงาน ไปทำธุระข้างนอก หรือต้องให้นมแม่กับลูกด้วยขวดนมแล้ว สิ่งที่ต้องนึกถึงคือการเลือกขวดนมและจุกนมที่จะช่วยให้ลูกกินนมแม่ได้เต็มอิ่ม สบายท้อง ไม่ดูดลมเข้าไปและไม่เสี่ยงต่อการแน่นท้อง หรือร้องโคลิก และที่สำคัญจุกนมที่เลือกให้ลูกนั้นควรจะมีคุณสมบัติที่คล้ายการดูดจากเต้านมแม่ เพื่อให้ลูกน้อยไม่สับสนระหว่างเต้านมกับขวดนม ยอมกินนมแม่จากขวด และยอมกลับมากินนมแม่จากเต้าคุณแม่ได้เสมอ  เราจึงมาแนะนำให้คุณแม่รู้จักกับจุกนมคอแคบ และจุดนมคอกว้าง เพื่อให้คุณแม่หลายๆ ท่านที่ยังไม่รู้จัก ได้เห็นถึงความแตกต่าง และตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม ถูกใจ ลูกน้อยอิ่มนมได้เต็มที่โดยไม่มีปัญหาสุขภาพมาฝากกัน ชวนแม่เรียนรู้เรื่องจุกนมลูก เพราะลูกน้อยวัยทารกจะเคยชินกับการกินนมจากอกคุณแม่  เมื่อต้องมากินนมจากขวดจึงอาจสับสนและมีปัญหา คุณแม่จึงควรพิถีพิถันพิจารณาเลือกใช้จุกนมที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยดูดนมได้อย่างสะดวก ปลอดภัย โดยควรศึกษาเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้  ขนาดของจุกนมที่แตกต่างว่าเหมาะกับลูกวัยไหน  วิธีทำความสะอาดและการเก็บรักษาจุกนมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานเสมอ เรื่องน่ารู้ของ ปลายจุกนม เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะในการใช้งาน นั่นคือ– ปลายจุกนมเป็นรูวงกลม มักเป็นรูจุกนมที่ช่วยให้น้ำนมไหลได้ง่าย คือแม้ลูกจะไม่ดูด น้ำนมก็ไหลผ่านออกได้จึงเป็นจุกนมที่ช่วยให้ลูกดูดนมง่าย ไม่ต้องใช้แรงเยอะ– ปลายจุกนมเป็นรูตัว Y (Three-Cut) เป็นจุกนมที่หากไม่ดูดนมจะไม่ไหล ต้องใช้แรงดูดของลูกให้น้ำนมไหลผ่านออกมา (ยกเว้นเป็นจุกนมสำหรับเด็กที่มีภาวะพิเศษดูดนมเองไม่ได้ จะมีการทำให้น้ำนมไหลออกได้ง่ายขึ้น)– ปลายจุกนมเป็นรูกากบาท (Cross-Cut) มักเป็นจุกนมที่ต้องใช้แรงดูดเหมือนรูตัว Y คือหากลูกไม่ดูดนมจะไม่ไหล  น้ำนมจะออกมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงดูดของลูกเอง ช่วยป้องกันอาการสำลักให้ลูกน้อยได้นอกจากนี้รูของปลายจุกนม […]

เมื่อต้องพาเจ้าตัวน้อยเดินทางไกลขึ้นเครื่องบินครั้งแรก คุณแม่หลายท่านมักมีคำถามมากมาย เพื่อให้ทุกท่านเตรียมตัวเดินทางได้อย่างสนุกสนานพร้อมรถเข็นคันโปรดคู่ใจ Baby Gift ได้รวบรวมทุกคำตอบไว้ในที่เดียวจบ 1.รถเข็นแบบไหนสามารถนำขึ้นเครื่องบินได้บ้าง จำเป็นต้องพับเล็กๆ หรือมีข้อกำหนดเกี่ยวกับขนาดและน้ำหนักของรถเข็นหรือไม่? ตอบ เมื่อมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กเดินทางไปพร้อมกัน รถเข็นเด็กทุกขนาด ไม่ว่าจะพับใหญ่พับเล็ก ทั้งหนักและเบา สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดและน้ำหนัก แต่รถเข็นต้องสามารถพับได้ (ซึ่งรถเข็นทุกรุ่นทุกแบรนด์ที่จำหน่ายในปัจจุบันพับได้ทุกคัน) 2. ขั้นตอนการนำรถเข็นขึ้นเครื่องบินแบบ Gate Check ? ตอบ เมื่อนำกระเป๋าขนาดใหญ่ Check in เพื่อโหลดใต้ท้องเครื่องให้แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินว่ามีรถเข็นเด็กมาด้วย และต้องการเข็นไปโหลดที่หน้าประตูเครื่องบิน (หรือเรียกว่า Gate Check) เจ้าหน้าที่จะนำ Tag (หรือป้ายติดกระเป๋า) ติดให้ที่รถเข็นเพื่อป้องกันการสูญหาย เราสามารถเข็นลูกน้อยผ่านพิธีการต่างๆ ไปจนถึงหน้าประตูเครื่องบินตรงจุดที่มีแอร์โฮสเตสยืนต้อนรับ ให้พับรถเข็นให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รอรับฝากรถเข็นเพื่อนำลงไปเก็บใต้เครื่อง (ในบางกรณีเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมถุงพลาสติกขนาดใหญ่คลุมให้อย่างดีเพื่อความสะอาดและปลอดภัย) ซึ่งเมื่อถึงที่หมายปลายทางเจ้าหน้าที่จะนำรถเข็นมาส่งคืนให้ที่หน้าประตูเครื่องบินเหมือนเดิม ในกรณีต่อเครื่อง (Transfer) ก็สามารถรับรถเข็นคืนได้ที่หน้าประตูเครื่องเช่นเดียวกัน 3. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับนำรถเข็นเดินทางขึ้นเครื่องบินหรือไม่ ตอบ ทุกสายการบินอนุญาติให้นำรถเข็นขึ้นเครื่องได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 4. ในกรณีที่รถเข็นมีขนาดเล็กและสามารถพับเก็บบนที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ (Cabin) ได้ จะสามารถนำรถเข็นติดตัวขึ้นไปเก็บบน cabin ในเครื่องบินได้หรือไม่ ? ตอบ รถเข็นบางรุ่นสามารถพับและนำขึ้นเก็บบน Cabinได้ มีความเป็นไปได้ที่ทางสายการบินจะอนุญาติหรืออาจจะปฎิเสธไม่อนุญาติให้นำขึ้นไปเก็บบน Cabin […]

…แต่ก็ไม่ง่ายเลย ให้คาร์ซีทเป็นเก้าอี้วิเศษของเด็กๆ ประสบการณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่อยากแชร์ให้ทุกๆบ้านฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ วิธีนี้พิสูจน์แล้วได้ผลแน่นอนค่ะ แต่ช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็งหน่อยนะคะ อ่านจบแล้วนำไปฝึกกับลูกๆเราได้เลยค่ะ ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆ เรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ”  คาร์ซีทของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย 1. สร้างความผูกพันกับคาร์ซีท อนุญาตให้ลูกเอาสติ๊กเกอร์มาตกแต่งคาร์ซีทของตัวเองได้ เอาให้ถูกใจเลยเพราะต้องนั่งไปอีกนาน 2. มอบรางวัล บอกลูกว่า เราจะออกเดินทางได้ก็ต่อเมื่อล็อกสายรัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วลูกจะรีบทำตัวน่ารักเพราะอยากไปเที่ยว แต่ถ้ากำลังพาไปหาหมอ อาจให้ขนมเป็นรางวัลได้ 3. เบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าโยเยนัก ชวนคุยเรื่องการ์ตูนที่ลูกกำลังอินดีกว่า แค่นี้ก็เผลอจดจ่อกับการโม้เรื่องเจ้าหญิงกับฮีโร่ จนไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองถูกจับนั่งคาร์ซีทเรียบร้อยแล้ว (มุกนี้ไม่เหนื่อย แถมสนุกดีด้วย) 4. เตรียมของเล่นแก้เบื่อ ควรมีของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในรถ แนะนำว่าควรเป็นของเบาๆ และไม่แข็ง เช่น หนังสือผ้า เพราะคุณอาจโดนลูกเอาของในมือปาใส่ขณะขับรถ […]

คาร์ซีท Ailebebe รุ่น Swingmoon Seriesคาร์ซีทสำหรับเด็กเริ่มเข้าวัยเรียนรู้ ช่วงวัย 1 – 7 ปี หรือน้ำหนัก 9 – 25 kg. ที่ให้ความสบายและปลอดภัยสูงสุด(คาร์ซีท Ailebebe รุ่น Swing Moon Premium S Natural ,รุ่น Swing Moon STD) คาร์ซีทสำหรับเด็กวัย 1 – 7 ปี ปรับใช้งานได้ 2 รูปแบบตามช่วงวัย– Child Style ช่วงวัย 1-4 ปี ใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ล็อคตัวคาร์ซีท และเข็มขัดนิรภัยคาร์ซีทล็อคตัวลูกน้อยเพื่อความปลอดภัย– Junior Style ช่วงวัย 3-7 ปี ใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ล็อคตัวลูกน้อยเพื่อความปลอดภัยได้เลย เพราะด้วยน้ำหนักเด็กที่มากพอที่จะช่วยกดทับคาร์ซีทให้อยู่อย่างมั่นคงได้ เทคนิคการเลือกคาร์ซีท :ควรเลือกที่เหมาะกับน้ำหนักตัว และอายุของลูกน้อย อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประกอบการตัดสินใจก็ได้ เพราะเด็กบางคนอายุมากแต่น้ำหนักตัวน้อย ในขณะที่บางคนอายุน้อยแต่สูงและน้ำหนักตัวมากค่ะ ปรับเอนนอนได้ […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages