ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไง ? แจก 9 เทคนิคช่วยคุณแม่สบายใจ ไม่ต้องปวดหัว !

เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ
ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น

การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก เลือกกิน ไม่ชอบกินข้าว หรือติดเล่นจนไม่ยอมกินข้าว ก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวลต่อสุขภาพของลูกได้ แล้วจะทำให้ลูกกินข้าวมากขึ้นได้อย่างไร BabyGift มี 9 เทคนิคดีๆ มาฝากแล้วค่ะ
1. ฝึกให้ลูกกินข้าวเป็นเวลา และ กำหนดช่วงเวลาในการกินข้าวอย่างชัดเจน
ในกรณีที่ลูกไม่ยอมกินข้าวนั้น อาจเป็นเพราะว่าลูกห่วงเล่น ติดเล่น หรือเล่นสนุกเพลินจนไม่อยากกินข้าว ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดเวลากินข้าวให้ชัดเจนว่า พระอาทิตย์ตกดินแล้วต้องเลิกเล่นและเตรียมตัวกินข้าว หรือเวลาที่สมาชิกในครอบครัวกินข้าวกัน ลูกก็ต้องมานั่งกินด้วย และถ้าลูกบอกว่าไม่หิวหรือห่วงเล่น ก็ไม่ควรดุด่าหรือตำหนิลูก แต่ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ต้องมากินข้าวก่อน จากนั้นถึงจะสามารถเล่นต่อได้ และควรมีกฎระเบียบชัดเจนว่าควรเล่นได้จนถึงเวลาไหน นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อลูกควรใช้เวลากินข้าวประมาณ 30 – 45 นาที เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ให้เก็บจานข้าว แม้ว่าลูกจะยังกินไม่หมดหรือกินได้น้อยก็ตาม เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้ว่า ถ้าไม่กินภายในช่วงเวลานี้ ก็จะไม่ได้กินจนกว่าจะถึงมื้อต่อไป โดยช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องใจแข็งเมื่อลูกงอแงอยู่บ้าง แต่ผ่านไปสักพักลูกจะเริ่มเรียนรู้และปรับตัวได้มากขึ้น และกินข้าวเป็นเวลามากขึ้นค่ะ

2. ฝึกให้ลูกนั่งเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็ก
การให้ลูกนั่งบนเก้าอี้กินข้าวเด็กโดยเฉพาะจะทำให้ลูกมุ่งความสนใจไปที่อาหารตรงหน้าและไม่วอกแวก ทำให้โฟกัสกับการกินข้าวได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับการป้อนข้าวลูกในขณะที่ลูกเล่นอยู่หรือเดินไปกินข้าวไป จะทำให้กินได้น้อยและไม่ใส่ใจกับการกินเท่าที่ควร หรือถึงขั้นไม่ยอมกินข้าวได้ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่อยากใช้วิธี BLW ฝึกลูกกินข้าวเอง เพราะการฝึกให้ลูกนั่งกินข้าวกับที่นั้นเป็นเทคนิคที่ทำให้ลูกน้อยมุ่งความสนใจไปยังการกินอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มความน่าสนใจไปที่ถ้วยชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้ากันเปื้อน ให้มีลวดลายน่ารักและมีสีสันสดใส หรือเป็นลายตัวการ์ตูนที่ลูกชอบ ก็จะทำให้ลูกสนุกกับการกินได้มากขึ้นด้วย
3. ไม่ควรทำอย่างอื่นในเวลากินข้าว
เมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเข้าใจว่า การเปิดแท็บเล็ตหรือเปิดการ์ตูนให้ลูกดู จะทำให้กินข้าวได้มากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การทำแบบนี้อาจเป็นการเสริมสร้างนิสัยการกินที่ไม่ดีให้กับลูกน้อย วิธีง่ายๆ ในการฝึกวินัยการกินข้าวให้ลูกน้อย ก็คือ ไม่ควรให้ลูกทำกิจกรรมอย่างอื่นในระหว่างที่กำลังกินข้าวอยู่ ในขณะที่กินอาหารไม่ควรดูทีวี แท็บเล็ต หรือเล่นของเล่นไปด้วย เพราะจะทำให้ลูกกินข้าวช้า ใช้เวลากินข้าวนานเกินไป หรืออาจจะอมข้าว และไม่ยอมกินข้าวได้ นอกจากนี้ ควรนำของเล่นออกจากบริเวณโต๊ะอาหารด้วย เพราะหากลูกเห็นของเล่น ก็จะทำให้ลูกไม่สนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าได้

4. ให้ลูกกินนอาหารพร้อมกับคนอื่นๆ
การกินอาหารร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างวินัยการทานอาหารให้ลูกได้ พ่อ แม่ ลูก อาจร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน ไม่ควรปล่อยให้ลูกนั่งกินคนเดียวหรือแยกโต๊ะลูกออกไป เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่าเวลากินข้าวนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตัวเองต้องอยู่คนเดียวหรือรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และแปลกแยก การกินอาหารร่วมกันจะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในบ้าน เป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวด้วยกัน นอกจากนี้ อาจให้ลูกกินข้าวร่วมกับเพื่อนๆ หรือเด็กๆ คนอื่นๆ เช่น กินข้าวด้วยกันกับพี่น้อง ก็จะทำให้ลูกเจริญอาหารมากขึ้นค่ะ

5. ตกแต่งเมนูอาหารให้น่ากินมากขึ้น
หากอาหารหน้าตาน่ากินหรือมีความน่ารัก ลูกก็จะให้ความสนใจกับอาหารมากขึ้นและอยากลองชิมดู บางทีที่ลูกไม่ยอมกินข้าวอาจเป็นเพราะรู้สึกเบื่อเมนูอาหารเดิมๆ และเพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกเบื่อกับเมนูเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อาจจะตกแต่งอาหารของลูกน้อยให้เป็นตัวการ์ตูนที่ลูกรู้จัก หรือปั้นข้าวให้เป็นลูกบอลหรือรูปหน้าหมี ทอดไข่ดาวจากพิมพ์ ตัดผักให้คล้ายต้นไม้แบบธรรมชาติ ก็จะช่วยให้ลูกหยิบกินได้ง่ายและรู้สึกสนุกไปด้วย
นอกจากนี้ ควรเพิ่มสีสันลงไปในอาหารให้มากขึ้น เช่น สีเขียวจากบรอกโคลี สีส้มจากแครอท สีเหลืองจากฟักทอง สีขาวจากข้าว สีน้ำตาลจากเนื้อสัตว์ สีแดงจากผลไม้อย่างแตงโม สตรอว์เบอร์รี่ ก็จะทำให้มีสีสันน่ารับประทาน และทำให้ลูกได้รับสารอาหารที่หลากหลายครบถ้วนตามหลักโภชนาการเด็กอีกด้วย อย่าลืมสังเกตชนิด และลักษณะอาหารที่ลูกชอบด้วย ครั้งหน้าจะได้เตรียมเพิ่มให้ได้ และที่สำคัญอย่าลืมเรื่องรสชาติ ต้องอร่อยถูกใจ ลูกจะได้เจริญอาหารแบบสุดๆ ไปเลยค่ะ
6. บรรยากาศในการกินข้าวต้องมีความผ่อนคลาย
ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ สามารถแก้ได้ด้วยบรรยากาศ คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะตำหนิลูกหรือดุด่าทำโทษลูก ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง การฝึกให้ลูกมีวินัยในการกินข้าวนั้นจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นๆ และมีความอดทนมากๆ และต้องเชื่อมั่นว่าลูกจะกินอาหารได้มากขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้น ต้องไม่ดุ ไม่ตี ไม่บังคับให้ลูกต้องกิน หากลูกยังไม่ให้ความร่วมมือในการกินข้าว ก็ควรใช้วิธีดึงความสนใจ เช่น “มาดูสิ ข้าวหนูหน้าตาเหมือนตัวการ์ตูนที่ชอบเลย” “มาเลือกช้อนกินข้าวกัน วันนี้เอาสีอะไรดีคะ” หรือบอกเหตุผลที่ต้องกินข้าว เช่น “หนูต้องกินข้าวเพราะจะได้มีแรงไปเล่นกับเพื่อน” “ถ้ากินข้าวเยอะก็จะได้โตเร็วๆ ตัวโตเท่าเพื่อนเลย” หรือ “ต้องกินข้าวก่อนนะคะคุณแม่ถึงจะให้เล่นต่อ” อะไรแบบนี้เป็นต้น เพราะยิ่งบังคับ ยิ่งดุหรือทำโทษ แม้สุดท้ายลูกจะยอมกินข้าว แต่ก็กินด้วยความฝืนใจ ทำให้ฝังใจและมีความรู้สึกไม่ดีกับการกินข้าวได้ค่ะ

7. ตักอาหารให้ลูกในปริมาณที่พอเหมาะ
คุณพ่อคุณแม่บางคนอยากให้ลูกกินเยอะๆ จึงตักอาหารให้ลูกในปริมาณมาก ซึ่งถ้าหากอาหารมีปริมาณมากเกินไป ลูกจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่ต้องกินให้หมดชาม ทำให้ไม่อยากกินหรือท้อใจกับการกินได้ ดังนั้นเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จึงควรตักอาหารให้ลูกในปริมาณที่พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป กะปริมาณให้ลูกกินอิ่มใน 1 มื้อ และได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ และถ้าลูกยังไม่อิ่ม หรืออยากกินเพิ่ม ก็ค่อยตักเพิ่มให้ลูกค่ะ
8. ลดขนมหวาน
ให้ลองสังเกตดูว่า ถ้าลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ เป็นเพราะว่ากินขนมในปริมาณมากหรือเปล่า เพราะขนมหวาน เค้ก คุ้กกี้ ไอศกรีม ลูกอม ช็อกโกแลต ขนมกรุบกรอบที่มีรสหวานต่างๆ นั้น เมื่อกินเสร็จจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะไปกดศูนย์ควบคุมความหิวในสมอง ทำให้ลูกไม่รู้สึกหิว ไม่อยากอาหาร สามารถแก้ไขได้โดยการงดขนมหวานระหว่างมื้ออาหาร อาจเปลี่ยนเป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัดแทน การงดขนมหวานระหว่างมื้อจะทำให้เด็กท้องว่าง รู้สึกหิวมากขึ้น และทำให้กินข้าวได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ การลดน้ำตาลในเด็กยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กอีกด้วยค่ะ
9. ให้ลูกได้เล่นซน และใช้พลังงานอย่างเต็มที่
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ค่อยหิว และไม่ยอมกินข้าวนั้น อาจเป็นเพราะว่าลูกไม่ได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ หรือไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย และถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนให้ลูกกินขนมหรืออาหารว่างระหว่างวันเรื่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้เด็กไม่รู้สึกอยากอาหารได้ ดังนั้นแล้ว ลองพาลูกออกไปเล่นซนนอกบ้านบ่อยๆ ไปทำกิจกรรมนอกบ้านให้มากขึ้น หรือพาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ซึ่งจะทำให้ลูกได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ได้ออกกำลังกาย ได้ออกแรง และรู้สึกหิวโดยอัติโนมัติ ทำให้กินข้าวได้มากขึ้นนั่นเองค่ะ วิธีนี้นอกจากจะทำให้ลูกมีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ลูกได้ออกแรงและมีร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วยนะคะ
BabyGift แนะนำตัวช่วยสำหรับมื้ออาหาร ให้ลูกน้อยกินข้าวได้เยอะขึ้น

1. PRINCE & PRINCESS เก้าอี้ฝึกกินข้าว Fairy Plus
เก้าอี้ฝึกกินข้าวสำหรับเด็กรุ่น Fairy Plus จากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS เป็นตัวช่วยสำคัญในการฝึกให้ลูกนั่งกินข้าวได้เอง และมีวินัยในการกินมากขึ้น รองรับน้ำหนักได้มาก มีความแข็งแรงปลอดภัยด้วยรางล็อคเหล็กแบบตะขอเกี่ยว ไม่เสี่ยงต่อการหลุดร่วงลงมา ให้ลูกน้อยนั่งกินข้าวเองได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ในยุคปัจจุบัน
จุดเด่น
- สามารถปรับความสูงได้ 7 ระดับ ตั้งแต่ 25 เซนติเมตร – 60 เซนติเมตร
- พนักพิงเก้าอี้สามารถปรับเอนนอนได้ 3 ระดับ เหมาะกับการใช้นั่งพักหลังมื้ออาหาร ป้องกันไม่ให้ลูกน้อยเป็นกรดไหลย้อน หรือแหวะนม เมื่อเทียบกับการพาลูกนอนราบบนที่นอน
- มีล้อหน้า-หลัง และตัวล็อคล้อเพื่อความปลอดภัย เคลื่อนย้ายได้สะดวก และหากไม่ใช้งานสามารถพับเก็บได้ง่ายภายใน 1 วินาที
- ถาดอาหารมีขนาดใหญ่ มี 2 ชั้น มีคุณสมบัติ BPA Free (ปราศจากสาร Bisphenol A ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) และเป็นวัสดุ Food Grade ปลอดภัยไม่มีสารตกค้าง สามารถถอดแยกไปทำความสะอาดได้
- พนักพิงเก้าอี้กว้าง รองรับช่วงสรีระของลูกน้อยได้จนโต มีสายรัดนิรภัยเพื่อป้องกันลูกร่วงตกจากเก้าอี้
- เบาะรองนั่งเป็นนวัตกรรม Cotton Cushion เสริมความหนานุ่มนั่งสบาย สามารถถอดซักได้ และเบาะ PU ที่เป็นวัสดุกันน้ำไม่ซึม เช็ดทำความสะอาดได้

2. GRACE KIDS ช้อนป้อนอาหารซิลิโคน 3 ฟังก์ชั่น พร้อมกล่องเก็บ
ช้อนป้อนอาหารซิลิโคนปลายนิ่ม เหมาะสำหรับวัยที่เริ่มหัดกินข้าวเอง มี 3 ฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยกัน ได้แก่ ช้อนตัก ส้อม และปลายช้อนสำหรับบดอาหาร มาในรูปยีราฟน่ารักน่าใช้งาน พร้อมกล้องเก็บช้อนที่สะดวกต่อการพกพา ป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกได้ดี
จุดเด่น
- ปราศจากสาร BPA ที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย
- ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เป็นคราบ
- สามารถนึ่งฆ่าเชื้อโรคได้
- ออกแบบมาให้มีขนาดพอดีกับปากเด็กเล็ก
- ด้ามจับถนัดมือ ผลิตจากวัสดุมีคุณภาพ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่กำลังกังวลใจเรื่องลูกไม่ยอมกินข้าว หวังว่า 9 เทคนิคที่ BabyGift เอามาฝากในบทความนี้จะทำให้ลูกเริ่มกินข้าวได้มากขึ้นและมีวินัยในการกินมากขึ้นนะคะ ทั้งนี้ ควรคำนึงด้วยว่า ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้น เป็นเพราะลูกของเรามีปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อการกินหรือเปล่า โดยเด็กอาจดูด เคี้ยว กัด หรือกลืนอาหารไม่ถนัด มีอาการสำลักหรือรู้สึกพะอืดพะอมในเวลากินข้าว หรือปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสียเป็นประจำหลังกินข้าวเสร็จ ก็อาจจะทำให้รู้สึกไม่อยากกิน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตด้วยว่าลูกมีปัญหาทางด้านสุขภาพหรือไม่ และควรพาไปพบคุณหมอเพื่อรักษาตามอาการค่ะ
และถ้าคุณพ่อคุณแม่สนใจสินค้าอื่นๆ สำหรับแม่และเด็ก สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กินข้าวสำหรับลูกน้อยหรือสินค้าอื่นๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คุณแม่มือใหม่กับการเอาลูกน้อยเข้าเต้า ให้นมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ เพราะการที่แขนของคุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักลูกและต้องก้มตัวให้นมลูกน้อยบ่อย ๆ อาจจะทำให้คุณแม่ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดแขน หรือ เมื่อยล้าได้สะสมจนส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้ เพราะเห็นถึงปัญหาของคุณแม่หลังคลอด หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จึงถูกออกแบบมาเพื่อคุณแม่ให้นมโดยเฉพาะเลยค่ะ หมอนออกแบบตามสรีระศาสตร์ทารก ช่วยประคองคอและหลังของลูกน้อย พร้อมช่วยลดอาการปวดเมื่อยของคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้มทารกได้ด้วยค่ะ หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จำเป็นต้องมีไหม? คุณแม่ที่เชี่ยวชาญในการอุ้มทารกเป็นอย่างดี อุ้มลูกน้อยได้สบายหายห่วง เบาะอุ้มให้นมอาจจะดูไม่จำเป็นเท่าไหร่ค่ะ แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เวลาให้นมลูกยังต้องเกร็งแขน จนต้องใช้วิธีเอาหมอนหนุนมาวางซ้อนกันหลาย ๆ ใบ เพื่อรองรับลูกน้อย ยกลูกให้ถึงเต้านม หมอนรองให้นมก็ถือว่าจำเป็นต้องมีค่ะ เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยอยู่ในระดับที่ให้นมได้สะดวกมากขึ้น ลดอาการปวดเมื่อยของคุณแม่ และที่สำคัญหมอนทั่วไปไม่เหมาะกับการให้ทารกนอนระหว่างให้นม เพราะหมอนไม่ได้โค้งกระชับรองรับสรีระทารกค่ะ วิธีเลือกซื้อหมอนรองให้นม 1. เลือกจากรูปทรงหมอนรองให้นมมีหลายรูปแบบ เช่น รูปตัวยู, เบาะตามสรีระทารก เป็นต้น คุณแม่ควรจะเลือกแบบที่ตัวเองถนัด ที่สำคัญคุณสมบัติหลักควรจะกระชับรองรับสรีระทารกได้เป็นอย่างดี 2. กระชับแนบตัวลูก หรือ ตัวคุณแม่หมอนรองให้นมควรจะแนบกระชับตัวลูกน้อย รองรับตามสรีระเด็กทารก เพื่อให้คุณแม่อุ้มได้ถูกท่า หากเป็นแบบหมอนรูปตัวยู ควรจะปรับสายได้เพื่อให้แนบกระชับกับเอวคุณแม่ ไม่ให้หมอนเลื่อนหลุดง่าย […]
แม่ท้องร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เนื่องฮอร์โมนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มสูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ โดยการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนดังกล่าวจะส่งผลให้เส้นเอ็นและข้อต่อเกิดการคลายตัวมากขึ้น รวมทั้งทำให้โครงสร้างภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับทารกในครรภ์ หนึ่งในนั้นการเปลี่ยนแปลของร่างกายก็คือสภาพผิวที่แห้งง่าย สีผิวเปลี่ยน คุณแม่บางคนเกิดกระได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงขนาดท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังบริเวณท้อง หน้าอก ต้นขา เกิดการยืดตึงจนเกิดรอยแตก การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ รวม ITEM ดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ BabyGift คัดสรรคุณภาพ 1. ผลิตภัณฑ์ป้องกันการแตกลาย ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของคุณแม่ว่าเป็นเนื้อครีมหรือเนื้อเซรั่ม ควรใช้ก่อนที่จะเกิดปัญหาเรื่องผิวแตกลายจะเป็นการดูและผิวได้ดีที่สุด 2. เข็มขัดพยุงครรภ์ รองรับน้ำหนักของครรภ์ที่ขยายใหญ่และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังช่วยในการบรรเทาอาการปวดหลังของแม่ท้องได้อีกด้วย การเริ่มใช้ขึ้นอยู่กับคุณแม่แต่ละคนเลยว่ารู้สึกหนักหรือหน่วงท้องเมื่อไหร่ 3. คาร์ซีทสำหรับแม่ท้อง อุปกรณ์เสริมบนรถยนต์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แม่ท้องและลูกในครรภ์ คาร์ซีทแม่ท้อง แบรนด์ Tummy Shleid นวัตกรรมจากประเทศออสเตรเลีย เปลี่ยนจากการที่เข็มขัดนิรภัยรถรัดหน้าท้อง มารัดที่ต้นขาแทน 4. ผลิตภัณฑ์น้ำฆ่าเชื้อธรรมชาติ แม่ท้องอยู่ในช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อาจทำให้ป่วยง่าย ไม่สบายบ่อย ติดเชื้อได้ง่าย การใช้แอลกอฮอล์เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน การใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อจากธรรมชาติเพิ่มความปลอดภัยได้ 5. เครื่องอบ UV นวัตกรรมการฆ่าเชื้อขั้นสูงด้วยแสงยูวีหรือรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีมาตรฐานใกล้เคียงกับการฆ่าเชื้อในวงการแพทย์ สามารถใช้ได้ทั้ง โทรศัพท์มือถือ ของใช้ต่างๆ
เมื่อต้องเดินทางหรือท่องเที่ยวพร้อมกับลูกวัยเบบี๋ อาจทำให้คุณแม่หลายๆ บ้านกังวลใจในการ พาลูกขึ้นเครื่อง ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพอนามัยความปลอดภัย ลูกน้อยจะเดินทางไหวไหม? ต้องเตรียมของใช้อะไรไปบ้าง? ลูกเดินทางได้อายุเท่าไร? มีอะไรที่เอาขึ้นเครื่องบินไปได้หรือไม่ได้บ้าง? จะนั่งตรงไหนให้ปลอดภัยเลี้ยงลูกได้สะดวก? ลูกหิวหรือร้องงอแงจะทำอย่างไรได้บ้างนะ? ทุกเรื่องที่คุณแม่กังวลใจจัดการได้ไม่ยาก แค่เพียงทำตามข้อมูลและคำแนะนำเหล่านี้ค่ะ 4 เรื่องต้องรู้ก่อน พาลูกขึ้นเครื่องบิน เมื่อคุณแม่รู้ว่าจะต้องเพินทางพร้อมลูกวัยเบบี๋ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการหาข้อมูล สอบถามกฎและรายละเอียดจากสายการบิน และวางแผนการเดินทางและอุปกรณ์ของใช้ให้ครบถ้วน อาทิ » หาข้อมูลก่อนเดินทาง ตรวจสอบกับสายการบิน ว่าอายุเด็กทารกที่เดินทางได้คือเท่าไร เพราะแต่ละสายการบินอาจมีข้อกำหนดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตามความจริงและพัฒนาการของเบบี๋แล้ว ควรให้ลูกอายุประมาณ 3-4 เดือนขึ้นไปจึงเดินทางได้เพื่อสุขภาพ สุขอนามัยและความปลอดภัย แต่หากมีความจำเป็นก็สามารถพาลูกเล็กขึ้นเครื่องบินได้ โดยบางสายการบินเด็กทารกที่เดินทางได้ต้องอายุไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือบางสายการบินอาจให้ทารกอายุตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป หรืออาจอนุญาตให้อายุน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ สอบถามหาข้อมูลเรื่องการจองตั๋ว การเลือกที่นั่ง และค่าโดยสารสำหรับเด็กเล็ก แจ้งสายการบินล่วงหน้า สอบถามเรื่องเอกสารที่ต้องใช้สำหรับเด็ก ศึกษาข้อบังคับและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บนเครื่องบิน สอบถามหรือหาข้อมูลข้อกำหนดต่างๆ ในการขึ้นเครื่องบิน ว่าสามารถนำอุปกรณ์ของใช้อะไรบ้าง ที่ขึ้นเครื่องบินเพื่อดูแลลูกทารกระหว่างการเดินทางได้ เช่น » เตรียมพร้อมอุปกรณ์ของใช้ในการเดินทางให้ลูกทารก รถเข็นเด็ก […]
ความเชื่อแรกที่ต้องมี..คาร์ซีทคือสิ่งสำคัญ เคยคิดไหมว่าถ้าวันหนึ่งคุณขับรถประสบอุบัติเหตุจนทำให้ลูกน้อยๆ ของคุณได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต คุณจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง?? ผมถือว่าผมเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้รับการปลูกฝังให้เห็นความสำคัญของคาร์ซีทสำหรับเด็กๆ ทั้งจากคุณหมอประจำตัวลูกๆ พี่สาว ภรรยา ตลอดจนเพื่อนๆของผมและภรรยาที่เคยมีลูกมาก่อน ที่พร่ำสอนว่า ต้องให้เด็กนั่งคาร์ซีททุกครั้งที่ขึ้นรถนะ… ทุกครั้งที่ผมเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ผมกับภรรยาจะให้ลูกๆนั่งคาร์ซีทตลอดเวลา ถึงแม้ช่วงแรกๆ (รวมถึงช่วงหลังๆด้วยบางเวลา) เค้าจะร้องไห้ฟูมฟายก็ตาม เราก็ต้องใจแข็งปล่อยให้ร้องไห้ไป เพราะถือคติว่า “safety first” พอนานๆเข้า เด็กๆก็จะเริ่มรู้เงื่อนไขเองว่า ถ้าไม่นั่งบนคาร์ซีทจะไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย แม้แต่วันแรกที่พาลูกออกจากโรงพยาบาลหลังคลอด ผมและภรรยาก็ให้ลูกน้อยนั่งคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด …เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนมักจะใจอ่อน และมักจะคิดว่านิดหน่อยคงไม่เป็นอะไร แต่อย่าลืมว่าอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกวินาทีจริงๆ แข็งใจปล่อยให้ลูกร้องไห้ ดีกว่าไม่มีโอกาสให้เขาได้ร้องไห้นะครับ… กระนั้นก็ดี ด้วยความที่คาร์ซีทยี่ห้อดีๆมักจะมีราคาสูง(มาก) เดิมทีผมมีลูกชายคนเดียวก็มีสำหรับเด็กแรกเกิดถึงสองขวบ ต่อมาพอน้องปัณณ์โตขึ้นก็กัดฟันควักกระเป๋าซื้อสำหรับเด็ก 1-5 ขวบ มาอีกตัว จากนั้นพอผมมีน้องปุณณ์ ลูกสาวอีกคนที่อายุย่างเข้า 9 เดือน ภรรยาก็อยากได้ คาร์ซีทที่แข็งแรงๆ อีกอันไว้ให้น้องปัณณ์นั่ง ส่วนน้องปุณณ์จะขยับมานั่งอันที่สองแทน ผมก็คัดค้านเพราะเห็นว่าสิ้นเปลือง อันแรกยังใช้ได้อยู่เลย… แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยอมควักเงินอีกสองหมื่นกว่าซื้อมาอีกตัวอย่างเสียไม่ได้ หลังจากซื้อมาได้เพียงเดือนเดียว เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและร้ายแรงที่สุดในชีวิตผมก็เกิดขึ้นจนได้ ผมกับครอบครัวเดินทางไป กทม. โดยลูกชายผมนั่งคาร์ซีทตัวใหม่อยู่ด้านข้างคนขับ (ขยับเบาะให้ไกลจาก […]
เพราะแม่แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่าง Aprica จึงสรรสร้างนวัตกรรมที่รองรับทุกความต้องการด้วยรถเข็นเด็กหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์ที่ไม่เหมือนกัน แล้วรถเข็นเด็ก Aprica รุ่นไหน เหมาะกับคุณไปดูกันเลย แม่ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ทุ่มเททุกความสุขเพื่อลูกและคนในครอบครัวเป็นสำคัญ ถ้าคำว่า “ที่สุด” คือนิยามของรถเข็นเด็กที่ดีที่สุดสำหรับลูก คือคำตอบเดียวที่คุณต้องการ รถเข็นเด็ก Aprica โดดเด่นในเรื่องนวัตกรรมใหม่ล่าสุดมอบความสบาย นุ่มนวล ปกป้องลูกน้อยแบบ 360 องศา ใส่ใจในสุขภาพและเสริมสร้างพัฒนาการ เพื่อเทวดานางฟ้าตัวน้อย รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Optia รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Soraria Magic basket คุณแม่ทรงพลัง คล่องแคล่ว ขี้เล่น ถ้าคุณและลูกน้อยต้องการความคล่องตัว พร้อมทุกสถานการณ์ รถเข็นเด็กน้ำหนักเบาแต่ครบทุกฟังชันท์ที่เหนือกว่า พร้อมเติมความคล่องตัวด้วยการใช้รถเข็นสลับกับเป้อุ้มเด็กได้ง่าย เป็นตัวช่วยที่ดี ไม่ว่าสถานการณ์ไหนๆ คุณแม่ก็พร้อม รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna CTS รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna Light คุณแม่เด็กแนว กิ๊บเก๋ทันสมัย ไม่ชอบตามใคร สนใจทางเลือกใหม่ๆ รักอิสระและความแปลกใหม่ รถเข็นเด็ก แบบ 3 ล้อเท่ห์ๆ ไม่เหมือนใครที่ผสมผสานทุกฟังก์ชั่นอย่างลงตัว และที่โดนใจยิ่งกว่าคือ ความแข็งแรง ทนทาน ไม่ว่าจะไปไหนก็พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว ใช้ง่ายพับกางสะดวกและขนาดกระทัดรัด […]
รีวิวลูกค้าที่น่ารักจาก Baby Gift Showroom นะคะ…^^ …วันนี้คุณแม่อารมณ์ดีจร้า อากาศเย็นสบายลูกชายก็อารมณ์ดี ไม่งอแง ให้กินก็กิน ให้นอนก็นอน คุณแม่เลยได้พักผ่อนนอนกลางวันอย่างเต็มอิ่ม หลับยาวๆไป พออารมณ์ดี แล้วอากาศก็ดี แดดอ่อนๆ ตอนเย็นๆ ก็เลยคิดว่าจะพาลูกออกมาเดินเล่นสักหน่อย แม่ลูกจะไปยังไงกันอะหรอ ถ้าอุ้มเดินไปคงไมไหว คุณแม่มีตัวช่วยที่ดีที่จะพาลูกออกไปเที่ยวนอกได้อย่างสบายๆ แอ่น แอน แอ๊น !!!! รถเข็นเด็ก Aprica รุ่นใหม่ล่าสุดจร้า รุ่น Optia เพิ่งไปถอยมาไม่กี่วันนี้เอง บอกเลยชอบมาก ใช้ทุกวันคร้า เข็นเดินเล่นในบ้านบ้าง ออกนอกบ้านบ้าง ไปช้อปปิ้งก็สบาย ก็เพราะคุณสมบัติที่สุดยอดไปเลย คุณสมบัติแบบ Double เลิศเล่อเพอร์เฟคที่สุด ไหนๆก็ต้องออกมาเดินเล่น ก็ขอรีวิวซ่ะหน่อยน๊า!!! ก่อนจะซื้อรถเข็นเด็กก็เลือกแล้วเลือกอีก ดูหลายๆยี่ห้อ มีทั้งราคาแพงเว่อวัง แต่คุณสมบัติก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนไอ้ที่ราคาถูกๆก็เหมือนจะพังง่าย และก็เข็นน่าลำบากเหลือเกิน โยกไปโยกมาทั้งคัน ลูกนั่งคงเวียนหัวแย่!!! แต่กับรถเข็นเด็ก Aprica รุ่นใหม่ล่าสุด รุ่น Optia ลองเข็นพื้นเรียบก็เข็นง่าย แต่พอลองเข็นกับสนมหญ้าแล้ว ว้าวเลยค่ะ […]






