Hypochlorous Acid กรดไฮโปคลอรัส คืออะไร?

Hypochlorous Acid หรือ HOCl คืออะไร?
Hypochlorous Acid หรือ กรดไฮโปคลอรัส มีชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl นั้น เป็นกรดอ่อน ๆ ชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นโดยธรรมชาติโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเพื่อการรักษาและการปกป้องร่างกาย ซึ่งกรดไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รวมไปถึงสปอร์ของเชื้อราได้ โดยการเข้าไปทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรค เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเหล่านั้น
เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส (HOCl) เป็นกรดชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน ในเม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์ จึงปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบาง หรือดวงตา ไม่ทำให้เกิดอาการแสบ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคมากกว่าสารฟอกขาวประเภทคลอรีนถึง 80-120 เท่า
กรดไฮโปคลอรัส สามารถพบได้จาก “ น้ำอิเล็กโทรไลต์ “ ซึ่งเป็นน้ำที่ได้จากกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งมีการคิดค้นครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์และนักเคมี นามว่า ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) เมื่อปีทศวรรษ 1834 โดยเขาได้คิดค้นหลักการสำคัญของกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสตั้งเป็นกฎสองข้อเรียกกันว่า Faraday’s Laws of Electrolysis ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาไฟฟ้าเคมี (Electrochemistry) มาจนถึงทุกวันนี้

กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คืออะไร ?
อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คือกระบวนการผ่านกระแสไฟฟ้า ด้วยเครื่องมือที่ใช้แยกสารละลายด้วยไฟฟ้า มีชื่อเรียกว่า เซลล์อิเล็กโทรไลต์ หรือ อิเล็กโทรลิติกเซลล์ ประกอบด้วย ขั้วไฟฟ้า (อิเล็กโทรด Electrode) ภาชนะบรรจุสารละลายอิเล็กโทรไลต์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสงตรง (D.C.) เช่น เซลล์ไฟฟ้า หรือ แบตเตอรี่

เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกส่งผ่านไปยังสารละลายที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า คือ น้ำประปา (H2O) ซึ่งประกอบไปด้วยคลอรีนอิสระ (Free Chlorine) และการใส่เกลือบริสุทธิ์ ที่มีส่วนประกอบคือ โซเดียมคลอไรท์ (NaCl) ลงไปในน้ำประปา จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมี หรือเรียกว่าการ อ็อกซิเดชั่น (Oxidation) ก็จะได้สารประกอบใหม่ขึ้นมา ได้แก่ Hypochlorous Acid (HOCl), Hypochlorite Ion (OCl-), Sodium Hypochlorite (NaOCl), Hydroxyl Radical (OH), Peroxide (H2O2)
กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) และ ไฮโปคลอไรต์ ไอออน (OCl-) แตกต่างกันอย่างไร?
ไฮโปคลอไรต์ ไอออน (OCl-) มีประจุเป็นลบ ในขณะที่กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) ไม่มีประจุไฟฟ้า กรดไฮโปคลอรัสเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและสามารถออกซิไดซ์แบคทีเรียในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ไฮโปคลอไรต์ไอออนอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงในการออกซิไดซ์แบคทีเรีย เพราะพื้นผิวของเชื้อโรคมีประจุลบ ซึ่งทำให้เกิดแรงผลักกันกับไฮโปคลอไรต์ไอออนที่มีประจุลบออกจากพื้นผิวของเชื้อโรค ทำให้ไฮโปคลอไรต์ไอออนมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคน้อยลง ในขณะที่กรดไฮโปคลอรัสไม่มีประจุไฟฟ้า จึงสามารถซึมผ่านเกราะป้องกันที่อยู่รอบ ๆ เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
Hypochlorous Acid ที่ได้จาก น้ำอิเล็กโทรไลต์ ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง?
เนื่องจากคุณสมบัติของกรดไฮโปคลอรัส ที่สามารถใช้กำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ การใช้กรดไฮโปคลอรัสจึงได้รับการศึกษาวิจัยมามากกว่า 30 ปี และมีการเผยแพร่งานวิจัยใหม่ทุกปี และงานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้มักศึกษาเน้นไปที่การใช้กรดไฮโปคลอรัสในการฆ่าเชื้ออาหารและโรงงานแปรรูปอาหาร นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยในฟาร์มสัตว์ปีก การบำบัดน้ำ และการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ เช่น การดูแลแผล ทันตกรรมและการฆ่าเชื้ออุปกรณ์การแพทย์




บทความและผลวิจัยจำนวนมากในต่างประเทศ
ได้มีการพูดถึงคุณสมบัติของ Hypochlorous Acid ไว้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เว็บไซต์ Cleanroom Technology ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ กรดไฮโปคลอรัส ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลสารฆ่าเชื้อประเภทคลอรีนชนิดหนึ่ง ไว้ว่า “ Hypochlorous Acid มีประสิทธิภาพสูงสุดในการฆ่าเชื้อเมื่อเทียบกับสารอื่น ๆ ในตระกูลคลอรีน และมีประสิทธิภาพมากกว่า โซเดียม ไฮโปคลอไรท์ (NaOCl) 80-120 เท่า เพราะกรดไฮโปคลอรัส ไม่มีประจุไฟฟ้า จึงสามารถเข้าไปทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรคได้รวดเร็วกว่า”
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK


ผลวิจัยจากสถาบัน Pennsylvania Animal Diagnostic ได้มีการนำ น้ำอิเล็กโทรไลต์ ไปทดลองประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อในตระกูลไวรัส Avian Influenza Virus (AIV), Newcastle Disease virus (NDV), Infectious Bronchitis virus (IBV), Fowl Adenovirus (FAV), Avian Reovirus และ Avian Herpesvirus
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK

เว็บไซต์ Green lodging news ได้ยกย่อง กรดไฮโปคลอรัส ว่าเป็น Powerful Sanitizer ซึ่งได้มาจากน้ำอิเล็กโทรไลต์ ที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และสปอร์ ได้ภายใน 15 วินาที และมีอาณุภาพสูงกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณของสารฟอกขาวทั่วไปที่ 200ppm ในขณะที่ กรดไฮโปคลอรัส ใช้เพียงปริมาณ 50 ppm เท่านั้น และยังเป็นสารที่มีความปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการทำความสะอาดในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล ศุนย์ดูแลด้านสุขภาพ โรงงานผลิตอาหาร รวมถึงใช้ในครัวเรือน
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK

บทความหนึ่งใน เว็บไซต์ Nature.com ที่เกี่ยวกับวงการทันตกรรม ได้กล่าวถึง สารฆ่าเชื้อธรรมชาติที่ทรงพลัง และไร้สารพิษ นั่นก็คือ กรดไฮโปคลอรัส ว่าเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และแม้กระทั่ง Clostridium difficile หรือเรียกกันว่า C. diff เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียและลำไส้ใหญ่อักเสบที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ในเวลาเพียง 15 วินาที โดยกรดไฮโปคลอรัส มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคมากกว่าสารฟอกขาว 200-300 เท่า และยังปลอดภัย 100% ซึ่งในวงการทันตแพทย์ได้นำน้ำอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งมีส่วนผสมของกรดไฮโปคลอรัส มาใช้ใน Waterlines หรือในระบบน้ำของ Unit ทำฟันด้วย
อ่านบทความอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK
ทำไมจึงไม่สามารถหาซื้อ น้ำอิเล็กโทรไลต์ ได้จากร้านค้าทั่วไป?
กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) ที่ผลิตได้ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสนั้น จะเริ่มสลายตัวกลับคืนสู่สารละลายตั้งต้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป เพราะน้ำอิเล็กโทรไลต์ เป็น Organic 100% เพียงแค่น้ำประปาและเกลือ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี สารกันเสีย เมื่อถูกวางทิ้งไว้จะค่อย ๆ สูญเสียประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค และกำจัดกลิ่นได้ในระยะเวลาอันสั้น
คุณสมบัติของ Hypochlorous Acid ที่อยู่ในน้ำอิเล็กโทรไลต์
ที่กล่าวมานั้น ได้ถูกนำมาปรับใช้ในครัวเรือน และในชีวิตประจำวันได้สารพัดประโยชน์

กรดไฮโปคลอรัส เป็นกรดอ่อน ๆ ชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในภูมิคุ้มกัน เป็นส่วนประกอบหนึ่งในเม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์ จึงไม่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบางของลูกน้อย

ไฮโปคลอรัส เอซิส สามารถใช้ฆ่าเชื้อโรคสิ่งของรอบตัวได้อย่างปลอดภัย และอ่อนโยน สามารถฉีดเช็ดเพื่อนำเข้าปากได้อย่างไม่เป็นอันตราย เพราะเป็น Organic 100% ไม่มีส่วนประกอบของสารเคมีอื่น

กรดไฮโปคลอรัส ที่อยู่ใน น้ำอิเล็กโทรไลต์ สามารถผลิตได้เองเรื่อยๆ เพียงแค่มี เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ น้ำประปา และเกลือบริสุทธิ์ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อ สามารถนำมาเช็ดฆ่าเชื้อสิ่งของรอบตัวได้บ่อยตามที่ต้องการ

กรดไฮโปคลอรัส ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จุลินทรีย์ เชื้อรา รวมถึงสามารถกำจัดยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้ได้ จึงได้มีนำน้ำอิเล็กโทรไลต์ไปใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร และโรงงานผลิตอาหารแปรรูป

เมื่อฉีดพ่นน้ำอิเล็กโทรไลต์ออกไป โมเลกุลของน้ำจะช่วยดักจับฝุ่นละออง สปอร์ ที่ปลิวอยู่ภายในบ้าน ให้ตกลงสู่พื้นได้

กรดไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติในการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้แก่ กลิ่นสารแอมโมเนีย กลิ่นอาหารคาว กลิ่นอับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้าน รวมถึงกลิ่นท่อระบายน้ำได้
คุณสมบัติต่าง ๆ ของ กรดไฮโปคลอรัส ( Hypochlorous Acid) นั้น ยังสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกมากมาย และใช้ได้ทุกส่วนภายในบ้าน ได้อย่างปลอดภัย เพราะไม่มีส่วนผสมของสารเคมี และสามารถผลิตเองได้ที่บ้าน ด้วย เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ช่วยให้คุณปกป้องคนในบ้านให้ห่างไกลจากไวรัสและแบคทีเรีย มีสุขอนามัยที่ดี และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย


สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
เชื่อว่าคุณแม่หลายๆคนคงอยากให้ลูกน้อยปลอดภัยโชคดีกันทั้งนั้น วันนี้ Baby Gift ขอเอาใจคุณแม่สายมู หยิบข้อมูลเครื่องรางยอดฮิตสำหรับลูกน้อยมาฝากค่ะ เราลองไปดูพร้อมๆกันเลยว่า Lucky item เพิ่มสีสันให้ลูกน้อยแถมยังคุ้มครองทางใจคุณแม่ ไปดูกันเลย ตาข่ายดักฝัน หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า Dreamcatcher ในสมัยก่อนชาวอินเดียนแดงสร้างเครื่องรางชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันฝันร้ายให้สลายหายไป จึงหันมานิยมห้อยไว้เหนือเปลเด็กเพราะหวังว่าจะช่วยทำให้ลูกน้อยปลอดภัยและนอนหลับฝันดี ซึ่งยังเป็นการช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้เป็นอย่างดี เพราะสายตาเด็กที่จับจ้องมองการแกว่งไกวของตาข่ายดักฝันนั้น จะช่วยทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเรียนรู้ทางสายตาและกล้ามเนื้อมัดเล็กได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันยังทำให้คุณแม่อุ่นใจเมื่อมีเครื่องรางช่วยคุ้มครองให้ลูกน้อยปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย อเมทิสต์หินนำโชค ตามความเชื่อของหินนำโชคนั้น หินสีม่วงจะช่วยปกป้องให้ลูกน้อยปลอดภัย ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป เสริมพลังบวกและดึงดูดสิ่งดีๆนำความโชคดีมาให้เด็กๆ อีกทั้งยังช่วยทำให้ลูกน้อยหลับสบาย เพราะเชื่อว่าหินจะมีคลื่นพลังงานแห่งความสุขปล่อยออกมาช่วยทำให้ลูกน้อยนอนหลับฝันดีหรือมีความสุขนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามเพื่อ คุณแม่ควรวางไว้ในจุดที่ลูกน้อยไม่สามารถหยิบจับหรือเอื้อมถึงได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกน้อยจะเผลอหยิบเข้าปาก และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ถุงนำโชค อีกหนึ่งเครื่องรางจากวัดดังที่ฮอกไกโด เครื่องรางชิ้นนี้เป็นถุงผ้าสีชมพู ปักตัวอักษรด้วยดิ้นสีทอง และปักรูปแมว 2 ตัว พกเพื่อนำโชค เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยปกป้องสิ่งชั่วร้ายจากลูกน้อย สุขภาพแข็งแรง และยังช่วยให้เด็กเติบโตมีสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคตด้วย นอกจากจะคุ้มครองให้ลูกน้อยปลอดภัยแล้วยังช่วยคุ้มครองคุณแม่อีกด้วย กำไลข้อเท้า คนไทยสมัยก่อนมักซื้อมาไว้รับขวัญหลาน เพราะเชื่อกันว่าการใส่กำไลข้อเท้าให้เด็กนั้นจะช่วยคุ้มครองให้ลูกน้อยปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง แต่ความจริงนั้นอาจเป็นเพียงกุศโลบายในการเลี้ยงเด็ก เพราะกำไลข้อเท้าเด็กส่วนมากจะมีกระดิ่งห้อยอยู่ด้วย เมื่อพ่อแม่ได้ยินเสียงจะทำให้รู้ว่าลูกนอนอยู่หรือตื่นแล้ว อีกทั้งยังสามารถตามหาลูกน้อยว่าอยู่ที่ไหนได้จากเสียงกระดิ่งอีกด้วย เรียกได้ว่า ทั้งเสริมดวงให้ลูกน้อยปลอดภัยแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ไปพร้อมๆกัน ถึงอย่างไรก็ตาม กำไลข้อเท้าควรทำมาจากวัสดุที่มีคุณภาพ […]
เพราะคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์สารอาหารที่มีครบถ้วน เพื่อพัฒนาลูกน้อยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความฉลาด การเติบโตแข็งแรง อารมณ์ดีมีความสุข ขับถ่ายง่าย แถมนมแม่ยังมีสารสร้างภูมิคุ้มกันมากมาย ทำให้ลูกน้อยไม่เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณแม่ทุกท่านจึงปรารถนาจะให้ลูกน้อยได้รับคุณค่าอันมหัศจรรย์จากน้ำนมแม่อย่างเต็มที่ไปจนโต หรือให้นมลูกได้นานที่สุด โดยคุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่ นอกจากจะให้นมแม่จากเต้าโดยตรงกับลูกน้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่เวิร์กกิ้งมัม จะต้องทำสต๊อกน้ำนมแม่เก็บแช่แข็งหรือแช่เย็นไว้ เพื่อให้ลูกรักยังได้กินนมแม่ตลอดเวลา แม้จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แต่มีคุณแม่มือใหม่หลายท่านที่ยังไม่มั่นใจหรือกังวล กับการละลายนมแม่ที่แช่แข็งมาใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าวิธีการไหนจะสะดวก สะอาด ปลอดภัย แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และทำแบบไหนจะไม่เสียคุณค่าน้ำนมแม่ ดังนั้นอยากรู้ว่าแต่ละ วิธีละลายน้ำนมแม่ แตกต่างกันอย่างไรไปดูกันค่ะ ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนช่องแช่ เพื่อละลายนมแม่ก่อน หากคุณแม่เก็บน้ำนมแม่ไว้ในช่องแช่แข็ง จำเป็นต้องนำนมแม่เปลี่ยนมาแช่ที่ช่องแช่เย็นธรรมดาด้านล่างก่อนประมาณ 1 วันหรือ 1 คืน เพื่อให้นมแม่ค่อยๆ ละลาย ควรนำนมเก่าที่แช่แข็งไว้ตามวันเวลาที่เก็บสต๊อกไว้นานที่สุดก่อน เพื่อไม่ให้นมเก่า เก็บไว้นานเกินไป แล้วจึงทยอยนำนมใหม่มาใช้ไล่ตามเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อนมแม่ละลายแล้ว คุณแม่ควรแบ่งนมแม่จากถุงเก็บน้ำนมใส่ขวดนม แบ่งปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อนั้นๆ แล้วจึงนำมาอุ่นหรือละลายก่อนให้ลูกกิน ซึ่งนมที่เหลือในถุงเก็บน้ำนมสามารถแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาให้ลูกกินให้หมดภายใน 2-3 วัน เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักจะนำมาอุ่นหรือละลายให้ลูกกินในมื้อถัดไปภายในวันเดียว หรือ 24 ชั่วโมง วิธีละลายน้ำนมแม่ […]
เมื่อต้องพาเจ้าตัวน้อยเดินทางไกลขึ้นเครื่องบินครั้งแรก คุณแม่หลายท่านมักมีคำถามมากมาย เพื่อให้ทุกท่านเตรียมตัวเดินทางได้อย่างสนุกสนานพร้อมรถเข็นคันโปรดคู่ใจ Baby Gift ได้รวบรวมทุกคำตอบไว้ในที่เดียวจบ 1.รถเข็นแบบไหนสามารถนำขึ้นเครื่องบินได้บ้าง จำเป็นต้องพับเล็กๆ หรือมีข้อกำหนดเกี่ยวกับขนาดและน้ำหนักของรถเข็นหรือไม่? ตอบ เมื่อมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กเดินทางไปพร้อมกัน รถเข็นเด็กทุกขนาด ไม่ว่าจะพับใหญ่พับเล็ก ทั้งหนักและเบา สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดและน้ำหนัก แต่รถเข็นต้องสามารถพับได้ (ซึ่งรถเข็นทุกรุ่นทุกแบรนด์ที่จำหน่ายในปัจจุบันพับได้ทุกคัน) 2. ขั้นตอนการนำรถเข็นขึ้นเครื่องบินแบบ Gate Check ? ตอบ เมื่อนำกระเป๋าขนาดใหญ่ Check in เพื่อโหลดใต้ท้องเครื่องให้แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินว่ามีรถเข็นเด็กมาด้วย และต้องการเข็นไปโหลดที่หน้าประตูเครื่องบิน (หรือเรียกว่า Gate Check) เจ้าหน้าที่จะนำ Tag (หรือป้ายติดกระเป๋า) ติดให้ที่รถเข็นเพื่อป้องกันการสูญหาย เราสามารถเข็นลูกน้อยผ่านพิธีการต่างๆ ไปจนถึงหน้าประตูเครื่องบินตรงจุดที่มีแอร์โฮสเตสยืนต้อนรับ ให้พับรถเข็นให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รอรับฝากรถเข็นเพื่อนำลงไปเก็บใต้เครื่อง (ในบางกรณีเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมถุงพลาสติกขนาดใหญ่คลุมให้อย่างดีเพื่อความสะอาดและปลอดภัย) ซึ่งเมื่อถึงที่หมายปลายทางเจ้าหน้าที่จะนำรถเข็นมาส่งคืนให้ที่หน้าประตูเครื่องบินเหมือนเดิม ในกรณีต่อเครื่อง (Transfer) ก็สามารถรับรถเข็นคืนได้ที่หน้าประตูเครื่องเช่นเดียวกัน 3. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับนำรถเข็นเดินทางขึ้นเครื่องบินหรือไม่ ตอบ ทุกสายการบินอนุญาติให้นำรถเข็นขึ้นเครื่องได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 4. ในกรณีที่รถเข็นมีขนาดเล็กและสามารถพับเก็บบนที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ (Cabin) ได้ จะสามารถนำรถเข็นติดตัวขึ้นไปเก็บบน cabin ในเครื่องบินได้หรือไม่ ? ตอบ รถเข็นบางรุ่นสามารถพับและนำขึ้นเก็บบน Cabinได้ มีความเป็นไปได้ที่ทางสายการบินจะอนุญาติหรืออาจจะปฎิเสธไม่อนุญาติให้นำขึ้นไปเก็บบน Cabin […]
เมื่อลูกน้อยถึงวัยเริ่มกินอาหารเสริมนอกจากนมแม่ ซึ่งก็คือในช่วงอายุ 6 เดือนขึ้นไป หากลูกเริ่มนั่งได้เก่งขึ้น สามารถนั่งได้เองโดยที่ไม่ต้องประคอง และเริ่มชอบเอามือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ เข้าปาก นั่นแสดงว่าลูกน้อยของเราพร้อมที่จะกินอาหารเสริมได้แล้ว ในบางบ้านอาจจะคุ้นเคยกับการเตรียมอาหารเด็กอ่อนโดยการปั่นหรือบดละเอียดและป้อนให้ลูก แต่หลาย ๆ บ้านก็อาจจะใช้วิธีฝึกให้ลูกกินอาหารด้วยตัวเองที่เรียกว่า BLW (Baby-Led Weaning) แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม อุปกรณ์สำคัญอย่างโต๊ะกินข้าวเด็กก็เป็นของที่ต้องมี และถ้าเลือกให้ดีก็จะใช้งานได้อย่างยาวนานตั้งแต่เล็กจนโต แล้วจะมีวิธีการเลือกอย่างไร ควรเลือกแบบไหนดี ? BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากแล้วค่ะ โต๊ะกินข้าวเด็ก สำคัญอย่างไร ? ควรเลือกแบบไหนดี ? โต๊ะกินข้าวสำหรับเด็กนั้นมีความแตกต่างจากโต๊ะทั่ว ๆ ไป โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นโต๊ะที่เรียกว่า High Chair โดยเป็นชุดเก้าอี้กินข้าวเด็กที่มีโต๊ะพับมาให้แบบครบชุด สามารถใช้งานได้หลายแบบ บางรุ่นสามารถพกพาออกไปข้างนอกได้ด้วย และยังมีเข็มขัดนิรภัยเพื่อป้องกันเด็กพลัดตกเก้าอี้ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งบางที่อาจเรียกว่าโต๊ะกินข้าวเด็ก หรือบางที่ก็เรียกว่าเก้าอี้กินข้าวเด็ก หรือ อาจเรียกรวม ๆ ว่าชุดโต๊ะเก้าอี้กินข้าวของเด็ก แต่จะเรียกแบบไหน ก็หมายถึง High Chair ที่นั่งกินข้าวของเด็กเล็กโดยเฉพาะนั่นเองค่ะ โต๊ะกินข้าวสำหรับเด็กนั้นเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมาก โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่อยากฝึกลูกให้กินข้าวด้วยตัวเองแบบ BLW ซึ่งการฝึกลูกกินข้าวเอง […]
เปลนอนทารก ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมาก ๆ สำหรับทารก ที่ต้องเตรียมซื้อตั้งแต่ก่อนคลอด เพราะทารกวัย 0-9 เดือน จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนและอยู่บนที่นอน ดังนั้น ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเลือกเปลนอนทารกให้ลูกน้อย ควรเลือกดูจากหลาย ๆ ด้าน เช่น ความปลอดภัย การระบายอากาศ ฟังก์ชั่นการใช้งาน รวมถึงอายุการใช้งาน เพราะการเลือก เปลนอนทารก ที่ไม่เหมาะสมกับทารกอาจส่งผลถึงเสียถึงชีวิตของลูกน้อยได้ วิธีเลือกเปลนอนทารกให้ลูกน้อย เปลนอนทารกมีกี่แบบ มีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง ? 1. เปลนอนทารก BEDSIDE CRIB แบบชิดเตียงแม่ เป็นเตียงสำหรับทารกแรกเกิด ที่มีฟังก์ชั่นเปิดด้านข้างเตียงเพื่อต่อชิดกับเตียงของคุณพ่อคุณแม่ได้ ทำให้สะดวกในการดูแลลูกน้อยมากขึ้น ข้อดีเตียง Bedside Crib ข้อเสียเตียง Bedside Crib 2. เตียงไม้ เป็นเตียงที่ถูกออกแบบมาเพื่อความแข็งแรง เน้นการใช้งานแบบคุ้มค่า ใช้ได้ในระยะยาวหลายปี สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก ข้อดีเตียงไม้ ข้อเสียเตียงไม้ 3. เปลนอนทารกแบบ PLAYPEN เตียงนอนทารกปรับฟังก์ชั่นเป็นคอกกั้นให้ลูกน้อยได้ ฝึกพัฒนาการคลาน ยืน เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณแม่ ข้อดี Playpen ข้อเสีย Playpen 4. เปลไกวไฟฟ้า เป็นเตียงที่ได้ความนิยมมาก เพราะปรับการใช้งานได้หลายแบบ พร้อมไกวอัตโนมัติกล่อมลูกหลับได้ง่ายและสนิทมากขึ้น ถือว่าเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงลูกน้อยได้ดี ข้อดีเปลไกวไฟฟ้า ข้อเสียเปลไกวไฟฟ้า เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบถึงข้อดีและข้อแตกต่างของเปลทารกแต่ละประเภทแล้ว เบบี้ กิ๊ฟ มีเปลนอนทารกรุ่นขายดีที่สุด มาแนะนำคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ […]
อวัยวะและระบบในร่างกายลูกน้อย ทั้ง 8 ที่ยังอ่อนแอและบอบบางใน เด็กแรกเกิดเช่น สมอง ศีรษะ คอ กระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นส่วนลำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบของลูกสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่บอบบางและอ่อนแอมาก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญดูแลเป็นพิเศษ 8 พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัยแรกเกิด ที่ยังไม่สมบูรณ์ 3 พัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ของเด็กวัยแรกเกิด 1 ความมั่นใจของลูกน้อยสามารถเสริมสร้างได้ผ่านการสัมผัส เพราะความมั่นใจ คือ พื้นฐานของพัฒนาการของลูกน้อย การสัมผัสด้วยการกอดและการสบตาจากแม่หรือคนรอบข้าง คือ สิ่งมหัศจรรย์ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจของลูกน้อย เมื่อแม่พยายามปลอบในเวลาที่ลูกร้อง การยิ้มตอบเมื่อแม่พูดคุยด้วย สิ่งเหล่านี้คือสายใยแห่งความผูกพันที่ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น และไว้ใจซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างให้ลูกมีบุคลิกและการแสดงออกในเชิงบวกได้ 2 ความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นผ่านสัมผัสทั้ง 5 เด็กในวัยแรกเกิด ทุกอย่างรอบตัว คือ โลกใบใหม่ของเค้า เด็กในวัยแรกเกิด – 1 ปี จะพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการนำเข้าปาก และเมื่อย่างเข้าสู่วัยขวบปีแรก เด็กจะสนใจอยากเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยการสัมผัสและการมอง ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้เองจะเป็นตัวกระตุ้น ให้เกิดการเรียนรู้และทักษะทางด้านร่างกาย การเรียนรู้โลกภายนอกด้วยการสัมผัสกับลมเบาๆและได้ยินเสียงจากธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างดี 3 ทักษะในการสื่อสารและเข้าสังคมสามารถพัฒนาได้จากรอยยิ้มของคนรอบข้าง เมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 2 เด็กจะเริ่มรู้จักการยิ้ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นพัฒนาการแรกในการเข้าสังคม ด้วยการมีปฏิกริยาโต้ตอบและบอกความรู้สึกให้ผู้คนรอบข้างได้รับรู้ ความสามารถในการสื่อสารขั้นพื้นฐานนี้ จะได้รับการพัฒนาโดยเริ่มจากความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกและจะค่อยๆ […]