เลือกรถเข็นเด็กให้ลูกวัยแรกเกิด ฉบับคุณแม่มือใหม่

“เพราะรถเข็นเด็กทุกคัน ไม่ได้เหมาะกับเด็กแรกเกิดทุกคัน” หลายคนยังเข้าใจผิดว่ารถเข็นเด็กแต่ละคัน ดูๆแล้วก็คล้ายๆกัน น่าจะใช้เหมือนๆ กันแต่ในความเป็นจริง แล้วเด็กแรกเกิดมีความบอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ รถเข็นเด็กสำหรับเด็กแรกเกิดจึงต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่นอกจากจะช่วยปกป้องสรีระของลูกน้อย แล้วยังช่วยเสริมพัฒนาการรอบด้าน สร้างสุขอนามัยที่ดี และสร้างรอยยิ้มแห่งความสุขให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยได้อีกด้วย
1.ปรับให้นอนราบได้ 170 องศา สำหรับเด็กแรกเกิด
รถเข็นเด็กแรกเกิด ที่ดีควรสามารถปรับให้นอนราบได้ 170 องศา ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กแรกเกิด เพราะกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง ยังไม่แข็งแรง จึงควรจัดให้เด็กนอนในท่านอนราบที่เป็นธรรมชาติ

2. เบาะรองนอนรูปนาฬิกาทราย จะช่วยรองรับสรีระได้อย่างเหมาะสม
โดยมีพื้นที่วางแขนแบบ W-Shape และวางขาแบบ M-Shape เพื่อให้ขยับตัวได้ง่าย ซึ่งเป็นท่านอนที่เป็นธรรมชาติสำหรับเด็กวัยแรกเกิด

3. ชุดหมอนรองคอและสะโพก สำหรับทารกวัยแรกเกิดที่ยังไม่แข็งแรง
เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับทารกวัยแรกเกิด ที่คอยังโงนเงนไม่แข็งแรง Head Support ที่มีส่วนเว้าโค้งพอเหมาะจะช่วยสอดรับช่วงต้นคอและศีรษะ ป้องกันคอพับซึ่งอาจส่งผลต่อการปิดทับระบบทางเดินหายใจได้ Hip Support หรือหมอนรองสะโพก ช่วยประคองให้กระดูกสันหลังมั่นคงไม่โค้งหรือเอียง ช่วยจัดท่านั่งและนอนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

4. เบาะรองนอนระบายอากาศได้ดี และช่วยรองรับสรีระได้อย่างนุ่มนวล
ด้วยระบบปรับอุณหภูมิในร่างกายลูกน้อยที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กทารกจะมีความสามารถในการควบคุมอุณหภุมิต่ำกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้มีเหงื่อออกมากกว่า โดยเฉพาะในเวลานอนซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเสริมสร้างพัฒนาการอย่างเต็มที่ ดังนั้นเบาะที่มีคุณสมบัติช่วยระบายอากาศได้ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยลดความร้อน ความอับชื้นที่ก่อให้เกิดผดผื่นได้ดีช่วยให้ลูกน้อยสบายตัวไม่ศีรษะและหลังเปียกแฉะ ตื่นมาด้วยความสดชื่นไม่งอแง และด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทีมวิจัยในญี่ปุ่นได้คิดค้นเบาะซึ่งมีนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า Silky Air ที่ผลิตจากเส้นใยแบบ 3 มิติ ให้ผิวสัมผัสนุ่มสบาย และยังช่วยลดความอับชื้น ระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม และช่วยรองรับสรีระได้อย่างนุ่มนวล

5. โครงสร้างรถเข็นแบบโปร่ง ระบายอากาศได้ทุกชั้น
นอกจากเบาะระบายอากาศแล้วการเลือกโครงสร้างรถเข็นแบบโปร่งระบายอากาศทุกชั้น ตั้งแต่พนักพิงจนถึงที่นั่ง ยังมีส่วนช่วยลดความอับชื้นบริเวณหลังซึ่งเป็นส่วนที่มักมีเหงื่อออกง่ายได้ดีทีเดียว

6. ฉนวนกันความร้อนและช่องระบายอากาศที่หลัง ระบายเหงื่อและความอับชื้นได้ดี
ลองสังเกตเวลาที่ลูกนอนนานๆ ถึงแม้จะเปิดแอร์ไว้ก็ตามศีรษะและหลังจะยังเปียกไปด้วยเหงื่อ ดังนั้นรถเข็นที่มีช่องระบายอากาศที่บริเวณหลัง จะช่วยระบายเหงื่อได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้รถเข็นที่มีฉนวนกันความร้อนสีเงินที่หลังยังช่วยสะท้อนความร้อนจากพื้น ไม่ให้สะสมที่หลัง ช่วยให้ลูกน้อยสบายตัวมากขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่เหมาะกับอากาศร้อนๆ ในเมืองไทยอย่างเราอย่างมาก

** รถเข็นเด็ก Aprica มีฉนวนกันความร้อนพิเศษ ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากพื้นขึ้นมาจากใต้ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีช่องระบายอากาศที่ช่วยระบายเหงื่อ ลดความอับชื้น ให้เด็กนอนหลับได้สบายตัวมากขึ้น
7. หลังคาป้องกันรังสี UV ช่วยปกป้องดวงตาและผิวที่บอบบางของลูกน้อย
ทุกคนทราบดีว่าผิวหนังและดวงตาเด็กแรกเกิดมีความบอบบางไวต่อสิ่งสัมผัสและแสงแดด คุณแม่จึงควรเลือกรถเข็นเด็กที่มีหลังคาบังแดดได้อย่างมิดชิด และมีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อผิวและดวงตาของลูกน้อย และถ้าให้ดีหลังคาควรมีหน้าต่างเปิดปิดได้จะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี นอกจากนี้ถ้าเลือกใช้รถเข็นที่หลังคาสามารถปรับระดับการเปิดได้หลายระดับจะช่วยให้คุณแม่ปรับระดับองศาหลังคาให้เหมาะสมกับความต้องการและทิศทางของแสงได้อีกด้วย

8. รถเข็นเด็กแบบ Highseat
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้สำหรับรถเข็นเด็กแรกเกิดในยุคที่เชื้อโรคพัฒนาสายพันธุ์อย่างไม่หยุดยั้งคือ การเลือกรถเข็นที่มีเบาะสูงแบบ High Seat ซึ่งสูงจากพื้นอย่างน้อย 50 cm. เพราะนอกจากจะช่วยปกป้องลูกน้อยจากฝุ่นและสิ่งสกปรกบนพื้นนอกบ้านแล้ว ยังช่วยให้ห่างไกลจากบนพื้นถนนส่งไอความร้อนมาสะสมที่บริเวณหลังของเด็ก รถเข็นที่มีความสูงมากกว่า 50 cm. จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้ถึง 2 องศา และลดระดับความหนาแน่นของฝุ่นละอองในอากาศลง10-20 %

9. โครงสร้างแข็งแรง ไม่สั่นสะเทือน
คุณแม่ยุคใหม่ที่รักการเดินทางมักเลือกรถเข็นที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ซึ่งรถเข็นส่วนใหญ่มักมีชิ้นส่วนและข้อพับหลายชิ้นทำให้ไม่แข็งแรง วิธีสังเกตุความแข็งแรงของรถเข็นคือการ เลือกรถเข็นเด็กแรกเกิดที่มีโครงสร้างต่างๆ เชื่อมเป็นชิ้นเดียวกัน จะช่วยลดลอยต่อข้อพับต่างๆเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยังช่วยลดแรงสั่นสะเทือนจะข้อต่อที่หลวมได้ดีอีกด้วย

10. ระบบโช้คอัพรองรับแรงกระแทก 2 จุด
และเพราะรถเข็นต้องถูกใช้นอกบ้าน เราอาจต้องเข็นในบริเวณที่มีความขรุขระหรือพื้นที่มีรอยต่อของอิฐอย่างอิฐตัวหนอนในสวนสาธารณะ รถเข็นที่มีระบบรองรับการสั่นสะเทือนหรือโช้คอัพที่ล้อจะช่วยเพิ่มความนุ่มนวลนั่งสบายให้กับลูกน้อยและช่วยให้คุณแม่เข็นง่าย ในปัจจุบันรถเข็นรุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาให้เพิ่มระบบโช้คอัพรองรับแรงกระแทกได้มากขึ้นเป็น 2 จุด ทั้งที่ล้อ และใต้ที่นั่ง ช่วยลดการสั่นสะเทือนลงได้อีกถึง 40% ให้ลูกน้อยหลับสบายตลอดการเดินทาง

11. ปรับเข็นได้ 2 ทิศทาง เพื่อให้คุณแม่สามารถอยู่ใกล้ชิดลูกน้อยได้ตลอดเวลา
หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่าทุกครั้งที่เอาลูกลงนั่งรถเข็นแล้วร้องไห้ เพราะลูกไม่ชอบนั่งรถเข็น ซึ่งก็อาจจะถูก แต่ที่จริงแล้วหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ลูกร้องอาจะเป็นเพราะรถเข็นบางคันไม่สามารถเข็นได้ 2 ทาง ทำให้เมื่อวางลูกลง คุณแม่จะต้องไปยืนเข็นจากด้านหลังทำให้ลูกไม่สามารถเห็นหน้าคุณแม่ได้ จึงทำให้ร้องไห้ ดังนั้นการเลือกใช้รถเข็นสำหรับเด็กในวัยแรกเกิด-6 เดือนควรเลือกรถเข็นที่ปรับเข็นได้ 2 ทิศทาง เพื่อให้คุณแม่สามารถอยู่ใกล้ชิดลูกน้อยได้ตลอดเวลา ลูกน้อยได้เห็นคุณแม่จะทำให้รู้อบอุ่นมั่นใจและมีความสุข นอกจากจะเสริมสร้างสายใยความผูกพัน ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้สำหรับทารกได้ดีอีกด้วย และการเลือกรถเข็นที่มาพร้อมระบบล้อหมุน360 องศาอัตโนมัติทั้ง 4 ล้อ หรือที่เรียกว่า Auto 4 wheel จะช่วยให้การเข็นได้ไหลลื่นสบายโดยเฉพาะเมื่อเข็นในที่แคบ สามารถปรับเปลี่ยนทิศทางการเข็นได้ง่าย

12. ถอดซักทำความสะอาดได้ด้วยตัวเอง แห้งไว ซักได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
นมคืออาหารหลักของเด็กแรกเกิด เมื่อเด็กต้องทานนมทั้งวันก็ต้องฉี่บ่อย หรืออาจเกิดอาการสำลัก อาเจียร ทำให้รถเข็นเลอะเทอะ ฉะนั้นการเลือกรถเข็นเด็กแรกเกิดที่สามารถถอดซักทำความสะอาดได้ด้วยตัวเองได้อย่างง่ายดาย เบาะแห้งไว ซักได้บ่อยเท่าที่ต้องการ จะช่วยให้รถเข็นสะอาดไร้กลิ่นอับเพื่อสุขอนามัยที่ดี

*** ข้อมูลอ้างอิงจาก
8.3.8 Principle The Reason Behind That Smile คือ หัวใจหลักที่ Aprica ยึดมั่น เป็นแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม เพื่อปกป้องและดูแลเด็กแรกเกิด คิดค้นและวิจัยโดยกุมารแพทย์ ศูนย์วิจัย Aprica จากประเทศญี่ปุ่น
รถเข็นเด็กแรกเกิด Aprica รุ่น Optia Premium ครั้งแรกของนวัตกรรมรถเข็นเด็กที่ออกแบบตามหลัก Ergonomic Design รถเข็นเด็กที่รองรับการเจริญเติบโต 3 ช่วงวัย ได้อย่างลงตัว
รีวิวรถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Optia Premium (คุยสตอรี่ – อั๋นจ๋า เดอะเรียลลิตี้)
รีวิวนิวเคลียร์ เพชรจ้า แนะฟังชั่นรถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Optia Premium





สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆเรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย เคล็ดลับก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีท อายุ ประเภทของคาร์ซีท คำแนะนำทั่วไป เด็กอ่อน คาร์ซีทสำหรับเด็กอ่อน เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี และมีน้ำหนักน้อยกว่า 9 kg.– ต้องนั่งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ เพราะคอยังไม่แข็งพอรับแรงกระแทกขณะรถวิ่ง เด็กก่อนวัยเรียน เก้าอี้แบบหันหน้าออก เด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป หรือหนัก 9 kg. ขึ้นไป เด็กเล็กวัยเรียน เบาะรองนั่ง เด็กควรสูงอย่างน้อย 120 cm.และต้องมั่นใจว่าเข็มขัดนิรภัยพาดที่ไหล่และต้นขาของเด็กอย่างพอดี เด็กโต เข็มขัดนิรภัย […]
การเดินทางโดยรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหลาย ๆ ครอบครัว การเลือกใช้คาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องความปลอดภัยของลูกน้อยในทุกการเดินทาง และหนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ คาร์ซีทหมุนได้ หรือ คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา ซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชันการหมุน ที่ช่วยให้การติดตั้งและการย้ายลูกน้อยเข้า-ออกจากคาร์ซีททำได้ง่ายยิ่งขึ้น คาร์ซีทหมุนได้คืออะไร ? คาร์ซีทหมุนได้ คือ คาร์ซีทที่สามารถหมุนตัวได้รอบทิศทาง 360 องศา ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถหมุนคาร์ซีทไปทางด้านข้าง หรือ หันไปทางประตูรถได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการติดตั้งคาร์ซีทและการย้ายลูกน้อยเข้า-ออกจากคาร์ซีทได้ง่ายขึ้นมาก คาร์ซีทหมุนได้จำเป็นไหม ช่วยให้สะดวกขึ้นอย่างไรบ้าง ? 1. คาร์ซีทหมุนได้ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน : การหมุนได้ 360 องศาช่วยให้อุ้มลูกน้อยเข้า-ออกจากคาร์ซีทได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องมุดตัวหรือเอี้ยวตัวในพื้นที่แคบ ๆ ของรถ ช่วยลดความเสี่ยงที่ศีรษะจะไปกระแทกกับขอบประตูหรือพาลูกน้อยหกล้มได้เป็นอย่างดี 2. คาร์ซีทหมุนได้ รองรับการใช้งานในระยะยาว : คาร์ซีทหมุนได้สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งการนั่งจากหันไปข้างหลัง (Rear-facing) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก ไปจนถึงการหมุนหันไปข้างหน้า (Forward-facing) เมื่อเด็กโตขึ้นได้ โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ 3. สะดวกในการดูแลลูก : การหมุนคาร์ซีทไปทางด้านข้างจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้ง่ายขึ้น เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือการปลอบโยนเมื่อลูกร้องไห้งอแงได้เลย […]
สำหรับ Working Women หลายๆ คน การทำงานก็คือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง และเป็นความสุขในการใช้ชีวิต แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนไป มีครอบครัว มีลูกขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าการปรับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าเราขับรถเป็นประจำ พอท้องแล้วยังจะขับรถได้อยู่มั้ย ในบทความนี้ BabyGift จะมานำเสนอเรื่องเกี่ยวกับคนท้องขับรถได้มั้ย และคำแนะนำต่างๆ เพื่อให้คุณแม่อุ่นใจกันมากขึ้นค่ะ คนท้องขับรถได้ไหม ? ชวนคุณแม่ดูคำแนะนำ ข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยก่อนขับรถ ตลอดระยะเวลา 9 เดือนของการตั้งครรภ์ คุณแม่มักจะเผชิญกับคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ซึ่งหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ “คนท้องขับรถได้ไหม?” คำถามนี้มักสร้างความกังวลให้กับคุณแม่หลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ การตัดสินใจว่าจะขับรถหรือไม่ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงข้อควรระวังและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เราลองมาดูรายละเอียดกันค่ะ คนท้องขับรถได้ไหม ? โดยทั่วไปหากมีความจำเป็นคนท้องสามารถขับรถได้นะคะ แต่หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า โดยไม่ควรขับรถในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจมีอาการแพ้ท้องกะหันทัน จนไม่สามารถโฟกัสที่การขับขี่ได้ดีเท่าที่ควร (อ่านเคล็ดลับลดอาการแพ้ท้องของคุณแม่เพิ่มเติมได้อีกนะคะ) และในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน ควรงดขับรถโดยเด็ดขาด เนื่องจากครรภ์ใหญ่ขึ้น หากเบรกกระทันหันอาจทำให้ท้องกระแทกพวงมาลัยได้ อีกทั้งเป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวคลอด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยหากจำเป็นต้องขับรถ BabyGift มีคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยมาฝากดังนี้ค่ะ คำแนะนำเพิ่มเติมเมื่อคนท้องต้องขับรถ คนท้องขับรถมอไซค์อันตรายไหม […]
เชื่อว่าคุณแม่หลายๆคนคงอยากให้ลูกน้อยปลอดภัยโชคดีกันทั้งนั้น วันนี้ Baby Gift ขอเอาใจคุณแม่สายมู หยิบข้อมูลเครื่องรางยอดฮิตสำหรับลูกน้อยมาฝากค่ะ เราลองไปดูพร้อมๆกันเลยว่า Lucky item เพิ่มสีสันให้ลูกน้อยแถมยังคุ้มครองทางใจคุณแม่ ไปดูกันเลย ตาข่ายดักฝัน หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า Dreamcatcher ในสมัยก่อนชาวอินเดียนแดงสร้างเครื่องรางชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันฝันร้ายให้สลายหายไป จึงหันมานิยมห้อยไว้เหนือเปลเด็กเพราะหวังว่าจะช่วยทำให้ลูกน้อยปลอดภัยและนอนหลับฝันดี ซึ่งยังเป็นการช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้เป็นอย่างดี เพราะสายตาเด็กที่จับจ้องมองการแกว่งไกวของตาข่ายดักฝันนั้น จะช่วยทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเรียนรู้ทางสายตาและกล้ามเนื้อมัดเล็กได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันยังทำให้คุณแม่อุ่นใจเมื่อมีเครื่องรางช่วยคุ้มครองให้ลูกน้อยปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย อเมทิสต์หินนำโชค ตามความเชื่อของหินนำโชคนั้น หินสีม่วงจะช่วยปกป้องให้ลูกน้อยปลอดภัย ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป เสริมพลังบวกและดึงดูดสิ่งดีๆนำความโชคดีมาให้เด็กๆ อีกทั้งยังช่วยทำให้ลูกน้อยหลับสบาย เพราะเชื่อว่าหินจะมีคลื่นพลังงานแห่งความสุขปล่อยออกมาช่วยทำให้ลูกน้อยนอนหลับฝันดีหรือมีความสุขนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามเพื่อ คุณแม่ควรวางไว้ในจุดที่ลูกน้อยไม่สามารถหยิบจับหรือเอื้อมถึงได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกน้อยจะเผลอหยิบเข้าปาก และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ถุงนำโชค อีกหนึ่งเครื่องรางจากวัดดังที่ฮอกไกโด เครื่องรางชิ้นนี้เป็นถุงผ้าสีชมพู ปักตัวอักษรด้วยดิ้นสีทอง และปักรูปแมว 2 ตัว พกเพื่อนำโชค เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยปกป้องสิ่งชั่วร้ายจากลูกน้อย สุขภาพแข็งแรง และยังช่วยให้เด็กเติบโตมีสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคตด้วย นอกจากจะคุ้มครองให้ลูกน้อยปลอดภัยแล้วยังช่วยคุ้มครองคุณแม่อีกด้วย กำไลข้อเท้า คนไทยสมัยก่อนมักซื้อมาไว้รับขวัญหลาน เพราะเชื่อกันว่าการใส่กำไลข้อเท้าให้เด็กนั้นจะช่วยคุ้มครองให้ลูกน้อยปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง แต่ความจริงนั้นอาจเป็นเพียงกุศโลบายในการเลี้ยงเด็ก เพราะกำไลข้อเท้าเด็กส่วนมากจะมีกระดิ่งห้อยอยู่ด้วย เมื่อพ่อแม่ได้ยินเสียงจะทำให้รู้ว่าลูกนอนอยู่หรือตื่นแล้ว อีกทั้งยังสามารถตามหาลูกน้อยว่าอยู่ที่ไหนได้จากเสียงกระดิ่งอีกด้วย เรียกได้ว่า ทั้งเสริมดวงให้ลูกน้อยปลอดภัยแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ไปพร้อมๆกัน ถึงอย่างไรก็ตาม กำไลข้อเท้าควรทำมาจากวัสดุที่มีคุณภาพ […]
เส้นไหมทอละเอียด Silky Air นวัตกรรมใหม่จาก Aprica ที่มีในรถเข็นเด็ก รุ่น Luxuna Light และรุ่น Luxuna CTS Silky Air เส้นไหมทอละเอียดนุ่มเบาสบายระบายอากาศได้ดี มีความยืดหยุ่นลดภาระการเคลื่อนย้ายตัวของเด็ก Silky Air เป็นการผสมกันกับไหมและเส้นไฟเบอร์เรียงยาวละเอียดให้ความยืดหยุ่นเบาสบาย เมื่อเทียบกับผ้าคอตตอนแบบเก่าที่ผสมกับฟองน้ำที่มีความยืดหยุ่นต่ำระบายอากาศได้ไม่ดี มาเลือกความเบาสบายให้ลูกของคุณกับ Silky Air กับคุณสมบัติพิเศษ 3 ข้อ ดังนี้ 1. เบาะรองนั่งสามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มการระบายความชื้นมากขึ้นอีก 10% เพราะ Silky Air เป็นวัสดุที่สามารถระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม การระบายความชื้นได้ดีเป็นตัวบ่งบอกว่าความร้อนไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพในการระบายความชื้นขึ้นอยู่กับความแตกต่างลักษณะรูปร่างของเด็กด้วย 2. สัมผัสที่อ่อนนุ่ม ผลิตจากวัสดุที่อ่อนนุ่มและสามารถระบายอากาศได้ดีให้ความรู้สึกเบาสบายเมื่อสัมผัสกับผิวที่บอบบางของทารก 3. สามารถทำความสะอาดด้วยเครื่องซักผ้า เบาะรองนั่งสามารถถอดออกและนำไปซักในเครื่องซักผ้าได้อย่างง่ายดายจึงทำให้คงความสะอาดตลอดเวลา สรุป ด้วยคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมกับนวัตกรรมใหม่ ของ Silky Air ทั้ง 3 ประการ จึงนำมาใช้กับรถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna Light และรุ่น Luxuna CTS ได้เหมาะสมที่สุดกับเด็กแรกเกิด และเหมาะสมที่สุดกับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการรถเข็นเด็กที่เบาและง่ายต่อการเดินทางไปทุกที่ กับคุณสมบัติพิเศษที่สามารถใช้คู่กับเป้อุ้มเด็ก Colan CTS ได้อีกด้วย รวดเร็วและสะดวกในการปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ คุณแม่สามารถเลือกใช้ได้อย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างง่ายดาย นวัตกรรมใหม่ในการใช้รถเข็นเด็กและเป้อุ้มเข้าด้วยกัน เป็นตัวช่วยให้คุณแม่พร้อมออกเดินทางได้ทุกสถานการณ์
หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้ เมื่อมี กฎหมายคาร์ซีท ออกมาแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องมองหาคาร์ซีทให้ลูกอย่างจริงจังเลยใช่ไหมคะ แล้วคาร์ซีทแบบไหนเหมาะสำหรับลูกเรา แบบไหนปลอดภัยกว่า วันนี้ Baby Gift ได้รวบรวมข้อมูลมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมความพร้อมแล้วค่ะ ไปดูกันเลย หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 […]