BLW คืออะไร ? ชวนพ่อแม่สอนลูกกินข้าวมื้อแรกแบบเข้าใจง่าย ทำได้จริง !

เมื่อลูกน้อยของเราเริ่มโตขึ้นและมีอายุ 6 เดือนขึ้นไป นอกจากการให้นมแม่แล้ว คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะกำลังมองหาอาหารเสริมอื่น ๆ ให้กับเด็ก ๆ เพื่อรับประทานร่วมกับนมแม่ เป็นการเพิ่มคุณค่าทางโภชนการให้ลูกน้อย ให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น และยังเป็นการฝึกให้เริ่ม
กินอาหารชนิดอื่นนอกจากนมแม่อีกด้วย โดยทั่วไปแล้วเรามักจะคุ้นเคยกับวิธีการเตรียมอาหารบดละเอียดให้ลูก แต่ปัจจุบันมีการกินที่เรียกว่า BLW (Baby-Led Weaning) ที่เป็นการฝึกให้ลูกน้อยของเราได้ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็ก และยังส่งผลดีต่อการพัฒนาการของลูกอีกด้วย BLW คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ส่งผลดีต่อเด็กอย่างไร และคุณแม่จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
BLW คืออะไร ? ชวนรู้จักวิธีการฝึกลูกน้อยกินข้าวมื้อแรกด้วยตัวเอง

ผู้ปกครองหลายคนอาจเกิดความสงสัยว่า BLW คืออะไร ? Baby – Led Weaning หรือ BLW คือการฝึกให้ลูกของเรากินอาหารได้ด้วยตัวเองตั้งแต่มื้อแรก โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเตรียมอาหารปั่นหรืออาหารบดให้ลูกน้อย แต่เป็นการให้ลูกน้อยใช้มือหยิบจับอาหารนิ่ม ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ และกินด้วยตัวเอง ให้ลูกได้ฝึกหยิบจับอาหาร ฝึกเคี้ยว และช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก จะนั่งกินเองหรือนั่งกินไปพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ก็ได้เช่นกัน โดยสามารถฝึกให้ลูกกินแบบนี้ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป หรือ เมื่อลูกเริ่มทรงตัวนั่งเองได้แล้วและเริ่มหยิบจับสิ่งของเข้าปากบ้างแล้ว นี่ก็เป็นสัญญาณว่าเริ่มฝึกให้ลูกหัดกินข้าวเองได้แล้วค่ะ
โดยปกติแล้ว เราจะคุ้นเคยกับการเริ่มป้อนอาหารเด็กอ่อนด้วยอาหารบดละเอียด ซึ่งเป็นวิธีที่เรียกว่า Traditional Weaning (TW) แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหยาบของอาหารขึ้นทีละน้อยตามวัยของลูก ซึ่งมักจะเริ่มป้อนอาหารแบบนี้เมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไปเช่นกัน ซึ่งพบว่าการให้อาหารบดแก่ลูกน้อยเป็นเวลานานเกินไปจะทำให้ลูกเคี้ยวเองไม่เป็น ลูกไม่ยอมเคี้ยว และยังส่งผลให้ลูกเลือกกินอาหาร ทำให้ลูกกินยาก ไม่ยอมกินอาหารจากช้อนด้วยตัวเอง และอาจทำให้ลูกติดการป้อนจนไม่ยอมฝึกรับประทานอาหารเองเมื่อโตขึ้น
นอกจากนี้วิธีการกินแบบ Traditional Weaning ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นคนป้อนข้าวให้ลูกนั้น ในเด็กบางคนกินยาก ไม่ยอมกินข้าว ปิดปาก ห่วงเล่น หันหนี หรือคายอาหารออกมา ก็จะทำให้การกินของลูกนั้นยากและลำบากมากขึ้น และอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเหนื่อยใจเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังรู้สึกว่าการป้อนข้าวลูกเป็นเรื่องยาก และเมื่อลูกเลือกกินก็จะส่งผลต่อการเติบโตและอาจมีพัฒนาการช้าตามมาอีกได้ ดังนั้น การกินแบบ BLW คือวิธีที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะทำให้ลูกสามารถกินข้าวเองได้ ลดความเหนื่อยของพ่อแม่ได้ค่ะ
ข้อดีของการฝึกให้ลูกน้อยกินข้าวแบบ BL คืออะไร ?

ข้อดีของวิธี BLW ฝึกลูกกินข้าวเองนั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน ทั้งยังมีประโยชน์ต่อตัวลูกน้อยและตัวของผู้ปกครองเองด้วย การฝึกให้ลูกกินข้าวได้ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเล็กนั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
- ลูกได้ฝึกพัฒนาการและประสาทสัมผัส : เพราะลูกน้อยได้หยิบจับสัมผัสอาหารด้วยตัวเอง ช่วยให้ลูกได้เรียนรู้รสชาติที่แตกต่าง ได้พัฒนาการเคี้ยว การกัด และการใช้ประสาทสัมผัสทั้งการใช้กล้ามเนื้อประสานกับสายตา เพราะต้องใช้นิ้วมือหยิบอาหารตรงหน้าด้วยตัวเอง ช่วยพัฒนาการรับรู้รสและกลิ่น ได้เรียนรู้รสชาติและหน้าตาของอาหาร ถือว่าเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการลูกน้อยได้หลายด้านทีเดียว
- ทำให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็กและสนุกกับการกินมากขึ้น : เพราะการฝึกให้ลูกกินอาหารด้วยตัวเอง ถือเป็นบันไดขั้นแรกของการฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกสามารถช่วยเหลือตัวเองในเรื่องอื่น ๆ ได้เมื่อเติบโตขึ้น นอกจากนี้ เด็ก ๆ จะรู้สึกมีอิสระในการเลือกกินอาหารของตัวเองและรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการกินมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ทั้งยังช่วยเสริมความมั่นใจในการเลือกให้กับเด็ก ๆ อีกด้วย
- ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น : การกินข้าวด้วยตัวเองนั้นทำให้ลูกเรียนรู้ว่าจะต้องกิน ถ้าไม่กินก็จะหิว เพราะไม่มีคนมาคอยป้อนให้ ทำให้รู้ว่าการกินอาหารนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และรู้เวลาว่าในแต่ละครั้งเขาจะได้กินนานแค่ไหน ทำให้ลูกมุ่งความสนใจไปที่การกินอาหารและเล่นน้อยลง ได้เรียนรู้ความรู้สึกหิว อิ่มด้วยตัวเอง
- ได้เลือกอาหารด้วยตัวเองอย่างหลากหลาย : การที่ลูกได้เลือกหยิบกินอาหารด้วยตัวเองนั้น จะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ถูกบังคับ และรู้สึกดีต่ออาหารชนิดต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารจำพวกผักที่มักเป็นปัญหากับเด็ก ๆ อยู่เสมอ หากคุณพ่อคุณแม่เตรียมอาหารจำพวกผักต้มหลาย ๆ ชนิดและลองให้ลูกหยิบกินด้วยตัวเอง เด็กก็จะเรียนรู้ได้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบผักอะไร และกินผักที่ชอบได้โดยที่ไม่ต้องถูกบังคับค่ะ นอกจากนี้ การกินอาหารที่หลากหลายนั้นยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และเสี่ยงต่อการแพ้อาหารน้อยลงด้วย
- ฝึกฝนทักษะการจดจำ : การฝึกให้ลูกกินแบบ BLW คือวิธีการส่งเสริมให้ลูกมีความคุ้นเคยกับสี ผิวสัมผัส และรสชาติของอาหารแต่ละประเภทอย่างหลากหลาย ทำให้ลูกน้อยจดจำได้ว่าอาหารแต่ละชนิดมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร มีสีอะไร มีกลิ่นรสสัมผัสอย่างไร เป็นอาหารที่ชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งช่วยเสริมการเรียนรู้และฝึกทักษะการจดจำของลูกน้อยได้ดี
ข้อดีของการฝึกให้ลูกกินแบบ BLW สำหรับคุณพ่อคุณแม่

- ช่วยแก้ปัญหาลูกเลือกกินได้ : ปัญหาลูกเลือกกินหรือกินยากนั้นเป็นปัญหาใหญ่ในหลาย ๆ บ้าน แต่ถ้าให้ลูกลองกินอาหารด้วยตัวเอง ได้ลองหยิบจับอาหารเข้าปากเองและเรียนรู้สัมผัสรสชาติอาหารแต่ละประเภทด้วยตัวเอง ก็ทำให้ลูกรู้สึกมีอิสระในการกินมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบังคับ ทำให้รู้สึกดีกับการกินข้าวมากขึ้นและกินได้หลากหลายมากขึ้นค่ะ
- ประหยัดเวลาในการป้อน : ไม่ต้องเหนื่อยกับการป้อนหรือการบังคับให้ลูกกินข้าว ไม่ต้องเดินไปเดินมาขณะป้อนซึ่งทำให้ใช้เวลานานและอาจรบกวนเวลาทำภารกิจอื่น ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ได้ คุณพ่อคุณแม่เพียงแค่จัดแจงให้ลูกนั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวและให้ลูกฝึกกินด้วยตัวเอง และเตรียมอาหารอย่างเหมาะสมเพื่อให้ง่ายต่อการกินของลูกก็พอ และให้ลูกจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าด้วยตัวเองค่ะ
- เตรียมอาหารไม่ยุ่งยาก : อาหารที่เตรียมให้ลูกนั้น สามารถเป็นอาหารแบบเดียวกันกับที่บ้านกิน เพียงแต่ไม่ผ่านการปรุงรสชาติหรือปรุงน้อย หรือใช้วัตถุดิบคล้าย ๆ กัน เช่น เราจะทำผัดผักกินในครอบครัว ก็หั่นผักชนิดต่าง ๆ เตรียมไว้ แต่แบ่งของลูกไปต้มจนนิ่ม และส่วนที่เหลือก็นำมาทำเมนูปกติ หรือต้มเส้นพาสต้าไว้แล้วแบ่งส่วนที่ไม่ปรุงให้ลูก ส่วนที่เหลือเราก็สามารถนำไปทำเมนูอื่น ๆ ให้คนในบ้านได้ ทำให้ไม่เสียเวลาในการเตรียมวัตถุดิบค่ะ
- สามารถกินข้าวพร้อมกันได้ทั้งครอบครัว : การฝึกให้ลูกกินข้าวได้เองตั้งแต่ยังเล็กนั้น จะทำให้ลูกช่วยเหลือตัวเองได้เร็ว ซึ่งส่งผลดีต่อคุณพ่อคุณแม่ให้มีเวลาในการทำธุระส่วนตัวมากขึ้น อย่างการกินข้าวร่วมกันโดยที่ปล่อยให้ลูกกินเอง ไม่ต้องป้อน คุณพ่อคุณแม่ก็มีความสุขกับการกินข้าวได้มากขึ้นและผ่อนคลายมากขึ้น และยังได้ใช้เวลากินข้าวร่วมกันทั้งครอบครัว หากเทียบกับการป้อนข้าวลูกโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นคนป้อนข้าวลูกและดูแลลูกเป็นหลัก ที่อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าได้
- ทำความสะอาดได้ง่าย : การให้ลูกกินอาหารด้วยตัวเองในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ เช่น บนโต๊ะกินข้าวของลูกและให้ลูกนั่งกับที่ ถึงแม้จะหกเลอะเทอะแต่ก็ทำความสะอาดเพียงจุดเดียว ประหยัดเวลากว่าการป้อนข้าวลูกแบบเดินไปกินไปหรือเล่นไปกินไป ซึ่งทำให้อาหารตกเลอะเทอะไปทั่วบริเวณบ้าน ทำความสะอาดได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นพื้นบ้านที่ปูด้วยพรม ผ้า หรือไม้ หากคราบสกปรกซึมเปื้อนก็จะทำความสะอาดได้ยาก เป็นงานใหญ่เลยทีเดียวค่ะ
จะเริ่มต้นให้ลูกกินแบบ BLW ได้อย่างไร ?

ในตอนนี้ก็ได้ทราบแล้วว่าประโยชน์ของการฝึกให้ลูกน้อยกินข้าวแบบ BLW คืออะไร สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะลองใช้วิธีนี้บ้าง สามารถเริ่มฝึกลูกได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป เนื่องด้วยเป็นวัยที่เริ่มมีฟันน้ำนม เริ่มรู้จักการเคี้ยว การกลืน และสามารถหยิบจับสิ่งต่าง ๆ เข้าปากได้แล้ว ทั้งยังสามารถนั่งเก้าอี้ได้เองโดยที่ไม่ต้องประคอง ทำให้ลูกนั่งกินข้าวด้วยตัวเองได้ แล้วจะเริ่มต้นให้ลูกกินข้าวเองได้อย่างไรดี มาดูวิธีกันค่ะ
- ฝึกให้ลูกกินตามมื้ออาหาร : อาจเริ่มจากการให้ลูกกินข้าวในเวลาเดียวกับที่กินนมโดยปกติ เพื่อให้ลูกเริ่มปรับตัวได้ ทั้งนี้ ไม่ต้องบังคับให้ลูกกิน เพราะอาจทำให้ลูกน้อยต่อต้านการกินอาหารได้ หรืออาจสาธิตให้ลูกดูโดยการที่คุณพ่อคุณแม่หยิบอาหารที่เตรียมไว้แล้วกินให้ดู ลูกน้อยก็จะมีการเรียนรู้และทำตามได้
- เตรียมอาหารให้ลูกอย่างเหมาะสม : ควรเริ่มจากอาหารที่มีเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม สามารถกลืนได้ง่าย เช่น ผลไม้ที่สุกจนนิ่ม ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสุก อะโวคาโดฝานบาง ๆ หรือหั่นชิ้นเล็ก ๆ มะม่วงสุกหั่นชิ้นเล็ก ๆ มะละกอนิ่ม แตงโม หรือจะเป็นผักที่ต้มหรือนึ่งจนนิ่มอย่าง แครอท ฟักทอง มันฝรั่ง ซูกินี่ หน่อไม้ฝรั่ง เนื้อไก่ต้มบด เนื้อปลาต้มหรือนึ่งบดโดยเอาก้างออกให้หมด ไข่ต้มหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือ ไข่เจียวหั่นชิ้น เต้าหู้นิ่ม ๆ เส้นพาสต้าต้มสุก ข้าวต้ม ข้าวโอ๊ตต้ม เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่เป็นผลกลมเล็ก ๆ เช่น องุ่น เบอร์รี่ มะเขือเทศลูกเล็ก ฯลฯ เพราะอาจติดคอเด็กหรือทำให้สำลักได้ รวมไปถึงเมล็ดข้าวโพดหรือถั่วต่าง ๆ ที่เสี่ยงต่อการติดคอหรือสำลักได้
- เตรียมอุปกรณ์ในการกินข้าวให้พร้อม : ซึ่งก็ได้แก่ เก้าอี้กินข้าวเด็ก (High Chair) จาน ชาม ถาดอาหาร และแก้วน้ำของลูก นอกจากนี้ก็มีผ้ากันเปื้อน แผ่นรองกันเปื้อน และอุปกรณ์ทำความสะอาดต่าง ๆ
นอกจากนี้ การกินฝึกให้ลูกกินแบบ BLW คุณพ่อคุณแม่ต้องมีการเตรียมตัวและปรับตัวหลายอย่าง เช่น ฝึกการเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นในกรณีที่ลูกสำลัก หรือต้องทำใจแข็งไม่ป้อนข้าวลูกหากลูกไม่ยอมกินด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้ลูกติดการป้อนเหมือนเดิมและไม่มีวินัยในการกิน ทั้งนี้ สามารถอ่านข้อมูล ต้องเตรียมอะไรบ้าง ก่อนเริ่มให้ลูกกินข้าวแบบ BLW มื้อแรก เพิ่มเติมได้อีกที่เว็บไซต์ของ BabyGift ค่ะ
ข้อควรระวังในการให้ลูกกินแบบ BLW คืออะไรบ้าง ?

การให้ลูกน้อยกินอาหารมื้อแรกด้วยตัวเอง แบบ BLW แม้ว่าจะมีข้อดีอยู่หลายอย่าง แต่ก็อาจจะไม่เหมาะบางบ้านที่อาจไม่ชอบความเลอะเทอะ ไม่มีเวลาทำอาหารแยกให้เด็กทุกมื้อ เพราะอาหารบดหรือปั่นสามารถแช่แข็งและนำมาอุ่นให้ลูกกินได้ หรือคุณพ่อคุณแม่ต้องไปทำงาน ต้องฝากลูกหลานกับผู้ใหญ่ท่านอื่นที่อาจดูแลลูกได้ไม่ใกล้ชิดก็ทำให้ไม่สะดวกเวลาที่เด็ก ๆ ต้องกินข้าวเอง ซึ่งการกินแบบ BLW มีข้อควรระวังดังนี้ค่ะ
- ต้องมีคนอยู่กับลูกตลอดเวลา : เพราะลูกจะต้องนั่งกินอาหารพร้อมกับผู้ใหญ่ โดยมีคุณแม่หรือผู้ใหญ่หมั่นคอยสังเกตอาการเวลาลูกกิน ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น อาหารติดคอ สำลัก อาเจียน หรืออื่น ๆ จะได้ทำการปฐมพยาบาลหรือช่วยเหลือได้ทันท่วงที ซึ่งอาจไม่เหมาะกับบางบ้านที่ต้องทำงานหรือไม่มีใครคอยดูแลลูกอย่างใกล้ชิด
- ต้องพิถีพิถันในการเตรียมอาหาร : โดยจะต้องต้มอาหารให้สุกนิ่มพอดีและระวังไม่ให้ลูกกินอาหารที่เสี่ยงจะเป็นอันตราย มีอาหารบางชนิดที่อาจเสี่ยงติดคอลูกน้อย และเป็นอาหารที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เช่น กระดูกอ่อน ไส้กรอก ป๊อบคอร์น เมล็ดผลไม้หรือเมล็ดธัญพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม น้ำแข็ง เยลลี่ น้ำผึ้ง เนยถั่ว ขนมที่มีแป้งเหนียว ๆ มะเขือเทศทั้งลูก เป็นต้น
- เข้าใจว่าลูกต้องกินบ้างเล่นบ้าง : ต้องปล่อยให้ลูกกินได้แบบเลอะเทอะ ไม่ควรดุหรือตำหนิลูกเพราะอาจไปขัดขวางการกินของลูกน้อย ทำให้ลูกไม่กล้ากินด้วยตัวเองอีก แต่ควรจำกัดเวลาการกิน เพื่อให้ลูกรู้ว่าจะกินได้ในปริมาณเท่าไหร่ เมื่อหมดเวลาแล้วต้องเก็บอาหาร มิเช่นนั้นลูกจะเล่นอาหารจนเพลินและไม่ยอมกิน ซึ่งอาจจะทำให้ไม่มีวินัยในการกินข้าวได้ค่ะ
- ลูกอาจมีน้ำหนักน้อยหรือได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน : เพราะการให้ลูกกินอาหารเองอาจทำให้ลูกกินได้น้อย หรือเลือกกินเฉพาะอาหารที่ตัวเองชอบ ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนและมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้ ดังนั้นหากลูกเป็นเด็กที่กินนมน้อยหรือมีน้ำหนักน้อยอยู่แล้ว ต้องพิจารณาว่าการให้ลูกกิน BLW เหมาะสมหรือไม่ เพราะอาจทำให้ลูกกินในปริมาณที่น้อยเกินไปและส่งผลเสียได้
การฝึกให้ลูกกินข้าวแบบ BLW เหมาะกับครอบครัวแบบไหน ?

- BLW เหมาะกับครอบครัวที่มีคุณพ่อหรือคุณแม่เลี้ยงลูกเต็มเวลา สามารถดูแลลูกได้อย่างเต็มที่และสะดวกในการเตรียมอาหารให้ลูกได้
- เหมาะกับบ้านที่คนเลี้ยงสามารถเฝ้าลูกกินข้าวได้อย่างเต็มที่ และมีเวลาสังเกตดูแลการกินของลูกน้อยว่าได้รับอาหารเพียงพอเหมาะสมหรือไม่
- เหมาะกับบ้านที่คนเลี้ยงหลักมีความเข้าใจในหลักการและวิธีการให้ลูกกินอาหารแบบนี้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้การฝึกลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- เหมาะกับเด็กที่เจริญอาหารและสนุกกับการกินข้าวเอง เพราะถ้าเป็นเด็กที่ไม่ยอมกินข้าวด้วยตัวเองหรือไม่สนใจว่าตนเองจะหิวหรือไม่ ก็อาจส่งผลให้เด็กขาดสารอาหารและมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ได้ จึงต้องพิจารณาว่าวิธีการกินแบบไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกมากที่สุด
BabyGift แนะนำสินค้าที่จะช่วยให้การกินข้าวของลูกเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น

1. MINIMONO แผ่นรองกันเปื้อน แบบใช้แล้วทิ้ง
เมื่อฝึกลูกน้อยทานอาหารเองแบบ BLW การเริ่มหยิบจับอาหารด้วยมือเล็ก ๆ ก็เสี่ยงเลอะเทอะ มีน้ำหรือเศษอาหารหล่นลงตามพื้นบ้าง สามารถใช้แผ่นรองกันเปื้อน แบบกันน้ำ 100% ปูรองที่เก้าอี้กินข้าว หรือ ที่โต๊ะอาหารได้ หรือ พกพาไปใช้ที่ร้านอาหารก็สะดวกมากขึ้น เพราะตอนเก็บเศษอาหารเพียงม้วนพับแล้วทิ้งลงขยะได้ทันที ประหยัดเวลา ไม่ต้องหาอุปกรณ์ทำความสะอาดให้ยุ่งยากค่ะ
จุดเด่น
- ขนาดใหญ่ 120 Cm. รองเก้าอี้ทานข้าวเด็กได้หลายแบบ
- BPA FREE ปราศจากสารพิษ ไร้สารเคมี เด็กใช้ได้อย่างปลอดภัย
- เคลือบฟิล์มกันน้ำ 100% ป้อนกันการซึมเปื้อนได้ดี
- Eco Friendly Paper ใช้กระดาษธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้
- ลวดลายน่ารัก เสริมสร้างจินตนาการให้กับลูกน้อย
- 1 กล่อง มี 3 ม้วน / 1 ม้วน มี 10 แผ่น / รวม 30 ชิ้น

2. GRACE KIDS ชุดช้อนส้อมสแตนเลสสำหรับเด็ก
เมื่อลูกน้อยเริ่มหยิบจับอาหารกินเองได้คล่อง ก็ถึงเวลาที่สามารถหัดใช้ช้อนส้อมกินข้าวได้เองแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกช้อนส้อมที่มีคุณภาพดีและไม่เป็นอันตรายแก่ลูกน้อย มีขนาดเหมาะสมกับมือของเด็กเพื่อการหยิบจับที่สะดวกมากขึ้น และอาจเลือกช้อนส้อมที่มีสีสันสวยงามน่าใช้งาน แนะนำเป็นชุดช้อนส้อมสแตนเลสสำหรับเด็กจาก GRACE KIDS ที่จะช่วยฝึกให้ลูกเรารับประทานอาหารด้วยตัวเองและฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กในการหยิบจับของลูกน้อย
จุดเด่น
- ด้ามจับซิลิโคนถูกออกแบบมาให้จับถัดมือลูกน้อย
- ตัวช้อนผลิตจากสแตนเลส คุณภาพดี ขอบช้อนโค้งมนไม่บาดปาก
- มาพร้อมกล่องพกพาสะดวก ช่วยรักษาความสะอาดได้ดี
- มีลวดลายน่ารักทำให้ลูกน้อยสนุกสนานกับการกินอาหาร
- สามารถนำเข้าเครื่องนึ่งขวดนม /เครื่องอบ UV /เครื่องล้างจานได้ ทนความร้อนได้ถึง 220 องศา
- เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป

3. EDISON Octopus ชามซิลิโคนพร้อมฝาปิด
ชามซิลิโคนพร้อมฝาปิดของ Edison Octopus ผลิตจาก Platinum silicone ดีไซน์มุมโค้งทำความสะอาดง่าย วัสดุลดการสะสมของแบคทีเรียได้สูงถึง 99% มีฐานซิลิโคนติดแน่น ไม่ต้องกดไล่อากาศ มาพร้อมฝาปิดในชุด สามารถพกพาออกไปนอกสถานที่ได้โดยไม่หกเลอะเทอะ ที่สำคัญคือมีน้ำหนักเบาและไม่แตกหักง่าย เหมาะสำหรับการฝึกให้ลูกน้อยกินข้าวด้วยตัวเองมากๆ ค่ะ
จุดเด่น
- สามารถใส่อาหารได้ทั้งชามและฝาปิด
- ผลิตจาก Platinum silicone ได้มาตราฐาน FDA และ SGS สัมผัสอาหารได้โดยตรง ปลอดภัยกับเด็ก
- BPA Free, Phthalate Free, Lead Free
- ดีไซน์โค้งมนทำความสะอาดง่าย ช่องใส่อาหารเอียง 5 องศา สามารถตักอาหารได้ง่ายขึ้น
- วัสดุลดการสะสมของแบคทีเรียได้สูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์
- สามารถลวกน้ำร้อน เข้าไมโครเวฟ เครื่องล้างจาน เครื่องอบ UV ทนอุณหภูมิได้ -40 – 200 องศาเซลเซียส มีอายุการใช้งานถึง 5 ปี
- เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านไหนที่สงสัยว่า BLW คืออะไร ก็น่าจะได้คำตอบกันไปแล้วนะคะ การฝึกให้ลูกกินอาหารแบบ BLW เป็นการฝึกให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก โดยเริ่มจากการกินอาหารด้วยตัวเองในมื้อแรกๆ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี ทั้งทางร่างกายและระบบประสาทสัมผัสต่างๆ ช่วยฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดีขึ้น ทำให้มีวินัยในการกินมากขึ้น และอาจส่งผลดีต่อการเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การฝึกให้ลูกกินอาหารแบบ BLW อาจจะไม่เหมาะกับเด็กบางคน หรืออาจจะไม่สะดวกกับผู้ปกครองที่ไม่ได้มีเวลาเตรียมอาหารให้ลูก ซึ่งจะเลือกให้ลูกฝึกกินอาหารแบบไหน ก็อาจจะต้องคำนึงจากสิ่งต่างๆ ร่วมกันค่ะ
ทั้งนี้ หากอยากได้อุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการกินข้าวของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกินข้าวสำหรับเด็ก ถ้วยชาม ช้อนส้อมและอื่นๆ สามารถเข้ามาดูสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อย และคุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมพร้อมคาร์ซีทให้เรียบร้อยก่อนที่ลูกน้อยจะคลอด เพราะเมื่อออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ต้องนั่งคาร์ซีทกลับบ้าน ทั้งเพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยเอง และเพื่อปฏิบัติตามกฏหโมายเรื่องการกำหนดที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดอย่างไรดี ควรเลือกแบบไหน คาร์ซีทสำหรับเด็กมีกี่ประเภท เลือกอย่างไร BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันแล้วค่ะ เลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิด อย่างไรดี ? ต้องรู้อะไร ? เลือกยังไงดี หาคำตอบได้จากบทความนี้ ! คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องเตรียมไว้ให้กับลูกตั้งแต่ก่อนคลอด และควรที่จะให้ลูกได้ใช้ตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากร่างกายของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง ยังไม่สามารถรับแรงกระแทกได้มากเท่าไหร่ อีกทั้งเราไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงควรป้องกันไว้ก่อนและเตรียมความพร้อมในทุกสถานการณ์ คาร์ซีท เด็กแรกเกิด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี ต้องเลือกแบบไหน คาร์ซีท มีกี่แบบ ต้องเลือกอย่างไร ? ในบทความนี้ BabyGift มีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดมาฝากกันค่ะ เรามารู้จักประเภทของคาร์ซีทกันก่อนเลย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดได้ดังนี้ 1. New Born Only : หรือคาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก […]
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหารถเข็นเด็กพับได้ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ในปี 2025 มีตัวเลือกมากมายจนอาจทำให้เลือกลำบาก จากรุ่นพื้นฐานไปจนถึงรุ่นพรีเมียมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี การเลือกรถเข็นเด็กพับได้ที่เหมาะสมจึงต้องคำนึงถึงความแข็งแรง ความสะดวกในการเข็น และฟีเจอร์ที่ตรงกับความต้องการของครอบครัว มาดูกันว่ามีตัวเลือกไหนบ้างที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับการลงทุน รถเข็นเด็กพับได้ ต่างจากรถเข็นเด็กทั่วไปอย่างไร รถเข็นเด็กพับได้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากรถเข็นเด็กทั่วไปอย่างชัดเจน คือ ความสะดวกในการพับเก็บและพกพา น้ำหนักที่เบากว่า และขนาดที่กะทัดรัดเมื่อพับแล้ว ทำให้เหมาะสำหรับครอบครัวที่ชอบเดินทางหรือมีพื้นที่จำกัด ในขณะที่รถเข็นทั่วไปมักเน้นความแข็งแรงและฟีเจอร์ครบครัน แต่ขนาดใหญ่และเคลื่อนย้ายยาก วิธีการเลือกรถเข็นเด็กพับได้ การเลือกรถเข็นเด็กพับได้ให้เหมาะสมต้องพิจารณาหลายปัจจัยสำคัญ เพื่อให้ได้ตัวที่ตรงกับความต้องการและใช้งานได้ยาวนาน เลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก การเลือกรถเข็นเด็กพับได้ตามช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะแต่ละวัยมีความต้องการที่แตกต่างกัน เลือกวัสดุที่แข็งแรง วัสดุที่ใช้ในการผลิตรถเข็นเด็กพับได้มีผลต่อความทนทานและความปลอดภัย ควรเลือกโครงอะลูมิเนียมผสมที่แข็งแรงทนต่อการบิดงอ เบาะที่มีสปริงและฟองน้ำคุณภาพดี ผ้าหุ้มเบาะที่ระบายอากาศได้ดี ล้อทำจากพลาสติก PU ที่ทนทานและลดแรงกระแทก และหลังคาที่ป้องกันแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกวัสดุคุณภาพจะช่วยให้รถเข็นเด็กพับได้ใช้งานได้นานและปลอดภัย เลือกที่มีมาตรฐานระดับสากล รถเข็นเด็กพับได้ที่ดีควรมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล พร้อมระบบความปลอดภัยที่รัดกุม ระบบล็อกโครงรถเข็นที่มั่นคง เข็มขัดนิรภัยที่ใช้งานง่าย และระบบล็อกล้อหลังที่ป้องกันการลื่นไถล การมีมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยของลูกน้อย เลือกที่มีฟังก์ชันเพิ่มเติม ฟีเจอร์พิเศษของรถเข็นเด็กพับได้ที่น่าสนใจ ได้แก่ การปรับเอนได้หลายระดับ ระบบเข็นแบบ 2 ทิศทาง หลังคาพร้อมหน้าต่างระบายอากาศ และช่องเก็บของขนาดใหญ่ ฟังก์ชันเหล่านี้จะเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพการใช้งาน ทำให้รถเข็นเด็กพับได้ตอบโจทย์การใช้งานได้มากขึ้น แนะนำ 8 รถเข็นเด็กพับได้ คุณภาพดีจาก BabyGift […]
เปลนอนทารก ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมาก ๆ สำหรับทารก ที่ต้องเตรียมซื้อตั้งแต่ก่อนคลอด เพราะทารกวัย 0-9 เดือน จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนและอยู่บนที่นอน ดังนั้น ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเลือกเปลนอนทารกให้ลูกน้อย ควรเลือกดูจากหลาย ๆ ด้าน เช่น ความปลอดภัย การระบายอากาศ ฟังก์ชั่นการใช้งาน รวมถึงอายุการใช้งาน เพราะการเลือก เปลนอนทารก ที่ไม่เหมาะสมกับทารกอาจส่งผลถึงเสียถึงชีวิตของลูกน้อยได้ วิธีเลือกเปลนอนทารกให้ลูกน้อย เปลนอนทารกมีกี่แบบ มีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง ? 1. เปลนอนทารก BEDSIDE CRIB แบบชิดเตียงแม่ เป็นเตียงสำหรับทารกแรกเกิด ที่มีฟังก์ชั่นเปิดด้านข้างเตียงเพื่อต่อชิดกับเตียงของคุณพ่อคุณแม่ได้ ทำให้สะดวกในการดูแลลูกน้อยมากขึ้น ข้อดีเตียง Bedside Crib ข้อเสียเตียง Bedside Crib 2. เตียงไม้ เป็นเตียงที่ถูกออกแบบมาเพื่อความแข็งแรง เน้นการใช้งานแบบคุ้มค่า ใช้ได้ในระยะยาวหลายปี สามารถรองรับน้ำหนักได้มาก ข้อดีเตียงไม้ ข้อเสียเตียงไม้ 3. เปลนอนทารกแบบ PLAYPEN เตียงนอนทารกปรับฟังก์ชั่นเป็นคอกกั้นให้ลูกน้อยได้ ฝึกพัฒนาการคลาน ยืน เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณแม่ ข้อดี Playpen ข้อเสีย Playpen 4. เปลไกวไฟฟ้า เป็นเตียงที่ได้ความนิยมมาก เพราะปรับการใช้งานได้หลายแบบ พร้อมไกวอัตโนมัติกล่อมลูกหลับได้ง่ายและสนิทมากขึ้น ถือว่าเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงลูกน้อยได้ดี ข้อดีเปลไกวไฟฟ้า ข้อเสียเปลไกวไฟฟ้า เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบถึงข้อดีและข้อแตกต่างของเปลทารกแต่ละประเภทแล้ว เบบี้ กิ๊ฟ มีเปลนอนทารกรุ่นขายดีที่สุด มาแนะนำคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ […]
” ลูกติดเต้า ไม่ยอมใช้ขวดนมเลย ทำอย่างไรดี ? เริ่มให้ลูกหย่านมจากเต้า มาฝึกใช้ขวดนมเมื่อไหร่ดี ? ” อีกคำถามที่แม่ๆหลายคนมักเจอตอนลูกน้อยอายุ 1 ขวบ โดยเฉพาะคุณแม่ที่เลี้ยงลูกน้อยด้วยนมจากเต้าเพียงอย่างเดียว วันนี้ BabyGift มีเคล็ดไม่ลับมาฝากแม่ๆกันค่ะ ต้องขอเกริ่นก่อนว่า ความจริงแล้วการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้วยคุณค่าของน้ำนมความอบอุ่นและอื่นๆ แต่เมื่อลูกรักโตขึ้น หลายคนที่ดูดนมแม่จากเต้าจนติด หรือที่เรียกว่า ” ลูกติดเต้า “ งอแงไม่ยอมกินนมจากขวด เวลาที่คุณแม่ต้องออกไปทำงานหรืออยู่นอกบ้าน การให้นมแม่จากขวดนม หรือการเริ่มหย่านมแม่ มักจะเกิดปัญหาตามมาเพราะลูกไม่ยอมกินนมจากขวด งอแงร้องไห้ จนเกิดปัญหาการกินกับลูกได้ และปัญหาการใช้ชีวิตของคุณแม่เอง ฉะนั้นมาดูกันเลยค่ะว่าจะมีเทคนิคแบบไหน ที่สามารถทำให้ลูกได้ฝึกกินนมจากขวดได้ โดยไม่หักดิบ ไม่ทำให้ลูกร้องไห้งอแง หงุดหงิดเสียใจ คุณแม่เองก็ไม่ต้องเครียดไปด้วย ตามมาดูกันเลยค่ะ 8 ทริค ฝึกลูกดูดนมขวดแบบแฮปปี้ 1 ) ค่อยๆ ฝึก ไม่บังคับลูกเพราะการดูดขวดคือทักษะใหม่ของลูกรักที่เคยแต่ดูดนมแม่จากเต้ามาตลอด จนกลายเป็นว่า ลูกติดเต้า รวมถึงวิธีการดูดนมจากขวดกับการดูดนมจากเต้าก็มีความแตกต่าง จึงต้องอาศัยเวลาให้ลูกปรับตัวและฝึกฝน รวมถึงลูกรักเองก็ต้องใช้สมาธิในการดูดมากขึ้นในช่วงแรก ฉะนั้นการทำความเข้าใจไม่บังคับ และให้ลูกได้ลองฝึกในสิ่งแวดล้อมที่เงียบและสงบค่อย […]
หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้ เมื่อมี กฎหมายคาร์ซีท ออกมาแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องมองหาคาร์ซีทให้ลูกอย่างจริงจังเลยใช่ไหมคะ แล้วคาร์ซีทแบบไหนเหมาะสำหรับลูกเรา แบบไหนปลอดภัยกว่า วันนี้ Baby Gift ได้รวบรวมข้อมูลมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมความพร้อมแล้วค่ะ ไปดูกันเลย หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 […]
สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ส่วนใหญ่การทำความสะอาดขวดนม จะใช้วิธีการต้ม หรือนึ่ง โดยเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนสูง ซึ่งเหมาะกับพาชนะที่เป็นแก้ว หรือซิลิโคน ส่วนขวดนมแบบพลาสติกการใช้ความร้อนสูงมากๆ ทุกวันจะทำให้ขวดนมพลาสติกและจุกนมเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ และเกิดการปล่อยสารต่างๆ ออกมาจากพลาสติกนั้น เช่น สารพวกโพลีเมอร์ หรือฟอร์มัลดีไฮด์ปนเปื้อนออกมาจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพ แถมยังทิ้งไอน้ำไว้ที่ก้นขวด ซึ่งไอน้ำนี้อาจมีเชื้อแบคทีเรียแฝงอยู่ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้มีการคิดค้นการฆ่าเชื้อโรค โดยรังสี UV ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดนมพลาสติก ยางกัด จานชาม หรือแม้แต่อุปกรณ์อเลกทรอนิก มาทำความรู้จักกับ หลอดรังสี UV-C ที่หลายคนสงสัยว่า ฆ่าเชื้อโรคได้จริงไหม? รังสี UV คืออะไร แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 2 ส่วนคือ รังสีที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นรังสีที่มองเห็นได้ จะมี 7 สี แต่จะสามารถเห็นต่อเมื่ออากาศมีความชื้นสูง รังสีจากดวงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำในอากาศ เราจะสามารถมองเห็นสีทั้ง 7 ได้ ที่เรียกว่า “รุ้งกินน้ำ” นั่นเอง รังสีที่มองไม่เห็น คือพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากดวง อาทิตย์ มี 2 ส่วนคือ สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ […]








