แชร์วิธีห่อตัวเด็กทารก ทำตามง่าย ลูกน้อยหลับสบาย ลดสะดุ้ง !

หลาย ๆ คนที่เคยไปฝึกอบรมเข้าคอร์สคุณพ่อคุณแม่มือใหม่มานั้น นอกจากการสาธิตวิธีการอุ้ม วิธีการอาบน้ำเด็กแรกเกิด และวิธีดูแลเด็กเล็กในเรื่องต่างๆ แล้ว การฝึกห่อตัวทารกก็เป็นทักษะที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรรู้เช่นกัน การห่อตัวเด็กเล็กนั้นจะช่วยให้เด็กรู้สึกสบายตัว และรู้สึกปลอดภัย คล้ายกับยังอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ การห่อตัวเด็กเล็กจึงช่วยให้ลูกนอนหลับได้ง่าย ทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องมี วิธีห่อตัวเด็ก อย่างถูกต้องด้วย ทำได้อย่างไร มาดูกันเลยค่ะ
แชร์ วิธีห่อตัวเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ทำตามได้จริง
นอกจากความสำคัญของการห่อตัวเด็กแล้ว ในบทความนี้ BabyGift จะพามารู้จักวิธีห่อตัวทารกในแบบต่าง ๆ รวมถึงตอบคำถามเกี่ยวกับการห่อตัวเด็ก และแนะนำผ้าห่อตัวเด็กคุณภาพดีให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กันค่ะ ตามมาอ่านเรื่องนี้กันได้ในบทความนี้เลยนะคะ
ทำไมถึงต้องห่อตัวเด็กเล็ก ? การห่อตัวเด็กจำเป็นหรือไม่ ?

การห่อตัวเด็กแรกเกิดนั้นจะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ ทั้งยังช่วยกระชับแขนขา ช่วยลดอาการสะดุ้งตกใจจากเสียงดัง และยังช่วยรักษาความอบอุ่นให้กับลูกน้อย ทำให้ลูกไม่หนาวและนอนหลับได้นานขึ้น ทั้งยังทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เสมือนอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ ให้ความรู้สึกว่ากำลังถูกโอบกอดอยู่ ในเด็กบางคนที่ผวาตื่นได้ง่ายหรือนอนสะดุ้งบ่อย ๆ วิธีห่อตัวเด็กอย่างถูกวิธีก็จะทำให้นอนหลับได้นานขึ้น ร่วมกับการกล่อมลูกนอนด้วย White noise อย่างเสียงน้ำไหล เสียงฝนตก เสียงลมธรรมชาติ ก็จะทำให้ลูกหลับสนิทและผ่อนคลายได้มากขึ้น ส่งผลให้ลูกนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ค่ะ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องรู้วิธีห่อตัวเด็กอย่างถูกต้องด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าห่อตัวผิดวิธี ก็อาจส่งผลเสียต่อลูกน้อยได้ ซึ่งการห่อตัวเด็กทารกโดยหลัก ๆ แล้ว มีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน แต่ละวิธีจะนั้นจะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ
วิธีห่อตัวทารก แบบต่าง ๆ มีอะไรบ้าง ?
ก่อนจะไปดูวิธีห่อตัวเด็กเล็ก อันดับแรกที่จำเป็นต้องมีก็คือ ผ้าสำหรับห่อตัวลูกนั่นเอง ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งผ้าอ้อมหรือผ้าขนหนู โดยแนะนำให้เลือกเป็นผ้าที่มีผิวสัมผัสนุ่มละมุน ทำให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัว ส่วนความหนาของผ้านั้น ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพอากาศ มีขนาดที่ใหญ่พอดีจนสามารถห่อตัวเด็กเล็กได้ และเมื่อห่อตัวเรียบร้อยแล้วจะต้องมีความกระชับ ไม่เลื่อนหลุดขณะลูกดิ้นหรือขยับตัว เตรียมผ้ากันเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาดูขั้นตอนการห่อตัวเด็กพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
1. ห่อตัวแบบคลุมศีรษะ
วิธีห่อตัวเด็กแบบคลุมศีรษะ เหมาะสำหรับการพาลูกน้อยออกไปนอกสถานที่ เช่น ไปโรงพยาบาล หรือไปทำธุระนอกบ้าน จะช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยได้มากขึ้น ทำได้ดังนี้ค่ะ

- ขั้นตอนแรก วางผ้าลงกับเตียงหรือเบาะนอนโดยให้มุมผ้าชี้ขึ้นด้านบน แล้วพับมุมผ้าลงให้เป็นรูปสามเหลี่ยม
- วางตัวลูกน้อยให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าขอบชายผ้าเล็กน้อย
- นำผ้ามาคลุมศีรษะลูกให้แนบไปตามลำตัว และจัดแขนของลูกข้างใดข้างหนึ่งให้แนบลำตัว
- พับชายผ้าให้มาอีกฝั่ง โดยให้ผ้าห่มทับลำตัวของลูกน้อย และเหน็บชายผ้าไว้ใต้รักแร้ของลูก กระชับผ้าให้พอดี
- ทำอีกด้านให้เหมือนกัน โดยเหน็บผ้าไว้ใต้ลำตัวของลูกน้อย
- จับชายผ้าด้านล่างมัดขมวดเป็นปม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
2. ห่อตัวแบบเปิดศีรษะ
วิธีห่อตัวทารกแบบเปิดศีรษะ ใช้สำหรับการพาลูกน้อยออกจากโรงพยาบาลหลังคลอด หรือเวลาห่อตัวอยู่บ้าน เป็นต้น

- ขั้นตอนแรก วางผ้าลงบนเตียงหรือเบาะนอนโดยให้มุมผ้าชี้ขึ้นด้านบน แล้วพับมุมผ้าลงให้เป็นรูปสามเหลี่ยม
- วางตัวลูกน้อยลงบนผ้า โดยให้ชายผ้าอยู่ในระดับไหล่ของลูก
- ให้แขนของลูกน้อยอยู่แนบลำตัว และพับผ้ามาอีกฝั่ง จากนั้นนำแขนอีกหนึ่งข้างทับผ้าไว้
- พับผ้าอีกด้านให้ทาบตัวของลูกน้อย เก็บชายผ้าโดยการสอดใต้ลำตัวของลูก
- จับชายผ้าด้านล่างมัดขมวดเป็นปม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
3. ห่อตัวแบบเปิดแขนข้างใดข้างหนึ่ง
วิธีห่อตัวเด็กแบบนี้ เหมาะสำหรับการเจาะสายน้ำเกลือ ฉีดยา หรือจำเป็นต้องตัดเล็บ ซึ่งเป็นการเปิดแขนออกมาจากผ้า 1 ด้าน เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการทำหัตถการทางการแพทย์ วิธีการคล้ายๆ แบบที่ 2 แต่ต่างกันเล็กน้อยทำได้ดังนี้ค่ะ
- ขั้นตอนแรก วางผ้าลงบนเตียงหรือเบาะนอนโดยให้มุมผ้าชี้ขึ้นด้านบน แล้วพับมุมผ้าลงให้เป็นรูปสามเหลี่ยม
- วางตัวลูกน้อยลงบนผ้า โดยให้ชายผ้าอยู่ในระดับไหล่ของลูก
- จับแขนของลูก 1 ข้างให้แนบชิดลำตัว และจับชายผ้าพาดมาอีกฝั่งหนึ่งให้อยู่ใต้รักแร้ของลูกพอดี และจับแขนของลูกทับผ้าไว้
- พับผ้ามาอีกฝั่ง โดยให้ผ้าสอดไว้ที่ใต้แขนของลูก เพื่อให้แขนอีกด้านสามารถอยู่นอกผ้าห่อตัวได้
- เก็บชายผ้าโดยการสอดใต้ลำตัวของลูก และจับชายผ้าด้านล่างมัดขมวดเป็นปม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
แล้วพ่อแม่ควรห่อตัวเด็กเล็กจนถึงกี่เดือน ?

โดยปกติแล้ว สามารถห่อตัวลูกน้อยของเราได้ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุไม่เกิน 3 สัปดาห์ เพราะถ้าเริ่มโตขึ้นก็จะขยับเคลื่อนไหวตัวมากขึ้น และอาจจะเริ่มพลิกตะแคง พลิกคว่ำ ซึ่งถ้าหากห่อตัวในช่วงที่เด็กสามารถพลิกตัวหรือคว่ำเองได้แล้ว อาจเสี่ยงต่อการหลับไหลตาย (Sudden Infant Death Syndrome : SIDS) เพราะการคว่ำทำให้หน้าจมลงที่นอน ส่งผลให้ทารกหายใจไม่ออก ทั้งยังไม่สามารถพลิกกลับมานอนหงายได้เอง และการพันผ้าห่อตัวลูกน้อยก็อาจทำให้ถูกรัดแน่น ขยับดิ้นไม่ได้ ทำให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ค่ะ ดังนั้นแล้ว ถ้าสังเกตว่าลูกเริ่มขยับมากขึ้นหรือพลิกตะแคง พลิกคว่ำได้เองแล้ว ควรเลิกห่อผ้าให้ลูกน้อย เพื่อเป็นการป้องกันเหตุไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้
แจกเคล็ดลับดีๆ วิธีห่อตัวเด็ก ให้ปลอดภัย
- ควรให้ลูกน้อยนอนหลับในท่านอนหงาย เฝ้าดูลูกเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าลูกไม่พลิกตัวนอนคว่ำหรือนอนตะแคงข้างในระหว่างที่ถูกห่อตัวขณะนอนหลับ
- จัดผ้าปูที่นอน และผ้ารองนอนบนเตียงให้ตึงอยู่เสมอ เพราะผ้าปูที่นอนหรือผ้ารองนอนที่ย่น รวมถึงผ้าห่อตัวเด็กที่พันไว้อย่างหลวมๆ อาจหลุดออกและไปอุดปากอุดจมูกของเด็ก ซึ่งอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้
- วัสดุรองนอนของลูกไม่ควรนิ่มจนบุ๋มเป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้หายใจไม่สะดวก ทั้งนี้ ควรแยกที่นอนของลูกน้อยออกจากเตียงของพ่อแม่ เพื่อป้องกันการนอนทับลูก หรือเกิดอุบัติเหตุอื่นๆ ที่ไม่คาดคิด
- ควรสังเกตลูกน้อยในระหว่างที่ห่อตัวนอนหลับอย่างสม่ำเสมอ เพราะการห่อตัวอาจทำให้อุณหภูมิร่างกายของลูกสูงกว่าปกติ หากลูกมีเหงื่อออกตามตัว ผมเปียกชื้น แก้มแดงกว่าปกติ มีผื่นขึ้นเพราะอากาศร้อน ควรคลายผ้าห่อตัวออก เพราะอาจทำให้เด็กไม่สบายตัวได้
BabyGift แนะนำผ้าห่อตัวเด็กคุณภาพดี ให้ลูกน้อยหลับสบาย

1. ผ้าห่อตัวใยเทนเซล GRANNY BEN
ผ้าห่อตัวใยเทนเซล (Tencel Muslin Swaddle Cloth) เป็นผ้าห่อตัวอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ มีขนาด 47 x 47 นิ้ว ใช้งานได้อย่างหลากหลาย พร้อมหูคล้องสองด้านสำหรับแขวนกันตกหรือตากแห้ง ใช้ห่อตัวเด็กเพื่อกันสะดุ้ง คลุมให้นม เช็ดตัวหลังอาบน้ำ ใช้ห่มนอน ปูรองนอน คลุมกันแดด รองนั่งรถเข็น หรือคาร์ซีท นำมาใช้ได้สารพัดประโยชน์ ตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ

2. ผ้าห่อตัวเด็ก BABY & CO.
นอกกจากจะต้องรู้วิธีห่อตัวเด็กอย่างถูกต้องแล้ว การเลือกใช้ผ้าห่อตัวที่นุ่มสบายและมีคุณภาพดีก็สำคัญต่อลูกน้อยเช่นกัน หากคุณแม่ท่านใดอยากได้ผ้ามัสลินสำหรับห่อตัวเด็กแรกเกิด ขอแนะนำอีกหนึ่งยี่ห้อของ BABY & CO. เนื้อผ้าเนียนนุ่มให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัว ซึมซับรวดเร็ว แห้งไว นอกจากนี้ ยังมีขนาดใหญ่ถึง 47 นิ้ว ครอบคลุมทุกการใช้งานทั้งคุณแม่และลูกน้อย

3. ผ้าห่อตัวสาลูใยไผ่ NAPPI
ผ้าห่อตัวสาลูใยไผ่จาก NAPPI ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ลูกน้อยหลับง่าย ลดการร้องไห้และผวาตื่น ให้สัมผัสนุ่มสบายกว่าผ้าสาลูทั่วไป ระบายอากาศดีมาก ดูดซับความชื้น เหงื่อ และซับน้ำได้ดี ช่วยให้ลูกน้อยแห้งสบายตัว เหมาะสำหรับลูกน้อยที่มีผิวบอบบาง มีขนาดใหญ่ 47 X 47 นิ้ว ใช้ได้สารพัดประโยชน์ทั้งห่อตัว ห่ม ปูรองนอน เช็ดตัว คลุมให้นม พิมพ์ด้วยสี Non-Toxic ปราศจาก AZO-DYE ไม่มีสาร Phthalate ฟอร์มาลดีไฮด์ และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย
วิธีห่อตัวเด็กอย่างถูกต้องนั้น จะช่วยให้ลูกน้อยหลับสบายได้มากขึ้น ลดอาการสะดุ้งและอาการผวาขณะนอนหลับได้ เพราะการห่อตัวทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย คล้ายกับการอยู่ในครรภ์คุณแม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกน้อยโตขึ้นจนไม่สามารถห่อตัวได้แล้ว หากอยากให้ลูกน้อยนอนหลับได้ง่ายขึ้นและหลับได้ยาวนานขึ้น การใช้เปลไกวทารกก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับการกล่อมลูกนอนค่ะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังชั่งใจว่าจะเลือกเปลไกวแบบหน้า-หลัง หรือไกวแบบซ้าย-ขวา เลือกแบบไหนดี ? BabyGift มีเขียนบทความเรื่องนี้เอาไว้ อ่านเพิ่มเติมได้เลยนะคะ หรือหากต้องการอุปกรณ์ของใช้เด็กอ่อนอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขาใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
อ้างอิงที่มาข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.youtube.com/watch?v=ZySzj_w2rd0
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
เมื่อต้องเดินทางหรือท่องเที่ยวพร้อมกับลูกวัยเบบี๋ อาจทำให้คุณแม่หลายๆ บ้านกังวลใจในการ พาลูกขึ้นเครื่อง ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพอนามัยความปลอดภัย ลูกน้อยจะเดินทางไหวไหม? ต้องเตรียมของใช้อะไรไปบ้าง? ลูกเดินทางได้อายุเท่าไร? มีอะไรที่เอาขึ้นเครื่องบินไปได้หรือไม่ได้บ้าง? จะนั่งตรงไหนให้ปลอดภัยเลี้ยงลูกได้สะดวก? ลูกหิวหรือร้องงอแงจะทำอย่างไรได้บ้างนะ? ทุกเรื่องที่คุณแม่กังวลใจจัดการได้ไม่ยาก แค่เพียงทำตามข้อมูลและคำแนะนำเหล่านี้ค่ะ 4 เรื่องต้องรู้ก่อน พาลูกขึ้นเครื่องบิน เมื่อคุณแม่รู้ว่าจะต้องเพินทางพร้อมลูกวัยเบบี๋ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการหาข้อมูล สอบถามกฎและรายละเอียดจากสายการบิน และวางแผนการเดินทางและอุปกรณ์ของใช้ให้ครบถ้วน อาทิ » หาข้อมูลก่อนเดินทาง ตรวจสอบกับสายการบิน ว่าอายุเด็กทารกที่เดินทางได้คือเท่าไร เพราะแต่ละสายการบินอาจมีข้อกำหนดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตามความจริงและพัฒนาการของเบบี๋แล้ว ควรให้ลูกอายุประมาณ 3-4 เดือนขึ้นไปจึงเดินทางได้เพื่อสุขภาพ สุขอนามัยและความปลอดภัย แต่หากมีความจำเป็นก็สามารถพาลูกเล็กขึ้นเครื่องบินได้ โดยบางสายการบินเด็กทารกที่เดินทางได้ต้องอายุไม่น้อยกว่า 7 วัน หรือบางสายการบินอาจให้ทารกอายุตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป หรืออาจอนุญาตให้อายุน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ สอบถามหาข้อมูลเรื่องการจองตั๋ว การเลือกที่นั่ง และค่าโดยสารสำหรับเด็กเล็ก แจ้งสายการบินล่วงหน้า สอบถามเรื่องเอกสารที่ต้องใช้สำหรับเด็ก ศึกษาข้อบังคับและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บนเครื่องบิน สอบถามหรือหาข้อมูลข้อกำหนดต่างๆ ในการขึ้นเครื่องบิน ว่าสามารถนำอุปกรณ์ของใช้อะไรบ้าง ที่ขึ้นเครื่องบินเพื่อดูแลลูกทารกระหว่างการเดินทางได้ เช่น » เตรียมพร้อมอุปกรณ์ของใช้ในการเดินทางให้ลูกทารก รถเข็นเด็ก […]
การมีน้ำนมให้ลูกน้อยกินอย่างเพียงพอเป็นความปรารถนาของคุณแม่ทุกคน แต่การให้นมจากเต้าอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแม่ยุคใหม่ การปั๊มนมแม่จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ลูกได้กินนมแม่แม้คุณแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ วันนี้ BabyGift จะมาแชร์เทคนิคการปั๊มนมแม่ให้ถูกวิธีและเกลี้ยงเต้า ที่จะช่วยให้คุณแม่มือใหม่มีน้ำนมเก็บสำรองอย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป การปั๊มนมคืออะไร การปั๊มนมแม่ คือการนำน้ำนมออกจากเต้าเพื่อเก็บสำรองไว้ให้ลูกน้อยสำหรับมื้อต่อไป โดยสามารถใช้มือบีบหรือใช้เครื่องปั๊มนมเป็นตัวช่วยก็ได้ การปั๊มนมเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณแม่สามารถจัดการเวลาได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่ต้องให้นมจากเต้าลูกน้อยตลอดเวลา และยังช่วยให้คนในครอบครัวสามารถช่วยป้อนนมได้ในยามที่แม่ไม่สะดวกอีกด้วย การปั๊มนมกับคุณแม่สำคัญอย่างไร การปั๊มนมแม่ มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อตัวคุณแม่และลูกน้อย สำหรับลูก การได้รับน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ส่วนคุณแม่เองก็จะได้ประโยชน์จากการปั๊มนมโดยตรง เช่น การป้องกันเต้านมคัดตึง การรักษาระดับน้ำนมให้คงที่และเพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยให้คุณแม่ประหยัดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหิว คุณแม่ควรเริ่มปั๊มนมตอนไหน ระยะเวลาในการเริ่มการปั๊มนมแม่ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการของคุณแม่แต่ละคน คุณแม่บางคนอาจเริ่มปั๊มนมทันทีหลังคลอดเพื่อกระตุ้นน้ำนม ในขณะที่บางคนอาจรอให้ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ หรือเริ่มเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงาน ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณแม่มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกน้อย ซึ่งควรเริ่มฝึกการปั๊มนมแม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและสร้างน้ำนมได้อย่างต่อเนื่อง 7 เทคนิคการปั๊มนมที่คุณแม่เตรียมคลอดควรรู้ การเรียนรู้เทคนิคการปั๊มนมแม่ตั้งแต่ก่อนคลอดจะช่วยให้คุณแม่มือใหม่มีความมั่นใจและพร้อมรับมือกับการให้นมลูกได้ดียิ่งขึ้น 1. ปั๊มนมทันทีภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หลังคลอดทันทีถือเป็นช่วงเวลาทองในการเริ่มต้นการปั๊มนมแม่ หากลูกน้อยยังไม่สามารถเข้าเต้าได้ คุณแม่ควรเริ่มปั๊มภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หรือช้าที่สุดไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง การปั๊มนมแม่ในช่วงนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมและทำให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะผลิตน้ำนมออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ […]
หมอเด็กเค้าเลือกคาร์ซีทแบบไหนให้ลูกตัวเอง….อยากรู้ต้องคลิ๊ก ก่อนซื้อคาร์ซีทให้ลูก ถ้าไปอ่านหนังสือ ก็จะรู้ว่าคาร์ซีท (carseat) มี 4 แบบ (ซึ่งเอาเข้าจริงรู้จริงๆ ตอนมีลูก 55555 ก่อนนั้นรู้แต่ทฤษฎี) คือ แน่นอนในตลาด มี option มากมายไว้หลอกลวงพ่อแม่ขาช้อป 5555 ทั้งแบบตระกร้าที่ยกเข้าออกได้เลย หรือ ประกอบลง stroller (รถเข็น) ได้เลย…. เอาที่สบายใจ 555 เอาหลักในการเลือกของพ่อหมอเลยแล้วกัน 555 ไม่ว่าอะไรก็ตาม เน้นใช้ได้ยาวๆ เป็นหลัก แน่นอน convertible เป็นแบบที่เลือกแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะใช้ได้นานดี อย่างน้อยๆ ก็สามสี่ปี อีแบบตระกร้าเนี่ยใช้ได้ปีเดียวก็ต้องเปลี่ยนละ ไม่ไหว พ่อไม่ค่อยมีตังค์ (ต้องเอาไปซื้อของไร้สาระอื่นๆ อีก 55555) ยังๆ ยังไม่จบ เลือกชนิดแล้ว ต้องมาเลือก options อีก ตัวเลือกเรามีดังนี้ เน้นหลัก 3 ข้อในการใช้คาร์ซีท carseat โดย […]
หากคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ นอกจากจะรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของร่างกายมากมาย จนตัวเองเปลี่ยนไปเป็นคุณแม่ท้องโตใหญ่อุ้ยอ้ายแล้ว ยังมีอาการต่างๆ ที่ทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบายตัวอื่นๆ อีก ซึ่งคุณแม่หลายท่านอาจจะคิดว่าอาการไม่สบาย ปวดโน่นนี่นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ทว่า…อาการปวดในบางอย่างนั้น อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บอกถึงภาวะเสี่ยงและโรคแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยเฉพาะอาการปวดท้องผิดปกติ เราจึงชวนคุณแม่มาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์ที่ชวนน่าสงสัย เพื่อให้คุณแม่รู้ว่าอาการแบบไหนที่ผิดปกติ จะได้สังเกตและรู้ทันอันตราย รีบไปพบแพทย์ก่อนอาการจะรุนแรงลุกลามบานปลายจนเกิดการสูญเสียขึ้นได้ค่ะ สังเกตอาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์ มาดูกันว่าอาการปวดท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ เกิดจากอะไรกันบ้าง 1. ปวดท้อง แน่นท้อง จุกเสียดกลางอก อาจเป็นอาการของ กรดไหลย้อน หรือกระเพาะอาหารอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารมาก อาหารไม่ย่อย ทำให้มีอาการแน่นท้อง หรือมีกรดไหลย้อนกลับไปที่หลอดอาหาร โดยมีอาการร่วมต่างๆ เช่น แสบร้อนกลางอก ลิ้นปี่ ลำคอ มีอาการคลื่นไส้ เรอ แน่นหน้าอก ที่มักเกิดขึ้นหลังจากทานอาหาร หรือในช่วงเวลากลางคืน สาเหตุของอาการจุกเสียดแน่นท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ เกิดได้ทั้งจากการกินอาหารมากเกินไป กินอาหารรสจัด รสเปรี้ยว รสเผ็ด กินผลไม้ที่มีกรด เช่น มะนาว กินอาหารที่ไขมันสูงทำให้ย่อยยาก สาเหตุจากฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ที่เปลี่ยนแปลงทำให้กล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเกิดการคลายตัว รวมถึงลูกในท้องที่ใหญ่ขึ้นไปดันท้องคุณแม่ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้น ป้องกันดูแลได้ : ด้วยการกินอาหารทีละน้อยๆ แต่บ่อยมื้อ เลี่ยงอาหารรสเผ็ด […]
การดูแลตัวเองในช่วงให้นมเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถสร้างน้ำนมได้อย่างเพียงพอ ซึ่งนอกจากวิธีต่างๆ ที่จะช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่แล้ว การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมด้วยอาหารการกินก็จะทำให้แม่มีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถให้นมลูกได้อย่างปลอดภัยและเต็มที่อีกด้วย ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะชวนคุณแม่มาดูแลตัวเองในช่วงให้น้ำนม ตามมาดูกันค่ะ ว่าคุณแม่ให้นมควรกิน หรือไม่ควรกินอะไรบ้าง เช็กลิสต์ให้นมลูก ห้ามกินอะไรบ้าง ? ชวนคุณแม่เช็กกินอะไรได้บ้าง ช่วงให้นม ! นอกจากการดูแลตัวเองแบบพื้นฐาน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายที่ไม่หนัก เช่น เดิน โยคะ ว่ายน้ำ ดูแลจิตใจให้ไม่เครียด รวมถึงการเลี่ยงสารเสพติดทุกชนิดแล้วนั้น คุณแม่ที่ให้นมลูก ห้ามกินอะไรอีกบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม ลองมาดูรายละเอียดกันต่อดีกว่าค่ะ ให้นมลูก ห้ามกินอะไรบ้าง ? อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงให้นมมีอะไรกันบ้าง BabyGift เตรียมข้อมูลมาให้ด้วยกัน 7 ข้อ แต่ละข้อมีรายละเอียดยังไงมาดูกันค่ะ แล้วให้นมลูก ควรกินอะไร ? สำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกนั้น นอกจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพิ่มพวกโปรตีน ธัญพืช แป้งไม่ขัดสี กินผลไม้ และดื่มน้ำให้มากพอแล้วนั้น […]
อายุครรภ์คืออะไรกันนะ? เมื่อตั้งท้อง สิ่งหนึ่งที่เป็นคำถามยอดฮิตเลยก็คือ “ท้องกี่เดือน” หรือ “คลอดเมื่อไหร่” การที่เราจะตอบคำถามพวกนี้ได้นั้นเราจะต้องทราบอายุครรภ์ของเราก่อนค่ะ พูดง่าย ๆ อายุครรภ์ก็คือระยะเวลาที่ลูกของเราได้อยู่ในท้องของเรามา แต่ถ้าหากจะพูดให้ดูมีหลักการหน่อยแล้ว อายุครรภ์ก็คือระยะเวลาที่นับตั้งแต่วันแรกของรอบเดือนล่าสุดของเรามาจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วนั้น อายุครรภ์ที่นับจนถึงกำหนดคลอดควรจะเท่ากับ 40 สัปดาห์โดยประมาณค่ะ เราจะรู้อายุครรภ์ของเราได้อย่างไร? 1. การตรวจภายในโดยวัดขนาดของมดลูก ฟังดูน่ากลัวนิดนึงใช่มั้ยคะ วิธีนี้สามารถกะอายุครรภ์โดยประมาณของคุณแม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำเท่าไหร่หรอกนะ เพราะว่าเด็กแต่ละคนตัวใหญ่เล็กไม่เท่ากัน อาจมีคลาดเคลื่อนบ้าง 2. การอัลตราซาวด์ วิธีการตรวจแบบนี้จะตรวจได้เมื่อตอนอายุครรภ์สัก 5-6 สัปดาห์ขึ้นไป ส่วนถ้าอยากได้ผลแม่น ๆ หน่อยก็อาจจะมาตรวจช่วง 8-18 สัปดาห์ก็ได้นะ สำหรับวิธีนี้คุณหมอก็จะใช้วิธีการวัดขนาดของมดลูกเช่นกัน แต่จะเป็นการวัดผ่านการทำอัลตราซาวด์ แม้จะไม่ได้ตรงเป๊ะแบบ 100% แต่ก็ไม่คลาดเคลื่อนมากค่ะ 3. การนับรอบเดือน การนับรอบเดือนจะสามารถใช้ได้กับคุณแม่ที่มีรอบเดือนแบบมาสม่ำเสมอ ตรงกันทุกเดือน สามารถนับได้โดยการนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุด ให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันแรกของการตั้งครรภ์ค่ะ วันนี้คุณแม่ไปพบคุณหมอครั้งแรก คุณหมอจะประเมินวันคลอดคร่าว ๆ ด้วยการนับรอบเดือนแบบนี้แหละ เพราะงั้นทางที่ดี เราควรจะจดรอบเดือนของเราทุกเดือนนะ เราทราบอายุครรภ์กันเพื่ออะไร? การทราบอายุครรภ์นั้นมีประโยชน์แน่นอนค่ะ อย่างแรกคือเราก็จะทราบได้ว่าเราจะคลอดเมื่อไหร่หรือประมาณช่วงไหน จะได้เตรียมตัวได้ถูก […]






