เลือกโต๊ะกินข้าวเด็ก ต้องดูอะไรบ้าง ? แจกวิธีเลือกโต๊ะแบบตัวเดียวจบใช้ได้จนโต !

เมื่อลูกน้อยถึงวัยเริ่มกินอาหารเสริมนอกจากนมแม่ ซึ่งก็คือในช่วงอายุ 6 เดือนขึ้นไป หากลูกเริ่มนั่งได้เก่งขึ้น สามารถนั่งได้เองโดยที่ไม่ต้องประคอง และเริ่มชอบเอามือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ เข้าปาก นั่นแสดงว่าลูกน้อยของเราพร้อมที่จะกินอาหารเสริมได้แล้ว ในบางบ้านอาจจะคุ้นเคยกับการเตรียมอาหารเด็กอ่อนโดยการปั่นหรือบดละเอียดและป้อนให้ลูก แต่หลาย ๆ บ้านก็อาจจะใช้วิธีฝึกให้ลูกกินอาหารด้วยตัวเองที่เรียกว่า BLW (Baby-Led Weaning) แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม อุปกรณ์สำคัญอย่างโต๊ะกินข้าวเด็กก็เป็นของที่ต้องมี และถ้าเลือกให้ดีก็จะใช้งานได้อย่างยาวนานตั้งแต่เล็กจนโต แล้วจะมีวิธีการเลือกอย่างไร ควรเลือกแบบไหนดี ? BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากแล้วค่ะ
โต๊ะกินข้าวเด็ก สำคัญอย่างไร ? ควรเลือกแบบไหนดี ?
โต๊ะกินข้าวสำหรับเด็กนั้นมีความแตกต่างจากโต๊ะทั่ว ๆ ไป โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นโต๊ะที่เรียกว่า High Chair โดยเป็นชุดเก้าอี้กินข้าวเด็กที่มีโต๊ะพับมาให้แบบครบชุด สามารถใช้งานได้หลายแบบ บางรุ่นสามารถพกพาออกไปข้างนอกได้ด้วย และยังมีเข็มขัดนิรภัยเพื่อป้องกันเด็กพลัดตกเก้าอี้ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งบางที่อาจเรียกว่าโต๊ะกินข้าวเด็ก หรือบางที่ก็เรียกว่าเก้าอี้กินข้าวเด็ก หรือ อาจเรียกรวม ๆ ว่าชุดโต๊ะเก้าอี้กินข้าวของเด็ก แต่จะเรียกแบบไหน ก็หมายถึง High Chair ที่นั่งกินข้าวของเด็กเล็กโดยเฉพาะนั่นเองค่ะ
โต๊ะกินข้าวสำหรับเด็กนั้นเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมาก โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่อยากฝึกลูกให้กินข้าวด้วยตัวเองแบบ BLW ซึ่งการฝึกลูกกินข้าวเอง BLW ต้องเตรียมอะไรบ้าง อย่างแรกที่ต้องมีก็คือ โต๊ะกินข้าวเด็กนั่นเองค่ะ เพื่อให้ลูกน้อยของเรานั่งกินข้าวได้ด้วยตัวเอง และทำให้เด็กนั่งอยู่กับที่ ไม่คลานหรือเล่นซนขณะกินข้าว เป็นการฝึกวินัยในการกินอีกด้วย แล้วเราควรเลือกโต๊ะกินข้าวสำหรับลูกน้อยอย่างไรให้เหมาะสมมากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ

วิธีเลือกโต๊ะกินข้าวเด็ก ตัวเดียวจบ ใช้งานได้ยาวๆ
ยุคนี้มีชุดเก้าอี้กินข้าวเด็ก หรือ High Chair ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกซื้อกันมากมาย แต่จะเลือกแบบไหนที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัยและใช้ได้ยาวนาน มีความคุ้มค่ามากที่สุด เรามีคำแนะนำมาฝากกันค่ะ
1. เลือกที่มีความปลอดภัยสูง แข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี
เก้าอี้กินข้าวของลูกน้อยต้องมีความมั่นคงแข็งแรง มีระบบความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุให้ลูกน้อย ทั้งการพลัดตกหรือลื่นไถลลงจากเก้าอี้จนทำให้เกิดอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บได้ โดยต้องมีสายรัดเอวและขา หรือ เข็มขัดนิรภัย 3 จุด หรือ 5 จุด ที่ปรับระดับสั้น – ยาวได้ เพื่อป้องกันลูกหลุดออกจากตัวเก้าอี้ ที่นั่งกว้างพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 30 – 40 กิโลกรัม ตัวเก้าอี้มีความแน่นหนา มั่นคงแข็งแรง ไม่โยกเอน หากเป็นชุดเก้าอี้และโต๊ะกินข้าวเด็กที่มีล้อ ควรมีระบบล็อคของล้อหรือสามารถล็อคขาเก้าอี้ให้อยู่กับที่ได้เพื่อป้องกันเก้าอี้ไถล ควรมีผ้านุ่มหรือนวมหุ้มสายเข็มขัดที่ใช้รัดลูกเพื่อป้องกันการเสียดสีกับผิวลูกน้อยที่อาจเกิดการระคายเคืองได้ และเลือกเป็นวัสดุที่มีความปลอดภัยและปราศจากสารพิษอันตราย ไม่มีเหลี่ยมมุมของเก้าอี้ที่อาจบาดผิวหนังของลูกได้
2. มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย เคลื่อนย้ายสะดวก
ควรเลือกชุดโต๊ะเก้าอี้กินข้าวเด็กที่ใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น สามารถปรับระดับความสูงของที่นั่งได้หลายระดับ เพื่อปรับระดับของเก้าอี้ให้เหมาะกับการฝึกกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ใหญ่ได้ ที่วางเท้าควรปรับระดับ สูง-ต่ำ/ขึ้น-ลงได้ เพราะเมื่อลูกของเราตัวโตขึ้น ก็ยังนั่งได้สบายและใช้งานได้อย่างยาวนาน สามารถปรับระดับเอนนั่งหรือนอนได้หลายระดับ เพื่อปรับให้ลูกนั่งกินข้าวได้อย่างสบายและถูกสรีระ นอกจากนี้ ควรเลือกแบบที่เคลื่อนย้ายสะดวก มีล้อคู่หรือขาเก้าอี้เลื่อนได้ (แต่ต้องสามารถล็อคล้อและขาเก้าอี้ได้เพื่อป้องกันการไถลที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ) หากพับเก็บได้ก็จะยิ่งดีเพราะสามารถพกพาได้ เก็บง่ายเป็นระเบียบ ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ

3. ถาดวางอาหารมีความกว้างพอเหมาะ
ถาดสำหรับวางอาหารที่ติดมากับเก้าอี้นั้นควรมีขนาดกว้างพอดี ไม่เล็กเกินไป เพราะทำให้ลูกน้อยกินอาหารได้สะดวกมากขึ้น อาหารไม่หลุดมือตกบนพื้นได้ง่าย คุณแม่ก็ทำความสะอาดง่าย หากส่วนของโต๊ะกินข้าวเด็กมีขนาดเล็กเกินไป ก็จะทำให้วางอาหารได้น้อย อาหารไม่หลากหลาย ทำให้ลูกหยิบกินอาหารได้ยากมากขึ้น ทำให้หกเลอะเลอะ ทั้งยังทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวอีกด้วย
4. ทำความสะอาดง่าย วัสดุไม่เป็นที่สะสมของเชื้อโรค
เพราะเก้าอี้ และถาดอาหารนี้จะต้องเลอะเปรอะอาหารที่ลูกกินทุกมื้อ พนักพิงและถาดอาหารควรถอดซักทำความสะอาดได้ อุปกรณ์หรือโครงสร้างควรเช็ดล้างง่าย ประหยัดแรงของคุณแม่และผู้ใหญ่ที่ดูแลได้ดี ควรเลือกเป็นเก้าอี้พลาสติกหรือวัสดุที่สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ดี หากเลือกเป็นผ้าที่ไม่สามารถถอดซักได้ก็อาจจะทำให้มีคราบเปื้อนหมักหมม ไม่ถูกสุขอนามัยแก่ลูกน้อยของเรา
5. เลือกตามงบประมาณของครอบครัว
โต๊ะสำหรับกินข้าวเด็กนั้นก็มีอยู่หลายแบบหลายราคาให้เลือกด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกที่เหมาะสมกับงบประมาณที่ตั้งไว้โดยคำนึงถึงความทนทานและความคุ้มค่าในการใช้งานเป็นหลัก เช่น เลือกที่มีฟังก์ชั่นเฉพาะจำเป็นต้องใช้ หรือเลือกแบบที่มีความทนทาน ใช้วัสดุที่มีคุณภาพดี ซื้อครั้งเดียวแล้วใช้งานได้จนลูกโต ไม่ต้องซื้อหลายครั้ง เพราะบางแบบแม้ราคาอาจจะย่อมเยากว่า แต่ก็ใช้งานได้ไม่นาน ถ้าเทียบกับการซื้อสินค้าที่ราคาสูงกว่าแต่ใช้งานได้ทนทานกว่า ก็อาจจะมีความคุ้มค่ามากกว่าค่ะ

ชุดโต๊ะกินข้าวสำหรับเด็กหรือ High Chair นั้นดีอย่างไร ? มาดูประโยชน์กัน !
ตอนนี้เราก็ได้ทราบถึงวิธีการเลือกโต๊ะเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็กกันไปแล้ว ถ้าเลือกอย่างถูกต้องก็ทำให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน มีความคุ้มค่า สามารถใช้ได้ตั้งแต่ลูกเริ่มหัดกินข้าวไปจนกระทั่งกินข้าวเองได้คล่องเลยทีเดียว แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็อาจจะเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า โต๊ะเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็กนั้นมีความจำเป็นแค่ไหน สามารถให้ลูกนั่งกินข้าวบนโต๊ะปกติที่เราใช้ได้หรือเปล่า ? จำเป็นต้องซื้อมั้ย ? เรามาดูข้อดีของเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็กกันค่ะ
1. มีความปลอดภัยสำหรับลูกน้อย
ชุดเก้าอี้กินข้าวของเด็กนั้น ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง และมีความปลอดภัยสำหรับลูกน้อย เนื่องจากมีขนาดพอเหมาะและมีสายรัดนิรภัยที่ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กพลัดตกเก้าอี้ได้ โดยทั่วไปแล้วเด็กมักจะไม่อยู่นิ่ง หากนั่งเก้าอี้ปกติโดยปราศจากการดูแลอย่างใกล้ชิดก็อาจทำให้พลัดตกเก้าอี้และได้รับบาดเจ็บ หรือถ้าหากนั่งตักผู้ปกครองขณะกินข้าวก็อาจหยิบจับอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารที่อาจเป็นอันตรายได้ อย่างส้อมปลายแหลม หรือปัดจานข้าวของคุณพ่อคุณแม่ตกแตก หรือปัดถ้วยซุปร้อน ๆ หกใส่ตัวเอง ทำให้เกิดความวุ่นวายขณะรับประทานอาหาร ดังนั้น การใช้เก้าอี้กินข้าวของเด็กโดยเฉพาะจึงมีความปลอดภัยต่อลูกน้อยมาก ๆ ค่ะ
2. ทำให้ลูกกินข้าวเองได้และหัดช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านใดอยากให้ลูกฝึกกินข้าวด้วยตัวเองหรือฝึกการกินแบบ BLW โต๊ะกินข้าวเด็กนั้นจำเป็นมาก ๆ ค่ะ เพราะลูกน้อยต้องหัดหยิบจับอาหารด้วยตัวเองโดยที่ผู้ใหญ่ไม่ต้องป้อนอาหารให้ลูก ซึ่งการกินอาหารได้เองโดยที่ไม่ต้องมีคนป้อนเป็นพื้นฐานการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น ก่อนที่จะพัฒนาให้ลูกสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในเรื่องต่อ ๆ ไป การให้ลูกนั่งเก้าอี้กินข้าวของเด็กโดยเฉพาะจะทำให้ลูกเรียนรู้การกินด้วยตัวเองในแบบที่สนุกและเป็นอิสระ เพราะเขาเลือกกำหนดเอง หยิบจับกินหรือตักอาหารได้เองโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่คอยกำหนด
3. ทำให้ลูกมีวินัยในการกินข้าวแต่ละมื้อมากขึ้น
การให้ลูกนั่งกินข้าวอย่างเป็นที่เป็นทางและนั่งกินบนโต๊ะของตัวเองจะทำให้ลูกน้อยมีวินัยในการกินอาหาร ทำให้ลูกรู้ว่าเวลามื้ออาหารลูกจะต้องนั่งกินอยู่กับที่ ไม่เดินไม่เล่น ต้องกินให้เป็นเวลา และมีเวลาในการกินที่จำกัด ถ้าหากไม่ยอมกินตามเวลาที่กำหนดไว้ก็ให้เก็บอาหารไปได้เลย เพื่อให้ลูกรู้จักกับความหิวและเรียนรู้ได้ว่าการกินข้าวนั้นสำคัญ เพราะหากไม่ฝึกวินัยให้ลูก ลูกจะไม่ได้เรียนรู้และคิดว่าเรื่องกินไม่สำคัญ ไม่ต้องใส่ใจ เพราะเดี๋ยวก็มีคนมาป้อนหรือจัดการให้ทุกครั้ง ทำให้ขาดวินัยเรื่องการกินและส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตได้
4. เพื่อแก้ปัญหาลูกกินยาก เลือกกิน
เนื่องจากการนั่งกินข้าวในเก้าอี้ของตัวเองจะทำให้ลูกได้อยู่กับเมนูอาหารตรงหน้า ไม่วอกแวก ไม่ติดเล่น ทำให้มุ่งความสนใจไปที่อาหารอย่างเต็มที่ และถ้าคุณพ่อคุณแม่เตรียมอาหารให้ลูกอย่างหลากหลาย มีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ไข่และอื่น ๆ ก็จะทำให้ลูกได้เริ่มกินอาหารเสริมหลายอย่าง ได้ลองกินผักผลไม้และอาหารต่าง ๆ ที่มีหน้าตาและรสชาติแตกต่างกันออกไป และสามารถเลือกได้ด้วยตัวเองว่าอยากกินอะไร จะหยิบอะไร โดยที่ไม่ได้ถูกบังคับป้อน ทำให้ลูกกินได้ง่ายและรู้สึกสนุกยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งเทคนิคแก้ปัญหา เมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว ทำให้ลูกเริ่มกินได้มากขึ้นค่ะ
5. ช่วยป้องกันการสำลักอาหารได้
การนั่งเก้าอี้สำหรับกินข้าวในท่านั่งตัวตรงจะช่วยลดความเสี่ยงในการสำลักอาหารได้มาก เมื่อเทียบกับการนอนกินอาหารบด หรือเดินป้อนอาหาร หรือป้อนข้าวในขณะที่ลูกไม่อยู่กับที่และวิ่งเล่นไปมา ซึ่งจะทำให้ลูกไม่โฟกัสกับการกินข้าวแต่มุ่งความสนใจไปที่การเล่นแทน ทั้งนี้ ควรหั่นอาหารในขนาดที่เหมาะสม ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นทรงหลม และควรหั่นให้มีความยาวเท่านิ้วชี้ เพื่อที่ลูกจะได้หยิบกินสะดวกค่ะ
6. ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยอย่างรอบด้าน
การให้ลูกน้อยได้นั่งกินอาหารเอง จะช่วยกระตุ้นและฝึกพัฒนาการด้านการกินอาหาร การเคี้ยวอาหาร การใช้กล้ามเนื้อมือและแขน รู้จักแยกแยะรสชาติอาหารที่แตกต่าง สมองได้ทำงานประสานกันระหว่างมือและตา ทำให้มีพัฒนาการมองเห็น ทำให้ลูกรู้จักสีสันและหน้าตาของอาหารประเภทต่างๆ ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังพัฒนาด้านอารมณ์จิตใจ เพราะลูกจะมีความสุขกับการได้กินอาหารเอง สนุกกับการหยิบจับและเลือกอาหารต่างๆ ที่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญยังช่วยทำให้ลูกน้อยมีความมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าตัวเองมีความสำคัญ เมื่อคุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ให้เขาได้นั่งกินอาหารด้วยกันและมีอิสระในการกิน
7. ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใหญ่มากขึ้น
การใช้โต๊ะกินข้าวของเด็กนั้นส่งผลดีต่อคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเดินตามป้อนข้าวลูก ทำให้ไม่เหนื่อยเกินไป มื้ออาหารของลูกน้อยไม่ใช่เรื่องยากลำบากอีกต่อไป ลูกน้อยก็นั่งอยู่ในสายตา ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยหากเทียบกับให้ลูกเดินไปกินไป รวมทั้งคุณแม่ก็ไม่ต้องคอยเดินไปเดินมาเพื่อคอยทำความสะอาดเศษอาหารเวลาลูกกินเลอะเทอะ และแม้ว่าการนั่งกินอาหารบนโต๊ะของลูกเองจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนก็สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็ว ไม่เปลืองแรงเปลืองเวลาค่ะ
BabyGift แนะนำสินค้าที่ช่วยให้การกินข้าวของลูกน้อยสะดวกสบายมากขึ้น

1. PRINCE & PRINCESS เก้าอี้ฝึกกินข้าว Fairy Plus
เก้าอี้ฝึกกินข้าวสำหรับเด็กรุ่น Fairy Plus ของแบรนด์ Prince & Princess นั้นเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์คุณแม่คนไทยที่ต้องผลัดกันดูแลลูก ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือคุณย่าคุณยาย พี่เลี้ยง ซึ่งต้องผลัดกันป้อนอาหารให้กับลูกน้อย และมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย จึงได้พัฒนาเก้าอี้ฝึกทานข้าวรุ่น Fairy Plus ออกมาให้ตอบโจทย์มากกว่าที่เคย ให้ลูกน้อยนั่งกินข้าวเองได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ในยุคปัจจุบัน
จุดเด่น
- สามารถปรับความสูงได้ 7 ระดับ ตั้งแต่ 25 เซนติเมตร – 60 เซนติเมตร
- รองรับน้ำหนักได้มาก มีความแข็งแรงปลอดภัยด้วยรางล็อคเหล็กแบบตะขอเกี่ยว ไม่เสี่ยงต่อการหลุดร่วงลงมา
- พนักพิงเก้าอี้ สามารถปรับเอนนอนได้ 3 ระดับ เหมาะกับการใช้นั่งพักหลังมื้ออาหาร ป้องกันไม่ให้ลูกน้อยเป็นกรดไหลย้อน หรือแหวะนม เมื่อเทียบกับการพาลูกนอนราบบนที่นอน
- มีล้อหน้า-หลัง และตัวล็อคล้อเพื่อความปลอดภัย เคลื่อนย้ายได้สะดวก และหากไม่ใช้งานสามารถพับเก็บได้ง่ายภายใน 1 วินาที
- ถาดอาหารมีขนาดใหญ่ มี 2 ชั้น มีคุณสมบัติ BPA Free (ปราศจากสาร Bisphenol A ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) และเป็นวัสดุ Food Grade ปลอดภัยไม่มีสารตกค้าง สามารถถอดแยกไปทำความสะอาดได้
- พนักพิงเก้าอี้กว้างรองรับช่วงสรีระของลูกน้อยได้จนโต มีสายรัดนิรภัยเพื่อป้องกันลูกร่วงตกจากเก้าอี้
- เบาะรองนั่งเป็นนวัตกรรม Cotton Cushion เสริมความหนานุ่มนั่งสบาย สามารถถอดซักได้ และเบาะ PU ที่เป็นวัสดุกันน้ำไม่ซึม เช็ดทำความสะอาดได้

2. PRINCE & PRINCESS เครื่องนึ่งขวดนม STEAM & DRY
เครื่องนึ่งขวดนม STEAM & DRY จากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS นึ่งฆ่าเชื้อพร้อมอบแห้ง มีฟังก์ชั่นพิเศษที่สามารถอุ่นนมและเตรียมอาหารให้ลูกน้อยได้ด้วย มีทั้งโหมดอุ่นนม โหมดนึ่งอาหาร โหมดอบผลไม้แห้ง และโหมดทำโยเกิร์ต นอกจากจะสามารถนึ่งขวดนมได้แล้ว ยังสะดวกสบายต่อการเตรียมอาหารให้กับลูกรักอีกด้วย
จุดเด่น
- มี 8 โหมดทำงานอัจฉริยะ เป็นได้มากกว่าเครื่องนึ่งขวดนม ได้แก่ โหมด Auto นึ่งฆ่าเชื้อขวดนมพร้อมอบแห้ง / โหมด Steam นึ่งฆ่าเชื้อขวดนม / โหมด Dry อบแห้งขวดนม / โหมด S-Dry จัดเก็บปลอดเชื้อ 48 ชั่วโมง และโหมดเตรียมอาหารอีก 4 โหมด ได้แก่ อุ่นนม นึ่งอาหาร อบแห้งผลไม้ และทำโยเกิร์ต
- ตะแกรงและถาดนึ่งแบบใหม่ ใช้วัสดุ PP ทนความได้ร้องสูง ไม่ขึ้นสนิม
- ฆ่าเชื้อโรค 99.9 เปอร์เซ็นต์ มีผลทดสอบจากสถาบันระดับสากล
- สะอาดทั่วถึง ฆ่าเชื้อได้ 360 องศาด้วยระบบไอน้ำหมุนเวียน
- อบแห้งสนิท ลมร้อนกระจายทั่วถึงทุกขวด ลดปัญหากลิ่นอับ
- มีขนาดใหญ่พิเศษ จุได้สูงสุด 14 ขวด ไร้แกนกลาง จัดวางได้เต็มพื้นที่
- ใช้งานง่าย สั่งงานด้วยระบบ Touch Screen
- วัสดุปลอดภัยไร้กังวล ใช้วัสดุ Food Grade / BPA Free (ปราศจากสาร Bisphenol A ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย)
- รับประกันนาน 24 เดือน

3. Minimono – แผ่นรองกันเปื้อน อเนกประสงค์ แบบใช้แล้วทิ้ง
แผ่นรองกันเปื้อนอเนกประสงค์ แบบใช้แล้วทิ้งจากแบรนด์ Minimono มีขนาดใหญ่ สามารถกันน้ำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นวัสดุ BPA FREE ปลอดภัยไร้สารอันตราย สามารถใช้ปูรองพื้น พรม โซฟา เพื่อป้องกันการเลอะเทอะ ใช้เพื่อรองพื้นหรือรองโต๊ะขณะฝึกลูกกินอาหารเอง หรือรองพื้นในขณะที่ลูกทำกิจกรรมศิลปะอย่างการใช้สีน้ำ หรือใช้ปูรองพื้นเวลาไปนั่งเล่นในสวน เป็นต้น
จุดเด่น
- ขนาดใหญ่ 100 x 120 เซนติเมตร รองเก้าอี้กินข้าวเด็กได้หลายแบบ
- BPA FREE ปราศจากสารพิษ ไร้สารเคมี เด็กใช้ได้อย่างปลอดภัย
- Waterproof Lamination เคลือบฟิล์มกันน้ำ 100 เปอร์เซ็นต์ ป้อนกันการซึมเปื้อนได้ดี
- กระบวนการผลิต Non-Toxic ลดการปล่อยมลพิษ สาเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน
- เป็น Eco Friendly Paper ใช้กระดาษธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้
- ผิวกระดาษสัมผัสสบาย ไม่ระคายเคือง
- ดีไซน์ทันสมัย ลวดลายน่ารัก เสริมสร้างจินตนาการให้กับลูกน้อย
- ใช้สำหรับรองพื้นได้เอนกประสงค์ เช่น รองเปลี่ยนผ้าอ้อม รองโต๊ะคอมพิวเตอร์ รองโต๊ะอาหาร และอื่นๆ
- 1 กล่อง มี 3 ม้วน / 1 ม้วน มี 10 แผ่น / รวม 30 ชิ้น

4. TIDY TOT ชุดถาดและเสื้อกันเปื้อน
อุปกรณ์ที่ช่วยให้ลูกน้อยกินข้าวได้อย่างสะดวกสบายไม่ต้องกลัวเลอะเทอะ เป็นชุดถาดและเสื้อกันเปื้อนจากแบรนด์ TIDY TOT แบรนด์จากประเทศอังกฤษ ชุดถาดและเสื้อสามารถถอดแยกชิ้นและพับเก็บได้ เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุ 6 – 24 เดือน ช่วยป้องกันเศษอาหารหล่นตามซอกโต๊ะและคราบสกปรกติดเสื้อ วัสดุทำจาก TPU Food Gade พิเศษ ปราศจากสาร BPA ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย พร้อมใบรับรองจากประเทศอังกฤษ ใช้ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลค่ะ
จุดเด่น
- ตัวถาดกว้าง 80 เซนติเมตร ช่องที่นั่งมีความกว้าง 43 เซนติเมตร ขอบถาดสูง 43 เซนติเมตร
- มีจุ๊บใต้ถาดดูดแน่นติดกับโต๊ะ ลูกดึงไม่ออก ป้องกันถาดหกเลอะเถอะ
- สามารถวางอาหารบนถาดได้เลย ใช้ได้กับ High chair ทุกรุ่น และเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็กทุกรุ่น
- ไม่ทิ้งคราบและรอยอาหารบนถาดและเสื้อ
- เสื้อกันเปื้อนเนื้อผ้านิ่ม ไม่ร้อน ระบายอากาศได้ดี ช่วงคอสามารถปรับระดับได้
- เสื้อกันเปื้อนสามารถซักทำความสะอาดได้ในเครื่องซักผ้า
- ตัวถาดพับเก็บได้ พกพาสะดวก สามารถใช้ทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เล่นระบายสี หรือปั้นแป้งได้อีกด้วย
สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่กำลังมองหาโต๊ะเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็กโดยเฉพาะและไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี ก็น่าจะได้แนวทางการเลือกไปบ้างแล้วนะคะ โต๊ะกินข้าวสำหรับเด็กนั้นมีข้อดีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ถ้าเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ มีความแข็งแรงทนทาน สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน ก็มีความคุ้มค่ามากทีเดียวค่ะ หรือถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะเลือกซื้อแบบไหน สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกินข้าวของเด็ก หรือสินค้าอื่นๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กในรถยนต์ทุกที่นั่งจะต้องมีป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 เป็น มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท เพื่อบ่งชี้ว่าเบาะตัวนั้นๆได้ผ่านตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย ป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 จะเป็นป้ายสีส้ม มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ECE 44/03 และ ECE R 44/04 แบ่งตาม Group และแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆ ทั้งหมด 4 ประเภท (4 Categories) ตามการติดตั้งและการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้เราทราบว่าเบาะนั้นๆออกแบบมาสำหรับรถเราหรือไม่ มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ECE 44/03 และ ECE R 44/04 แบ่งตามภูมิภาค จากข้อมูลในหัวข้อนี้คงพอให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายและทราบถึงรายละเอียด ข้อมูลของเบาะนั้นจากป้ายมาตรฐาน ตลอดจนเป็นประโยชน์กับผู้ปกครองในการเลือกซื้อเบาะให้เหมาะกับลูกหลานและรถ ที่มีแนวทางการใช้งานเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ในครั้งแรกๆ เด็กๆอาจจะร้องเพราะกลัวการถูกล็อค แต่ถ้าเขาคุ้นเคยเสียก่อน ก็จะลดการร้องไม่ยอมของเด็กได้ การที่เด็กๆร้องก็จะทรมาณใจพ่อแม่เพราะสงสารลูกๆและเป็นสาเหตุทำให้ละเลยการใช้งานเบาะนิรภัยในครั้งต่อๆไป เพราะว่าเด็กที่นั่งอยู่ในเบาะนิรภัยจะมีการป้องกันการชนด้านข้างต่ำ การนั่งในตำแหน่งกลางจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับแรงกระแทก แต่ทั้งนี้รถควรจะเป็นรถขนาดใหญ่ที่เบาะกลางมีเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถติดตั้งตรงเบาะกลางได้ การติดตั้งทางฝั่งซ้ายหรือขวาก็สามารถทำได้ โดยที่ฝั่งตรงข้ามคนขับ (ฝั่งเดียวกับฟุตบาท) จะปลอดภัยกว่าฝั่งคนขับ สำหรับการใช้งานเบาะนิรภัยร่วมกับรถปิกอัพให้ติดตั้งด้านหน้าข้างคนขับและห้ามใช้ถุงลมในที่นั่งด้านข้างคนขับ 1. เด็กสูงเพียงพอที่ขาและเข่าของเขาสามารถนั่งห้อยขาได้เบาะนั่งรถได้พอดี2. เด็กโตพอที่จะสามารถนั่งตัวตรง หลังพิงพนักพิงได้ตรง3. เข็มขัดนิรภัยของรถส่วนล่างจะต้องรัดได้ตรงส่วนกระดูกเชิงกรานไม่ใช้รัดตรงท้อง4. เข็มขัดที่พาดส่วนบ่าจะต้องพาดผ่านมาตรงส่วนหน้าอก […]
เมื่อต้องพาเจ้าตัวน้อยเดินทางไกลขึ้นเครื่องบินครั้งแรก คุณแม่หลายท่านมักมีคำถามมากมาย เพื่อให้ทุกท่านเตรียมตัวเดินทางได้อย่างสนุกสนานพร้อมรถเข็นคันโปรดคู่ใจ Baby Gift ได้รวบรวมทุกคำตอบไว้ในที่เดียวจบ 1.รถเข็นแบบไหนสามารถนำขึ้นเครื่องบินได้บ้าง จำเป็นต้องพับเล็กๆ หรือมีข้อกำหนดเกี่ยวกับขนาดและน้ำหนักของรถเข็นหรือไม่? ตอบ เมื่อมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กเดินทางไปพร้อมกัน รถเข็นเด็กทุกขนาด ไม่ว่าจะพับใหญ่พับเล็ก ทั้งหนักและเบา สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดและน้ำหนัก แต่รถเข็นต้องสามารถพับได้ (ซึ่งรถเข็นทุกรุ่นทุกแบรนด์ที่จำหน่ายในปัจจุบันพับได้ทุกคัน) 2. ขั้นตอนการนำรถเข็นขึ้นเครื่องบินแบบ Gate Check ? ตอบ เมื่อนำกระเป๋าขนาดใหญ่ Check in เพื่อโหลดใต้ท้องเครื่องให้แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินว่ามีรถเข็นเด็กมาด้วย และต้องการเข็นไปโหลดที่หน้าประตูเครื่องบิน (หรือเรียกว่า Gate Check) เจ้าหน้าที่จะนำ Tag (หรือป้ายติดกระเป๋า) ติดให้ที่รถเข็นเพื่อป้องกันการสูญหาย เราสามารถเข็นลูกน้อยผ่านพิธีการต่างๆ ไปจนถึงหน้าประตูเครื่องบินตรงจุดที่มีแอร์โฮสเตสยืนต้อนรับ ให้พับรถเข็นให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รอรับฝากรถเข็นเพื่อนำลงไปเก็บใต้เครื่อง (ในบางกรณีเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมถุงพลาสติกขนาดใหญ่คลุมให้อย่างดีเพื่อความสะอาดและปลอดภัย) ซึ่งเมื่อถึงที่หมายปลายทางเจ้าหน้าที่จะนำรถเข็นมาส่งคืนให้ที่หน้าประตูเครื่องบินเหมือนเดิม ในกรณีต่อเครื่อง (Transfer) ก็สามารถรับรถเข็นคืนได้ที่หน้าประตูเครื่องเช่นเดียวกัน 3. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับนำรถเข็นเดินทางขึ้นเครื่องบินหรือไม่ ตอบ ทุกสายการบินอนุญาติให้นำรถเข็นขึ้นเครื่องได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 4. ในกรณีที่รถเข็นมีขนาดเล็กและสามารถพับเก็บบนที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ (Cabin) ได้ จะสามารถนำรถเข็นติดตัวขึ้นไปเก็บบน cabin ในเครื่องบินได้หรือไม่ ? ตอบ รถเข็นบางรุ่นสามารถพับและนำขึ้นเก็บบน Cabinได้ มีความเป็นไปได้ที่ทางสายการบินจะอนุญาติหรืออาจจะปฎิเสธไม่อนุญาติให้นำขึ้นไปเก็บบน Cabin […]
เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก […]
การเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีเริ่มต้นจากการให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่การที่ลูกไม่ยอมกินข้าวเป็นปัญหาที่แม่หลายคนต้องพบเจอ แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กในวัยทารกหรือวัยเด็กเล็ก แต่หากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพของลูกในระยะยาว ดังนั้นวันนี้เรามีวิธีจัดการลูกไม่ยอมกินข้าวที่ได้ผลจริงมาฝากค่ะ 1. สร้างสภาพแวดล้อมในการทานอาหารที่ดี บรรยากาศการทานอาหารที่ดีช่วยให้ลูกอยากทานมากขึ้น คุณแม่ควรสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและไม่กดดันขณะทานอาหาร เช่น การทานอาหารร่วมกันกับครอบครัว หรือการตั้งโต๊ะอาหารที่มีสีสันและดูน่าสนใจ เคล็ดลับ: 2. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกอาหาร เด็กมักจะรู้สึกสนุกและมีความภาคภูมิใจเมื่อได้เลือกหรือช่วยเตรียมอาหารเอง คุณแม่สามารถให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกเมนูอาหารหรือการจัดเตรียมอาหารบางอย่าง เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าการทานอาหารเป็นเรื่องสนุกและไม่น่าเบื่อ เคล็ดลับ: 3. หลีกเลี่ยงการบังคับให้กินอาหาร การบังคับให้ลูกทานอาหารอาจทำให้ลูกเกิดความเครียดและต่อต้านการทานอาหารมากขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารจะช่วยให้ลูกมีทัศนคติที่ดีต่อการทานอาหาร เคล็ดลับ: 4. เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เด็กมักเบื่ออาหารที่ซ้ำซาก ดังนั้นคุณแม่ควรเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายและน่าสนใจ เช่น การทำอาหารในรูปแบบต่างๆ หรือการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เข้าไปในอาหาร เคล็ดลับ: 5. ไม่เสิร์ฟของหวานก่อนมื้ออาหาร การเสิร์ฟของหวานหรือขนมก่อนมื้ออาหารจะทำให้ลูกอิ่มท้องก่อนและไม่อยากทานข้าว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการให้ขนมก่อนมื้ออาหาร เคล็ดลับ: 6. ทานอาหารร่วมกับลูก การทานอาหารร่วมกับลูกจะช่วยให้ลูกเห็นแบบอย่างในการทานอาหารที่ดี และทำให้ลูกรู้สึกมีส่วนร่วมในการทานอาหารด้วยกัน เคล็ดลับ: 7. ควบคุมเวลาการทานอาหาร การมีเวลาทานอาหารที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกสร้างนิสัยการทานอาหารที่ดี ไม่ทานอาหารระหว่างมื้อซึ่งอาจทำให้ลูกไม่หิวเวลาทานข้าว เคล็ดลับ: 8. ให้รางวัลเมื่อทานอาหารเสร็จ การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วเป็นวิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกทานอาหารอย่างเต็มใจ โดยรางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นขนมหรือของหวานเสมอไป […]
เลือก ถุงเก็บน้ำนม ยี่ห้อไหนดี ? ต้องดูที่อะไรบ้าง ? น้ำนมจะเหม็นหืนมั้ย ? คุณค่าน้ำนมแม่ยังอยู่ครบถ้วนรึเปล่า ? ? อีกคำถามที่แม่ๆมักสงสัย เพราะไม่ใช่แค่ถุงเก็บนมแม่ แต่นี่คือถุงใส่อาหารของลูก วันนี้ BabyGift มี 7 เทคนิค เลือกถุงเก็บน้ำนมที่คุณแม่นักปั๊มมือใหม่ ต้องชอบแน่นอน ? จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่า 1. พลาสติกหนา ทึบแสง ซิปล็อค 2 ชั้น ควรเลือก ถุงเก็บน้ำนมแม่ ที่ใช้วัสดุพลาสติกหนาทึบแสง มีความแข็งแรงไม่แตกหรือไม่รั่วซึมได้ง่าย และมีซิปล็อคแบบ 2 ชั้น เพื่อลดการรั่วซึมของน้ำนมแม่ออกจากถุง ช่วยลดกลิ่นเหม็นหืนในน้ำนมได้ และสามารถคงคุณค่าของน้ำนมแม่ได้เป็นอย่างดี 2. ขนาดที่เหมาะสมกับน้ำนมที่ปั๊มได้ช่วงเวลานั้น ถุงเก็บน้ำนมแม่ ควรมีขนาดที่เหมาะสมกับน้ำนมที่ปั๊มได้ช่วงในเวลานั้น อย่างช่วงแรกๆที่แม่อาจจะปั๊มได้ในไม่เยอะมากก็ควรเลือกใช้ขนาดเล็กลงมาหน่อย (4-5 ออนซ์) แล้วพอคุณแม่เริ่มปั๊มนมได้เยอะมากขึ้นค่อยขยับขนาดใหญ่ขึ้นไป การเลือกขนาดถุงพอดีกับน้ำนม จะช่วยให้แม่ๆประหยัดพื้นที่จัดเก็บในตู้แช่ได้ขนาดข้างเยอะ และยังไม่เปลืองถุง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากเลยทีเดียวค่ะ 3. มีแถบบันทึก เขียนง่าย ชัดเจน ควรมีแถบเขียนเอาไว้จดรายละเอียดต่างๆ อย่างเช่น […]
การนับอายุครรภ์คือหนึ่งในเรื่องที่สร้างความสับสนให้คุณแม่มือใหม่หลายคน และมักจะถูกถามบ่อย ๆ ว่า “ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้ว?” “อายุครรภ์เท่าไหร่?” ซึ่งบางครั้งคุณแม่เองก็อาจจะยังไม่แน่ใจนัก การทราบอายุครรภ์ที่แม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตอบคำถาม แต่ยังเพื่อความปลอดภัยและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์นั่นเอง วันนี้ BabyGift จะพาคุณแม่มาไขข้อสงสัยและเรียนรู้วิธีการนับอายุครรภ์ให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุดกัน การนับอายุครรภ์สำคัญอย่างไร การนับอายุครรภ์ที่ถูกต้องและแม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินพัฒนาการของทารกได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสัปดาห์ รวมถึงวางแผนการตรวจครรภ์และติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ประโยชน์ของการนับอายุครรภ์ การนับอายุครรภ์มีประโยชน์หลายอย่างที่คุณแม่ควรรู้ ประการแรกคือช่วยให้แพทย์ประเมินพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ตรงตามช่วงอายุจริง เช่น ขนาดของทารก หรือการเต้นของหัวใจ ประการที่สองคือช่วยกำหนดวันคลอดที่คาดการณ์ไว้ (EDC) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเตรียมความพร้อมเรื่องของใช้ต่าง ๆ เช่น ของเตรียมคลอด ของใช้ลูกแรกเกิด อุปกรณ์แม่และเด็กมีอะไรบ้าง หรือการวางแผนการลาคลอด ประการที่สามคือใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทางการแพทย์ เช่น การให้ยา หรือการทำหัตถการต่าง ๆ อย่างปลอดภัย 6 วิธีนับอายุครรภ์ที่ทำได้ด้วยตัวเอง การนับอายุครรภ์ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด คุณแม่สามารถเริ่มต้นคำนวณได้ด้วยตัวเองหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป 1. นับอายุครรภ์ที่นับตามวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับคุณแม่ที่จำวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายได้แม่นยำ โดยสูตินรีแพทย์จะเริ่มนับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มา (LMP) และใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งปกติแล้วการตั้งครรภ์จะครบกำหนดที่ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย และสามารถนำไปคำนวณวันคลอดที่คาดไว้ได้อย่างแม่นยำ […]