เปลนอนทารก แบบไหนดี แจกวิธีเลือกเปลนอนลูก พร้อมแนะนำยี่ห้อคุณภาพ

เปลนอนเด็กเล็กเป็นของใช้ที่จำเป็นมาก โดยเฉพาะคุณแม่ลูกอ่อนหรือคุณแม่ใกล้คลอด ก็อาจจะมองหาเปลนอนสำหรับทารกเตรียมเอาไว้ให้ลูกน้อย ซึ่งตามท้องตลาดก็มีเปลนอนอยู่หลายแบบหลายฟังก์ชั่นให้เลือกมากมาย จะเลือกเปลนอนทารก แบบไหนดี ? เปลนอนสำหรับทารกมีกี่แบบ ควรเลือกอย่างไร ต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดีๆ มาฝากแล้วค่ะ
เปลนอนลูกมีกี่แบบ ? เลือกเปลนอนทารก แบบไหนดี ? ชวนคุณแม่มาดูกัน !

ในวัยแรกเกิดนั้น ทารกจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับพักผ่อน ดังนั้นแล้ว อุปกรณ์อย่างเปลนอนเด็กเล็ก (Baby Crib) จึงมีความสำคัญมาก ถ้าเลือกแบบมีคุณภาพดี มีความนุ่มสบาย ระบายอากาศได้ดี ก็จะทำให้ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างสบายตัว ไม่ร้อน ไม่ปวดเมื่อย ยิ่งลูกน้อยได้นอนหลับพักผ่อนมากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูกน้อยมากเท่านั้น เครื่องนอนต่างๆ อย่างเช่น เปลนอน ฟูกนอน หมอน ผ้าห่ม จึงมีความสำคัญมากๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความปลอดภัย และความแข็งแรงทนทานของเปล คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วจะเลือกเปลนอนทารก แบบไหนดี ? เปลนอนเด็กเล็กก็มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ดังนี้ค่ะ
1. เปลโยก

เปลโยกสำหรับเด็กเล็กนั้น เป็นเปลยอดนิยมของคุณพ่อคุณแม่หลายๆ คน ลักษณะเหมือนเก้าอี้ที่มีเบาะรองนอนให้ลูกน้อย มีขนาดพอดีตัว สามารถโยกได้ แต่ไม่สามารถแกว่งหรือไกวได้ เวลากล่อมลูกจึงต้องใช้วิธีโยก เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด เพราะทารกมักจะรู้สึกอบอุ่นสบายตัวเมื่ออยู่ในเปลขนาดพอดีตัวมากกว่าเปลที่มีพื้นที่กว้าง แต่เมื่อลูกตัวโตขึ้นหรือต้องการพื้นที่มากขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นเปลแบบอื่นที่มีพื้นที่มากกว่า
ข้อดี
- มีขนาดพอดีตัวเด็ก ใช้พื้นที่จัดเจ็บน้อย
- สามารถพกพาไปนอกสถานที่ได้
- ถ้าเลือกแบบมีคุณภาพ จะช่วยให้ลูกนอนหลับได้สนิท และนอนสบายยิ่งขึ้น
ข้อเสีย
- ด้วยความที่มีขนาดพอดีตัว ทำให้เด็กขยับตัวได้น้อย
- เมื่อลูกตัวโตขึ้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นเปลแบบใหม่ ใช้งานได้ในระยะสั้นๆ
2. เปลนอนทารกแบบชิดเตียงแม่

จะเลือกซื้อเปลนอนทารก แบบไหนดี ? เปลนอนที่เรียกว่า Bedside Crib ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่นิยม เตียงแบบนี้จะมีฟังก์ชั่นเปิดด้านข้างเตียง เพื่อนำมาต่อกับเตียงของคุณพ่อคุณแม่ ทำให้สะดวกในการดูแลลูกน้อยมากขึ้น สามารถถึงตัวลูกได้แค่เพียงเอื้อมมือ
ข้อดี
- ลูกนอนสบาย บางรุ่นปรับเป็นคอกกั้นได้
- เตียงเปิดข้างได้ สะดวกในการตื่นมาดูแล และให้นมลูก
- รอบเตียงหุ้มด้วยผ้า ไม่อันตรายกับทารกเมื่อปีนป่าย
- มีมุ้งกันแสง มุ้งกันแมลง สามารถระบายอากาศดี
- เบาะนุ่มระดับพอดี ช่วยลดโอกาสการเกิดโรค SIDS (โรคไหลตายในทารก)
ข้อเสีย
- ใช้งานได้ในช่วงแรกเกิดจนถึง 1 ขวบแรกเท่านั้น เมื่อลูกตัวโตขึ้นและหัดยืนได้ เปลนอนแบบนี้ก็อาจไม่เหมาะกับขนาดตัวของลูกอีกต่อไป
3. เปลนอนแบบคอกไม้

ถ้าต้องการใช้งานได้อย่างยาวนาน จะเลือกเปลทารก แบบไหนดี ? แนะนำเป็นเปลแบบคอกไม้ หรือเตียงไม้เลยค่ะ ถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรงทนทาน สามารถรับน้ำหนักได้มาก ใช้ได้ในระยะยาวตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 1 – 2 ขวบเลยทีเดียว เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกชินกับการนอนคนเดียวตั้งแต่ยังเล็ก
ข้อดี
- แยกพื้นที่ระหว่างที่นอนลูกกับที่นอนของคุณพ่อคุณแม่อย่างชัดเจน
- มีลักษะเป็นช่องไม้ซี่ๆ อากาศถ่ายเทได้ดี
- วัสดุไม้มีความแข็งแรงทนทาน มั่นคง รองรับน้ำหนักได้มาก
- มีพื้นที่กว้างขวาง เด็กนอนสบาย ดิ้นไปมาได้อย่างอิสระ
- สามารถใช้ได้ในระยะยาว ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยลูกหัดคลานหรือหัดเดิน
ข้อเสีย
- มีน้ำหนักมาก ใช้พื้นที่มาก เคลื่อนย้ายได้ลำบาก
- เตียงไม้เนื้อจะแข็ง ไม่มีผ้าหุ้ม สามารถสร้างอันตรายให้ทารกได้ ในกรณีที่เด็กตัวโตขึ้น และพยายามปีนออกจากเตียง
4. เปลเพน

เปลนอนทารก แบบไหนดี ? เปลเพน หรือเปลแบบ Playpen เป็นเปลเด็กที่สามารถปรับเป็นคอกกั้นให้ลูกน้อยได้ เพื่อให้ลูกฝึกคลานหรือฝึกยืน ทั้งยังช่วยป้องกันอันตรายจากการที่เด็กคลานซุกซนไปมา มีทั้งแบบเปิดกว้างและแบบมีมุ้งปิดเพื่องป้องกันยุงและแมลง เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 – 7 เดือน และอาจใช้ได้ยาวนานจนลูกอายุ 2 ขวบเลยค่ะ
ข้อดี
- สามารถพับเก็บได้ และนำไปนอกสถานที่ได้
- เปิดข้างเตียงได้ สะดวกในการดูแลลูกน้อย
- มีพื้นที่กว้างขวาง เด็กนอนสบาย
- ปรับเป็นคอกกั้นเด็กได้ ช่วยในการเลี้ยงลูกวัยหัดคลานได้สะดวกมากขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กตกเปลได้
- วัสดุหุ้มด้วยผ้า เด็กจับปีนป่ายได้ ไม่อันตรายกับทารก
- ใช้งานได้ในระยะยาว ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยหัดคลาน – หัดเดิน
ข้อเสีย
- ด้วยลักษณะเป็นคอกกั้นทึบรอบด้าน อาจทำให้ลูกขาดโอกาสการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว
- หากเลือกแบบที่ไม่สามารถพับเก็บได้ ก็จะใช้พื้นที่มาก
5. เปลไกวไฟฟ้า

เปลนอนทารกไกวไฟฟ้าก็เป็นเปลนอนเด็กที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันค่ะ สามารถปรับใช้งานได้หลายแบบ พร้อมไกวอัตโนมัติ ช่วยกล่อมลูกหลับได้ง่ายและทำให้ลูกหลับสนิทมากขึ้น ถือว่าเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงลูกน้อยได้ดีทีเดียวจะเลือกแบบไกวหน้าหลัง – หรือไกวแบบซ้ายขวา ก็ต้องดูว่าพื้นที่ที่จะนำไปใช้งานมีขนาดกว้างมากน้อยเพียงใด และเลือกให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งานค่ะ (สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างของเปลไกวแบบหน้าหลัง กับ ไกวซ้าย – ขวาได้ในเว็บไซต์ BabyGift เลยค่ะ)
ข้อดี
- ออกแบบมาเพื่อกล่อมเด็กแรกเกิดให้นอนหลับสบาย บางรุ่นสามารถปรับเป็นคอกกั้นได้
- สามารถเปิดข้างเตียงได้ สะดวกในการดูแลและให้นมลูกในเวลากลางคืน
- มีระบบไกวอัตโนมัติ ช่วยให้ทารกหลับสนิท ลดการงอแง
- พ่อแม่มีเวลามากขึ้น ไม่ต้องคอยอุ้มลูกกล่อมนอน
- รอบเตียงหุ้มด้วยผ้า ไม่เป็นอันตรายกับเด็ก
- เบาะนุ่มระดับพอดี ช่วยลดโอกาสการเกิดโรค SIDS (โรคไหลตายในทารก)
- สามารถใช้ได้จนลูกอยู่ในวัยคลาน – วัยหัดเดิน
ข้อเสีย
- บางรุ่นใช้งานได้ระยะสั้น ช่วงแรกเกิด – 9 เดือนเท่านั้น ควรมองหารุ่นที่สามารถปรับใช้งานเป็นคอกกั้นเด็กได้ เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่ามากขึ้น
ชวนดูข้อคำนึงในการใช้เปลนอนทารกให้ปลอดภัย

นอกจากการพิจารณาว่าจะเลือกเปลนอนทารก แบบไหนดี ที่เหมาะกับลูกน้อยของเราและใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากที่สุด (สามารถอ่านข้อมูล เรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อเปลนอนทารก เพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ BabyGilt เลยนะคะ ) ยังต้องมองในแง่ของความปลอดภัยเป็นหลักอีกด้วย โดยมีข้อแนะนำในการใช้งานเปลเด็กเล็กดังนี้ค่ะ
- เลือกฟูกที่พอดีกับเปล มีความนุ่มและหนาแน่นมากพอเพื่อให้ลูกน้อยนอนสบาย
- ไม่ควรเลือกฟูกที่อ่อนนุ่มเกินไป หรือสามารถสอดนิ้วระหว่างขอบเปลและฟูกได้มากกว่า 2 นิ้ว เพราะอาจเสี่ยงทำให้จมูกและปากของเด็กไปติดในบริเวณตรงนั้นและทำให้หายใจไม่ออกได้
- ไม่ควรวางหมอน ผ้าห่ม หรือตุ๊กตาไว้ในเปลแน่นจนเกินไป เพราะอาจทำให้ปากหรือจมูกของเด็กถูกกดทับและหายใจไม่ออกได้
- ควรให้ลูกนอนเปลในท่าทางนอนหงายอยู่เสมอ
- หากเลือกเป็นเปลคอกไม้ ควรมีระยะห่างของซี่ไม่เกิน 2.5 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะของเด็กไปติดหรือหลุดลอดออกจากช่องได้
- เลือกเปลที่มีฐานมั่นคง และมีความสมดุล มั่นใจว่าสามารถรองรับน้ำหนักทารกได้โดยที่ไม่พลิกคว่ำ
- หากเลือกเป็นแบบเปลมีล้อ ต้องมีระบบล็อคล้อที่ช่วยป้องกันการลื่นไถลที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้
- หากเป็นเปลประกอบหรือพับได้ ควรจรวจสอบตัวล็อคให้ดีว่ามีความแน่นหนามากพอหรือไม่ เพื่อป้องกันเปลล้มหรือทรุดตัวซึ่งเป็นอันตรายกับลูก
- ควรเฝ้าดูลูกน้อยอย่างใกล้ชิด ระมัดระวังสัตว์เลี้ยงหรือเด็กเล็กในบ้านที่โตกว่า เพราะอาจวิ่งชนหรือปีนป่ายทำให้เปลล้มคว่ำได้
BabyGift แนะนำ เปลนอนทารกน่าใช้ ประจำปี 2024

1. APRICA เปลไกวไฟฟ้า รุ่น Yuralism Auto Premium Pistachio Green
เปลนอนทารก แบบไหนดีที่ใช้งานได้อย่างครอบคลุม แนะนำเป็นเปลไกวไฟฟ้าจากแบรนด์ Aprica รุ่น Yuralism Auto Premium Pistachio Green เปลไกวขนาดพอดีตัวลูกน้อย ไม่กินพื้นที่ ตัวช่วยคุณแม่ในการดูแลลูกน้อย เปรียบเสมือนมีพี่เลี้ยงไว้ที่บ้านเลยทีเดียวค่ะ คิดค้นโดยกุมารแพทย์ญี่ปุ่น รองรับการนอนหลับที่ปลอดภัยของลูกน้อย การอุ้มลูกนานๆ นั้นอาจจะทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อการเป็นข้อมืออักเสบเรื้อรังได้ แต่ถ้ามีตัวช่วยอย่างเปลไกวไฟฟ้าก็จะทำให้การเลี้ยงลูกน้อยสะดวกสบายมากขึ้นได้ค่ะ
จุดเด่น
- มี 3 โหมดไกวอัจริยะ พิเศษด้วย Auto Mode 2 ที่เลียนแบบการไกวตามธรรมชาติของแม่มากที่สุด ให้ลูกน้อยเคลิ้มหลับ และหลับได้สนิท
- มีหลังคากันแสง ช่วยปกป้องดวงตา และปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการนอนหลับ พร้อมป้องกันรังสี UV – A
- ระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้ร้อน เบาะมีความนุ่มพิเศษ ให้ลูกน้อยนอนหลับสบาย
- เปลสามารถปรับระดับสูงต่ำได้ สะดวกในการใช้งานของคุณพ่อคุณแม่ พร้อมล้อเคลื่อนย้ายได้สะดวก
- มีหมอนประคองศรีษะ และคอ ป้องกันการปิดกั้นทางเดินหายใจ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด SIDS (โรคไหลตายในเด็ก)
- มาพร้อมถาดรอง 2 ชั้นที่ปรับเป็นโต๊ะกินข้าวได้ สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้
- ใช้งานได้ยาวนานตั้งแต่แรกเกิด – 4 ปี

2. เปลไกวไฟฟ้า รุ่น Sleep & Play Auto Swing – PRINCE & PRINCESS
เปลไกวไฟฟ้าจากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS รุ่น Sleep & Play Auto Swing มีเซนเซอร์ไกวอัตโนมัติ สามารถปรับเป็นคอกกั้นได้ ใช้งานได้ถึง 2 ปี มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งเป็นเตียงนอนทารก เป็นเปลไกว และสามารถปรับเป็นคอกกั้นเด็กได้เมื่อลูกโตขึ้น มีมุ้งตาข่ายกันแมลงที่ระบายอากาศได้ดี พร้อมโมบายสวยงามที่ช่วยเสริมพัฒนาการการมองเห็นและเพลงกล่อมเด็กถึง 12 เพลง ให้ลูกนอนฟังเพลงเพลินๆ พร้อมหลับสนิททุกช่วงเวลา
จุดเด่น
- เตียงไกวไฟฟ้าสามารถปรับการไกวได้ 5 ระดับ
- ตั้งเวลาการไกวให้หยุดเองอัตโนมัติ ได้ตั้งแต่ 8, 15, 30 นาที
- มีระบบ Sensor จับการขยับของเตียงเมื่อทารกเคลื่อนไหว เพื่อไกวเปลอัตโนมัติให้ลูกน้อยหลับสนิทนานขึ้น
- เตียงเปิดข้างได้ สามารถวางชิดกับเตียงคุณแม่เพื่อการดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด พร้อมสายคล้องกันเตียงเลื่อน เพิ่มความปลอดภัยขึ้น
- เตียงสามารถปรับองศาเอียงได้ ลดภาวะกรดไหลย้อนหรือแหวะนมในเด็ก
- สามารถปรับเป็นคอกกั้นเด็กได้ เพื่อฝึกพัฒนาการ นั่ง คลาน ยืน
- เตียงปรับระดับความสูง – ต่ำได้ 7 ระดับ ปรับได้สูงสุด 44 เซนติเมตร ให้พอดีกับเตียงคุณแม่
- ควบคุมการทำงานด้วยรีโมท สามารถเปิดเพลงโดยเชื่อมต่อบลูทูธ PT – BABY ได้
- โครงสร้างแข็งแรงมั่นคง รองรับน้ำหนักได้ดี ล้อเตียงล็อคได้ เคลื่อนย้ายสะดวก
- ขอบเตียงครอบด้วยผ้า Peach มีความหนานุ่ม เด็กเกาะหรือจับได้ ไม่เจ็บมือ
- เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด – 24 เดือน รับน้ำหนักได้ถึง 25 กิโลกรัม

3. JOIE เปลนอนเด็ก รุ่น Playard Excursion Change & Bounce
เปลนอนเด็กจากแบรนด์ JOIE แบรนด์คุณภาพจากประเทศอังกฤษ รุ่น Playard Excursion Change & Bounce เป็นเปลนอนเด็กขนาดเล็กที่สามารถพับเก็บ และพกพาไปนอกสถานที่ได้ มาพร้อมเก้าอี้กล่อมเด็ก เบาะเปลี่ยนผ้าอ้อม และกล่องดนตรี ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด – 4 ปี ครอบคลุมทุกการใช้งาน ช่วยให้การดูแลลูกน้อยเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น
จุดเด่น
- เปลนอนสำหรับเด็กมาพร้อมที่นอนเด็กอ่อนในรูปแบบเก้าอี้กล่อมเด็ก และเบาะเปลี่ยนผ้าอ้อม สามารถถถอดใช้งานด้านนอกได้
- เปลมีตาข่ายทั้ง 4 ด้าน สามารถระบายอากาศได้ดี
- มาพร้อมกล่องดนตรีที่มีเสียงเพลง 5 เสียง เเละเสียงธรรมชาติ 5 เสียง เพื่อขับกล่อมลูกน้อย และสามารถเปิดไฟในที่มืดได้ปรับได้ 3 ระดับ
- เคลื่อนย้ายได้สะดวกด้วยล้อ และสามารถพับเก็บได้ เหมาะสำหรับการเดินทาง
- ที่นอนเด็กอ่อน และเบาะเปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับเด็กเล็ก สามารถถอดออกมาใช้ด้านนอกได้
- เก้าอี้เด็กอ่อนมีระบบสั่นสะเทือน ช่วยให้ลูกน้อยหลับสบายยิ่งขึ้น และมีบาร์ของเล่นสามารถถอดออกได้
- เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึง 4 ขวบ

4. NUNA เปลไกวเด็ก รุ่น Swing Soother Leaf Grow | toy bar
เปลนอนเด็กเล็กอีกรุ่นหนึ่งที่มีขนาดกะทัดรัด ใช้พื้นที่จัดเก็บไม่มาก เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด เรียกได้ว่าเป็นเปลไกวที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยที่มาพร้อมทอยบาร์สุดน่ารัก ให้ลูกน้อยได้เพลิดเพลินไปกับของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็น และการหยิบจับสิ่งของ พร้อมนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ไม่มีงอแง แถมยังมาพร้อมเบาะ 2 ชั้นที่ใช้งานได้ตั้งแต่เด็กจนโต
จุดเด่น
- มีลักษณะการไกวเสมือนการเคลื่อนไหวของคุณแม่ขณะตั้งครรภ์
- เป็นการเคลื่อนไหวโดยใช้แรงโน้มถ่วง ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับหรือสงบลงได้ง่ายขึ้น
- เหมาะตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต รับน้ำหนักได้มากถึง 60 กิโลกรัม
- สามารถปรับระดับความลาดชันของพนักพิงได้ 3 ระดับ เอน นั่ง นอน
- เบาะชั้นที่ 1 เป็นเบาะนั่งหนานุ่ม เหมาะสำหรับเด็กอ่อน มีเข็มขัดล็อคตัวเด็ก เเผ่นซัพพอต์หนานุ่ม และสามารถถอดออกได้
- เบาะชั้นที่ 2 หมาะสำหรับเด็กโต สามารถให้ลูกน้อยนั่งทำกิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น
- สามารถล็อคให้เบาะอยู่นิ่งได้
- เบาะรองนั่งสามารถถอดออกเพื่อซักทำความสะอาดได้ง่าย
- เนื้อผ้าทำจากผ้าคอตตอนออแกนนิค ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม
เปลนอนสำหรับเด็กเล็กนั้นก็มีอยู่หลายแบบเลยทีเดียว จะเลือกเปลนอนทารก แบบไหนดี ก็ต้องคำนึงถึงการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่มากที่สุด และสิ่งที่ละเลยไม่ได้เป็นอันขาดก็คือความปลอดภัย ควรเลือกเปลนอนเด็กที่มีความแข็งแรงทนทานได้มาตรฐาน มีคุณภาพดี เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกเราค่ะ ทั้งนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่สนใจเปลนอนเด็กเล็กแบบต่างๆ สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเปลนอนเด็กทารกหรือสินค้าอื่น ๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 4 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คุณแม่มือใหม่กับการเอาลูกน้อยเข้าเต้า ให้นมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ เพราะการที่แขนของคุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักลูกและต้องก้มตัวให้นมลูกน้อยบ่อย ๆ อาจจะทำให้คุณแม่ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดแขน หรือ เมื่อยล้าได้สะสมจนส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้ เพราะเห็นถึงปัญหาของคุณแม่หลังคลอด หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จึงถูกออกแบบมาเพื่อคุณแม่ให้นมโดยเฉพาะเลยค่ะ หมอนออกแบบตามสรีระศาสตร์ทารก ช่วยประคองคอและหลังของลูกน้อย พร้อมช่วยลดอาการปวดเมื่อยของคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้มทารกได้ด้วยค่ะ หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จำเป็นต้องมีไหม? คุณแม่ที่เชี่ยวชาญในการอุ้มทารกเป็นอย่างดี อุ้มลูกน้อยได้สบายหายห่วง เบาะอุ้มให้นมอาจจะดูไม่จำเป็นเท่าไหร่ค่ะ แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เวลาให้นมลูกยังต้องเกร็งแขน จนต้องใช้วิธีเอาหมอนหนุนมาวางซ้อนกันหลาย ๆ ใบ เพื่อรองรับลูกน้อย ยกลูกให้ถึงเต้านม หมอนรองให้นมก็ถือว่าจำเป็นต้องมีค่ะ เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยอยู่ในระดับที่ให้นมได้สะดวกมากขึ้น ลดอาการปวดเมื่อยของคุณแม่ และที่สำคัญหมอนทั่วไปไม่เหมาะกับการให้ทารกนอนระหว่างให้นม เพราะหมอนไม่ได้โค้งกระชับรองรับสรีระทารกค่ะ วิธีเลือกซื้อหมอนรองให้นม 1. เลือกจากรูปทรงหมอนรองให้นมมีหลายรูปแบบ เช่น รูปตัวยู, เบาะตามสรีระทารก เป็นต้น คุณแม่ควรจะเลือกแบบที่ตัวเองถนัด ที่สำคัญคุณสมบัติหลักควรจะกระชับรองรับสรีระทารกได้เป็นอย่างดี 2. กระชับแนบตัวลูก หรือ ตัวคุณแม่หมอนรองให้นมควรจะแนบกระชับตัวลูกน้อย รองรับตามสรีระเด็กทารก เพื่อให้คุณแม่อุ้มได้ถูกท่า หากเป็นแบบหมอนรูปตัวยู ควรจะปรับสายได้เพื่อให้แนบกระชับกับเอวคุณแม่ ไม่ให้หมอนเลื่อนหลุดง่าย […]
ไขข้อสงสัยที่สาวๆอยากรู้ “แม่เสริมหน้าอก ให้นมลูกได้ไหม?” วันนี้ Baby Gift มีคำตอบค่ะ ปัจจุบันการศัลยกรรมเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงและเข้าถึงทุกเพศทุกวัยทั่วโลก โดยเฉพาะการอัพไซส์ แม่เสริมหน้าอก เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้นสาวๆจะมีหน้าอกที่สวยงามและขนาดใหญ่ขึ้นตามความต้องการ รวมถึงมีร่องอกที่ชิดและชัดเจนกว่าเดิม ส่งผลให้สาวๆเกิดความมั่นใจในรูปร่างตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อสาวๆนิยมหันมาเสริมหน้าอก กันมากขึ้นจนเริ่มมีการตั้งคำถามว่า คุณแม่เสริมหน้าอก ให้นมลูกได้ไหม? คำตอบคือ ได้ค่ะ คุณแม่ที่เสริมหน้าอกมาแล้ว สามารถให้นมลูกได้ตามปกติและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะปัจจุบันการเสริมหน้าอกใช้เทคนิคใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปใต้หรือเหนือกล้ามเนื้อเต้านม ซึ่งอยู่คนละส่วนกับที่ใช้ผลิตน้ำนม และไม่ได้มีการตัดท่อน้ำนมหรือตกแต่งบริเวณหัวนม ส่วนในกรณีที่คุณแม่เสริมหน้าอกลังเลเรื่อง คุณแม่เสริมหน้าอก สามารถปั๊มนมได้ไหม? คำตอบคือ ทำได้ค่ะ คุณแม่ที่เสริมหน้าอกมาแล้ว สามารถปั๊มนมได้ตามปกติ โดยเลือกใช้เครื่องปั๊มนมที่มีคุณภาพ รองรับการปั๊มนมสำหรับคนที่เสริมหน้าอก อย่างไรก็ตาม การเสริมหน้าอกควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และเพื่อความสบายใจของคุณแแม่ควรปรึกษาคุณหมอในการวางแผนมีลูกเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเป็นกรณีไป ได้คำตอบแบบนี้แล้วคุณแม่มั่นใจหายห่วง เตรียมพร้อมรับมือเตรียมตัวเป็นคุณแม่กันดีกว่าค่ะ
ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้คาร์ซีทมือสอง โดย หมอวิน เพจ #เลี้ยงลูกตามใจหมอ ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยของคาร์ซีท #คาร์ซีทมือสอง ตามที่พ่อหมอเคยเขียนเรื่องการเลือกซื้อคาร์ซีทไว้แล้วตั้งแต่ตอนเปิดเพจครับ คลิกอ่านได้ครับที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1318721458224835&substory_index=0&id=1312969582133356 ก็เริ่มมีลูกเพจเริ่มถามเรื่อง “การซื้อคาร์ซีท” ในหัวข้อนอกเหนือจากคำถามเบื้องต้นครับ โดยเฉพาะเรื่อง “การซื้อคาร์ซีทมือสอง” หรือ “คาร์ซีทเก่า” ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมาร ฯ ของสหรัฐอเมริกา … บอกไว้ว่า
เค้าว่ากันว่าท้องอ่อนเป็นช่วงที่เสี่ยงต่อการแท้งมากที่สุด เพราะฉะนั้นคุณแม่ส่วนใหญ่จึงกลัวที่จะออกกำลังกายมากโดยเฉพาะการวิ่ง อันที่จริงแล้ว การแท้งส่วนใหญ่นั้นจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตอนที่มีอายุมาก โดยจะมีอัตราความเสี่ยงที่สูงกว่าคุณแม่ที่มีอายุน้อยค่ะ สาเหตุของการแท้งส่วนใหญ่มาจากความผิดปกติของทารกในครรภ์ หรือความผิดปกติของตัวคุณแม่เอง อย่างผู้ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ หรือมีโรคประจำตัว นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป หรือแม้แต่การใช้สารเสพติดก็นำไปสู่การแท้งได้เช่นเดียวกัน ส่วนคุณแม่ที่เคยแท้งมาก่อนหน้านี้ ก็มีโอกาสแท้งซ้ำได้สูงมากเหมือนกันเลยล่ะค่ะ เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของการออกกำลังกายกันดีกว่าค่ะ จากที่เล่าไปก่อนหน้านี้ การออกกำลังกายไม่ได้เป็นหนึ่งในสาเหตุของการแท้งที่สำคัญ ถ้าการออกกำลังกายนั้นไม่ใช่การออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากเกินไป เราลองมาดูกันค่ะว่าการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณแม่ท้องอ่อนนั้นได้แก่อะไรบ้าง 1. การเดิน การออกกำลังกายด้วยการเดินเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้วเนอะ แต่การเดินที่ถูกต้องนั้นควรจะเป็นการเดินที่ไม่เร็วจนเกินไป ไม่ลงน้ำหนักที่ส้นเท้ามากเกินไป และไม่เดินต่อเนื่องกันเป็นเวลานานมากเกินไปนะคะ นอกจากนี้ คุณแม่ยังควรที่จะต้องเดินในสถานที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง เพราะอากาศที่ปลอดโปร่งจะทำให้คุณแม่หายใจสะดวกขึ้น 2. โยคะ โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนท้องเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะโยคะนั้นเป็นการออกกำลังกายที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหม หากคุณแม่เล่นท่าที่ถูกต้องและหายใจเข้าออกอย่างถูกวิธี นอกจากจะช่วยให้คุณแม่แข็งแรงแล้ว ยังเป็นการช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วยค่ะ 3. ว่ายน้ำ การออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แนะนำมากๆ เลยค่ะ เพราะในการว่ายน้ำนั้น คุณแม่จะมีตัวช่วยพยุงเป็นน้ำนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ การว่ายน้ำยังเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณแม่ได้ใช้ร่างกายทุกส่วนอีกด้วยนะ 4. การเต้นแอโรบิก การเต้นแอโรบิกที่ไม่หักโหมมากเกินไปนั้นเป็นการออกกำลังกายที่เราแนะนำสำหรับคุณแม่ท้องอ่อนเลยค่ะ แต่คุณแม่ก็ควรจะเลือกจังหวะเพลงที่ไม่เร็วเกินไป และไม่ควรออกท่าที่มีการกระโดด หรือมีการกระทบกระเทือนด้วยนะคะ ประโยชน์ของการออกกำลังกาย คุณแม่ท่านไหนที่กำลังกลัวการออกกำลังกายอยู่ก็อย่าเพิ่งกลัวไปนะคะ เพราะการออกกำลังกายที่ถูกต้องนั้นมีประโยชน์กับคุณแม่มากๆ เลย […]
คาร์ซีท คืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็กในขณะที่เดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีราคา ฟังก์ชั่น ที่แตกต่างกัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ไม่แน่ใจว่าจะเลือกแบบไหนดีที่ลูกยอมนั่ง โดยเฉพาะคาร์ซีทแรกเกิด ที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายของเด็กบอบบางที่สุด ซึ่งการจะซื้อคาร์ซีทให้ปลอดภัย ต้องเลือกจากหลาย ๆ อย่าง เช่น เลือกประเภทคาร์ซีทให้เหมาะกับการใช้งาน เหมาะกับวัย ส่วนสูง และน้ำหนักของลูก วันนี้ Baygift จึงจะพาพ่อแม่ทุกคน มารู้จักกันว่า คาร์ซีทมีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย คาร์ซีท ระบบติดตั้งมีกี่แบบ เป็นเรื่องที่ต้องดูเป็นอันดับแรก ว่ารถที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันสามารถติดตั้งคาร์ซีทได้ด้วยระบบใด ซึ่งการติดตั้งจะมีอยู่ 2 ระบบ ดังนี้… ระบบนี้สามารถติดตั้งได้กับรถยนต์ทุกรุ่น ทุกคัน แต่ขั้นตอนการติดตั้งค่อนข้างจะยุ่งยาก จึงต้องศึกษาคู่มืออย่างละเอียด หรือ ให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญช่วยติดตั้งให้เลย คือ ระบบการติดตั้งตามมาตรฐานยุโรป ติดตั้งง่าย ISOFIX จะมีในรถที่ผลิตในปี 2014 ขึ้นไป บางรุ่นที่เก่ากว่าปี 2014 ก็อาจจะมีเช่นกัน ดังนั้น ให้ลองสังเกตสัญลักษณ์ […]
หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้ เมื่อมี กฎหมายคาร์ซีท ออกมาแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องมองหาคาร์ซีทให้ลูกอย่างจริงจังเลยใช่ไหมคะ แล้วคาร์ซีทแบบไหนเหมาะสำหรับลูกเรา แบบไหนปลอดภัยกว่า วันนี้ Baby Gift ได้รวบรวมข้อมูลมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมความพร้อมแล้วค่ะ ไปดูกันเลย หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 […]






