วิธีป้องกันแม่ท้องจาก PM 2.5

การใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบันเรียกได้ว่าต้องเป็นคุณแม่สายแข็งสายสตรอง ไหนจะมลพิษ ไหนจะฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ที่ถาโถมมาประดังกันอย่างไม่หยุดหย่อน ซ้ำร้ายกว่านั้น เจ้าภัยร้าย PM2.5 ยังมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีกซะนี่ แต่ไหนๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว งั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า PM2.5 พร้อมวิธีการป้องกันกันดีกว่าค่ะ
PM2.5 คืออะไร?
PM2.5 คือฝุ่นละอองไซส์เล็กจิ๋วที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ถ้าคุณแม่คิดภาพไม่ออก ลองมองดูที่เส้นผมเราค่ะ เจ้าฝุ่นตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าผมเราประมาณ 25 เท่าเลยเชียวนะ และขนาดที่เล็กมากเนี่ยแหละที่เป็นอันตราย เพราะแม้แต่จมูกของเราที่สามารถกรองฝุ่นได้อย่างดีเยี่ยมยังไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้ก็เลยเป็นหน้าที่ของเราแล้วนะที่จะต้องป้องกันตัวเอง

PM 2.5 เกิดจากอะไร?
สาเหตุหลักๆ ของ PM2.5 มาจากการเผาขยะ โรงงานอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่งอะไรพวกนี้ค่ะ แต่ฝุ่นนี้ก็ไม่ได้มาแค่ฝุ่นนะคะ เพราะมันจะพาพวกสารเคมีอันตรายจำนวนมากมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งอย่าง P-A-Hs สารเคมีที่ไปทำลายระบบประสาทอย่างปรอท รวมถึงแคดเมียมซึ่งเป็นสารพิษจากการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ และสารหนูที่ส่งผลต่อระบบประสาทอีกด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เพราะฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ลูกน้อยของเราจึงมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ แถมยังมีก๊าซต่างๆ ที่ลอยคลุ้งอยู่กับฝุ่นละออง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และโอโซน ซึ่งล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ทั้งสิ้น ผลร้ายก็คือจะทำให้ลูกน้อยมีขนาดตัวเล็กมากกว่าปกติ ส่วนถ้าคุณแม่คนไหนรับฝุ่นเข้าไปเยอะๆ ก็อาจมีผลเสียถึงขั้นที่ว่าลูกน้อยจะมีหัวใจพิการแต่กำเนิด เพราะฝุ่นเข้าไปขัดขวางการสร้างเซลล์ ทำให้อวัยวะต่างๆ ไม่สมบูรณ์ หรือถึงขั้นร้ายแรงที่สุดคืออาจทำให้ลูกในท้องของคุณแม่เสียชีวิตได้เลยค่ะ
วิธีการป้องกันเริ่มได้จากตัวเรา
1. สวมหน้ากากอนามัย
หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่จะช่วยทำหน้าที่กรองให้กับจมูกของคุณแม่อีกชั้นหนึ่ง แต่เนื่องจากฝุ่น PM2.5 นั้นมีขนาดเล็กมาก ไม่ใช่ว่าหน้ากากอะไรก็กรองได้นะคะ ดังนั้นคุณแม่จึงควรเลือกใช้หน้ากาก N95 หรือหน้ากากที่ระบุว่าสามารถป้องกัน PM2.5 ได้ มากกว่าจะเลือกใช้หน้ากากธรรมดานะ

2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นและควัน
สาเหตุหลักของ PM2.5 ก็คือการกระทำของพวกเราทุกคนนี่แหละค่ะ เพราะฝุ่นละอองนี้ล้วนแต่เกิดจากกิจวัตรประจำวันของเราซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นควันจากท่อไอเสีย การเผาขยะ หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ คุณแม่อาจจะเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวไปขึ้นรถสาธารณะแทน เพื่อเป็นการช่วยลดมลพิษ หรือเปลี่ยนจากการเผาขยะเป็นแยกขยะแล้วนำไปกำจัดตามชนิดของขยะนั้นๆ พอเป็นเรื่องของกิจวัตรประจำวัน มันก็อาจจะดูยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่อย่างน้อย ถ้าเราเริ่มต้นจากตัวเรา ก็ยังดีกว่าที่จะไม่เริ่มเลยน้า
3. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีรถวิ่งเป็นจำนวนมาก
สาเหตุหลักของฝุ่นอีกอย่างหนึ่งก็คือควันจากท่อไอเสียของรถนี่แหละค่ะ เพราะงั้นคุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะเดินตามถนนในใจกลางเมืองต่างๆ เพราะคุณแม่จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝุ่นควันได้เลย

4. หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
เมื่อพูดถึงกลางแจ้ง ภาพของฝุ่นก็เด่นชัดขึ้นมาทันที ช่วงตั้งครรภ์นี้ คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งไปก่อน เพราะการทำกิจกรรมกลางแจ้งหมายความว่าคุณแม่จะต้องสัมผัสกับฝุ่นโดยตรง ลองเปลี่ยนมาทำกิจกรรมในร่มแบบสบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องอากาศกันดีกว่า

แม้ว่าฝุ่นละอองจะเป็นปัญหา แต่เราก็ยังมีหนทางที่เรียกว่าก็ยังพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง อาจจะยากลำบากซักหน่อย แต่ก็อย่างที่บอก สถานการณ์ตอนนี้คงยากที่จะแก้ไข งั้นเรามาเริ่มจากการป้องกันตัวเองเพื่อลูกน้อยของเรากันนะคะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คุณแม่ท้องหรือคุณแม่หลังคลอด ที่อยากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อยากสต็อกนมแม่ให้ได้เยอะ ๆ หลายคนเลยเกิดข้อสงสัยว่า นอกจากอาหารการกินที่ช่วยเพิ่มน้ำนมได้แล้ว วิธีนวดกระตุ้นน้ำนม การนวดเต้านม นวดเปิดท่อน้ำนม ที่ได้เห็นผ่านตาตามฟีดข่าวโซเชียลต่าง ๆ นั้น ช่วยเพิ่มน้ำนมได้จริงไหม แล้วมีเทคนิคอย่างอื่นช่วยกระตุ้นน้ำนมได้หรือเปล่า วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยให้คุณแม่และแชร์เทคนิคดี ๆ ให้คุณแม่ได้อ่านกันค่ะ การนวดเต้านม ช่วยกระตุ้นน้ำนมได้จริงไหม การนวดเต้านมให้ผ่อนคลายในท่าต่าง ๆ แบบนวดธรรมชาติทั่วไป ไม่ได้มีการรีดน้ำนมของคุณแม่ให้ออกมาแบบเกลี้ยงเต้า จะมีข้อดีคือจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของระบบต่าง ๆ ช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ลดปัญหาคัดตึงเต้านมได้ แต่การนวดแบบไม่ได้รีดน้ำนมออกมาให้เกลี้ยงเต้า ก็จะไม่ได้ช่วยกระตุ้นสร้างน้ำนมเท่าที่ควรนะคะ เพราะยังมีน้ำนมค้างเต้าอยู่ ร่างกายของคุณแม่ก็จะไม่สั่งผลิตน้ำนมเพิ่มค่ะ วิธีนวดกระตุ้นน้ำนม นวดแบบไหนช่วยเพิ่มน้ำนมได้ ? จากข้อมูลของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ คุณหมอจะแนะนำให้บีบเต้านมในท่าที่ถูกวิธีด้วยมือ รีดน้ำนมของคุณแม่ให้ออกมาจนเกลี้ยงเต้า และการทำกระตุ้นจี๊ดนวดหัวนมไปด้วยเพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้น้ำนมเกลี้ยงเต้ามากขึ้น เมื่อน้ำนมเกลี้ยงเต้าแล้ว ร่างกายคุณแม่ก็จะสั่งผลิตน้ำนมใหม่มาทดแทน หากเอาลูกน้อยเข้าเต้าบ่อย ๆ ควบคู่ไปด้วย ร่างกายก็จะรับรู้ว่าลูกมีความต้องการ ก็จะรีบผลิตน้ำนมแม่เพิ่มอีก ก็จะทำให้มีน้ำนมมากขึ้นได้จริง ซึ่งคุณแม่ต้องรู้วิธีนวดเต้านมที่ถูกต้องก่อนนะคะ และต้องฝึกทำบ่อย ๆ ด้วยค่ะ 4 วิธีนวดกระตุ้นน้ำนม ให้เห็นผล คุณแม่ต้องใช้ขวดนม หรือ แก้ว […]
แม้ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ ก็ต้องดูแลความสวย ความงาม และดูแลตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ตลอด เพราะตามธรรมชาติเค้าสร้างผู้หญิงขึ้นมาเพื่อเกิดมาตั้งครรภ์ ให้กำเนิดบุตร โดยเฉพาะช่วง 9 เดือนที่ตั้งครรภ์ ร่างกายของเราจะถูกเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด บางอย่างก็ไม่อยากให้เกิด โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณการแตกลายของบริเวณท้องนั้นเป็นสิ่งที่คุณแม่กังวลเป็นอย่างมาก แต่วิธีป้องกันคุณแม่ตั้งครรภ์หลายๆคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าท้องเราเกิดแตกลายขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอย่างไรดี ท้องลาย หรือ รอยผิวแตกลาย เป็นเส้นที่ปรากฏบริเวณผิวหนังหน้าท้อง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่มาพร้อมกับการขยายขนาดของหน้าท้องอย่างรวดเร็ว รอยแตกลายจะเป็นริ้วสีขาว สีชมพู สีแดง สีม่วง หรือสีน้ำตาล ตามแต่สภาพผิวหนัง ความตึงของผิวหนังบริเวณนั้น ของแต่ละคน สาเหตุท้องลาย ท้องลาย เป็นการฉีกขาดของผิวหนังชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไปบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเกิดจากการขยายขนาดของท้องทำให้เห็นเส้นเลือดที่อยู่ในชั้นลึกลงไป จึงเห็นเป็นลายเข้ม ต่อมาเส้นเลือดหดตัวจึงเห็นพื้นที่ขาวมากขึ้น โดยท้องลายเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ท้องลายเป็นเพียงรอยแตกลายที่เกิดขึ้นและจะค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไม่สามารถกำจัดรอยที่เคยมีออกไปได้ทั้งหมด หรือเมื่อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทางออกในการแก้ปัญหาท้องลาย 1. ควบคุมอาหาร คุณแม่ตั้งครรภ์ควรควบคุมเรื่องอาหาร ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งคุณแม่และลูกน้อย ไม่ควรกินอาหารที่เพิ่มน้ำหนักมากๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณท้องขยายเร็ว […]
การดูแลตัวเองในช่วงให้นมเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถสร้างน้ำนมได้อย่างเพียงพอ ซึ่งนอกจากวิธีต่างๆ ที่จะช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่แล้ว การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมด้วยอาหารการกินก็จะทำให้แม่มีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถให้นมลูกได้อย่างปลอดภัยและเต็มที่อีกด้วย ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะชวนคุณแม่มาดูแลตัวเองในช่วงให้น้ำนม ตามมาดูกันค่ะ ว่าคุณแม่ให้นมควรกิน หรือไม่ควรกินอะไรบ้าง เช็กลิสต์ให้นมลูก ห้ามกินอะไรบ้าง ? ชวนคุณแม่เช็กกินอะไรได้บ้าง ช่วงให้นม ! นอกจากการดูแลตัวเองแบบพื้นฐาน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายที่ไม่หนัก เช่น เดิน โยคะ ว่ายน้ำ ดูแลจิตใจให้ไม่เครียด รวมถึงการเลี่ยงสารเสพติดทุกชนิดแล้วนั้น คุณแม่ที่ให้นมลูก ห้ามกินอะไรอีกบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม ลองมาดูรายละเอียดกันต่อดีกว่าค่ะ ให้นมลูก ห้ามกินอะไรบ้าง ? อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงให้นมมีอะไรกันบ้าง BabyGift เตรียมข้อมูลมาให้ด้วยกัน 7 ข้อ แต่ละข้อมีรายละเอียดยังไงมาดูกันค่ะ แล้วให้นมลูก ควรกินอะไร ? สำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกนั้น นอกจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพิ่มพวกโปรตีน ธัญพืช แป้งไม่ขัดสี กินผลไม้ และดื่มน้ำให้มากพอแล้วนั้น […]
คาร์ซีทหมุนได้ จำเป็นต่อคุณพ่อ คุณแม่อย่างไร คุณพ่อและคุณแม่ทุกคน พยายามและสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อยเสมอ เพราะลูกน้อยคือแก้วตาดวงใจของคุณพ่อและคุณแม่ แต่จะดีกว่าไหมถ้าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยยังสร้างความสะดวกสบายสำหรับคุณพ่อและคุณแม่ไปพร้อมกัน การเลือกซื้อคาร์ซีทก็เหมือนกัน นอกจากจะดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังคงต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งาน ต่อทั้งกับคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อยอีกด้วย และหนึ่งในปัญหาชวนปวดหัวสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ในการใช้คาร์ซีท อย่างปัญหาการอุ้มลูกน้อยเวลาขึ้นลงรถ หรือปัญหาที่จอดรถแคบเกินไป ที่ทำให้การอุ้มลูกน้อยขึ้นลงรถลำบาก อาจจะชนกับรถ หรือกำแพง ที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้ง คุณพ่อ คูณแม่ และลูกน้อยได้ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้าคุณพ่อ และคุณแม่เลือกใช้คาร์ซีทแบบ Convertible Carseat คาร์ซีทหมุนได้ 2 ทิศทาง หรือคาร์ซีทที่หมุนได้ 360 องศา ที่นอกจากปกป้องลูกน้อยได้แล้ว ยังเพิ่มเติมความสะดวกสบายให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้อีกด้วย นอกจากนี้คาร์ซีทหมุนได้ยังมีข้อดีอีกมากมาย ทาง Baby Gift จึงขอพา คุณพ่อ คุณแม่ มาเข้าใจถึงข้อดีของคาร์ซีทหมุนได้กันค่ะ ข้อดีของการใช้ คาร์ซีทหมุนได้ .คุณพ่อ และคุณแม่ สะดวกสบายในการอุ้มลูกน้อยขึ้นลงรถ […]
เมื่อรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่สถานะคุณแม่ตั้งครรภ์เต็มตัวแล้ว สิ่งแรกที่บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายแอบกังวลอยู่ไม่น้อย คงจะหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ตรงของการเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว บรรดาเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด มักจะวนเวียนมาถามว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินอะไร หรือสามารถกินอะไรได้บ้าง ยิ่งถ้าไม่มีอาการแพ้ท้อง ถือว่าโชคดีสองชั้น อยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอน หรือแพ้ท้องแล้วก็ดันอยากจะกินอาหารที่ไม่ควรกินอีก เพราะโน้นก็อร่อย นี่ก็ของชอบ ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์รึเปล่า วันนี้คุณแม่เลยอยากจะแนะนำอาหารคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องใหม่ไม่ควรรับประทานให้ฟังว่า 1. อาหารที่มีรสจัดคุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เพราะระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม การกินอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด จะทำให้มีโอกาสปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ นำไปสู่อาหารเป็นพิษได้ง่าย 2. อาหารที่ก่อโรคไหลย้อนในช่วงตั้งครรภ์ โอกาสที่คุณแม่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนโดยเฉพาะ อาหารทอด, อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ, อาหารที่มีรสจัด, ชา, กาแฟ, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ชีส รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น 3. อาหารที่กินแล้วท้องผูกต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาการท้องผูกกลายเป็นของคู่กันของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อย่างผักและผลไม้แทน […]
เมื่อเริ่มตังครรภ์ มีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณแม่ทุกคนก็ต้องตื่นเต้นอยากเจอหน้าลูกและสงสัยว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ ไปถึงไหนแล้วใช่ไหมคะ เราจึงนำพัฒนาการของลูกน้อยตลอดเก้าเดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่มาให้ชมกัน เบบี้กิ๊ฟขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ ลูกน้อยตัวโตแค่ไหนแล้ว เราลองเทียบกับผลไม้ให้ดูค่ะ พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 1 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 1 คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เข้าเดือนที่สองไปแล้ว เพราะว่าในเดือนแรกนี้จะเป็นช่วงที่ไข่กับอสุจิเข้าผสมกัน มีการแบ่งเซลล์แล้วก็ฝังตัวของเอ็มบริโอ ซึ่งในระยะนี้เจ้าหนูน้อยก็จะเล็กจิ๋วมาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีขนาดไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนการพัฒนาหลัก ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาในส่วนของรก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับสารอาหารจากคุณแม่ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 2 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 เดือนนี้แหละที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านจะเริ่มรู้ตัว มีอาการแพ้ท้อง แล้วก็ไปหาคุณหมอเพื่อการฝากครรภ์กันแล้ว ในช่วงเดือนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ก็จะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพัฒนาของระบบประสาท เนื้อเยื่อเส้นใยประสาท แล้วก็ไขสันหลัง คุณแม่สามารถทำอัลตราซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเต้นได้แล้วนะคะ พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 28 กรัม และมีความยาวประมาณ 7.6 ซ.ม. แล้วค่ะ […]








