ปลอดภัยขึ้น! คาร์ซีทในประเทศไทย ใช้มาตรฐานใหม่ECE R129 (i-Size)

ปัจจุบัน คาร์ซีท (Car Seat) หรือ เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ทั้ง คาร์ซีทแรกเกิด คาร์ซีทเด็กโต บูสเตอร์ซีท มีเกณฑ์การทดสอบความปลอดภัยต่างกันและผ่านมาตรฐานมาจากหลายประเทศ แต่ทราบหรือไม่ว่า คาร์ซีทในประเทศไทย มีประกาศจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) มาแล้ว ว่าคาร์ซีทจะต้องผลิตหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยของยุโรปเท่านั้น 

ทั้งนี้ ยังมีประกาศเพิ่มข้อบังคับให้คาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนจากด้านข้างด้วย ซึ่งตรงกับข้อบังคับของ มาตรฐานคาร์ซีท R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด 

ก่อนคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกรัก แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดของ มาตรฐาน ECE R129 (i-Size) มาก่อน ว่าเพิ่มความปลอดภัยจุดไหนบ้าง เราจะพาไปทำความเข้าใจกันเลย 

คาร์ซีทในประเทศไทย ใช้มาตรฐานใหม่ ECE R129 (i-Size) 

จากเดิม ประกาศมาตรฐานความปลอดภัย (Safety Standards) ของคาร์ซีท จากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) จะเริ่มบังคับใช้ภายในปี 2566 ให้ผู้ประกอบการที่ทำหรือนำเข้าคาร์ซีท ต้องทำหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน มอก.3418-2565 โดยอ้างอิงมาจากมาตรฐานสากล ECE R44/04 (มาตรฐานยุโรป) ซึ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก 

ล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สั่ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) คุมเพิ่ม เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car Seat) และระบบติดตั้งแบบ Isofix ให้ได้ภายในปลายปี 2567 โดยคาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนด้านข้างด้วย (จากมาตรฐานเดิม ECE R44/04 ไม่มีข้อกำหนดว่าต้องทดสอบการชนด้านข้าง) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยล่าสุดของยุโรป ECE R129 (i-Size) โดยมีจุดประสงค์เพื่อความปลอดภัยที่สูงขึ้น 

มาตรฐานคาร์ซีท R129 (i-Size)คืออะไร 

มาตรฐาน ECE R129 หรือ i-Size คือ มาตรฐานหรือกฎระเบียบด้านความปลอดภัยฉบับใหม่ของยุโรป ที่ใช้ควบคุมการผลิตคาร์ซีทสำหรับเด็ก ให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น พร้อมเบาะต้องนั่งสบายมากขึ้นเนื่องจากมีข้อบังคับให้เด็กอายุ 15 เดือน ต้องนั่งหันหน้าเข้าเบาะรถยนต์ ซึ่งมาตรฐานฉบับใหม่นี้ได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2556 และยังเป็นมาตรฐานที่มีการทดสอบความปลอดภัยคาร์ซีทอย่างเข้มงวด พร้อมได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุดอีกด้วย 

ป้ายกำกับ มาตรฐาน ECE R129 (i-Size)

มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีทแบบใหม่ ECE R129 (i-Size) มีระเบียบข้อบังคับกำหนดไว้ ดังนี้ 

  1. การทดสอบการชน

– การชนด้านหน้า ด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. 

– การชนด้านหลัง ด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. 

– การชนด้านข้าง ด้วยความเร็ว 24 กม./ชม. 

(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 ไม่มีข้อกำหนดว่าต้องทดสอบการชนด้านข้าง)

  1. การติดเซ็นเซอร์บนหุ่นจำลอง เพื่อทดสอบการกระแทก

การใช้เซ็นเซอร์ติดหุ่นจำลองที่สรีระเหมือนเด็ก จำนวน 32 จุด เพื่ออ่านค่าความรุนแรงจากการกระแทก และจะรายงานผลออกมาเป็นความเสียหายตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และต้องไม่เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนดไว้ 

(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 ติดเซ็นเซอร์เพียง 4 จุด)

  1. ข้อบังคับทิศทางการติดตั้ง

มีข้อบังคับให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 เดือน ต้องหันหน้าเข้าเบาะรถยนต์ (Rear-Facing) เท่านั้น

(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 มีข้อบังคับ 9 เดือน)

  1. ระบบการติดตั้ง

จากเดิมครอบคลุมคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วย ระบบไอโซฟิก (ISOFIX) เท่านั้น ล่าสุดปรับเปลี่ยนให้ เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ (Belt) สามารถผ่านการทดสอบได้ พร้อมข้อบังคับต้องมี ตะขอเกี่ยวเบาะรถยนต์ (Top Tether) หรือ ขำค้ำยัน (Support Leg) เสริมความปลอดภัยด้วย

  1. การใช้งาน

แบ่งตามอายุและส่วนสูง เช่น 

แรกเกิด – 15 เดือน ส่วนสูง 40-83 cm.

แรกเกิด – 4 ปี ส่วนสูง 70 – 105 cm.

15 เดือน – 12 ปี ส่วนสูง 70 – 150 cm.

3.5 ปี – 12 ปี ส่วนสูง 100 – 150 cm. 

(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 แบ่งการใช้งานตามอายุและน้ำหนัก) 

มาตรฐานคาร์ซีท ECE R44/04 และ ECE R129 (i-SIZE) แตกต่างกันจุดไหนบ้าง เราสรุปในตารางเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้ 

เลือกใช้คาร์ซีทมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) มีข้อดีอย่างไร 

  1. ปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากคาร์ซีท R129 ผ่านการทดสอบการชนด้านข้างด้วย
  2. กรณีเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด จะทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากเกินไป เนื่องจากใช้เซ็นเซอร์ติดหุ่นจำลองแบบทั่วตัว 32 จุด และผ่านการทดสอบหุ่นจำลองไม่ได้รับความเสียหายเป็นไปตามมาตรฐานกำหนดไว้
  3. ติดตั้งง่ายและรวดเร็วขึ้น ด้วยระบบ ISOFIX (คาร์ซีท R129 ส่วนใหญ่จะเป็นระบบ Isofix)
  4. คาร์ซีทได้รับการออกแบบให้เบาะนั่งสบายมากขึ้น เนื่องจากต้องส่งเสริมให้ทารกอายุต่ำกว่า 15 เดือน ต้องนั่งคาร์ซีทหันหน้าเข้าเบาะรถยนต์ (Rear-Facing) เท่านั้น
  5. เลือกคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น เหมาะกับสรีระเด็กมากขึ้น ด้วยการวัดส่วนสูงแทนการใช้น้ำหนัก

แนะนำ คาร์ซีท R129 (i-Size) จาก ร้านเบบี้กิ๊ฟ

1.Ailebebe รุ่น Kurutto R The First 

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)  
  • ซัพพอร์ตข้างศีรษะหนาที่สุด 100 mm. 
  • ผ้า AG Pure ต้านแบคทีเรีย 99%
  • ช่องระบายอากาศด้านหลัง 1,695 ช่อง
  • หมุนได้ 360 องศา ด้วยมือเดียว หมุนลื่น 
  • หลังคา 98 cm. คลุมถึงปลายเท้า 
  • เทคโนโลยีความปลอดภัย Baby Catch Technology หรือ ระบบพนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ 
  • made in Japan 

2. Ailebebe รุ่น Kurutto R Grance 

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)  
  • ซัพพอร์ตข้างศีรษะหนาที่สุด 100 mm. 
  • ช่องระบายอากาศด้านหลัง 1,695 ช่อง
  • หมุนได้ 360 องศา ด้วยมือเดียว หมุนลื่น 
  • ขาค้ำยัน มีระบบ Sensor เสียงแจ้งเตือน 
  • เทคโนโลยีความปลอดภัย Baby Catch Technology หรือ ระบบพนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ 
  • made in Japan 

การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40-100 cm. หรือ อายุ 0- 4 ปี

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX 

3. Aprica รุ่น Fladea Grow 360 Premium

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)  
  • ปรับคาร์ซีทให้นอนราบได้ ถึง 170 องศา 
  • เด็กคลอดก่อนกำหนดใช้ได้อย่างปลอดภัย 
  • หมุนได้ 360 องศา พาลูกขึ้น-ลงรถสะดวก  
  • มี Support สำหรับเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ

การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40-100 cm. หรือ อายุ 0 – 4 ปี  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

4. Renolux รุ่น Gaia

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)  
  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจาก ADAC เยอรมัน และ TCS สวิตเซอร์แลนด์  
  • เทคโนโลยี Softness Cushion ทำให้เบาะนุ่มพิเศษ นั่งสบายเหมือนโซฟา  
  • ปรับเลื่อนระดับเพิ่มพื้นที่วางขาได้ นั่งหันหน้าเขาเบาะได้จนส่วนสูง 105 cm.  
  • หมุนง่ายได้ถึง 360°
  • มี Side Protection ป้องกันการชนด้านข้าง

การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40-105 cm. หรือ อายุ 0 – 4 ปี  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

5. คาร์ซีทเด็กโต Kinderkraft รุ่น Comfort Up

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)  
  • น้ำหนักเบา 6 kg. ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก  
  • ผ้า MESH เรียบนุ่ม เย็นสบาย 
  • ปรับเอนนอนได้ตามเบาะรถยนต์ 100 องศา 
  • Head Support หนา 3 ชั้น 

การใช้งาน : เด็กอายุ 15 เดือน – 12 ปี หรือ ส่วนสูง 76 – 150 cm.  

การติดตั้ง : ระบบ Belt 

6.คาร์ซีทกระเช้า Kinderkraft รุ่น I-Care

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size) 
  • ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้ 
  • หนักเบา 4.2  kg ถอดและถือหิ้วได้สะดวกมาก  
  • เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม 
  • พนักพิงแข็งแรง หนา 3 ชั้น
  • Side Protect ป้องกันการกระแทกด้านข้าง 

การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ส่วนสูง 40 – 87 cm. 

การติดตั้ง : ระบบ Belt (ฐาน Isofix จำหน่ายแยก) 

7. คาร์ซีทกระเช้า Kinderkraft รุ่น Mink Pro

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size) 
  • ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้ 
  • ปรับพนักพิงศีรษะและเข็มขัดนิรภัย ได้ 5 ระดับ  
  • น้ำหนักเบา 3.5 kg. ถอดและถือหิ้วได้สะดวก 
  • Head Support หนา 3 ชั้น เสริม EPS โฟม รองรับแรงกระแทกได้ดี 
  • Side Protect ป้องกันการกระแทกด้านข้าง

การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ส่วนสูง 40-87 cm.  

การติดตั้ง : ระบบ Belt 

8. คาร์ซีทแรกเกิด Kinderkraft รุ่น I-Grow

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size) 
  • ติดตั้งปลอดภัยสูง ด้วยระบบ ISOFIX และ TOP TETHER 
  • คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา
  • ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ 
  • ปรับความสูงพนักพิงศีรษะได้ 12 ระดับ 

การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือ ความสูง 40 – 150 cm.  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

9. คาร์ซีทแรกเกิด Kinderkraft รุ่น I-360

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size) 
  • ติดตั้งง่ายด้วยระบบ ISOFIX และ Support leg 
  • คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา
  • Head Support หนา 3 ชั้น 
  • Side Protect ป้องกันการกระแทกได้อย่างปลอดภัย  
  • ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ จนถึงส่วนสูง 150 cm.

การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือ ความสูง 40 – 150 cm.  

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX 

10. คาร์ซีทเด็กโต Renolux รุ่น Olymp

  • ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)  
  • เบาะนั่งสบายเหมือนโซฟา ด้วยเทคโนโลยี Softness Cushion  
  • ผ่านการทดสอบความปลอดภัยจาก ADAC เยอรมัน และ TCS สวิตเซอร์แลนด์  
  • Side Protection รองรับแรงกระแทกจากด้านข้าง   
  • ปรับเอนนอนได้ในตัว 108°   
  • ปรับพนักพิงได้ตามความสูงของเด็ก (ความสูงถึง 150 cm.)   
  • Made in France  

การใช้งาน : เด็กตั้งแต่ความสูง 76-150 cm. หรือ อายุ 15 เดือน – 12 ปี 

การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

ปัจจุบันคาร์ซีทในประเทศไทย ยังมีมาตรฐานความปลอดภัยของคาร์ซีทหลากหลายประเทศ ก่อนจะซื้อคาร์ซีทให้ลูกน้อย อย่าลืมตรวจสอบมาตรฐาน หรือ ฟังก์ชั่นความปลอดภัย เพื่อให้ได้คาร์ซีทที่มีความปลอดภัยสูงสุด ที่จะช่วยปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยตลอดการเดินทาง 

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

หนึ่งอุปกรณ์สำคัญเพื่อการเลี้ยงลูกที่คุณแม่ขาดไม่ได้คือ ขวดนม ที่คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านอาจมองข้าม เพราะคิดและตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้นมแม่ล้วนหลังคลอด ซึ่งอาจลืมไปว่าแม้จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ขวดนมก็ยังมีความสำคัญและเป็นผู้ช่วยชั้นดีของการให้นมแม่ได้แน่นอน » ขวดนมจำเป็นแค่ไหน ? » ขวดนม มีกี่แบบ ? ปัจจุบันขวดนมสำหรับเด็กผลิตขึ้นจากวัสดุที่หลากหลาย มีหลายประเภทและหลายรูปทรงให้เลือก วัสดุของขวดนม ขวดนมสำหรับเด็ก มีทั้งขวดแก้ว ขวดพลาสติก และขวดที่ใช้แล้วทิ้ง(Disposable Liners)ที่ใส่ลงในขวดนมอีกที  แต่ปัจจุบันขวดนมส่วนใหญ่ที่นิยมใช้มักผลิตจากพลาสติกเพราะน้ำหนักเบา ตกไมแตก ทนความร้อนและหาซื้อง่าบ โดยมีทั้งขวดพลาสติกใส ขวดพลาสติกขาวขุ่น และขวดสีชา ที่ผลิตจากพลาสติกที่ต่างชนิดกัน 1. ขวดนม PP วัสดุ POLYPROPYLENE เป็นขวดนมที่มีสีโปร่งใส หรือสีขาวขุ่น มีน้ำหนักเบา ทนทาน โดยทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -20 –110˚c มีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน และอาจเหลือน้อยลงหากผ่านความร้อนจากการต้มหรือนึ่งบ่อยๆ 2. ขวดนม PES วัสดุ POLYETHERSULFONE เป็นขวดพลาสติกสีชาหรือน้ำผึ้ง สามารถทนอุณหภูมิได้ที่ -50–180˚c มีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6 เดือน […]

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่าน คงเริ่มรู้จักกับคาร์ซีทกันบ้างแล้ว ว่าเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยในขณะเดินทาง แต่รู้หรือไม่ว่า คาร์ซีทที่ติดตั้งในรถยนต์แต่ละประเภทนั้น จะต้องติดตั้งตำแหน่งที่แตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปหาคำตอบกันว่า วิธีติดตั้งคาร์ซีท ตำแหน่งไหนปลอดภัยมากที่สุด วิธีติดตั้งคาร์ซีท มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี  ตำแหน่งที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุด สำหรับประเทศไทย ตำแหน่งในรถยนต์ที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุดก็คือ “เบาะหลังฝั่งคนนั่ง” ด้วยเหตุผลดังนี้…  รถยนต์ SUV หรือ รถตู้ ติดตั้งคาร์ซีทเบาะไหนดี  ติดตั้งคาร์ซีทที่รถตู้ ส่วนใหญ่แล้วรถที่มีนั่งมากกว่า 2 ตอน ควรจะติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะแถวสุดท้ายของตัวรถ แต่ก็จะมีข้อควรระวังในเรื่องของการติดตั้ง เช่น ควรจะขยับเบาะให้ห่างจากประตูหลัง เพื่อให้มีระยะห่างกับประตูพอสมควร เพื่อเป็นการเซฟตี้ลูกน้อยให้ปลอดภัยมากที่สุด  Alphard ติดตั้งคาร์ซีทได้ไหม ติดตั้งเบาะไหนดี  ติดตั้งคาร์ซีทที่รถ Toyota Alphard ควรจะติดตั้งที่เบาะแถวแรก หรือ แถวตอนสุดท้ายของตัวรถ ไม่ควรติดตั้งที่เบาะด้านหน้า เนื่องจากมีถุงลมนิรภัย (Airbag) และคาร์ซีทบางรุ่นอาจมีขนาดใหญ่ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองของคนขับลดน้อยลง และสำหรับคาร์ซีทที่มีฟังก์ชั่นหมุนได้ เมื่อติดตั้งไปแล้วจะทำให้หมุนยากหรือหมุนไม่ได้เลย เนื่องจากเบาะรถมีขนาดพอดีตัว พื้นที่จำกัด ทำให้เวลาหมุนแล้วตัวคาร์ซีทจะไปติดที่ข้างเบาะ […]

“เวลาลูกสาววัย 5 เดือนดูดนมแม่ จะมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะที่ศีรษะจะเปียกตลอดเลยทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ถือเป็นอาการผิดปกติหรือเปล่า”  เด็กต้องการพลังงานเทียบกับน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆจึงต้องการใช้พลังงานสูงมาก เช่น เพื่อการสร้างเซลสมอง การสร้างเซลกล้ามเนื้อ ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องการพลังงานเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กล้ามเนื้อหัวใจในเด็กทารกเป็นเซลกล้ามเนื้อชนิดที่ล้าง่าย ต้องการพลังงานสูง ชีพจรของเด็กจึงเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ เด็กแรกเกิดชีพจรเต้น 140 ครั้งต่อนาที และลดลงเรื่อยๆเมื่อเด็กเติบโตขึ้น จนเป็น 60-80 ครั้งต่อนาทีเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานก็ย่อมมีมาก การระบายความร้อนออกจากร่างกายทำได้โดยการขับออกเป็นเหงื่อ ดังนั้นการที่เห็นว่าทารกนอนดูดนมเฉยๆ ทำไมถึงมีเหงื่อเยอะจัง เพราะภายในร่างกายของเขามีการทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ผิดปกติค่ะ ขณะที่ผู้ใหญ่จะใช้พลังงานสูงเท่ากับที่เด็กทารกต้องการ ก็ต่อเมื่อมีการออกกำลัง จนชีพจรเต้นเร็วเท่ากับเด็กทารก ถึงเวลานั้นเราก็มีเหงื่อออกเต็มตัวเหมือนเด็กทารกเวลาดูดนมเช่นกัน อย่างไรก็ดีมีโรคบางอย่างที่ทำให้ทารกมีเหงื่อออกมากผิดปกติกว่าเด็กคนอื่น เช่น โรคหัวใจ โรคธัยรอยด์เป็นพิษ แต่ลูกควรมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เลี้ยงไม่โต ดูดนมแล้วดูเหนื่อยต้องหยุดเป็นพักๆ ตรวจร่างกายฟังได้ยินเสียงผิดปกติที่หัวใจ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคเหล่านี้ ให้ปรึกษากุมารแพทย์ได้ค่ะ หากตรวจแล้วพบว่าลูกปกติดี การมีเหงื่อออกเวลาดูดนม นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังช่วยให้ต่อมเหงื่อทำงานขับของเสียออกทางผิวหนังอีกทางหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ให้ลูกตลอดเวลา เพียงใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ง่าย และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทจะดีกว่าค่ะ >>>ขอบคุณข้อมูล : สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

ก่อนหน้านี้ก็เคยคิดว่าเรื่องพาหะธาลัสซีเมียนี่เป็นอะไรที่ไกลตัวมากๆ แต่พอตั้งท้องเท่านั้นแหละ การเป็นพาหะฯ นี่เรื่องใกล้ตัวสุดๆ แถมทำให้กังวลมากมายเลยล่ะค่ะ ถ้าคุณแม่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็แสดงว่าคุณแม่อาจจะกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกันใช่มั้ย สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าพาหะธาลัสซีเมียคืออะไร วันนี้เราก็นำความรู้มาฝากกันค่ะ เคยได้ยินผ่านๆ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพาหะธาลัสซีเมียคืออะไร? อันที่จริง การเป็นพาหะธาลัสซีเมียไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนไทยเลยนะ เพราะมีคนไทยตั้งกว่า 24 ล้านคนที่เป็นพาหะโรคนี้ เผลอๆ เวลาเดินตามถนนเราอาจจะเจอคนที่เป็นพาหะอยู่เต็มไปหมด แถมเรายังอาจจะเป็นด้วยก็ได้นะ คนที่เป็นพาหะของโรคนี้ง่ายๆ ก็คือ คนที่มีเชื้อธาลัสซีเมีย “แฝง” อยู่ในร่างกาย เพราะงั้นคนที่เป็นพาหะจะมีสุขภาพที่แข็งแรงปกติเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ ไม่ได้ออกอาการอะไร แต่อาจจะเลือดจางนิดหน่อย โรคธาลัสซีเมียนี้เป็นโรคที่ติดต่อได้ทางพันธุกรรม เพราะงั้น หากทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะทั้งคู่ ลูกที่คลอดออกมาก็สามารถเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ถึง 25% เลยนะ พูดง่ายๆ คือ พาหะก็เหมือนมีโรคอยู่ครึ่งนึง แม่มีครึ่ง พ่อมีครึ่ง พอมารวมกัน ลูกก็มีโอกาสที่จะได้รับโรคนี้ไปเต็มๆ เลยนั่นเอง แต่คุณแม่ก็อย่าเพิ่งกังวลเกินไปนะคะ เพราะหากคุณหมอตรวจพบว่าทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะแล้ว ขั้นต่อไปคุณหมอจะดูว่าเป็นธาลัสซีเมียชนิดไหน เพราะถ้าเป็นคนละชนิดกัน ก็หายห่วง! พาหะธาลัสซีเมียมีกี่ชนิด แล้วต่างกันยังไง? พาหะธาลัสซีเมียมี 2 ชนิด ก็คือ อัลฟ่ากับเบตา อัลฟ่านี่จะค่อนข้างรุนแรง แต่มากน้อยก็แล้วแต่ยีนส์ที่แฝงอยู่นั่นแหละ ส่วนถ้าเป็นกลุ่มเบตาก็จะไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่ […]

เมื่อเริ่มตังครรภ์ มีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณแม่ทุกคนก็ต้องตื่นเต้นอยากเจอหน้าลูกและสงสัยว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ ไปถึงไหนแล้วใช่ไหมคะ เราจึงนำพัฒนาการของลูกน้อยตลอดเก้าเดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่มาให้ชมกัน เบบี้กิ๊ฟขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ ลูกน้อยตัวโตแค่ไหนแล้ว เราลองเทียบกับผลไม้ให้ดูค่ะ พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 1 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 1 คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เข้าเดือนที่สองไปแล้ว เพราะว่าในเดือนแรกนี้จะเป็นช่วงที่ไข่กับอสุจิเข้าผสมกัน มีการแบ่งเซลล์แล้วก็ฝังตัวของเอ็มบริโอ ซึ่งในระยะนี้เจ้าหนูน้อยก็จะเล็กจิ๋วมาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีขนาดไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนการพัฒนาหลัก ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาในส่วนของรก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับสารอาหารจากคุณแม่ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 2  พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 เดือนนี้แหละที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านจะเริ่มรู้ตัว มีอาการแพ้ท้อง แล้วก็ไปหาคุณหมอเพื่อการฝากครรภ์กันแล้ว ในช่วงเดือนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ก็จะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพัฒนาของระบบประสาท เนื้อเยื่อเส้นใยประสาท แล้วก็ไขสันหลัง คุณแม่สามารถทำอัลตราซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเต้นได้แล้วนะคะ พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 28 กรัม และมีความยาวประมาณ 7.6 ซ.ม. แล้วค่ะ […]

สอนดูแลลูกตั้งแต่แรกเกิดแบบจับมือทำ โดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย..#BabyGift เข้าใจและมองเห็นถึงความสำคัญ จึงได้ร่วมกับ พี่กัลนมแม่ กลุ่มแม่และเด็ก คลินิกนมแม่ สรุปเทคนิคดูแลทารกแรกเกิด โดยผู้เชี่ยวชาญ #พี่กัลนมแม่ จากในงาน 𝐌𝐨𝐦𝐦𝐲’𝐬 𝐋𝐨𝐯𝐞 𝐌𝐚𝐠𝐢𝐜 จะมีอะไรบ้าง ? ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ดูแลการกินของทารก #นมแม่ดีที่สุด ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดความเสี่ยงติดเชื้อต่างๆ ได้ ถ้าลูกไม่ยอมดูดเต้าให้แม่ใช้เครื่องปั๊มนม และขวดนมแรกเกิดป้อนนมแม่ให้กับลูกน้อยแทน 2. หมั่นสังเกตการเจริญเติบโตลูกน้อย ปกติแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ น้ำหนักลูกน้อยจะเพิ่มขึ้น วันละ 30 กรัม หากน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่านี้ ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ค่ะ 3. สังเกตการขับถ่ายของลูก อุจจาระแต่ละสีบอกสุขภาพลูกได้ หากมีสีขาวหรือแดงเข้ม หรือหากมีปัสสาวะขุ่น มีตะกอน อาจมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที 4. การนอนของทารก ท่านอนที่ดีที่สุดของทารก คือ การนอนหงาย เด็กแรกเกิดควรนอน 16-18 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ Growth Hormone […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages