ปลอดภัยขึ้น! คาร์ซีทในประเทศไทย ใช้มาตรฐานใหม่ECE R129 (i-Size)

ปัจจุบัน คาร์ซีท (Car Seat) หรือ เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ทั้ง คาร์ซีทแรกเกิด คาร์ซีทเด็กโต บูสเตอร์ซีท มีเกณฑ์การทดสอบความปลอดภัยต่างกันและผ่านมาตรฐานมาจากหลายประเทศ แต่ทราบหรือไม่ว่า คาร์ซีทในประเทศไทย มีประกาศจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) มาแล้ว ว่าคาร์ซีทจะต้องผลิตหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยของยุโรปเท่านั้น
ทั้งนี้ ยังมีประกาศเพิ่มข้อบังคับให้คาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนจากด้านข้างด้วย ซึ่งตรงกับข้อบังคับของ มาตรฐานคาร์ซีท R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
ก่อนคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกรัก แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดของ มาตรฐาน ECE R129 (i-Size) มาก่อน ว่าเพิ่มความปลอดภัยจุดไหนบ้าง เราจะพาไปทำความเข้าใจกันเลย

คาร์ซีทในประเทศไทย ใช้มาตรฐานใหม่ ECE R129 (i-Size)
จากเดิม ประกาศมาตรฐานความปลอดภัย (Safety Standards) ของคาร์ซีท จากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) จะเริ่มบังคับใช้ภายในปี 2566 ให้ผู้ประกอบการที่ทำหรือนำเข้าคาร์ซีท ต้องทำหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน มอก.3418-2565 โดยอ้างอิงมาจากมาตรฐานสากล ECE R44/04 (มาตรฐานยุโรป) ซึ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
ล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สั่ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) คุมเพิ่ม เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car Seat) และระบบติดตั้งแบบ Isofix ให้ได้ภายในปลายปี 2567 โดยคาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนด้านข้างด้วย (จากมาตรฐานเดิม ECE R44/04 ไม่มีข้อกำหนดว่าต้องทดสอบการชนด้านข้าง) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยล่าสุดของยุโรป ECE R129 (i-Size) โดยมีจุดประสงค์เพื่อความปลอดภัยที่สูงขึ้น

มาตรฐานคาร์ซีท R129 (i-Size)คืออะไร
มาตรฐาน ECE R129 หรือ i-Size คือ มาตรฐานหรือกฎระเบียบด้านความปลอดภัยฉบับใหม่ของยุโรป ที่ใช้ควบคุมการผลิตคาร์ซีทสำหรับเด็ก ให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น พร้อมเบาะต้องนั่งสบายมากขึ้นเนื่องจากมีข้อบังคับให้เด็กอายุ 15 เดือน ต้องนั่งหันหน้าเข้าเบาะรถยนต์ ซึ่งมาตรฐานฉบับใหม่นี้ได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2556 และยังเป็นมาตรฐานที่มีการทดสอบความปลอดภัยคาร์ซีทอย่างเข้มงวด พร้อมได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุดอีกด้วย

ป้ายกำกับ มาตรฐาน ECE R129 (i-Size)
มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีทแบบใหม่ ECE R129 (i-Size) มีระเบียบข้อบังคับกำหนดไว้ ดังนี้
- การทดสอบการชน
– การชนด้านหน้า ด้วยความเร็ว 50 กม./ชม.
– การชนด้านหลัง ด้วยความเร็ว 30 กม./ชม.
– การชนด้านข้าง ด้วยความเร็ว 24 กม./ชม.
(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 ไม่มีข้อกำหนดว่าต้องทดสอบการชนด้านข้าง)
- การติดเซ็นเซอร์บนหุ่นจำลอง เพื่อทดสอบการกระแทก
การใช้เซ็นเซอร์ติดหุ่นจำลองที่สรีระเหมือนเด็ก จำนวน 32 จุด เพื่ออ่านค่าความรุนแรงจากการกระแทก และจะรายงานผลออกมาเป็นความเสียหายตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และต้องไม่เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนดไว้
(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 ติดเซ็นเซอร์เพียง 4 จุด)
- ข้อบังคับทิศทางการติดตั้ง
มีข้อบังคับให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 เดือน ต้องหันหน้าเข้าเบาะรถยนต์ (Rear-Facing) เท่านั้น
(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 มีข้อบังคับ 9 เดือน)
- ระบบการติดตั้ง
จากเดิมครอบคลุมคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วย ระบบไอโซฟิก (ISOFIX) เท่านั้น ล่าสุดปรับเปลี่ยนให้ เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ (Belt) สามารถผ่านการทดสอบได้ พร้อมข้อบังคับต้องมี ตะขอเกี่ยวเบาะรถยนต์ (Top Tether) หรือ ขำค้ำยัน (Support Leg) เสริมความปลอดภัยด้วย
- การใช้งาน
แบ่งตามอายุและส่วนสูง เช่น
แรกเกิด – 15 เดือน ส่วนสูง 40-83 cm.
แรกเกิด – 4 ปี ส่วนสูง 70 – 105 cm.
15 เดือน – 12 ปี ส่วนสูง 70 – 150 cm.
3.5 ปี – 12 ปี ส่วนสูง 100 – 150 cm.
(มาตรฐานเดิม ECE R44/04 แบ่งการใช้งานตามอายุและน้ำหนัก)
มาตรฐานคาร์ซีท ECE R44/04 และ ECE R129 (i-SIZE) แตกต่างกันจุดไหนบ้าง เราสรุปในตารางเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้

เลือกใช้คาร์ซีทมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) มีข้อดีอย่างไร
- ปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากคาร์ซีท R129 ผ่านการทดสอบการชนด้านข้างด้วย
- กรณีเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด จะทำให้มั่นใจได้ว่าเด็กจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากเกินไป เนื่องจากใช้เซ็นเซอร์ติดหุ่นจำลองแบบทั่วตัว 32 จุด และผ่านการทดสอบหุ่นจำลองไม่ได้รับความเสียหายเป็นไปตามมาตรฐานกำหนดไว้
- ติดตั้งง่ายและรวดเร็วขึ้น ด้วยระบบ ISOFIX (คาร์ซีท R129 ส่วนใหญ่จะเป็นระบบ Isofix)
- คาร์ซีทได้รับการออกแบบให้เบาะนั่งสบายมากขึ้น เนื่องจากต้องส่งเสริมให้ทารกอายุต่ำกว่า 15 เดือน ต้องนั่งคาร์ซีทหันหน้าเข้าเบาะรถยนต์ (Rear-Facing) เท่านั้น
- เลือกคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น เหมาะกับสรีระเด็กมากขึ้น ด้วยการวัดส่วนสูงแทนการใช้น้ำหนัก
แนะนำ คาร์ซีท R129 (i-Size) จาก ร้านเบบี้กิ๊ฟ

1.Ailebebe รุ่น Kurutto R The First
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ซัพพอร์ตข้างศีรษะหนาที่สุด 100 mm.
- ผ้า AG Pure ต้านแบคทีเรีย 99%
- ช่องระบายอากาศด้านหลัง 1,695 ช่อง
- หมุนได้ 360 องศา ด้วยมือเดียว หมุนลื่น
- หลังคา 98 cm. คลุมถึงปลายเท้า
- เทคโนโลยีความปลอดภัย Baby Catch Technology หรือ ระบบพนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ
- made in Japan

2. Ailebebe รุ่น Kurutto R Grance
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ซัพพอร์ตข้างศีรษะหนาที่สุด 100 mm.
- ช่องระบายอากาศด้านหลัง 1,695 ช่อง
- หมุนได้ 360 องศา ด้วยมือเดียว หมุนลื่น
- ขาค้ำยัน มีระบบ Sensor เสียงแจ้งเตือน
- เทคโนโลยีความปลอดภัย Baby Catch Technology หรือ ระบบพนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ
- made in Japan
การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40-100 cm. หรือ อายุ 0- 4 ปี
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

3. Aprica รุ่น Fladea Grow 360 Premium
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ปรับคาร์ซีทให้นอนราบได้ ถึง 170 องศา
- เด็กคลอดก่อนกำหนดใช้ได้อย่างปลอดภัย
- หมุนได้ 360 องศา พาลูกขึ้น-ลงรถสะดวก
- มี Support สำหรับเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ
การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40-100 cm. หรือ อายุ 0 – 4 ปี
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

4. Renolux รุ่น Gaia
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจาก ADAC เยอรมัน และ TCS สวิตเซอร์แลนด์
- เทคโนโลยี Softness Cushion ทำให้เบาะนุ่มพิเศษ นั่งสบายเหมือนโซฟา
- ปรับเลื่อนระดับเพิ่มพื้นที่วางขาได้ นั่งหันหน้าเขาเบาะได้จนส่วนสูง 105 cm.
- หมุนง่ายได้ถึง 360°
- มี Side Protection ป้องกันการชนด้านข้าง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40-105 cm. หรือ อายุ 0 – 4 ปี
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

5. คาร์ซีทเด็กโต Kinderkraft รุ่น Comfort Up
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- น้ำหนักเบา 6 kg. ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก
- ผ้า MESH เรียบนุ่ม เย็นสบาย
- ปรับเอนนอนได้ตามเบาะรถยนต์ 100 องศา
- Head Support หนา 3 ชั้น
การใช้งาน : เด็กอายุ 15 เดือน – 12 ปี หรือ ส่วนสูง 76 – 150 cm.
การติดตั้ง : ระบบ Belt

6.คาร์ซีทกระเช้า Kinderkraft รุ่น I-Care
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้
- หนักเบา 4.2 kg ถอดและถือหิ้วได้สะดวกมาก
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม
- พนักพิงแข็งแรง หนา 3 ชั้น
- Side Protect ป้องกันการกระแทกด้านข้าง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ส่วนสูง 40 – 87 cm.
การติดตั้ง : ระบบ Belt (ฐาน Isofix จำหน่ายแยก)

7. คาร์ซีทกระเช้า Kinderkraft รุ่น Mink Pro
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้
- ปรับพนักพิงศีรษะและเข็มขัดนิรภัย ได้ 5 ระดับ
- น้ำหนักเบา 3.5 kg. ถอดและถือหิ้วได้สะดวก
- Head Support หนา 3 ชั้น เสริม EPS โฟม รองรับแรงกระแทกได้ดี
- Side Protect ป้องกันการกระแทกด้านข้าง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ส่วนสูง 40-87 cm.
การติดตั้ง : ระบบ Belt

8. คาร์ซีทแรกเกิด Kinderkraft รุ่น I-Grow
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งปลอดภัยสูง ด้วยระบบ ISOFIX และ TOP TETHER
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา
- ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ
- ปรับความสูงพนักพิงศีรษะได้ 12 ระดับ
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือ ความสูง 40 – 150 cm.
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

9. คาร์ซีทแรกเกิด Kinderkraft รุ่น I-360
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งง่ายด้วยระบบ ISOFIX และ Support leg
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา
- Head Support หนา 3 ชั้น
- Side Protect ป้องกันการกระแทกได้อย่างปลอดภัย
- ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ จนถึงส่วนสูง 150 cm.
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือ ความสูง 40 – 150 cm.
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX

10. คาร์ซีทเด็กโต Renolux รุ่น Olymp
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- เบาะนั่งสบายเหมือนโซฟา ด้วยเทคโนโลยี Softness Cushion
- ผ่านการทดสอบความปลอดภัยจาก ADAC เยอรมัน และ TCS สวิตเซอร์แลนด์
- Side Protection รองรับแรงกระแทกจากด้านข้าง
- ปรับเอนนอนได้ในตัว 108°
- ปรับพนักพิงได้ตามความสูงของเด็ก (ความสูงถึง 150 cm.)
- Made in France
การใช้งาน : เด็กตั้งแต่ความสูง 76-150 cm. หรือ อายุ 15 เดือน – 12 ปี
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
ปัจจุบันคาร์ซีทในประเทศไทย ยังมีมาตรฐานความปลอดภัยของคาร์ซีทหลากหลายประเทศ ก่อนจะซื้อคาร์ซีทให้ลูกน้อย อย่าลืมตรวจสอบมาตรฐาน หรือ ฟังก์ชั่นความปลอดภัย เพื่อให้ได้คาร์ซีทที่มีความปลอดภัยสูงสุด ที่จะช่วยปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยตลอดการเดินทาง
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
แน่นอนว่าคุณแม่ทุกบ้านจะต้องตื่นเต้นกับการทานข้าวมื้อแรกของลูก แต่นอกจากความตื่นเต้นแล้ว การฝึกลูกน้อยให้มีวินัยในการรับประทานอาหารก็ถือเป็นงานหินชิ้นนึงเลยล่ะค่ะ สำหรับคุณแม่ๆ บ้านไหนที่กำลังหาวิธีฝึกลูกน้อยให้คุ้นชินกับการทานข้าวอยู่ล่ะก็ มาดูกันดีกว่าว่าเรามีวิธีดีๆ อะไรมาฝากกันบ้าง ฝึกลูกหม่ำข้าวด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ต้องบังคับ 1. นั่งโต๊ะและเริ่มทานข้าวพร้อมกัน อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กมักจะชอบเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ นั่นแหละค่ะ เราลองเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวช่วยกันดีกว่า เพราะงั้นเวลาเราทานข้าว เราก็ควรให้ลูกน้อยของเรานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยเนอะ ให้เค้าเห็นว่าทุกคนมีความสุขในการรับประทานอาหาร เห็นเวลาเรานำช้อนเข้าปาก ให้เค้ารู้ว่าการทานข้าวเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำ และเค้าก็ต้องทำด้วยเหมือนกัน แม้ตอนแรกอาจจะมีร้องงอแงบ้าง แต่ก็อย่าไปยอมแพ้ค่ะ ทำบ่อยๆ ทำให้เป็นกิจวัตร เดี๋ยวเค้าก็จะชินไปเอง 2. ทานอาหารให้เป็นเวลา คุณแม่บางบ้านอาจจะยุ่งหัวหมุนกับทั้งงานประจำและงานบ้านจนเผลอไม่ได้ทานข้าว อ๊ะๆ ถ้าคุณแม่กำลังเป็น Working Woman แบบนี้อยู่ เราขอให้คุณแม่วางงานซักนิด แล้วมาทานข้าวกับลูกน้อยเมื่อถึงเวลา เพราะเราควรฝึกให้เค้าคุ้นเคยกับเวลาที่ต้องทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น คุณแม่ก็ควรจะให้เค้าทานเวลาเดิมๆ นอกจากจะสร้างนิสัยให้เค้าแล้ว ยังเป็นการปรับระบบย่อยอาหารภายในร่างกายของลูกน้อยอีกด้วยน้า ถ้าเค้าคุ้นเคยกับเวลาแล้ว ทีนี้ล่ะ ไม่ต้องเรียกเลย พอถึงเวลาเค้าก็จะหิวขึ้นมาเอง 3. เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เด็กหลายๆ คนเบื่อข้าว อมข้าว เพราะอาจจะเป็นเรื่องของรสชาติที่ไม่ถูกปาก หรือเมนูอาจจะซ้ำซากจำเจจนเกินไป การเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายเนี่ย นอกจากจะช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังทำให้เค้าเพลิดเพลินไปกับเมนูใหม่ๆ ด้วยนะ […]
แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ? สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ […]
พอใกล้คลอด คุณแม่หลายคนก็มองหาวิธีหรือเคล็ดลับที่จะทำให้คลอดลูกง่าย หรือคุณแม่บางคนก็อาจจะเริ่มหาข้อมูลตั้งแต่เริ่มท้องเลยก็ว่าได้ คุณแม่สมัยนี้ส่วนใหญ่มักจะเลือกผ่าคลอดกันอยู่เยอะ เพราะสามารถเลือกฤกษ์งามยามดี แถมไม่ต้องทนเจ็บท้อง หรือรอลุ้นว่าจะปวดท้องคลอดตอนไหน ส่วนคุณแม่ที่อยากคลอดธรรมชาติ ก็อาจจะเคยได้ยินมาว่าการเดินบ่อยๆ จะช่วยทำให้คลอดลูกได้ง่าย ความเชื่อนี้จริงหรือไม่ แล้วถ้าจริง มันเป็นไปได้ยังไง สำหรับในบทความนี้ เรานำความรู้ดีๆ มาฝากกันค่า ประโยชน์ของการเดิน 1.การเดินเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าคุณหมอต่างก็แนะนำให้คุณแม่ท้องทุกคนออกกำลังกายเบาๆ ไม่หักโหม หรือไม่ออกแรงมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การเดิน เพราะการออกกำลังกายจะทำให้คุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และรับออกซิเจนได้เต็มปอด 2. การเดินช่วยกระตุ้นฮอร์โมน การเดินจะช่วยหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าออกซิโตซิน ซึ่งสร้างมาจากต่อมใต้สมอง เจ้าฮอร์โมนตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่จะหลั่งออกมากระตุ้นให้มดลูกหดบีบตัว และทำให้ลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลกได้อย่างไม่นานเกินรอค่ะ 3.เรียนรู้จังหวะการหายใจ ในตอนที่คุณแม่เดิน ก็เหมือนกับคุณแม่ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ลมหายใจ เรียนรู้การหายใจเข้า หายใจออก อย่าลืมว่าการหายใจเข้าออกแต่ละครั้งก็ควรทิ้งช่วงห่าง อย่าหายใจถี่เกินไป เพราะจะทำให้คุณแม่เหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิม คุณแม่ที่คุ้นชินกับการหายใจจะช่วยให้สามารถบังคับแรงเบ่งได้ในตอนคลอดได้ด้วยนะ ข้อเสียของการเดินที่เยอะเกินไป […]
หลายๆบ้านถามกันเข้ามาว่า เวลาพาลูกเที่ยว แม่แพรว ยังให้เฌอลินน์นั่งรถเข็นอยู่ไหม ? ต้องบอกแบบนี้เลยค่ะว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละวัน ว่าเราพาลูกน้อยไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ต้องเดินทางไกลหรือนานแค่ไหน ? อย่างเวลาแพรวพาลูกออกนอกบ้านนานๆ ถ้าไม่มีตัวช่วยอย่างเจ้ารถเข็นเลย บางครั้งก็ทำให้เฌอลินน์งอแง อยากให้อุ้มอยู่ตลอดเวลา พ่อแม่อย่างเราจะคอยอุ้มลูกทั้งวันก็คงไม่ไหวใช่มั้ยหล่ะคะ ถ้าได้รถเข็นมาเป็นตัวช่วยพาลูกเที่ยวในวันที่แม่เหนื่อย อุ้มลูกไม่ไหว ก็จะช่วยทำให้เราพาลูกเที่ยวแบบสบาย แม่ไม่เหนื่อย แฮปปี้กันทั้งครอบครัวเลยค่ะ แพรวเลือก รถเข็น Aprica รุ่น Optia Cushion Premium ให้เฌอลินน์ เพราะเขารองรับสรีระเด็กทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ขวบกันเลยทีเดียวค่ะ ตอนนี้เฌอลินน์ 2 ขวบแล้ว ตัวสูงแบบนี้ยังนั่งได้สบายๆไม่อึดอัด แถมแบรนด์ Aprica รุ่นนี้ไม่ใช่รถเข็นธรรมดาทั่วไป เป็นเบาะแบบ Ergonomic Design ที่ออกแบบคิดค้นโดยกุมารแพทย์ญี่ปุ่นด้วย ขนาดพ่อแม่อย่างเรายังตามหาซื้อเก้าอี้ Ergonomic มานั่งทำงานกันเลยใช่มั้ยคะ แพรวเองก็ขอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ขณะอยู่นอกบ้านแน่นอนค่ะ ซื้อรถเข็นมา ลูกไม่ยอมนั่งทำไงดี ? คุณพ่อคุณแม่ต้องลองสังเกตุดูค่ะ ด้วยสภาพอากาศเมืองไทยค่อนข้างร้อน เด็กเล็กๆ มักจะมีเหงื่อออกเยอะ ถ้าเป็นรถเข็นที่ไม่ค่อยระบายอากาศเวลาลูกนั่งนานๆ เขาจะหัวเปียกหลังแฉะ ไม่สบายตัวอยู่ตลอดเวลา การได้รถเข็นเบาะระบายอากาศดีๆ เวลาเราพาลูกออกนอกบ้าน ลูกจะยอมนั่งไม่งอแง […]
ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้คาร์ซีทมือสอง โดย หมอวิน เพจ #เลี้ยงลูกตามใจหมอ ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยของคาร์ซีท #คาร์ซีทมือสอง ตามที่พ่อหมอเคยเขียนเรื่องการเลือกซื้อคาร์ซีทไว้แล้วตั้งแต่ตอนเปิดเพจครับ คลิกอ่านได้ครับที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1318721458224835&substory_index=0&id=1312969582133356 ก็เริ่มมีลูกเพจเริ่มถามเรื่อง “การซื้อคาร์ซีท” ในหัวข้อนอกเหนือจากคำถามเบื้องต้นครับ โดยเฉพาะเรื่อง “การซื้อคาร์ซีทมือสอง” หรือ “คาร์ซีทเก่า” ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมาร ฯ ของสหรัฐอเมริกา … บอกไว้ว่า
หากคุณแม่กำลังเลี้ยงลูกอยู่บ้านตลอดเวลา และให้นมแม่แก่ลูกน้อยแบบ 100% อยู่ คงจะยังไม่ต้องหาข้อมูลหรือกังวลกับการเลือกซื้อขวดนมหรือจุกนมให้ลูกมากนักเพราะยังไม่ได้ใช้ แต่เมื่อไรที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงาน ไปทำธุระข้างนอก หรือต้องให้นมแม่กับลูกด้วยขวดนมแล้ว สิ่งที่ต้องนึกถึงคือการเลือกขวดนมและจุกนมที่จะช่วยให้ลูกกินนมแม่ได้เต็มอิ่ม สบายท้อง ไม่ดูดลมเข้าไปและไม่เสี่ยงต่อการแน่นท้อง หรือร้องโคลิก และที่สำคัญจุกนมที่เลือกให้ลูกนั้นควรจะมีคุณสมบัติที่คล้ายการดูดจากเต้านมแม่ เพื่อให้ลูกน้อยไม่สับสนระหว่างเต้านมกับขวดนม ยอมกินนมแม่จากขวด และยอมกลับมากินนมแม่จากเต้าคุณแม่ได้เสมอ เราจึงมาแนะนำให้คุณแม่รู้จักกับจุกนมคอแคบ และจุดนมคอกว้าง เพื่อให้คุณแม่หลายๆ ท่านที่ยังไม่รู้จัก ได้เห็นถึงความแตกต่าง และตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม ถูกใจ ลูกน้อยอิ่มนมได้เต็มที่โดยไม่มีปัญหาสุขภาพมาฝากกัน ชวนแม่เรียนรู้เรื่องจุกนมลูก เพราะลูกน้อยวัยทารกจะเคยชินกับการกินนมจากอกคุณแม่ เมื่อต้องมากินนมจากขวดจึงอาจสับสนและมีปัญหา คุณแม่จึงควรพิถีพิถันพิจารณาเลือกใช้จุกนมที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยดูดนมได้อย่างสะดวก ปลอดภัย โดยควรศึกษาเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ ขนาดของจุกนมที่แตกต่างว่าเหมาะกับลูกวัยไหน วิธีทำความสะอาดและการเก็บรักษาจุกนมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานเสมอ เรื่องน่ารู้ของ ปลายจุกนม เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะในการใช้งาน นั่นคือ– ปลายจุกนมเป็นรูวงกลม มักเป็นรูจุกนมที่ช่วยให้น้ำนมไหลได้ง่าย คือแม้ลูกจะไม่ดูด น้ำนมก็ไหลผ่านออกได้จึงเป็นจุกนมที่ช่วยให้ลูกดูดนมง่าย ไม่ต้องใช้แรงเยอะ– ปลายจุกนมเป็นรูตัว Y (Three-Cut) เป็นจุกนมที่หากไม่ดูดนมจะไม่ไหล ต้องใช้แรงดูดของลูกให้น้ำนมไหลผ่านออกมา (ยกเว้นเป็นจุกนมสำหรับเด็กที่มีภาวะพิเศษดูดนมเองไม่ได้ จะมีการทำให้น้ำนมไหลออกได้ง่ายขึ้น)– ปลายจุกนมเป็นรูกากบาท (Cross-Cut) มักเป็นจุกนมที่ต้องใช้แรงดูดเหมือนรูตัว Y คือหากลูกไม่ดูดนมจะไม่ไหล น้ำนมจะออกมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงดูดของลูกเอง ช่วยป้องกันอาการสำลักให้ลูกน้อยได้นอกจากนี้รูของปลายจุกนม […]






