ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก นวัตกรรมใหม่ที่ต้องรู้

การทำความสะอาดของเล่นเด็ก ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่อย่างเราต้องใส่ใจ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (SARS) และไข้หวัดนก การใช้วิธีแบบเดิม ๆ ที่ได้ผลในอดีต อาจไม่เพียงพอในการป้องกันเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่แฝงตัวอยู่รอบตัวได้ รวมไปถึงปัญหามลพิษในอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ฆ่าเชื้อโรคของใช้ลูก จึงต้องเลือกที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และใช้ได้กับทุกคนภายในครอบครัว เพื่อความคุ้มค่าสูงสุด

ความต้องการทีเปลี่ยนไปของผู้บริโภคทำให้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีเชิงวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศจีน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเสริมจากการป้องกันตนพื้นฐาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การพกพาเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ หรือการใช้สารฟอกขาวในการฆ่าเชื้อ ได้แก่ เทคโนโลยีเครื่องปล่อยโอโซน เครื่องผลิตไอออนประจุลบ เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามมีผลิตภัณฑ์มากมาย ที่ผลิตโดยไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย หรือไม่ได้ประสิทธิภาพตามคำโฆษณา จึงก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี หรือไม่ได้ผลในการฆ่าเชื้อโรค ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณแม่จึงต้องทำความเข้าใจรูปแบบของการ ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ใหม่ๆ เพื่อรู้ให้เท่าทันก่อนการตัดสินใจซื้อมาใช้กับลูกน้อยค่ะ

เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte Water Maker)
เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ถือเป็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้อที่ใหม่มากในประเทศไทย แต่ในประเทศแถบยุโรป หรือเกาหลีใต้ นั้น ได้ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมานานแล้ว โดยเครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ จะนำหลักการทางเคมี ที่เรียกว่า “กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส” หรือการปล่อยประจุไฟฟ้า ผ่านไปยังตัวนำไฟฟ้า (อิเล็กโทรด) ที่สัมผัสกับสารละลาย ซึ่งก็คือ น้ำประปา และเกลือบริสุทธิ์ จนก่อให้เกิดการออกซิเดชั่น (Oxidation) และได้สารประกอบใหม่ขึ้นมา ได้แก่ กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) , ไฮโปคลอไรท์ ไอออน (OCl-) , โซเดียม ไฮโปคลอไรต์ (NaOCl) ฯลฯ ซึ่งในบรรดาสารประกอบที่เกิดขึ้น กรดไฮโปคลอรัส ถือเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อสูงสุด โดยมีบทความ และผลวิจัยจากต่างประเทศมากมาย ที่ได้มีการพูดถึง กรดไฮโปคลอรัส เป็นอย่างมาก

กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous Acid) หรือชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl เป็นกรดอ่อน ๆ จากธรรมชาติ ชนิดเดียวกันกับภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีคุณสมบัติในการทำลายเยื่อผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโต และหยุดการแพร่กระจายในบริเวณนั้นได้ เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์คุ้นเคย จึงมีความอ่อนโยนกว่าการใช้สารฟอกขาว หรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธีได้
เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส ที่ได้จากเครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ มีความเป็น Organic 100% ไม่มีสารกันเสีย จึงทำให้ระเหย และกลับคืนสู่สภาพตั้งต้น หรือกลับกลายเป็นน้ำประปาดังเดิมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิสูง จึงต้องผลิตใหม่อยู่เรื่อย ๆ และไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ การเลือกใช้เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ที่ดีอาจมีราคาสูง แต่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย การกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ การล้างกำจัดยาฆ่าแมลง เป็นต้น

การเลือกซื้อ เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ที่นำมาใช้ฉีดพ่น ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ฉีดเช็ดสิ่งของรอบตัวลูกน้อย หรือการแช่ล้างฆ่าเชื้อ ล้างทำความสะอาดให้กับคนในครอบครัว นอกจากต้องได้รับรองมาตรฐานการผลิตจากหน่วยงานของรัฐในประเทศผู้ผลิต เพราะจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังต้องทราบว่า หากปล่อยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่น้ำอิเล็กโทรไลต์อยู่ตลอดเวลา จะไปเพิ่มค่าความเข้มข้นในน้ำ ให้สูงเกินค่ามาตรฐาน จนอาจก่อให้เกิดผลเสียได้ โดยปัจจุบันที่มีนำเข้ามาขายในประเทศไทย ราคาอยู่ที่ 7,000 – 10,000 บาท

เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา (Personal Rechargable Air Purifier)
เครื่องฟอกอากาศสำหรับพกพา ชนิดที่สามารถปล่อยประจุลบนั้น มีมานานหลายปีแล้ว แต่เพิ่งได้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทย ในช่วงที่เริ่มมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้น เนื่องจากเครื่องได้ถูกประดิษฐ์ให้มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบา ดูทันสมัย สามารถห้อยคอ พกพาไปได้ทุกที่ จึงได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก โดยตัวเครื่องสามารถชาร์จไฟด้วยสาย USB และใช้งานได้นานถึง 30 – 150 ชั่วโมง
เครื่องฟอกอากาศ แบบพกพา ชนิดนี้ ทำงานโดยการปล่อยไอออนลบ หรือประจุลบ ปริมาณมากว่า 2,000,000 ประจุ ทุกวินาที อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นม่านประจุลบบริเวณโดยรอบใบหน้า หรือระยะการสูดลมหายใจ เมื่อประจุลบเหล่านี้เข้าจับตัวกับสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ได้แก่ ฝุ่น ละอองเชื้อโรค แบคทีเรีย เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ ขนสัตว์ จะทำให้ตกลงสู่พิ้นผิว เป็นการลดอัตราการสูดหายใจนำสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกาย และช่วยทำให้คุณภาพอากาศรอบตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้หากไม่ทำความสะอาดพื้นผิวที่สิ่งสกปรกเหล่านั้นตกหล่น ก็อาจปลิวกลับขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน จึงต้องทำความสะอาดพื้นผิวทุกครั้งจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ เครื่องฟอกอากาศชนิดปล่อยประจุลบ จะอ่อนประสิทธิภาพลงเมื่ออยู่กลางแจ้งซึ่งมีลมพัดแรง หรืออากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และกระบวนการไหลเวียนอากาศผ่านแผ่นสร้างประจุไฟฟ้า (Ionizing) จะทำให้เกิดโอโซน ฉะนั้นต้องเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศพกพา ที่ได้รับมาตรฐานการผลิต และมีปริมาณโอโซนไม่เกิน 0.05 ppm ตามมาตรฐานที่องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา FDA USA กำหนด โดยราคาขายในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 – 7,000 บาท

เครื่องผลิตโอโซน (Ozone Generator)
โอโซน (Ozone หรือ O3) คือ รูปหนึ่งของก๊าซออกซิเจนที่มีพลัง (Active Oxygen) สามารถทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น กับสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ได้เกือบทุกชนิดทั้งในน้ำและในอากาศ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่รุนแรงและเร็วกว่าคลอรีนถึง 3,125 เท่า โดยโอโซนจะเข้าไปจับกับโมเลกุลของสารปนเปื้อน และทำการแยกย่อยสลายโดยการเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น เนื่องจากโอโซนเป็นก๊าซที่มีโครงสร้างไม่เสถียร หลังทำปฏิกิริยา โอโซนจะแปรสภาพกลับเป็นก๊าซออกซิเจนทั่วไปที่มีอยู่ในอากาศ ซึ่งไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบใดๆ ต่อมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม โอโซนได้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1840 โดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อคริสเตียน เฟเดอริก ชอนไบน์ โดยตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Ozein ที่แปลว่า ดม

วิธีการเกิดก๊าซโอโซน
- ในธรรมชาติก๊าซโอโซนเกิดจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงในอากาศ หรือฟ้าผ่า ฟ้าแลบ และแสงจากดวงอาทิตย์ ที่มีรังสี Ultra Violet เปลี่ยนโครงสร้างของออกซิเจนจาก O2 ให้เป็น O3
- การใช้รังสี Ultra Violet หรือหลอดไฟ UV วิธีนี้จะสร้างความเข้มข้นของก๊าซโอโซนไม่สูงนัก จะอยู่ในช่วง 0.01 – 0.10% โดยน้ำหนัก (ช่วงคลื่น 185 นาโนเมตร)
- การใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง (High Frequency Corona Discharge) จะสามารถทำความเข้มข้นของก๊าซโอโซนได้สูงถึง 6% โดยน้ำหนัก ในยุโรป และอเมริกา สามารถผลิตได้ถึง 3,000 ปอนด์/วัน (ประมาณ 56 กิโลกรัม/ชั่วโมง)
จุดเด่นของก๊าซโอโซน
- ฆ่าเชื้อโรคได้รวดเร็ว โดยเฉพาะแบคทีเรีย (สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและกลิ่นเหม็น) ที่ความเข้มข้น 0.01-0.04 PPM
- ทำลาย กลิ่น สารเคมี และก๊าซพิษได้ดีเยี่ยม
- ไม่ทิ้งพิษตกค้าง เพราะเมื่อทำปฏิกิริยากับมลพิษเสร็จทุกครั้ง จะได้ออกซิเจน (O2) ที่เป็นก๊าซบริสุทธิ์ จึงเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี
ถึงแม้โอโซนจะมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อไวรัส อย่างไวรัสโคโรนา และมีการนำมาใช้ฆ่าเชื้อในสถานพยาบาล สำหรับในประเทศไทยนั้นเครื่องผลิตโอโซนยังไม่ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อภายในบ้านมากนัก เพราะตัวเครื่องยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่มาก และผู้ใช้จะต้องมีความรู้ที่เพียงพอ เพราะหากใช้ผิดวิธี อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ได้ โดยการใช้โอโซนนั้น จะต้องใช้ในค่าความเข้มข้นที่ปลอดภัย คือไม่เกิน 0.05 ppm และต้องใช้ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท โดยจะต้องเลือกใช้เครื่องที่ผลิตได้ปริมาณพอดีกับขนาดพื้นที่ที่ต้องการใช้ ในปริมาณที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี (UV Sterilizer)
เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV หรือ ตู้อบฆ่าเชื้อรังสี UV ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ในการกำจัดไวรัสแบคทีเรีย ให้กับทุกคนภายในบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยได้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานมากแล้ว ในวงการแม่และเด็ก โดยเริ่มต้นจากการนำมาใช้ฆ่าเชื้อขวดนม แทนที่เครื่องนึ่งขวดนม เพราะเป็นการฆ่าเชื้อที่ผ่านการรับรองและวิจัย ว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสแบคทีเรียได้ 99.9% โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อน จึงมั่นใจได้ว่าของใช้ที่ลูกน้อยต้องสัมผัส หรือนำเข้าปาก จะสะอาดจริง และเนื่องจากไม่ใช้ความร้อน จึงช่วยยืดอายุการใช้งานของขวดนมได้อีกด้วย

รังสี UV-C นั้น เป็นประเภทหนึ่งของรังสี UV ที่ไม่สามารถทะลุผ่านมายังพื้นโลกได้ มนุษย์จึงได้มีการคิดค้นหลอดสังเคราะห์แสง UV-C ชื่อว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation (UVGI) เพื่อนำมาใช้ในการฆ่าและทำลายเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ ที่อยู่บนพื้นผิวและในอากาศ ซึ่งหลอด UV-C มีหลายประเภท และมีค่าความเข้มข้นแสงที่ต่างกันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน โดยในการฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา หรือที่ถูกนำมาใช้กับเครื่องฆ่าเชื้อนั้น จะใช้หลอด UV ที่มีค่าความเข้มข้นแสงอยู่ที่ 257.3 นาโนเมตร ซึ่งเป็นค่าความเข้มข้นที่เพียงพอในการทะลุเข้าไปทำลาย DNA ของเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคไม่สามารถสืบพันธุ์ หยุดการเจริญเติบโต และตายในที่สุด
ตู้ฆ่าเชื้อรังสี UV ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ระบาดในประเทศไทย หลังจากที่มีบทความ และผลวิจัยต่าง ๆ มากมาย ออกมาพูดถึงประสิทธิภาพของรังสี UV ในการกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ 100% และยังมีผลการทดลองจากทีมแพทย์ รพ. รามาธิบดี ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า รังสี UV สามารถกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนา บนหน้ากากอนามัย และ หน้ากาก N95 ได้จริง โดยไม่ทำให้เสื่อมประสิทธิภาพ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพลังในการกำจัดเชื้อโรคของรังสี UV
อ่านข่าวการวิจัยฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัยด้วยรังสียูวี ได้ที่นี่ >> Click
ปัจจุบันในประเทศไทย จึงมีการนำเข้า เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV มาจำหน่ายเป็นปริมาณมาก รวมทั้งมีการคิดค้นและดัดแปลงตู้อบชนิดอื่น ๆ โดยการติดตั้งหลอดไฟ UV เข้าไป เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อ โดยเป็นเครื่องที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานการผลิตและการป้องกันอันตรายที่อาจได้รับจากการใช้แสง UV แบบผิด ๆ เนื่องจากรังสี UV มีความเข้มข้นสูง หากสัมผัสโดนผิวหนังหรือดวงตา จะก่อให้เกิดอันตราย และมะเร็งผิวหนังได้ การเลือกซื้อ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัย โดยวัสดุจะต้องป้องกันการเล็ดลอดของรังสี UV ไม่ให้ออกสู่ภายนอก มีระบบตัดไฟ และวัสดุภายในยังต้องสามารถสะท้อนแสง UV ให้ส่องไปได้ทั่วถึงทุกอณู รวมถึงค่าความเข้มข้นของแสง UV กำลังไฟของหลอด เมื่อเทียบกับพื้นที่ความจุยังต้องสอดคล้องกัน เพื่อให้การฆ่าเชื้อโรคมีประสิทธิภาพ 100%
แนวโน้มในอนาคตของการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก น่าจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ในฐานะคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงไม่ควรพลาดที่จะทำความรู้จักหลักการใช้งานเหล่านี้ไว้ เพื่อสามารถตัดสินใจซื้อสิ่งที่ดีที่สุดให้คุ้มค่า และใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก […]
โดยส่วนใหญ่แล้ว หากต้องการพาทารก ขึ้นเครื่องบิน เพื่อความปลอดภัยคุณพ่อคุณแม่ควรพาไปเมื่อทารกอายุ 4-8 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ เนื่องจากว่าทารกมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการเดินทางได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่แข็งแรงมากพอ อีกทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ บนเครื่องบินยังทำให้ทารกเกิดความเครียดได้ง่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในหลายๆ สายการบินมีการอนุญาติให้ขึ้นได้ตั้งแต่อายุ 7 วัน และในบทความนี้ BabyGift จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความเข้าใจเรื่องราวของการพาเด็ก ขึ้นเครื่องบินอย่างปลอดภัย พร้อมคำแนะนำต่างๆ ก่อนการพาลูกขึ้นเครื่องบินีกันค่ะ ชวนเตรียมพร้อมก่อนพา เด็ก ขึ้นเครื่องบิน ต้องเตรียมอะไร ? ต้องรู้อะไรบ้าง ? ในแต่ละสายการบินมักจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันในการพาทารก ขึ้นเครื่องบินค่ะ บางที่ก็อนุญาติให้โดยสารได้ตั้งแต่ 7 วัน แต่บางที่ก็ต้องอายุ 14 วันก่อนถึงจะอนุญาติให้เดินทางได้ ซึ่งเอกสารที่ใช้สำหรับการเดินทางหลักๆ ก็จะเป็นใบสูติบัตร กับพาสปอร์ตนั่นเองค่ะ ซึ่งหากมีเด็กโดยสารไปด้วย ผู้ปกครองจำเป็นต้องติดต่อสายการบิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมในการดูแลในวันเดินทางได้นั่นเอง ซึ่ง BabyGift ได้เช็กข้อมูลกับสายการบินที่อนุญาติให้ทารกเดินทางมาให้ประมาณ 3 สายการบิน พร้อมคำแนะนำต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูล เป็นไอเดียให้คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการพาเจ้าตัวจิ๋วขึ้นเครื่องบิน ดังนี้ค่ะ พาเด็ก ขึ้นเครื่องบิน การบินไทย การบินไทยอนุญาติให้ทารก […]
ต้องบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่นั้นโชคดีมากมาย เพราะการเลี้ยงลูกสมัยนี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ช่วยทุ่นแรง ช่วยประหยัดเวลา และช่วยทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ช่วยให้นมแม่ เรียกว่ามีสารพัดตั้งแต่ช่วยให้นม ทำความสะอาด ช่วยเตรียมอาหาร ครบถ้วนทั้งอุปกรณ์การนอน การกิน การอยู่สำหรับคุณแม่และลูกน้อย และสิ่งหนึ่งที่หลายๆ บ้านขาดไม่ได้ และคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กำลังมองหา เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยทุ่นแรงกายในการอุ้มลูกน้อยวัยทารก นั่นคือ เป้อุ้มเด็ก เครื่องทุ่นแรงสำคัญที่มีประโยชน์มาก เพราะช่วยทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องอุ้มลูกน้อยด้วยมือตัวเองตลอดเวลา และไม่ต้องหาคนช่วยอุ้ม เพราะลูกเบบี๋ยังเดินไม่ได้ การกิจวัตรการดูแลลุกส่วนใหญ่ก็จำเป็นต้องอุ้มลูกไว้บ่อยๆ ทั้งการอุ้มไล่ลม อุ้มกล่อมนอน อุ้มปลอบโยน อุ้มเดินเล่น หลายชั่วดมงต่อวัน แถมยังต้องอุ้มลูกนานตั้งแต่แรกเกิดหรือวัยทารกไปจนถึงวัยประมาณเกือบ 2 ขวบ จนเมื่อลูกเดินได้เก่ง ฉะนั้นเพื่อตอกย้ำถึงประโยชน์และความคุ้มค่าในการใช้เป้อุ้มเด็ก ให้คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อเป้อุ้มให้ลูกดีหรือไม่ ได้เห็นถึงข้อดีว่ามีแค่ไหน…เชื่อว่าเมื่อรู้แล้วทุกท่านจะสามารถเลือกซื้อใช้กันได้มั่นใจยิ่งขึ้น 10 ข้อดี ที่ต้องมี เป้อุ้มเด็ก 1 ประหยัดแรงกาย ประหยัดแรงคน เพราะเป้อุ้มเด็ก จะช่วยทุ่นแรงคุณแม่ไม่ต้องเดินอุ้มลูก ใช้กำลังแขนกำลังมืออุ้มลูกบ่อยๆ ประหยัดแรงกาย ช่วยให้คุณแม่ไม่เมื่อยล้า แต่เป้จะช่วยรองรับน้ำหนักตัวของลูกน้อยด้วยเป้และสายรัดให้อยู่กับตัวคุณแม่ ประหยัดแรงคนไม่ต้องหาคนมาช่วยอุ้มลูกเวลาที่คุณแม่จะต้องทำงาน เดินซื้อของ หรือทำธุระอื่นๆ 2 ลูกปลอดภัย นั่งและนอนได้สบาย เมื่อลูกน้อยอยู่ในเป้อุ้มเด็กจะปลอดภัย เพราะตัวคุณแม่และเป้จะประคองลูกตลอดเวลา ซึ่งเป้อุ้มเด็กส่วนใหญ่จะผลิตจากวัสดุที่ทำด้วยผ้าหนานุ่ม […]
หมอเด็กเค้าเลือกคาร์ซีทแบบไหนให้ลูกตัวเอง….อยากรู้ต้องคลิ๊ก ก่อนซื้อคาร์ซีทให้ลูก ถ้าไปอ่านหนังสือ ก็จะรู้ว่าคาร์ซีท (carseat) มี 4 แบบ (ซึ่งเอาเข้าจริงรู้จริงๆ ตอนมีลูก 55555 ก่อนนั้นรู้แต่ทฤษฎี) คือ แน่นอนในตลาด มี option มากมายไว้หลอกลวงพ่อแม่ขาช้อป 5555 ทั้งแบบตระกร้าที่ยกเข้าออกได้เลย หรือ ประกอบลง stroller (รถเข็น) ได้เลย…. เอาที่สบายใจ 555 เอาหลักในการเลือกของพ่อหมอเลยแล้วกัน 555 ไม่ว่าอะไรก็ตาม เน้นใช้ได้ยาวๆ เป็นหลัก แน่นอน convertible เป็นแบบที่เลือกแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะใช้ได้นานดี อย่างน้อยๆ ก็สามสี่ปี อีแบบตระกร้าเนี่ยใช้ได้ปีเดียวก็ต้องเปลี่ยนละ ไม่ไหว พ่อไม่ค่อยมีตังค์ (ต้องเอาไปซื้อของไร้สาระอื่นๆ อีก 55555) ยังๆ ยังไม่จบ เลือกชนิดแล้ว ต้องมาเลือก options อีก ตัวเลือกเรามีดังนี้ เน้นหลัก 3 ข้อในการใช้คาร์ซีท carseat โดย […]
เพราะแม่แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่าง Aprica จึงสรรสร้างนวัตกรรมที่รองรับทุกความต้องการด้วยรถเข็นเด็กหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์ที่ไม่เหมือนกัน แล้วรถเข็นเด็ก Aprica รุ่นไหน เหมาะกับคุณไปดูกันเลย แม่ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ทุ่มเททุกความสุขเพื่อลูกและคนในครอบครัวเป็นสำคัญ ถ้าคำว่า “ที่สุด” คือนิยามของรถเข็นเด็กที่ดีที่สุดสำหรับลูก คือคำตอบเดียวที่คุณต้องการ รถเข็นเด็ก Aprica โดดเด่นในเรื่องนวัตกรรมใหม่ล่าสุดมอบความสบาย นุ่มนวล ปกป้องลูกน้อยแบบ 360 องศา ใส่ใจในสุขภาพและเสริมสร้างพัฒนาการ เพื่อเทวดานางฟ้าตัวน้อย รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Optia รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Soraria Magic basket คุณแม่ทรงพลัง คล่องแคล่ว ขี้เล่น ถ้าคุณและลูกน้อยต้องการความคล่องตัว พร้อมทุกสถานการณ์ รถเข็นเด็กน้ำหนักเบาแต่ครบทุกฟังชันท์ที่เหนือกว่า พร้อมเติมความคล่องตัวด้วยการใช้รถเข็นสลับกับเป้อุ้มเด็กได้ง่าย เป็นตัวช่วยที่ดี ไม่ว่าสถานการณ์ไหนๆ คุณแม่ก็พร้อม รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna CTS รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna Light คุณแม่เด็กแนว กิ๊บเก๋ทันสมัย ไม่ชอบตามใคร สนใจทางเลือกใหม่ๆ รักอิสระและความแปลกใหม่ รถเข็นเด็ก แบบ 3 ล้อเท่ห์ๆ ไม่เหมือนใครที่ผสมผสานทุกฟังก์ชั่นอย่างลงตัว และที่โดนใจยิ่งกว่าคือ ความแข็งแรง ทนทาน ไม่ว่าจะไปไหนก็พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว ใช้ง่ายพับกางสะดวกและขนาดกระทัดรัด […]
แม่ท้องต้องตรวจคัดกรองอะไร ใน 3 ไตรมาส เมื่อรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์ คุณแม่เคยสงสัยไหมว่าตลอดเวลา 9 เดือนที่ลูกน้อยอยู่ในท้องนั้น ต้องตรวจอะไรบ้าง แม้กระทั่งในวันไปฝากครรภ์คุณหมอก็จะต้องขอตรวจหลายอย่างจากคุณแม่ เพื่อตรวจเช็กสุขภาพ โรคประจำตัว และความเสี่ยงต่างๆ เพื่อการดูแลให้คุณแม่มีครรภ์คุณภาพตลอดเวลา เราจึงมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองต่างๆ เพื่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยตลอด 3 ไตรมาส เพื่อให้คุณแม่ได้รู้ว่าในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์ จะต้องเข้ารับการตรวจอะไร ควรจะเลือกตัดสินใจตรวจแบบไหน รวมถึงการตรวจคัดกรองต่างๆ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะกับคุณแม่วัยไหนบ้าง แม่ท้องต้องตรวจอะไร? จำเป็นแค่ไหนนะ? การตรวจคัดกรองและตรวจเช็กสุขภาพต่างๆ ของคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะผลของการตรวจต่างๆ จะช่วยประเมินสุขภาพและความปลอดภัยทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ได้รู้ถึงความเสี่ยงต่างๆ ในขณะตั้งครรภ์ ได้ตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรม โรคภัยแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์ ภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ประเมินอายุครรรภ์และการคลอด รวมถึงยังทำให้ได้รู้ความเสี่ยงอาการดาวน์หรือความผิดปกติของโครโมโซมอื่นๆ ที่สำคัญ ตลอดจนได้รู้โครโมโซมเพศของลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย ซึ่งการตรวจต่างๆ นี้จะช่วยให้คุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง ดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรงได้ดี และคุณหมอจะยังสามารถให้คำแนะนำคุณแม่ในการปฏิบัติตัว การดูแลรักษาโรคภัยต่างๆ และให้คำแนะนำคุณแม่ในการตัดสินใจคลอดอีกด้วย เรียกว่าหากคุณหมอแนะนำให้คุณแม่ตรวจอะไร ควรตัดสินใจและเชื่อมั่นในหมอและตัวเองไว้ดีที่สุดค่ะ การตรวจคัดกรองคุณแม่ตั้งครรภ์ 1-3 เดือน (14 สัปดาห์แรก) คุณแม่จะต้องถูกซักประวัติ ตรวจปัสสาวะ เจาะเลือด เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ […]






