ความเชื่อคนท้องแบบไหน? Out ไปหมดแล้ว

คุณแม่ท้อง..เคยมีผู้ใหญ่หรือคนรู้จักทักหรือเตือนเรื่องความเชื่อต่างๆ บ้างไหม? เราเชื่อค่ะว่าคุณแม่ท้องหลายๆ ท่านจะต้องเคยได้ยินได้ฟังความเชื่อต่างๆ ที่เคยบอกกันมาระหว่างท้องแน่นอน ซึ่งความเชื่อที่มีมาช้านานในบางสิ่งก็เป็นเรื่องกุศโลบายที่ดีและน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณแม่ตั้งครรภ์เกิดอันตรายหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่ความเชื่อบางอย่างก็ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในปัจจุบันกันแล้ว
ครั้งนี้เราจึงจะมาแนะนำว่าความเชื่อแบบไหนที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยนี้ และไม่น่าจะนำมาปฏิบัติกันแล้ว เพื่อให้คุณแม่ดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องนำมาคิดให้เป็นกังวลกันต่อไปค่ะ
เชื่อแบบนี้ …ไม่ดีแน่
มาดูความเชื่อที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยและข้อมูลความเป็นจริงในปัจจุบันว่ามีอะไรบ้าง

ห้ามแม่ท้องเตรียมของใช้ไว้ให้ลูกก่อน
เพราะแต่เดิมการแพทย์ยังไม่ทันสมัยเท่าตอนนี้ การตั้งครรภ์และคลอดลูกน้อยสมัยก่อนจึงยังไม่ค่อยมีความปลอดภัยมากนัก หลายบ้านจึงมีความเชื่อว่าการเตรียมของใช้เด็กอ่อนไว้ล่วงหน้า อาจจะทำให้ลูกไม่ได้เกิดมาหรือมีเหตุบางอย่างทำให้คุณแม่เป็นอันตราย แต่ยุคสมัยและความเจริญทางการแพทย์เปลี่ยนไป แม่ตั้งครรภ์ยุคใหม่เกือบทุกคนมักคลอดได้อย่างเรียบร้อยดี และลูกน้อยก็ออกมาลืมตาดูโลกได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากมีการฝากครรภ์ การตรวจและดูแลครรภ์ตลอด 9 เดือนจากแพทย์ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องงดการซื้อของใช้เพื่อการเลี้ยงลูกไว้ล่วงหน้าแต่อย่างใด
ซึ่งหากคุณแม่ยังมีความเชื่อแบบนี้ โดยไม่ได้เตรียมของใช้ให้ลูกไว้ ในช่วงหลังคลอดทั้งคุณแม่คุณพ่อและครอบครัวอาจเกิดความยุ่งยาก เมื่อต้องการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อความสะดวกในการเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อม อุปกรณ์ทำความสะอาด ใช้อาบน้ำสระผมลูก เครื่องปั๊มนม คาร์ซีทที่ควรต้องใช้ติดรถไว้เพื่อพาลูกน้อยกลับบ้านทันทีหลังคลอด และอื่นๆ หากไม่มีก็จะต้องรีบไปซื้อหามาอย่างฉุกละหุก จนเกิดความวุ่นวายหลังคลอดได้นั่นเอง ดังนั้นหากคุณแม่ได้เตรียมของใช้ไว้พร้อมทุกอย่างก่อนตั้งครรภ์ หลังคลอดก็สามารถหยิบจับมาดูแลลูกได้ทั้นที เรียกว่าเตรียมมีไว้ใช้อย่างสะดวกดีที่สุดค่ะ

คนท้องห้ามกินของดำ
จากความเชื่อเดิมที่มีหลายคนบอกว่า แม่ท้องห้ามดื่มกินอาหารที่มีสีดำ เช่น เฉาก๊วย โอเลี้ยง ซีอิ๊ว กาละแม และอื่นๆ เพราะจะทำให้ลูกน้อยที่คลอดออกมาผิวดำนั้น ทุกวันนี้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้กันแล้วว่า การที่ลูกน้อยจะมีสีผิวแบบไหน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมสีผิวของคุณพ่อคุณแม่และญาติพี่น้อง โดยที่อาหารต่างๆ ไม่ได้มีผลต่อผิวพรรณของลูกน้อยในครรภ์แต่อย่างใด ฉะนั้นหากอาหารนั้นมีสีดำแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ได้ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเจ็บป่วยท้องเสีย คุณแม่ก็สามารถกินได้นั่นเอง

แม่ท้องห้ามกินกล้วยน้ำว้า
อีกหนึ่งความเชื่อที่เอาท์ไปแล้วคือ แม่ห้องห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกตัวใหญ่ และทำให้คลอดยาก ซึ่งความเป็นจริงแล้วคุณแม่สามารถกินกล้วยน้ำว้าได้ เนื่องจากกล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพียงแต่คุณแม่ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะกล้วยน้ำว้ามีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลสูง หากกินมากอาจทำให้น้ำหนักคุณแม่เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงหากกินกล้วยที่ยังไม่สุกดีหรือห่าม ก็อาจจะทำให้มีอาการท้องผูกท้องอืดง่าย นอกจากนี้ในสมัยก่อนที่ห้ามกิน เพราะหากแม่น้ำหนักมากหรืออ้วนก็จะทำให้คลอดยากเป็นอันตราย เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีการผ่าคลอด

แม่ท้องห้ามกินเนื้อสัตว์และไข่
ในบางจังหวัดหรือบางท้องถิ่นในประเทศไทย มีความเชื่อห้ามคุณแม่ท้องไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว รวมถึงกินไข่ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้มีไขติดตามตัว ล้างออกยาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีข้อห้ามสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในการกินเนื้อวัวและไข่ คุณแม่จึงสามารถกินได้ แต่อาจเพราะส่วนใหญ่คนที่กินเนื้อวัวมักชอบกินเนื้อวัวติดมัน คุณแม่จึงควรระมัดระวังไม่กินมาก เพราะอาจจะทำให้อ้วนได้ ส่วนไข่มีคุณค่าทางอาหารสูง คุณแม่สามารถกินได้ แต่ก็ควรกินอย่างพอดี ไม่กินซ้ำๆ กินทุกวัน แต่หากคุณแม่เชื่อแบบนี้ไม่กินไข่หรือเนื้อสัตว์เลย จะทำให้มีปัญหาขาดโปรตีนที่จำเป็น ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ ทำให้ลูกตัวเล็ก และมีผลเสียต่อสุขภาพคุณแม่เองด้วย
ความเชื่อดีๆ ที่แม่ควรจะมีไว้
คราวนี้เรามาดูความเชื่อที่มีเหตุผลดีๆ รองรับ เพราะความเชื่อเหล่านี้เป็นอุบายของคนโบราณที่ช่วยเตือนคุณแม่ตั้งครรภ์ให้ระมัดระวังตัวเอง ถือเป็นความเชื่อที่มีประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อยค่ะ
คนท้องห้ามนั่งขวางบันได
เป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ โดยผู้เฒ่าผู้แก่หรือบุคคลภายในครอบครัวมักจะคอยเตือนคุณแม่ว่าไม่ให้นั่งขวางบันได โบราณถือ เพราะถึงเวลาคลอด ลูกจะคลอดยาก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อของบางถิ่นที่ว่าบันไดหรือประตูมีผีคอยดูแลรักษาอยู่ คุณแม่จึงไม่ควรไปนั่ง ซึ่งแม้ความจริงแล้วการนั่งของคุณแม่จะไม่เกี่ยวกับการคลอดยาก แต่การนั่งขวางบันไดอาจจะทำให้คุณแม่ตกบันได หน้าคว่ำ สะดุด จนเกิดอุบัติเหตุเป็นอันตรายได้

คนท้องห้ามเย็บปักตัดเสื้อผ้า
เพราะถือกันว่าเดี๋ยวลูกออกมาจะปากแหว่งเพดานโหว่ ซึ่งความจริงแล้วเด็กหลังคลอดที่มีอาการปากแหว่งเพดานโหว่ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการพัฒนาอวัยวะที่ผิดปกติในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ การได้รับสารเคมีหรือสารพิษจากแม่ท้องที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่คุณแม่เย็บตัดผ้าขณะท้อง
แต่เชื่อว่าที่มีข้อห้ามนี้ เพราะหากคุณแม่ท้องต้องก้มๆ เงยๆ เย็บผ้า ต้องเพิ่งมอง หรือนั่งนานๆ อาจทำให้คุณแม่ปวดหัว ปวดหลัง ปวดเมื่อย และเสี่ยงต่ออาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลมได้ง่าย ไม่ดีต่อสุขภาพหรือเป็นอันตรายจากอุบัติเหตุได้ ฉะนั้นขอให้คุณแม่เชื่อเรื่องนี้ไว้ก็ไม่เสียหายค่ะ
ห้ามอาบน้ำตอนดึก
ข้อห้ามนี้ถือว่ามีประโยชน์ต่อคุณแม่ท้อง เพราะข้อห้ามอาบน้ำตอนดึกหรือตอนกลางคืนที่ปู่ย่าตายายคอยเตือนคุณแม่ตั้งครรภ์ นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่ท้อง เนื่องจากในสมัยก่อนวิถีชีวิตแตกต่างากปัจจุบัน ห้องน้ำไม่ได้สะดวกสบาย อาจต้องลงไปข้างนอกหรือนอกบ้าน จนทำให้เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แต่ในยุคนี้แม้ห้องน้ำจะสะดวกสบาย ปลอดภัยขึ้น แต่การที่คุณแม่จะต้องออกไปนอกห้องตอนกลางคืน ที่มีความมืด อาจะสะดุด เกิดอุบัติเหตุ ลื่นหรือหกล้มได้ ฉะนั้นแนะนำให้คุณแม่อาบน้ำแต่วัน อย่ารอให้ค่ำมืด จะดีที่สุดค่ะ

ห้ามคนท้องนอนหงาย
เพราะมีโบราณห้ามไว้ว่าแม่ท้องนอนหงายลูกจะดิ้นแรง ทำให้ท้องแตกหรือคลอดก่อนกำหนดได้ แต่ความจริงแล้วเมื่อเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีอายุครรภ์มาก มีท้องใหญ่ การนอนหงายจะทำให้คุณแม่อึดอัด หายใจไม่สะดวก นอนไม่สบาย เพราะน้ำหนักของมดลูกและตัวลูกน้อยที่มากจนทับส่วนต่างๆ ซึ่งอาจทำให้คุณแม่มีความดันโลหิตต่ำ จนหน้ามืด เวียนหัว หรือเป็นลมได้นั่นเอง
คนท้องห้ามไปงานศพ
ความเชื่อว่าคนท้องห้ามไปงานศพ เพราะจะมีสิ่งไม่ดีเข้าตัวนั้น เรื่องนี้ถือเป็นกุศโลบายเพื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์ ไม่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์หรือบรรยากาศที่ส่งผลทำให้จิตใจหดหู่เศร้าหมอง เพราะในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ควรมีจิตใจที่สดชื่น ผ่อนคลายแจ่มใส แต่ในงานศพจะมีแต่ความเศร้าเสียใจ ดังนั้นหากไม่จำเป็นคุณแม่ก็ไม่ควรไปงานศพให้หดหู่ใจค่ะ
อย่างไรก็ตามหากคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่มั่นใจในเรื่องความเชื่อและข้อห้ามต่างๆ สามารถปรึกษาแพทย์ว่าข้อควรปฏิบัติต่างๆ ที่คุณแม่ควรทำคืออะไร เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
เชื่อว่าอาการปวดหลังหรืออาการปวดเมื่อยตามร่างกายนั้น ต้องเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนเคยสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องนั่งหรืออยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน ๆ และก็อาจจะมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างเบาะยางพาราและเบาะเมมโมรี่โฟมเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย เนื่องจากวัสดุดังกล่าวให้ความรู้สึกที่นุ่มสบายและช่วยคลายความปวดได้ แต่ทราบหรือไม่คะว่า ปัจจุบันนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Vetagel (เวทาเจล) ซึ่งเป็นวัสดุเจลประเภทหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นสูง คืนตัวได้เร็ว และลดแรงกดทับได้ดีกว่ามาก ทั้งยังเป็นที่นิยมในประเทศเกาหลีอีกด้วย vetagel คืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มีประโยชน์ทางด้านสุขภาพของเราอย่างไร ไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ Vetagel คือ อะไร ? ชวนรู้จักเจลชนิดพิเศษเพื่อสุขภาพ นำเข้าจากเกาหลีใต้ vetagel คือวัสดุเจลชนิดหนึ่ง เป็นเจลใสสีเขียวชนิดพิเศษ ผลิตขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ เนื้อเจลจะมีคุณสมบัติเหนียว แข็งแรง มีความยืดหยุ่นสูงมาก แม้มีแรงกดทับหนัก ๆ ก็ไม่เสียรูปทรงง่าย สามารถกระจายแรงกดทับได้ดีและคืนตัวได้เร็ว เมื่อเรากดลงไปในเนื้อเจล เนื้อเจลจะเด้งดึ๋งคืนตัวทันที (Fast Recovery Property) ทำให้เกิดแรงกดทับได้น้อยมาก ๆ ซึ่งแตกต่างจากวัสดุชนิดอื่น ๆ เช่น เมมโมรี่โฟมหรือยางพาราที่เมื่อเราใช้มือกดลงไป วัสดุจะค่อย ๆ คืนตัวช้า ๆ […]
พัฒนาการของเด็ก แบ่งได้หลายแบบ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ คือ เด็กปกติทั่วไปจะมีลำดับขั้นของพัฒนาการใกล้เคียงกัน ถ้าเด็กมีพัฒนาการล่าช้าเกิน 6 เดือนขึ้นไป ถือว่ามีความผิดปกติบางอย่างที่ต้องรีบช่วยเหลือ และกระตุ้นพัฒนาการอย่างเร็วที่สุด พัฒนาการปกติในแต่ละช่วงวัยเป็นดังนี้ พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross Motor Development) ช่วงวัย พัฒนาการ แรกเกิด งอแขนขา, เคลื่อนไหวเท่ากัน 2 ด้าน 1 เดือน หันหน้าซ้ายขวา 2 เดือน ชันคอ 4 เดือน ยกแขนดันตัวชูขึ้นในท่าคว่ำ 6 เดือน คว่ำหงายได้เอง 9 เดือน นั่งได้มั่นคง, คลาน, เกาะยืน 12 เดือน เกาะเดิน 15 เดือน เดินเองได้ 18 เดือน วิ่ง, ยืนก้มเก็บของ 2 ปี เตะลูกบอล, กระโดด 2 เท้า 3 ปี ขึ้นบันไดสลับเท้า, ถีบรถ 3 ล้อ 4 ปี ลงบันไดสลับเท้า, กระโดดขาเดียว 5 […]
พอรู้ว่าตั้งท้อง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มักอยากจะทราบเป็นอันดับแรกก็คือเพศของลูกในท้องใช่มั้ยล่ะคะ วันนี้เราตั้งใจจะมาพูดถึงวิธีสนุกๆ ที่ไม่ต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีที่อิงความเชื่อล้วนๆ ฮิตกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม่นไม่แม่น ไม่รู้ แต่ก็สนุกดีค่ะ ถือว่าคลายเครียดกันเนอะ (เอ๊ะ หรือจะทำให้เครียดกว่าเดิม?) 9 วิธีสนุกๆ ทายเพศลูกน้อยตามแบบโบราณ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าวิธีเหล่านี้เป็นความเชื่อของคนสมัยโบราณที่ตอนนั้นวิทยาการก็ยังไม่ค่อยจะล้ำสมัยซักเท่าไหร่ ถือว่าทำเอาเล่นๆ ขำๆ ละกันนะคะ ถ้าคุณแม่อยากทราบเพศลูกที่ชัวร์ๆ ก็ลองปรึกษาขอ คุณหมอตรวจโครโมโซมหรือเจาะน้ำคร่ำดูก็ได้ค่ะ เพราะสองวิธีนี้ให้ผลแม่นยำถึง 99.4% เลยล่ะ แม่นยิ่งกว่าการบอกเพศจากการอัลตร้าซาวด์อีกนะ แต่ต่อให้ลูกจะคลอดออกมาเป็นเพศไหน เราก็มั่นใจว่าคุณแม่ทุกท่านจะรักลูกจนหมดหัวใจแน่นอน
เพราะคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์สารอาหารที่มีครบถ้วน เพื่อพัฒนาลูกน้อยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความฉลาด การเติบโตแข็งแรง อารมณ์ดีมีความสุข ขับถ่ายง่าย แถมนมแม่ยังมีสารสร้างภูมิคุ้มกันมากมาย ทำให้ลูกน้อยไม่เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณแม่ทุกท่านจึงปรารถนาจะให้ลูกน้อยได้รับคุณค่าอันมหัศจรรย์จากน้ำนมแม่อย่างเต็มที่ไปจนโต หรือให้นมลูกได้นานที่สุด โดยคุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่ นอกจากจะให้นมแม่จากเต้าโดยตรงกับลูกน้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่เวิร์กกิ้งมัม จะต้องทำสต๊อกน้ำนมแม่เก็บแช่แข็งหรือแช่เย็นไว้ เพื่อให้ลูกรักยังได้กินนมแม่ตลอดเวลา แม้จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แต่มีคุณแม่มือใหม่หลายท่านที่ยังไม่มั่นใจหรือกังวล กับการละลายนมแม่ที่แช่แข็งมาใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าวิธีการไหนจะสะดวก สะอาด ปลอดภัย แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และทำแบบไหนจะไม่เสียคุณค่าน้ำนมแม่ ดังนั้นอยากรู้ว่าแต่ละ วิธีละลายน้ำนมแม่ แตกต่างกันอย่างไรไปดูกันค่ะ ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนช่องแช่ เพื่อละลายนมแม่ก่อน หากคุณแม่เก็บน้ำนมแม่ไว้ในช่องแช่แข็ง จำเป็นต้องนำนมแม่เปลี่ยนมาแช่ที่ช่องแช่เย็นธรรมดาด้านล่างก่อนประมาณ 1 วันหรือ 1 คืน เพื่อให้นมแม่ค่อยๆ ละลาย ควรนำนมเก่าที่แช่แข็งไว้ตามวันเวลาที่เก็บสต๊อกไว้นานที่สุดก่อน เพื่อไม่ให้นมเก่า เก็บไว้นานเกินไป แล้วจึงทยอยนำนมใหม่มาใช้ไล่ตามเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อนมแม่ละลายแล้ว คุณแม่ควรแบ่งนมแม่จากถุงเก็บน้ำนมใส่ขวดนม แบ่งปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อนั้นๆ แล้วจึงนำมาอุ่นหรือละลายก่อนให้ลูกกิน ซึ่งนมที่เหลือในถุงเก็บน้ำนมสามารถแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาให้ลูกกินให้หมดภายใน 2-3 วัน เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักจะนำมาอุ่นหรือละลายให้ลูกกินในมื้อถัดไปภายในวันเดียว หรือ 24 ชั่วโมง วิธีละลายน้ำนมแม่ […]
เชื่อว่าคุณแม่ร้อยทั้งร้อยที่อ่านบทความนี้อยู่อยากให้ลูกน้อยคลอดออกมามีผิวสวยสุขภาพดีอย่างแน่นอน ถึงเราจะอยากให้ลูกออกมาผิวขาวใสแค่ไหน ก็อย่าไปเชื่อคำโฆษณาอาหารเสริมต่าง ๆ นะคะ เพราะอาหารเสริมบางตัวไม่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างยิ่ง คุณแม่บ้านไหนอยากให้ลูกผิวดี ลองมาดูอาหารง่าย ๆ ไม่ต้องจ่ายเงินแพง ๆ แถมยังหาซื้อได้ทั่วไปกันดีกว่า 1. ถั่วเหลือง ถั่วเหลืองนั้น นอกจากจะแหล่งโปรตีนที่ทรงคุณค่าไม่แพ้นมวัวแล้ว นมถั่วเหลืองยังเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า “ไอโซฟลาโวน” ซึ่งเจ้าสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้นี่แหละค่ะที่จะไปช่วยกำจัดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้มีผลแค่กับคุณแม่นะ แต่ยังส่งผลไปถึงคุณลูกด้วย อาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองง่าย ๆ ก็เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ หรือนมถั่วเหลืองที่คุณแม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปเลย นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนที่มีส่วนช่วยทำให้มีผิวกระจ่างใสอีกด้วย 2. ผลไม้สดและน้ำผลไม้ ข้อนี้เดาได้ง่าย ๆ เลยใช่มั้ยล่ะคะ ก็แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเรื่องผิวสวยแล้ว สิ่งที่เราขาดไม่ได้เลยก็คือผลไม้ รวมถึงน้ำผลไม้ (ขอแบบแท้ 100% ไม่ผสมน้ำตาลด้วยนะ) และถ้าจะให้ดีกว่าเดิม เราขอแนะนำให้คุณแม่ทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น สับปะรด ส้ม เพราะเจ้าพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเหล่านี้จะมีกรดซิตริกที่ค่อนข้างสูง แถมยังอุดมด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่จะมาช่วยเรื่องผิวโดยตรงเลยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น! นอกจากผลไม้และน้ำผลไม้รสเปรี้ยวจะช่วยบำรุงให้ผิวลูกน้อยคุณแม่แล้ว สารอาหารในผลไม้พวกนี้ยังช่วยฟื้นฟูผิวของตัวคุณแม่ด้วย คุณแม่บ้านไหนที่นอนไม่หลับ สิวขึ้น ผดขึ้น ลองมาทานผลไม้กันดูนะ […]
คุณแม่อาจป้อนอาหารบดละเอียดให้ลูกเสริมกับการกินนมแม่เป็นหลัก หรือถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากฝึก BLW ให้ลูกกินข้าวด้วยตัวเองเป็นก็อาจให้ลูกหยิบจับอาหารนิ่ม ๆ กินเองโดยที่ไม่ต้องป้อนซึ่งอาจเป็นอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงมาก อย่างเช่น ผักต้มนิ่มๆ ผลไม้นิ่มๆ เนื้อปลาต้มนิ่มๆ และเมื่อลูกย่างเข้าสู่เดือนที่ 8 เป็นต้นไป ลูกก็จะเริ่มกินอาหารได้หลากหลายมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็อาจมองหาเมนูอาหารใหม่ๆ ให้กับลูกน้อย ซึ่งในบทความนี้ BabyGift มีเมนูอาหารเด็ก 8 เดือน 5 เมนูอร่อยมาแนะนำกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ลองไปดูกันค่ะ ชวนเข้าครัวเตรียมเมนูอาหารเด็ก 8 เดือนให้ลูกน้อย เด็ก 8 เดือนกินอะไรได้บ้าง ? พอลูกของเราอายุ 6 เดือนขึ้นไป ก็จะสามารถกินอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่เพิ่มเติมได้ และถ้าเป็นไปได้ คุณแม่ก็ควรให้นมแม่ควบคู่กับการเพิ่มมื้ออาหารให้ลูก ซึ่งอาหารสำหรับเด็กอ่อนนั้น สามารถใช้วัตถุดิบได้หลากหลาย และเมื่อลูกอายุ 8 เดือนก็จะเริ่มมีฟันน้ำนม สามารถกินอาหารได้อย่างหลากหลายมากขึ้น เนื้อสัมผัสอาหารมีความหยาบได้มากขึ้น รวมถึงกินผลิตภัณฑ์จากนมอย่าง เนย ชีส และโยเกิร์ตได้ สำหรับเมนูอาหารเด็ก 8 เดือนที่เราจะแนะนำกันนั้น สามารถใช้วัตถุดิบอะไรได้บ้าง มาดูกันค่ะ แนะนำ […]