ไขข้อสงสัยคุณแม่ ให้ลูก เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? พร้อมเทคนิคฝึกลูกให้เข้าห้องน้ำแบบไม่งอแง !

แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ
ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส
หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ

เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ?
ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ?
สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ ไม่เร่งหรือกดดันเด็ก เพราะแต่ละคนมีจังหวะการพัฒนาที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มจากการชวนลูกพูดคุยเรื่องการเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และเริ่มฝึกการใช้ห้องน้ำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้การสนับสนุนและกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรกดดัน หรือตั้งคำถามว่าจะเลิกแพมเพิสกี่ขวบ และการสังเกตว่าลูกพร้อมเลิกหรือไม่ สามารถดูได้จากตัวอย่างสัญญาณดังต่อไปนี้ค่ะ
1. สังเกตจากการสื่อสาร เมื่อลูกบอกได้ว่าต้องการเข้าห้องน้ำ เริ่มเข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับการขับถ่าย
2. เริ่มควบคุมกล้ามเนื้อได้ เช่น สามารถถอดกางเกงหรือกระโปรงเองได้ เริ่มแสดงท่าทางหรืออาการเมื่อต้องการขับถ่าย
3. สังเกตจากความแห้งของผ้าอ้อม เช่น ผ้าอ้อมแห้งนานขึ้น (2 ชั่วโมงขึ้นไป) หรือตื่นนอนมาตอนเช้าด้วยผ้าอ้อมที่แห้ง
4. เริ่มแสดงความสนใจเมื่อเห็นคนอื่นเข้าห้องน้ำ มีความสนใจอยากลองใช้โถส้วม หรือกระโถน
5. ต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาขับถ่าย มีการบอกเมื่อผ้าอ้อมเปียกหรือสกปรก
6. เริ่มมีทักษะการจดจำและทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้ สามารถจดจำขั้นตอนการใช้ห้องน้ำได้
7. เริ่มมีการความมั่นใจ และความเป็นตัวของตัวเอง เช่น แสดงความต้องการที่จะเป็นเด็กโต หรือมีความภูมิใจเมื่อทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง

ถ้าอยากให้ลูกเลิกแพมเพิส มีวิธีแนะนำบ้างมั้ย ?
หากว่าคุณแม่ คุณพ่อ คิดว่าการปล่อยให้เลิกตามธรรมชาติไม่ใช่แนวทางที่ถูกใจ หรืออาจเพราะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว ก็เลยอยากจะฝึกให้ลูกเลิกใส่ เรามีวิธีแนะนำ ดังนี้ค่ะ
1. ให้ลองนั่งกระโถน : การให้ลูกใช้กระโถนเป็นวิธีที่ช่วยฝึกให้เลิกใช้แพมเพิสได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้มีข้อดีหลายอย่างค่ะ และเป็นขั้นตอนที่ขั้นกลางระหว่างการใส่ผ้าอ้อมกับการใช้โถส้วม ทำให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้กระโถนยังมีขนาดเหมาะสมกับตัวเด็ก ทำให้รู้สึกปลอดภัยและรู้สึกสบายกว่าโถส้วมผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่สามารถวางกระโถนไว้ใกล้ๆ เด็ก ทำให้เห็นง่าย หยิบใช้ได้ง่าย และใช้ได้รวดเร็ว โดยเริ่มจากอธิบายวิธีการใช้ ชื่นชมเมื่อใช้เรียบร้อย ให้ลูกรู้สึกว่าทำได้สำเร็จ และอยากใช้อีก วิธีนี้จะทำให้ลูกได้เรียนรู้การควบคุมการขับถ่าย และยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจให้กับเด็กอีกด้วย (หากสนใจเรื่องฝึกให้ลูกนั่งกระโถน ก่อนไปโรงเรียน อ่านเพิ่มเติมได้อีกในเว็บ BabyGift นะคะ)
2. คุณพ่อคุณแม่ทำให้ลูกดู : การให้ลูกดูเป็นตัวอย่างที่ดีมากที่จะช่วยในการฝึกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป วิธีนี้เรียกว่า “การเรียนรู้โดยการสังเกต” เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับเด็กเล็ก เริ่มจากให้ลูกดูพ่อแม่หรือพี่น้องใช้ห้องน้ำ แล้วอธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างง่ายๆ อาจจะใช้ตุ๊กตาสาธิต แสดงวิธีการใช้กระโถน หรือเข้าห้องน้ำ หรือจะใช้วิธีให้ลูกดูผ่านหนังสือ วีดีโอ หรือสื่อการสอนต่างๆ แล้วค่อยๆ อธิบายเพิ่มเติมก็ได้เช่นกัน และอย่าลืม แสดงความยินดีเมื่อคนอื่นใช้ห้องน้ำสำเร็จ ให้ลูกเห็นว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และชื่นชมเมื่อลูกพยายามสนใจ หรือทำตามได้ ทั้งนี้ควรระวังไม่ให้เด็กรู้สึกกดดัน หรืออายมากเกินไป และต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของทุกคนด้วยค่ะ
3. พาเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา : การพาเด็กเข้าห้องน้ำเป็นเวลาก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยได้มากเลยค่ะ วิธีนี้เรียกว่า “การฝึกแบบกำหนดเวลา” เป็นการสร้างนิสัยที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การใช้ห้องน้ำเป็นกิจวัตรประจำวัน ให้เด็กได้เรียนรู้สัญญาณของร่างกาย ช่วยให้เด็กเริ่มรู้จักสังเกตเมื่อต้องการเข้าห้องน้ำ คุณพ่อคุณแม่ อาจเริ่มจากพาเด็กเข้าห้องน้ำทุก 1 – 2 ชั่วโมง พาไปก่อนและหลังนอน รวมถึงหลังมื้ออาหาร อาจใช้นาฬิกาหรือตั้งเสียงเตือนเพื่อความสม่ำเสมอ ข้อควรระวังคือ ควรมีความยืดหยุ่น และปรับตามความต้องการของเด็กแต่ละคน บางครั้งอาจต้องพาไปบ่อยกว่านี้ โดยเฉพาะระยะแรกของการฝึก
4. สอนลูกให้บอกเมื่อปวดอยากถ่ายเบา ถ่ายหนัก : สอนการสื่อสารให้เด็กเรียนรู้ที่จะบอกความต้องการของตัวเอง ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกตสัญญาณร่างกายของตัวเอง ลดการเลอะเทอะเมื่อเด็กบอกได้ ผู้ปกครองก็สามารถพาไปห้องน้ำได้ทันท่วงที ทำให้เด็กมีความมั่นใจรู้สึกว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้ การใช้วิธีนี้ ผู้ปกครองต้องสร้างบรรยากาศให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่จะบอก สอนท่าทางหรือสัญญาณที่เด็กสามารถใช้บอกได้ และอย่าลืมให้รางวัลเมื่อเด็กบอกได้ แม้จะไม่ทันก็ตาม
5. ใช้วิธี 3 วัน : วิธี 3 วัน หรือที่เรียกว่า “3-Day Potty Training Method” เป็นวิธีการฝึกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบเข้มข้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
1) การเตรียมตัว : ให้เลือกช่วงเวลา 3 วัน ที่คุณสามารถอยู่บ้านได้ตลอดทั้งวัน เตรียมกระโถน เสื้อผ้าสำรอง และของรางวัล และอธิบายให้เด็กเข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
2) วันที่ 1-3 : ให้ถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูปออก ใส่แต่กางเกงในเท่านั้น แล้วให้เด็กดื่มน้ำระหว่างวันเพื่อกระตุ้นการปัสสาวะ พาเด็กไปห้องน้ำทุก 15 – 20 นาที หมั่นสังเกตว่าเด็กต้องการเข้าห้องน้ำหรือไม่ และให้รางวัลทันทีเมื่อเด็กใช้ห้องน้ำสำเร็จ หากเกิดเหตุการณ์ฉี่ราดก็ให้ทำความสะอาดโดยไม่แสดงอาการโกรธหรือผิดหวังค่ะ
3) หลังจาก 3 วัน : ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการพาไปห้องน้ำให้นานขึ้น และยังคงให้รางวัล คำชมเชยต่างๆ จากนั้นก็อัปเลเวลเริ่มฝึกการออกนอกบ้านโดยไม่ใส่ผ้าอ้อมต่อไปได้เลยค่ะ
ข้อควรระวังในการใช้วิธี 3 วัน
- วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับทุกครอบครัว เพราะต้องการเวลา และความทุ่มเทอย่างมาก
- อาจทำให้เกิดความเครียดได้ทั้งเด็ก และผู้ปกครอง ดังนั้นพ่อแม่ต้องคุยกันก่อน ตั้งใจร่วมกัน และไม่คาดหวัง
- ไม่ควรใช้กับเด็กที่ยังไม่พร้อม หรือมีอายุน้อยเกินไปค่ะ

เลือกวิธียังไงให้เหมาะกับบ้านเรา ?
แต่ละวิธีก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไปค่ะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละครอบครัว ซึ่ง
สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการเลือกวิธีฝึกจะมีอะไรบ้าง มาดูกันต่อค่ะ
1. ความพร้อมของเด็ก ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ
2. ตารางเวลาของครอบครัว บางวิธีก็ต้องการเวลา และความทุ่มเทมากกว่า คุณพ่อคุณแม่จึงควรพูดคุยกันก่อนเพื่อหาวิธีที่ลงตัวค่ะ
3. บุคลิกของเด็ก เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจชอบวิธีที่สนุกสนาน แต่บางคนก็อาจชอบความเป็นระบบ
4. สภาพแวดล้อมมีผลต่อการฝึกเลิกใช้แพมเพิสอย่างมาก การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมจะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้นทั้งสำหรับเด็กและผู้ปกครอง ลองมาดูรายละเอียดกันนะคะ
- สภาพอากาศ เช่น หากร้อนใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นถอดง่าย ก็จะฝึกง่ายกว่า การอยู่ในอากาศที่หนาว ใส่เสื้อผ้าหลายชิ้นถอดยาก เพราะเด็กอาจไม่อยากลุกไปไหน
- พื้นที่ในบ้าน หากห้องน้ำใกล้ ไปง่าย ก็ทำให้เพิ่มโอกาสที่อยากเดินไปมากกว่า และช่วยลดโอกาสเลอะเทอะได้มากกว่าด้วย
- การจัดวางสิ่งของให้หยิบใช้ง่าย เช่น กระโถน หรือจัดเก็บเสื้อผ้าสำรองในพื้นที่ที่หยิบง่ายก็ช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้การมีบันไดเล็กๆ สำหรับขึ้นโถส้วมผู้ใหญ่ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุกขึ้นได้เหมือนกันค่ะ
- ในห้องน้ำควรมีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มืดจนทำให้เด็กกลัว อาจใช้ไฟกลางคืนเพื่อช่วยในการเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน
BabyGift แนะนำ ! : อาจเริ่มจากวิธีที่คุณรู้สึกว่าเหมาะกับครอบครัวมากที่สุด แล้วผสมผสานหลายๆ วิธีเข้าด้วยกันก็ได้ค่ะ จากนั้นก็ให้เวลากับวิธีที่เลือกสักระยะ ถ้าไม่ได้ผล ก็สามารถเปลี่ยนวิธีได้ โดยสังเกตปฏิกิริยาของลูก และปรับวิธีให้เหมาะสมค่ะ
BabyGift แนะนำสินค้าช่วยเลิกแพมเพิส

1. กระโถนเด็ก 3in1 Baby Potty แบรนด์ Prince & Princess
กระโถนเด็ก จาก Prince & Princess ที่สามารถปรับการใช้งานได้ถึง 5 STEPs ปรับเป็นฝารองชักโครกเด็ก เก้าอี้สำหรับนั่ง หรือ ยืน ได้แบบอเนกประสงค์ โครงสร้างแข็งแรงปลอดภัย สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 60 กิโลกรัม เหมาะกับสรีระเด็ก มีแผ่นรองกันลื่น TPE ถึง 12 จุด แน่นหนาปลอดภัย ช่วยยึดเกาะพื้นห้องน้ำ ป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถลขณะใช้งาน
จุดเด่น
- ใช้งานได้อเนกประสงค์ตั้งแต่ 1 ขวบ จนถึง 6 ขวบ โดยในช่วง 1-2 ปี ใช้เป็นกระโถนให้เด็กได้ฝึกขับถ่าย เมื่อนั่งกระโถนได้เก่งแล้วในวัย 3-4 ขวบก็สามารถปรับวางบนชักโครกผู้ใหญ่เพื่อฝึกนั่งบนชักโครกได้ หลังจากนั้นในช่วง 4- 6 ขวบ สามารถใช้ฐานเป็นเก้าอี้เพื่อให้เด็กขึ้นลงชักโครกได้ หรือจะปรับใช้เป็นบันไดกันลื่นเวลาแปรงฟัน หรือเป็นเก้าอี้กันลื่นในห้องน้ำได้เช่นกัน
- โถรองฉี่ลึก 13 เซนติเมตร จุได้เยอะ ป้องกันการล้นออกมา ตัวเบาะเป็นวัสดุ PU Cushion สัมผัสนุ่มสบาย ยืดหยุ่น นั่งนานได้ไม่เมื่อย ตัวโถรองทำจากวัสดุ Antibacterial ไม่สะสมเชื้อโรค ด้านหน้าออกแบบโค้งนูน 4 เซนติเมตร ป้องกันปัสสาวะกระเด็นได้เป็นอย่างดี มีมือจับ 2 ด้าน ให้จับระหว่างนั่ง เพื่อความปลอดภัยอุ่นใจขณะใช้งาน
- รูปทรงเหมาะกับสรีระเด็กตามช่วงวัย ช่วยฝึกขับถ่าย และสร้างความคุ้นเคยกับการนั่งโถสุขภัณฑ์ มีพนักพิงหลัง ให้เด็กนั่งถนัดมากขึ้น นั่งสบาย ช่วยฝึกการขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
- ดีไซน์สวย ทันสมัย เหมาะกับห้องน้ำทุกสไตล์ สามารถรองรับกับชักโครกผู้ใหญ่ได้หลากหลายขนาด
- น้ำหนักเบา เด็กสามารถเคลื่อนย้ายเพื่อที่จะใช้งานได้ด้วยตัวเอง

2. กระโถนเด็ก 3 สเต็ป RICHELL Pottis Step and Potty
RICHELL Pottis Step and Potty คือกระโถนเด็กที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัย 4 เดือน ถึงวัยเกิน 18 เดือนขึ้นไป เพราะสามารถปรับสเต็ปการใช้งานได้ถึง 3 ระดับ โดย สเต็ปที่ 1 (4-10 เดือน) เหมาะกับการฝึกนั่งบนกระโถน สเต็ปที่ 2 (10-18 เดือน) ใช้เมื่อลูกของเราเริ่มนั่งเองได้บ้างแล้ว โดยจะใช้ส่วนฝาวางบนฝาโถส้วมของผู้ใหญ่ และฝึกอุ้มให้นั่งเองบนกระโถนแบบมีฝาคอยทรงตัว และสเต็ปที่ 3 (18 เดือนขึ้นไป) ให้คุณแม่ใช้ฝาวางไว้ที่โถแล้วปล่อยให้ลูกนั่งจับเอง โดยใช้ส่วนฝาล่างวางใว้ที่โถส้วมผู้ใหญ่ วางฝาไว้ที่กระโถน ให้น้องเหยียบขึ้นนั่งโถด้วยตนเอง มีให้เลือกถึง 3 สี ตามความชอบเลยค่ะ
จุดเด่น
- ใช้งานได้ 3 สเต็ป ตามช่วงวัยตั้งแต่ 4 เดือน ไปจนถึง 18 เดือน
- สินค้าทำจากวัสดุคุณภาพ ปลอดภัย ไม่อันตรายกับเด็ก

3. บันไดชักโครกเด็ก 2in1 Baby Potty Ladder แบรนด์ Prince & Princess
อีกหนึ่งสินค้าแนะนำจาก Prince & Princess ค่ะ บันไดชักโครก 2in1 Baby Potty Ladder ที่ช่วยฝึกลูกน้อยให้ขับถ่ายด้วยตัวเอง ได้อย่างปลอดภัย มีโครงสร้างแบบสามเหลี่ยม แข็งแรงมั่นคง ฐานบันไดขนาดใหญ่ หน้ากว้างถึง 40.7 เซนติเมตร ให้เด็กลงน้ำหนักได้เต็มที่ และสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 25 กิโลกรัม พับเก็บได้ รองรับกับชักโครกผู้ใหญ่ได้หลากหลายขนาด ตั้งแต่ความสูง 38 – 45 เซนติเมตร สามารถใช้ได้ยาวนาน ตั้งแต่อายุ 2 – 6 ปี หรือที่น้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม
จุดเด่น
- รูปทรงเหมาะกับสรีระเด็กตามช่วงวัย ช่วยให้เด็กฝึกขับถ่ายเองได้ง่ายขึ้น เพราะนั่งได้ถนัด มีความมั่นคงปลอดภัย อีกทั้งระยะห่างของขั้นบันไดก็เหมาะสมกับสรีระของเด็กทำให้ก้าวขึ้นและลงได้อย่างปลอดภัย
- ปรับระดับความสูงได้ง่าย เพียงแค่สไลด์ขึ้น-ลง ที่ฝารองชักโครก สะดวกมากกว่าแบรนด์ทั่วไปที่ต้องปรับความสูงจากฐานหรือบันได
- โครงและเบาะรองด้านใน มีแผ่นรองกันลื่น ถึง 11 จุด เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนั้นบันไดยังเสริมแผ่นรองกันลื่น ทำจาก TPE ป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นในขณะขึ้นและลงบันไดได้ดีกว่าแผ่นรองกันลื่นทั่วไปอีกด้วย
- ดีไซน์สวย ทันสมัย เหมาะกับห้องน้ำทุกสไตล์ ทำความสะอาดง่าย
การเลิกใช้แพมเพิสเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของพัฒนาการในเด็ก แต่หากถามว่าควรเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ก็ต้องบอกว่าไม่ได้มีอายุที่แน่นอนตายตัวค่ะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเด็ก ผู้ปกครอง และสภาพแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญก็คือการสังเกตสัญญาณความพร้อมของลูก และไม่เร่งรัดจนทำให้เกิดความเครียด การฝึกด้วยความใจเย็น เข้าใจ และสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กแต่ละคน จะช่วยให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับทั้งเด็กและผู้ปกครองนั่นเองค่ะ และหากใครสนใจผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยลูกเลิกแพมเพิส หรือสนใจสินค้าแม่ และเด็กอื่นๆ ก็สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟ ทั้ง 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือ สอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
การใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบันเรียกได้ว่าต้องเป็นคุณแม่สายแข็งสายสตรอง ไหนจะมลพิษ ไหนจะฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ที่ถาโถมมาประดังกันอย่างไม่หยุดหย่อน ซ้ำร้ายกว่านั้น เจ้าภัยร้าย PM2.5 ยังมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีกซะนี่ แต่ไหนๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว งั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า PM2.5 พร้อมวิธีการป้องกันกันดีกว่าค่ะ PM2.5 คืออะไร? PM2.5 คือฝุ่นละอองไซส์เล็กจิ๋วที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ถ้าคุณแม่คิดภาพไม่ออก ลองมองดูที่เส้นผมเราค่ะ เจ้าฝุ่นตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าผมเราประมาณ 25 เท่าเลยเชียวนะ และขนาดที่เล็กมากเนี่ยแหละที่เป็นอันตราย เพราะแม้แต่จมูกของเราที่สามารถกรองฝุ่นได้อย่างดีเยี่ยมยังไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้ก็เลยเป็นหน้าที่ของเราแล้วนะที่จะต้องป้องกันตัวเอง PM 2.5 เกิดจากอะไร? สาเหตุหลักๆ ของ PM2.5 มาจากการเผาขยะ โรงงานอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่งอะไรพวกนี้ค่ะ แต่ฝุ่นนี้ก็ไม่ได้มาแค่ฝุ่นนะคะ เพราะมันจะพาพวกสารเคมีอันตรายจำนวนมากมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งอย่าง P-A-Hs สารเคมีที่ไปทำลายระบบประสาทอย่างปรอท รวมถึงแคดเมียมซึ่งเป็นสารพิษจากการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ และสารหนูที่ส่งผลต่อระบบประสาทอีกด้วยเช่นกัน ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ เพราะฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ลูกน้อยของเราจึงมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ แถมยังมีก๊าซต่างๆ ที่ลอยคลุ้งอยู่กับฝุ่นละออง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และโอโซน ซึ่งล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ทั้งสิ้น […]
หนึ่งอุปกรณ์สำคัญเพื่อการเลี้ยงลูกที่คุณแม่ขาดไม่ได้คือ ขวดนม ที่คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านอาจมองข้าม เพราะคิดและตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้นมแม่ล้วนหลังคลอด ซึ่งอาจลืมไปว่าแม้จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ขวดนมก็ยังมีความสำคัญและเป็นผู้ช่วยชั้นดีของการให้นมแม่ได้แน่นอน » ขวดนมจำเป็นแค่ไหน ? » ขวดนม มีกี่แบบ ? ปัจจุบันขวดนมสำหรับเด็กผลิตขึ้นจากวัสดุที่หลากหลาย มีหลายประเภทและหลายรูปทรงให้เลือก วัสดุของขวดนม ขวดนมสำหรับเด็ก มีทั้งขวดแก้ว ขวดพลาสติก และขวดที่ใช้แล้วทิ้ง(Disposable Liners)ที่ใส่ลงในขวดนมอีกที แต่ปัจจุบันขวดนมส่วนใหญ่ที่นิยมใช้มักผลิตจากพลาสติกเพราะน้ำหนักเบา ตกไมแตก ทนความร้อนและหาซื้อง่าบ โดยมีทั้งขวดพลาสติกใส ขวดพลาสติกขาวขุ่น และขวดสีชา ที่ผลิตจากพลาสติกที่ต่างชนิดกัน 1. ขวดนม PP วัสดุ POLYPROPYLENE เป็นขวดนมที่มีสีโปร่งใส หรือสีขาวขุ่น มีน้ำหนักเบา ทนทาน โดยทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -20 –110˚c มีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน และอาจเหลือน้อยลงหากผ่านความร้อนจากการต้มหรือนึ่งบ่อยๆ 2. ขวดนม PES วัสดุ POLYETHERSULFONE เป็นขวดพลาสติกสีชาหรือน้ำผึ้ง สามารถทนอุณหภูมิได้ที่ -50–180˚c มีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6 เดือน […]
Hypochlorous Acid หรือ HOCl คืออะไร? Hypochlorous Acid หรือ กรดไฮโปคลอรัส มีชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl นั้น เป็นกรดอ่อน ๆ ชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นโดยธรรมชาติโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเพื่อการรักษาและการปกป้องร่างกาย ซึ่งกรดไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รวมไปถึงสปอร์ของเชื้อราได้ โดยการเข้าไปทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรค เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเหล่านั้น เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส (HOCl) เป็นกรดชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน ในเม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์ จึงปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบาง หรือดวงตา ไม่ทำให้เกิดอาการแสบ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคมากกว่าสารฟอกขาวประเภทคลอรีนถึง 80-120 เท่า กรดไฮโปคลอรัส สามารถพบได้จาก “ น้ำอิเล็กโทรไลต์ “ ซึ่งเป็นน้ำที่ได้จากกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งมีการคิดค้นครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์และนักเคมี นามว่า ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) เมื่อปีทศวรรษ 1834 โดยเขาได้คิดค้นหลักการสำคัญของกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสตั้งเป็นกฎสองข้อเรียกกันว่า Faraday’s Laws of Electrolysis ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาไฟฟ้าเคมี (Electrochemistry) มาจนถึงทุกวันนี้ กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คืออะไร ? อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คือกระบวนการผ่านกระแสไฟฟ้า ด้วยเครื่องมือที่ใช้แยกสารละลายด้วยไฟฟ้า มีชื่อเรียกว่า เซลล์อิเล็กโทรไลต์ หรือ อิเล็กโทรลิติกเซลล์ ประกอบด้วย […]
…แต่ก็ไม่ง่ายเลย ให้คาร์ซีทเป็นเก้าอี้วิเศษของเด็กๆ ประสบการณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่อยากแชร์ให้ทุกๆบ้านฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ วิธีนี้พิสูจน์แล้วได้ผลแน่นอนค่ะ แต่ช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็งหน่อยนะคะ อ่านจบแล้วนำไปฝึกกับลูกๆเราได้เลยค่ะ ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆ เรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ” คาร์ซีทของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย 1. สร้างความผูกพันกับคาร์ซีท อนุญาตให้ลูกเอาสติ๊กเกอร์มาตกแต่งคาร์ซีทของตัวเองได้ เอาให้ถูกใจเลยเพราะต้องนั่งไปอีกนาน 2. มอบรางวัล บอกลูกว่า เราจะออกเดินทางได้ก็ต่อเมื่อล็อกสายรัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วลูกจะรีบทำตัวน่ารักเพราะอยากไปเที่ยว แต่ถ้ากำลังพาไปหาหมอ อาจให้ขนมเป็นรางวัลได้ 3. เบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าโยเยนัก ชวนคุยเรื่องการ์ตูนที่ลูกกำลังอินดีกว่า แค่นี้ก็เผลอจดจ่อกับการโม้เรื่องเจ้าหญิงกับฮีโร่ จนไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองถูกจับนั่งคาร์ซีทเรียบร้อยแล้ว (มุกนี้ไม่เหนื่อย แถมสนุกดีด้วย) 4. เตรียมของเล่นแก้เบื่อ ควรมีของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในรถ แนะนำว่าควรเป็นของเบาๆ และไม่แข็ง เช่น หนังสือผ้า เพราะคุณอาจโดนลูกเอาของในมือปาใส่ขณะขับรถ […]
คาร์ซีทออร์แกนิค เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยและฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อคาร์ซีทแล้ว เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็เป็นอีกปัจจัยที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด เนื่องจากผิวลูกน้อยบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึงหลายเท่า มีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือติดเชื้อได้ง่าย เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ คุณพ่อคุณแม่ จึงต้องใส่ใจและพิจารณาวัสดุที่จะมาสัมผัสกับผิวลูกน้อยเป็นอย่างดี ผ้าฝ้าย Organic หรือผ้าที่ทำจากฝ้าย Organic 100% เป็นผ้าที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจะทำให้ผ้าฝ้ายที่ได้มานั้น ปลอดจากสารพิษ และยาฆ่าแมลง ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำร้ายสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งองค์กรผู้บริโภคสินค้าออร์แกนิค (The Organic Consumers Association) ยังแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าออร์แกนิคคอตตอน หรือผ้าฝ้าย Organic 100% เป็นทางเลือกแรกอีกด้วย คาร์ซีทออร์แกนิค มีข้อดีอย่างไรบ้าง 1. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ จากข้อมูลในรัฐแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ระบุว่าในการปลูกฝ้ายด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปจะมีการใช้ยาฆ่าแมลง โดยเฉลี่ยต่อปีจะมีการมูลค่ากว่า 2.6 พันล้านเหรียญ และผลการทดสอบยาฆ่าแมลงจำนวน 5 […]
เป้อุ้มเด็กเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต่างให้ความสนใจไม่แพ้กับคาร์ซีทและรถเข็นเด็กที่เป็นของจำเป็นสำหรับการเลี้ยงลูกน้อย โดยเฉพาะพ่อแม่เด็กอ่อนที่ต้องอุ้มลูกแทบจะตลอดเวลา หากอุ้มลูกนาน ๆ ก็อาจจะทำให้เมื่อยล้า ปวดแขน ปวดไหล่ ปวดหลัง และมีปัญหาด้านสุขภาพตามมาได้ จึงมองหาเป้อุ้มเด็กแรกเกิดที่จะมาช่วยทุ่นแรงให้อุ้มลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในบทความนี้ BabyGift จะขอแนะนำยี่ห้อเป้อุ้มทารกที่คุณภาพดี เป็นที่นิยมกันในตลาด พร้อมคำแนะนำในการเลือกให้กับคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ BabyGift แนะนำยี่ห้อเป้อุ้มทารกคุณภาพดี พร้อมวิธีการเลือกที่พ่อแม่ต้องรู้ ! เป้อุ้มเด็ก หรือ เป้อุ้มทารก เป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อให้อุ้มลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยจนเกินไปในเวลาที่ต้องอุ้มลูกนาน ๆ และยังสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ในขณะเดียวกัน โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูลูก หรือต้องปล่อยให้ลูกอยู่ห่างจากตัว เป้อุ้มเด็กนั้นเหมาะสำหรับการอุ้มเด็กเล็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งเป้อุ้มเด็กจะมีประโยชน์อย่างมากในครอบครัวที่ไม่มีคนดูแลเด็กเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระอื่น ๆ นอกบ้าน หรือโดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย ก็สามารถใช้เป้อุ้มเด็กเพื่อให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ด้วย โดยสามารถใช้เป้อุ้มเด็กแรกเกิดไปจนถึง 1 ขวบขึ้นไป และบางรุ่นก็สามารถใช้ได้จนถึง 3 ขวบเลยทีเดียว ซึ่งเป้อุ้มเด็กในท้องตลาดก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อด้วยกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่จะเลือกยังไง วันนี้เรามียี่ห้อมาแนะนำกันค่ะ 1. Hugpapa แบรนด์ Hugpapa เป็นแบรนด์ดังจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ทางแบรนด์เน้นการผลิตและจำหน่ายเป้อุ้มเด็กโดยเฉพาะ และขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรมเป้อุ้มเด็กที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ให้ได้มากที่สุด และนอกจากนี้ ก็มีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จำหน่ายแยกอีกด้วย สำหรับเป้อุ้มทารกจากแบรนด์ Hugpapa ที่ BabyGift อยากจะแนะนำก็คือ เป้อุ้ม Hugpapa รุ่น Dial-Fit Pro (3in1 Hip Seat Carrier) ที่มีเทคโนโลยี BOA ช่วยปรับให้เป้มีความกระชับตัวได้ง่ายมากขึ้นเพียงแค่หมุน ใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และสามารถปรับได้พอดีกับสรีระของทุกคน ตัว Hipseat เป็น EPP […]