คู่มือการเก็บรักษา นมแม่ เก็บยังไงไม่ให้เหม็นหืน ? ควรให้นมลูกปริมาณแค่ไหน ? รวมคำถามคาใจคุณแม่ในบทความเดียว !

น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ

ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน

คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้ 

สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ โดยผสมในอัตราส่วนที่นมใหม่มีปริมาณมากกว่านมที่มีกลิ่น แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเรารู้วิธีการเก็บรักษาน้ำนมของแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นหืนและคงคุณค่าได้นาน มาดูกันต่อค่ะ 

แชร์วิธีการเก็บรักษา นมแม่สำหรับการสต็อกน้ำนม ไม่ให้เหม็นหืน

สำหรับบางบ้านแม้ไม่ได้ใช้ตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ แต่นมที่เก็บเอาไว้ก็ยังมีกลิ่นเหม็นหืนอยู่ก็อาจเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน BabyGift มีวิธีเก็บรักษา นมแม่ไม่ให้เหม็นหืนและคงคุณค่าน้ำนมเอาไว้ได้มาฝากดังนี้ค่ะ 

  1. ก่อนปั๊มนมควรตรวจสอบเครื่องปั๊มนมก่อนว่าสะอาดดีหรือไม่ ควรนึ่งฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ
  2. เมื่อเตรียมน้ำนมใส่ถุงสต็อกเรียบร้อยแล้ว ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนเก็บ และรีบนำน้ำนมเข้าตู้เย็น
  3. หากเก็บน้ำนมในถุงพลาสติกแล้วมีกลิ่นเหม็นหืนมาก อาจเปลี่ยนเป็นภาชนะที่ทำจากแก้วแทน (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ เทคนิคการเลือกถุงเก็บน้ำนม ในเว็บไซต์ BabyGift เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะคะ)
  4. ไม่ควรเก็บน้ำนมร่วมกับอาหารอื่นๆ รวมถึงจัดเก็บอาหารในตู้เย็นในภาชนะที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอาหารมาปะปนกับน้ำนม
  5. ไม่เก็บถุงน้ำนมใกล้ส่วนของช่องแข็งหรือช่องแช่ที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เพราะความเย็นจะไม่คงที่
  6. การปั๊มนมให้ลูกกินวันต่อวัน เป็นอีกหนึ่งวิธีการเก็บรักษา นมแม่ ไม่ให้มีกลิ่นหืน
  7. หากเก็บแบบแช่แข็งให้เอาน้ำนมแช่แข็งมาไว้ในช่องเย็นธรรมดาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำนมละลายก่อน และยังสามารถเอาน้ำนมที่ละลายแล้วมาเทใส่ขวดให้ลูกกินเย็นๆ ได้เลย วิธีนี้จะไม่ทำให้ลูกน้อยปวดท้องหรือท้องเสียแต่อย่างใด และไม่ทำให้นมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืนอีกด้วย
  8. สำหรับการเก็บในช่องแช่แข็ง ควรวางถุงในแนวราบเพื่อให้นมแข็งตัวได้เร็ว หรือจะวางถุงนมในแนวราบบนถาดสแตนเลส จากนั้นใช้น้ำเย็นราดก่อนเอาไปเก็บในตู้แช่แข็งก็จะช่วยให้นมแข็งตัวได้เร็วขึ้น และช่วยลดกลิ่นเหม็นหืนได้ดี 
  9. สำหรับคุณแม่ที่ทำตามวิธีการเก็บรักษา นมแม่ ข้างต้นแล้ว แต่ยังพบว่าน้ำนมมีกลิ่นหืนอยู่ อาจจะต้องต้มน้ำนมก่อนเก็บ โดยการต้มน้ำนมที่ได้จากการปั๊มนมที่อุณหภูมิ 82 องศาเซลเซียส สังเกตจากการเห็นฟองเล็กๆ ผุดขึ้นมาในหม้อ จากนั้นจึงปิดไฟ รอจนน้ำนมเย็นลงจึงเก็บใส่ถุง และนำไปแช่แข็ง การต้มนมด้วยวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการทำงานของไลเปสในน้ำนม ทำให้ลดกลิ่นเหม็นหืนได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องแลกด้วยการเสียคุณค่าทางอาหารบางอย่างและสูญเสียภูมิคุ้มกันในน้ำนมไปจากการต้มด้วยความร้อนนั่นเองค่ะ 

ชวนรู้ น้ำนมของแม่เก็บที่อุณหภูมิต่างๆ ได้นานแค่ไหน ? 

การเก็บน้ำนมในช่องแช่เย็นทั่วไปหรือเก็บในรูปแบบต่างๆ จะเก็บได้นานเท่าไหร่ มาดูกันค่ะ 

  • เก็บที่อุณหภูมิห้อง โดยมีอุณหภูมิมากกว่า 25 องศาเซลเซียส  = เก็บได้นาน 1 ชั่วโมง
  • เก็บในห้องแอร์ โดยมีอุณหภูมิน้อยกว่า 25 องศาเซลเซียส  = เก็บได้นาน 4 ชั่วโมง
  • เก็บในกระติกน้ำแข็ง อุณหภูมิน้อยกว่า 15 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง
  • เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 4 วัน หรือ 96 ชั่วโมง
  • เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูเดียว = เก็บได้นาน 2 สัปดาห์ 
  • เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก =  เก็บได้นาน 3 เดือน
  • เก็บในตู้เแช่แข็งแบบประตูแบบ deep freezer อุณหภูมิ -19 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 6 เดือน

จะอุ่นน้ำนมสต็อกอย่างไร ให้คงคุณค่าทางสารอาหารได้มากที่สุด 

นอกจากวิธีการเก็บรักษา นมแม่ จะมีความสำคัญและต้องทำอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้เก็บรักษาน้ำนมของแม่ไว้ได้นานและไม่เหม็นหืนแล้ว วิธีการอุ่นนมสต็อกอย่างถูกต้องนั้นก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าอุ่นผิดวิธีอาจทำให้นมสูญเสียคุณค่าได้ ซึ่งวิธีอุ่นนมสต็อกที่ถูกต้องทำได้ดังนี้ค่ะ 

  1. หากต้องการนำนมที่แช่แข็งไว้มาใช้ ให้นำมาไว้ในช่องตู้เย็นปกติก่อน 1 คืน หรือนำมาตั้งไว้ในอุณหภูมิห้องไม่เกิน 2 ชั่วโมง และสามารถป้อนลูกแบบเย็น ๆ ได้เลย 
  2. ถ้าลูกไม่ชอบแบบเย็น ๆ ควรนำนมไปแช่ในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสเพื่อให้ละลาย ไม่ควรนำไปแช่ในน้ำร้อน นำไปใส่ในไมโครเวฟ หรือนำไปละลายบนเตาเพราะจะทำลายสารอาหารและภูมิคุ้มกันออกไปด้วย 
  3. ในส่วนของนมแช่แข็งที่ละลายแล้ว หากกินไม่หมดก็สามารถเก็บเข้าตู้เย็นได้ แต่ต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง และห้ามนำกลับไปแช่แข็งใหม่ 
  4. น้ำนมที่เหลือจากการป้อนลูก ไม่ว่าจะป้อนจากขวด จากแก้ว หรือจากถ้วย ห้ามเทกลับเข้าไปในภาชนะเก็บอย่างเด็ดขาด และถ้าหากไม่ได้ใช้ภายใน 2 ชั่วโมงให้เททิ้ง เนื่องจากมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจากปากของทารกแล้ว

นมแม่ดีอย่างไร ทำไมต้องให้ลูกกินนมของแม่ให้นานที่สุด ?!

จริงอยู่ที่คุณแม่หลายๆ คนอาจจะเกิดความท้อใจในการเก็บสต็อกน้ำนมเตรียมไว้ให้ลูก เพราะมีขั้นตอน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย และอาจจะกำลังคิดว่าจะให้ลูกกินนมผงเสริมแทนดีหรือไม่ ขอบอกเลยว่า ควรให้ลูกกินน้ำนมของแม่ให้นานทีสุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีข้อแนะนำว่าควรให้ลูกกินน้ำนมของแม่ไปจนถึงอายุ 6 เดือน แต่เราสามารถให้ลูกกินนมของแม่ได้จนถึงอายุ 2 – 3 ขวบเลยทีเดียว เนื่องจากน้ำนมของแม่เป็นอาหารที่ทรงคุณค่ามากที่สุดสำหรับเด็ก ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย และยังมีสารช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหลายอย่าง ช่วยทำให้ลูกมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ น้ำนมของแม่นั้นมีคุณค่ามากมาย เช่น 

  • มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับลูกน้อยอย่างครบถ้วน มีแร่ธาตุวิตามินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกน้อย 
  • น้ำนมของแม่ย่อยและดูดซึมได้ง่าย ทำให้ลูกน้อยขับถ่ายได้ดี ลดอาการท้องอืดและอาการโคลิค
  • ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะลำไส้เน่าตายเฉพาะส่วน (Necrotizing Entercolitis) ในทารกคลอดก่อนกำหนด 
  • มีการศึกษาพบว่า การกินน้ำนมของแม่อย่างเดียวจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในอนาคต เมื่อเทียบกับทารกกลุ่มที่กินนมแบบผสม
  • ในน้ำนมของแม่มี DHA ที่ช่วยในการมองเห็น ช่วยบำรุงสมอง ทั้งยังช่วยเพิ่มระดับสติปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ และความฉลาดทางอารมณ์ 

นอกจากนี้ การให้ลูกกินนมของแม่ยังดีต่อตัวคุณแม่เองด้วย เพราะจะช่วยให้น้ำหนักลดเร็ว และช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ขณะตั้งครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจขาดเลือด ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในแม่ได้ และในขณะที่แม่ให้นมลูก คุณแม่จะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ออกมา ซึ่งจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่หรือกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งผลต่ออารมณ์ของคุณแม่ ช่วยทำให้เกิดความผูกพันระหว่างแม่ลูก ทำให้คุณแม่เกิดความผ่อนคลาย และช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย

ปริมาณน้ำนมที่ลูกต้องการในแต่ละช่วงวัย เท่าไหร่ถึงจะพอดี ? 

องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า เด็กแรกเกิด – 6 เดือน ควรกินนมของแม่เพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ต้องกินอาหารเสริมอื่นๆ เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารจากนมแม่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ทารกเกิดการแพ้อาหารในอนาคตอีกด้วย ซึ่งคุณแม่อาจเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ในแต่ละวันนั้นควรให้นมลูกในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ ซึ่งได้มีการกำหนดเอาไว้ดังนี้ค่ะ 

  • อายุ 1 เดือน ควรให้นมปริมาณครั้งละ 2 – 4 ออนซ์ ประมาณ 7 – 8 ครั้งต่อวัน
  • อายุ 2 – 6 เดือน ให้เพิ่มปริมาณเป็น 4 – 6 ออนซ์ ประมาณ 5 – 6 ครั้งต่อวัน
  • อายุ 6 – 12 เดือน ควรให้ปริมาณ 6 – 8 ออนซ์ วันละ 4 – 5 ครั้ง รวมกับอาหารเสริมอื่น ๆ
  • อายุ 1 ขวบขึ้นไป ควรให้ปริมาณ 6 – 8 ออนซ์วันละ 3 – 4 ครั้ง หลังกินอาหาร

BabyGift แนะนำสินค้าดีๆ เป็นตัวช่วยสำหรับการเก็บสต็อกน้ำนมให้ลูก

1. MR.FOX ถุงเก็บน้ำนมรุ่นพลัส ขนาด 8 ออนซ์

ถุงเก็บน้ำนมรุ่นพลัส ขนาด 8 ออนซ์ จากแบรนด์ MR.FOX ช่วยในการเก็บน้ำนมได้ดีช่วยลดการเหม็นหืนในน้ำนมได้ ขอบถุงซีลหนาถึง 5 มิลลิเมตร สามารถเขียนด้วยปากกาลูกลื่นได้ ไม่ต้องยุ่งยากในการหาปากกา permanent เป็นถุงนมทึบแสง ช่วยรักษาแร่ธาตุวิตามินในน้ำนมได้ดี ทำจากวัสดุ Food grade ปราศจากสาร BPA ที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย 

จุดเด่น 

  • สามารถต่อตรงจากเครื่องปั๊มลงถุงเก็บน้ำนมได้เลย และสามารถต่อจุกนมให้ลูกดื่มจากถุงได้เลยเช่นกัน
  • ไม่ต้องใช้ขวดนม ทำให้คุณแม่ไม่ต้องเสียเวลาล้าง – นึ่งขวดนม ซึ่งใช้เวลานาน
  • ช่วยลดการปนเปื้อนจากการเทไปเทมาระหว่างขวดนมและถุงเก็บน้ำนม แล้วยังลดการปนเปื้อนจากการล้างขวดนมไม่สะอาดอีกด้วย
  • ผลิตจากพลาสติกหนา 2 ชั้น ทำให้เหนียว หนา ไม่แตก ไม่รั่วซึม ซึ่ง Mister Fox เป็นเจ้าเดียวในตลาด ที่ใช้พลาสติกชนิดไนลอนซึ่งดีที่สุดในการทำถุงนมอีกด้วย
  • ช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องพกขวดนม เพิ่มความสะดวกสบายให้คุณแม่มากขึ้น

2. PRINCE & PRINCESS เครื่องอุ่นนม Baby Bottle Warmer & Sterilizer

ตัวช่วยสำคัญในการอุ่นน้ำนมให้ลูก ต้องเครื่องอุ่นนมจาก PRINCE & PRINCESS รุ่น  Baby Bottle Warmer & Sterilizer อุ่นน้ำนมให้ลูกพร้อมกินโดยไม่ทำให้น้ำนมเสียคุณค่าทางอาหาร (อุ่นที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส) น้ำหนักเบา พกพาง่าย สามารถอุ่นนมลูกได้ทุกที่ทุกเวลา 

  • มี 4 โหมดทำงานอัจริยะ ได้แก่ โหมดอุ่นนม (Warm) โหมดละลายน้ำแข็ง (Defrost) โหมดอุ่นอาหารเด็ก (Food) และโหมดนึ่งฆ่าเชื้อขวดนม (Sterilize)
  • น้ำหนักเบาเพียง 780 กรัม
  • ประหยัดเวลาคุณแม่ สามารถอุ่นน้ำนมให้ลูกได้พร้อมกัน 2 ถุง
  • ปราศจากสาร BPA สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ใช้งานได้อย่างปลอดภัย
  • สั่งงานด้วยระบบ Touch Screen 
  • มีการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขาย

3. PRINCE & PRINCESS ถุงเก็บน้ำนม อลูมิเนียมฟอยล์ รุ่น Snowbear Series

ถุงเก็บน้ำนมอลูมิเนียมฟอยล์รุ่น Snowbear Series จากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษ ช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นหืนได้ดี เป็นถุงทึบแสง 100 เปอร์เซ็นต์ มีความแข็งแรงทนทาน สามารถคงคุณค่าสารอาหารในน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยได้อย่างมีคุณภาพ ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อวิธีเดียวกับการฆ่าเชื้อในอาหาร สะอาด ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง​ ถุงเก็บน้ำนมทนความร้อนได้ถึง 80 องศาเซลเซียส​ มีช่องเทน้ำนมแยก ฉีกง่าย เทง่าย ไม่ปนเปื้อน​ เก็บรักษาน้ำนมให้ลูกน้อยได้อย่างดีเยี่ยม 

จุดเด่น 

  • ​ถุงหนา 4 ชั้น ประกอบด้วยวัสดุ Aluminium foil เสริมด้วย Polyethylene Polyamide และ Polyester แข็งแรงทนทานกว่าถุงเก็บน้ำนมพลาสติกใสทั่วไป​
  • ผลิตด้วยเทคโนโลยีการปิดกั้นออกซิเจน ลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ป้องกันการเปลี่ยนสีของน้ำนม​
  • ซิปล็อค 2 ชั้น  ซีลขอบข้าง 0.6 มิลลิเมตร เสริมความแข็งแรง ไม่แตกง่าย​
  • เก็บความเย็นได้นานกว่าถุงนมพลาสติกใสทั่วไป พร้อมทนอุณหภูมิต่ำได้มากถึง -20 องศาเซลเซียส
  • นำความร้อนได้ดี อุ่นน้ำนมได้เร็ว เพียงใช้โหมด Warm ละลายนมแม่แช่แข็งได้ในเวลา 20 นาที หรือจะอุ่นนมเย็นเพียง 10 นาที ก็พร้อมเสิร์ฟให้ลูกน้อยได้เลย 
  • ใน 1 กล่อง มีถุงเก็บน้ำนม 4 สี สีม่วง สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู​ ขนาด 7 ออนซ์ จุน้ำนมได้ 200 มิลลิลิตร มีทั้งหมด 30 ชิ้น​

การเก็บรักษา นมแม่นั้น มีหลายขั้นตอน และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องใส่ใจมากมาย แต่แม้ว่าจะยุ่งยากขนาดไหน สำหรับคุณแม่ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยอย่างน้ำนมแม่แล้ว เชื่อว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากเกินกำลังของคุณแม่อย่างแน่นอน การให้ลูกได้กินนมของแม่อย่างยาวนานมากที่สุดนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกในระยะยาว ทั้งในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรงและไม่ป่วยง่ายอีกด้วย และปัจจุบันก็มีตัวช่วยดีๆ มากมายที่ทำให้การเก็บรักษา นมแม่ง่ายขึ้น ทั้งนี้ หากคุณแม่สนใจสินค้าแม่และเด็กอื่นๆ สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นถุงเก็บนม เครื่องอุ่นนม เครื่องปั๊มนม หรือสินค้าอื่นๆ ก็ตาม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 5 สาขาใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ 

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

ลูกไม่ยอมกินข้าว เป็นปัญหาที่พบเป็นประจำของหลาย ๆ บ้านเลยนะคะ สำหรับเรื่องการกินข้าวยากของลูกน้อย โดยเฉพาะคุณหนูวัย 1 ปีขึ้นไป ที่เริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง พอถึงเวลากินข้าวเมื่อไหร่ ก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่หนักใจไม่น้อยเลย ทั้งกินข้าวน้อย อมข้าว ห่วงเล่นจนใช้เวลานานเกินไปสำหรับอาหาร 1 มื้อ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแต่ต้องให้เวลา ให้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย คุณพ่อคุณแม่ก็จะช่วยให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้นได้ มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ ฝึกให้ลูกทานข้าวเป็นเวลา ให้คุณแม่ทำข้อตกลงกับลูกว่า เข็มนาฬิกาชี้เลขนี้ เวลานี้ คือเวลาทานอาหาร ลูกควรจะหยุดเล่น แล้วมาทานข้าวด้วยกัน หลังทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วลูกค่อยกลับไปเล่นต่อ หรือ จะบอกลูกว่าเวลานี้ต้องทานอาหาร ลูกคือคนสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่อยากทานข้าวด้วย เราต้องทานพร้อมกัน เพื่อฝึกให้ลูกรู้จักเวลาของมื้ออาหาร และรู้ว่าทุก ๆ คนในบ้านก็ทำเหมือนกัน สร้างบรรยากาศการทานอาหารให้ลูก การทานอาหารร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างวินัยการทานอาหารให้ลูกได้ พ่อ แม่ ลูก ร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน ไม่ปล่อยให้ลูกทานคนเดียว หรือ แยกโต๊ะลูกออกไป ก็จะช่วยสร้างบรรยากาศการทานอาหารให้ลูก ให้ลูกรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญในบ้าน เป็นเหมือนผู้ใหญที่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวด้วยกัน ฝึกให้ลูกนั่งเก้าอี้ทานข้าวสำหรับเด็ก คุณพ่อคุณแม่ห้ามตามป้อนข้าว […]

Q: ขวดนมที่ไม่มี BPA ปลอดภัย ใช้ได้นานกว่า ? A :ขวดนม PP ไม่มี BPA อายุการใช้งานสั้นกว่า PC ที่มี BPA โดยทั่วไป พลาสติกแต่ละชนิด จะมีอายุการใช้งานที่ต่างกัน ยิ่งต้ม ยิ่งนึ่ง ยิ่งขัด ก็ยิ่งเสื่อมสภาพเร็ว ทั้งนี้ คุณภาพและการผลิตพลาสติกของแต่ละโรงงานย่อมต่างกัน ขวด PP ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงไม่ผสมเศษงานมักจะใสกว่า คุณแม่อาจพิจารณาเปลี่ยนขวดนมเมื่อเห็นว่าเริ่มบุบเบี้ยว หรือ ขวดนมขุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานจะสิ้นสุดถ้าขวดนมเป็นรอยขูดข่วน จึงควรล้างขวดนมด้วยแปรงขนนิ่ม ฟองน้ำ หรือแปรงซิลิโคน ***ดังนั้น อย่ากังวลกับฉลากและ โฆษณา “BPA-Free” ให้มากนัก หันมาดูวัสดุ และการดูแลรักษาให้ปลอดภัยจะดีกว่า ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : SS Medical Clinic โดย พ.ญ.สิทธิ์ธีราห์ ชโรเต้อร์  หรือใช้การฆ่าเชื้อด้วยแสงรังสี UV (Prince&Princess Baby UV Sterilizer) นวัตกรรมใหม่สำหรับการดูแลลูกน้อยให้พ้นจากเชิ้อโรค ได้ถึง […]

” ลูกติดเต้า ไม่ยอมใช้ขวดนมเลย ทำอย่างไรดี ? เริ่มให้ลูกหย่านมจากเต้า มาฝึกใช้ขวดนมเมื่อไหร่ดี ? ” อีกคำถามที่แม่ๆหลายคนมักเจอตอนลูกน้อยอายุ 1 ขวบ โดยเฉพาะคุณแม่ที่เลี้ยงลูกน้อยด้วยนมจากเต้าเพียงอย่างเดียว วันนี้ BabyGift มีเคล็ดไม่ลับมาฝากแม่ๆกันค่ะ ต้องขอเกริ่นก่อนว่า ความจริงแล้วการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้วยคุณค่าของน้ำนมความอบอุ่นและอื่นๆ แต่เมื่อลูกรักโตขึ้น หลายคนที่ดูดนมแม่จากเต้าจนติด หรือที่เรียกว่า ” ลูกติดเต้า “  งอแงไม่ยอมกินนมจากขวด เวลาที่คุณแม่ต้องออกไปทำงานหรืออยู่นอกบ้าน การให้นมแม่จากขวดนม หรือการเริ่มหย่านมแม่ มักจะเกิดปัญหาตามมาเพราะลูกไม่ยอมกินนมจากขวด งอแงร้องไห้  จนเกิดปัญหาการกินกับลูกได้ และปัญหาการใช้ชีวิตของคุณแม่เอง ฉะนั้นมาดูกันเลยค่ะว่าจะมีเทคนิคแบบไหน ที่สามารถทำให้ลูกได้ฝึกกินนมจากขวดได้ โดยไม่หักดิบ ไม่ทำให้ลูกร้องไห้งอแง หงุดหงิดเสียใจ คุณแม่เองก็ไม่ต้องเครียดไปด้วย ตามมาดูกันเลยค่ะ 8 ทริค ฝึกลูกดูดนมขวดแบบแฮปปี้ 1 )  ค่อยๆ ฝึก ไม่บังคับลูกเพราะการดูดขวดคือทักษะใหม่ของลูกรักที่เคยแต่ดูดนมแม่จากเต้ามาตลอด จนกลายเป็นว่า ลูกติดเต้า รวมถึงวิธีการดูดนมจากขวดกับการดูดนมจากเต้าก็มีความแตกต่าง  จึงต้องอาศัยเวลาให้ลูกปรับตัวและฝึกฝน รวมถึงลูกรักเองก็ต้องใช้สมาธิในการดูดมากขึ้นในช่วงแรก ฉะนั้นการทำความเข้าใจไม่บังคับ และให้ลูกได้ลองฝึกในสิ่งแวดล้อมที่เงียบและสงบค่อย […]

แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ? สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ […]

เมื่อพี่ตู่เตรียมคาร์ซีท พาน้องริสาออกไปเที่ยวครั้งแรก… แต่มะลิ (แม่บ้าน) ดันถอดเบาะคาร์ซีทไปซักซะงั้น งานนี้พี่ตู่ต้องใส่ผ้าหุ้มกลับเข้าไปเหมือนเดิม เบาะทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ชิ้น ที่เข้าใจง่ายๆ พี่ตู่บอกว่าง่ายมาก ทำครั้งแรกก็ได้เลย #แท็กสามี #ซักคาร์ซีทให้หน่อย เพราะคุณแม่นุชออกไปทำธุระข้างนอก การพาน้องริสาออกไปเที่ยวครั้งนี้มีแค่สองพ่อลูกเท่านั้น คาร์ซีทจึงจำเป็นมาก พี่ตู่เลือกคาร์ซีท Ailebebe รุ่น  Kurutto 4 Grance ผ้าหุ้มตาข่ายระบายอากาศได้ดี น้องริสานั่งแล้วสบายตัว ไม่อึดอัด ไม่งอแง สบายจังเลย…ปะป๋า ของีบแป๊บบบบนะคะ หมุนได้ 360 องศา อุ้มน้องริสาขึ้นลงคาร์ซีทได้ง่าย คาร์ซีท Ailebebe ปลอดภัยแน่นอน เพราะทุกตัวผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด จากประเทศญี่ปุ่น รีวิวคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto4

เลือกคาร์ซีทที่ปลอดภัยที่สุด จำเป็นต้องเลือกระบบ ติดตั้งคาร์ซีท ที่ดีที่สุดด้วย…จริงหรือ? คุณพ่อคุณแม่หลายคนเห็นแบบนี้แล้วคงสงสัยว่าจริงหรือว่า ติดตั้งคาร์ซีท ระบบการติดตั้งไม่เหมือนกัน ความปลอดภัยก็ไม่เหมือนกันด้วย มาทำความรู้จักกับระบบ ติดตั้งคาร์ซีท กันก่อนว่ามีกี่ระบบ และจะเลือกการติดตั้งอย่างไรให้เหมาะกับรถยนต์ที่คุณใช้ค่ะ ISOFIX คืออะไร? ISOFIX เป็นระบบ ติดตั้งคาร์ซีท แบบใหม่ที่ได้รับมาตรฐานจากสากล และมีใช้อยู่ทั่วโลกทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งเป็นระบบ ติดตั้งคาร์ซีท สำหรับเด็กที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยได้อย่างมาก โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัยเพราะระบบ ติดตั้งคาร์ซีท แบบISOFIX นั้นเป็นการยึดติดคาร์ซีทด้วยตัวยึด ISOFIX ที่มีความแข็งแรง แน่นหนาตามมาตรฐานสากล และระบบ ISOFIX ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการ ติดตั้งคาร์ซีท ให้กับคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย เนื่องจากปกติแล้วการ ติดตั้งคาร์ซีท จะมี 2 ระบบคือ (ที่เขียนรวมให้ย่อหน้านี้เพราะ ถ้าเผื่อพ่อแม่บางคนเป็นคนไม่ชอบอ่านก็จะอ่านตรงนี้แล้วรู้ว่า ISOFIX คืออะไรแล้วมันดียังไงนะคะ…^^) ISOFIX มีประโยชน์อย่างไร? ติดตั้งคาร์ซีท ด้วยระบบISOFIX ช่วยลดความผิดพลาด เรื่องการเสี่ยงต่อการ ติดตั้งคาร์ซีท ที่ผิดวิธี เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บางท่านอาจสับสน และ ติดตั้งคาร์ซีท ผิดพลาด เช่น ดึงสายเข็มขัดนิรภัยไม่แน่นหนาพอ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดอุบัตเหตุจริง จะทำให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ที่ใช้ ติดตั้งคาร์ซีท นั้นหลุดออก เป็นสาเหตุที่จะทำให้ลูกน้อยเกิดอันตรายได้ จากผลการทดลองเมื่อ ติดตั้งคาร์ซีท ด้วยระบบ ISOFIX จะมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ตัวล็อกISOFIX ช่วยยึดติดกับโครงสร้างรถยนต์ได้มั่นคงกว่าจะไม่เกิดการคลาดเคลื่อนจากเบาะรถยนต์ ลดการกระทบกระเทือนกับลูกได้น้อยกว่า ระบบISOFIX ติดตั้งยังไง 1.มาตรวจสอบก่อนว่าที่รถของคุณสามารถ ติตดั้งคาร์ซีท ระบบISOFIX ได้หรือไม่ โดยการตรวจสอบตามในคลิปด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ 2.เมื่อรู้แล้วว่ารถของคุณ ติดตั้งคาร์ซีท ระบบISOFIX ได้ งั้นก็ลองมาติตดั้งคาร์ซีทกันเลยค่ะ โดยทำตามคลิปวิธีการ ติดตั้งคาร์ซีท จากด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages