ตัดเล็บทารก อย่างไรให้ปลอดภัย ไม่เข้าเนื้อ

ตัดเล็บทารก หน้าที่นี้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มักจะแอบเกร็งเลยใช่ไหมคะ เพราะนิ้วลูกยังเล็กมาก เล็บก็ยังอ่อนและเปราะบาง คุณพ่อคุณแม่เลยกลัวว่าจะตัดเล็บเข้าเนื้อทำให้ลูกน้อยเจ็บตัวได้ แต่อย่ากลัวเลยค่ะ เพราะเรามี ”วิธีการตัดเล็บทารก” มาแชร์ให้อ่านกัน วิธีตัดเล็บนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มีความมั่นใจในการตัดเล็บให้ลูกน้อยมากขึ้น

ตัดเล็บทารก เรื่องง่าย ๆ ถ้ารู้วิธีที่ถูกต้อง พร้อมอุปกรณ์ที่เหมาะสม

ตัดเล็บทารก ควรตัดบ่อยแค่ไหน

เล็บมือทารกจะยาวขึ้นวันละ 0.1 มม. ส่วนเล็บเท้าจะยาวช้ากว่า เด็กเล็กจึงควรตัดเล็บมือเฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเล็บเท้า 2-3 ครั้งต่อเดือน ซึ่งช่วงเดือนแรกลูกน้อยเล็บยังนิ่ม แต่ก็สามารถบาดผิวลูกได้ จึงแนะนำให้ใช้การตะไบมากกว่าการตัด แต่หลังจากนั้นเล็บจะแข็งแรงขึ้น สามารถเลือกใช้ตะไบตัดเล็บหรือกรรไกรก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของคุณพ่อคุณแม่

วิธีตัดเล็บทารก ตัดเล็บทารกให้ไม่เข้าเนื้อ

  1. ต้องดูความยาวของเล็บลูกน้อยก่อน เล็บจะต้องยาวพ้นตรงปลายนิ้วออกมาจึงจะตัดได้ ให้ใช้กรรไกรตัดเล็บตัดแบบแนวขวางเส้นตรง ควรตัดให้จบในครั้งเดียวและห้ามฉีกเล็บลูก เพราะอาจจะเข้าเนื้อได้ หากพ่อแม่ที่ยังไม่เชี่ยวชาญในการตัดเล็บลูก แนะนำจะใช้ตะไบเล็บอัตโนมัติสำหรับเด็กแรกเกิดมากกว่า เพราะช่วยลดอันตรายจากคมของกรรไกรได้
  2. ควรตัดเล็บลูกน้อยในขณะที่ลูกนอนหลับอยู่ เพราะลูกจะอยู่นิ่ง ไม่ขยับมือบ่อย จะได้ลดโอกาสตัดโดนเนื้อ
  3. หลังจากใช้กรรไกรแล้วก็ควรจะตะไบเล็บลูกด้วย เพื่อลบเหลี่ยมคม ป้องกันไม่ให้ลูกข่วนหน้าตัวเอง
  4. หากเผลอใช้กรรไกรตัดโดนเนื้อลูกน้อยจนเลือดไหล ให้รีบใช้สำลีกดแผลไว้ จนเลือดหยุดไหล แล้วทายาแผลสดทันที

ตัดเล็บเข้าเนื้อ อันตรายกว่าที่คิด

การตัดเล็บให้ลูกน้อยอย่างไม่เชี่ยวชาญ ใช้อุปกรณ์ตัดเล็บไม่เหมาะสม และไม่ระวังมากพอ อาจทำให้ตัดเข้าเนื้อ เล็บฉีก จนลูกน้อยบาดเจ็บเลือดไหล และอันตรายไปถึงขั้นติดเชื้อได้เลยนะคะ 

จากข้อมูลเพจเรื่องเล่าจากโรงหมอ ได้นำเสนอข่าวเด็กวัยสิบเดือนที่ยายตัดเล็บให้ จากนั้นนิ้วโป้งเท้าของเด็กก็เริ่มบวม แดง อักเสบ มีไข้สูง เมื่อพาไปพบคุณหมอก็ได้ข้อวินิจฉัยว่าเด็กนิ้วเท้าอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือด คุณหมอจึงขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่นำรูปมาโพสต์เตือนให้พ่อแม่ทุกคนระวังในการตัดเล็บลูกน้อยมากขึ้น เห็นแบบนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกอุปกรณ์ตัดเล็บให้เหมาะกับวัยของลูกและควรตัดอย่างระมัดระวังมากขึ้นนะคะ

ที่ตัดเล็บเด็ก ควรใช้แบบไหนให้ปลอดภัย

1. กรรไกรตัดเล็บเด็ก

  • ควรใช้กรรไกรสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
  • กรรไกรปลายมน จะไม่ค่อยบาดผิวและช่วยให้โอกาสตัดเข้าเนื้อลูกน้อยลง
  • กรรไกรตัดเล็บหัวเล็ก จะเหมาะกับขนาดเล็บและมือของเด็กเล็ก
  • ด้ามจับกรรไกรจะต้องใหญ่ ให้จับถนัดมือมากขึ้น
  • มีตะไบเล็บ เพื่อเอาไว้ลบคมของเล็บหลังตัดเสร็จ

2. ตะไบตัดเล็บเด็ก

  • ตะไบตัดเล็บเด็ก ต้องมีหัวเจียรให้เลือกใช้ตามช่วงวัย ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนเด็กโต
  • ปรับความเร็วและความแรงของการหมุนได้ ตามความถนัดของคุณพ่อคุณแม่
  • ตะไบตัดเล็บควรออกแบบให้มีไฟส่องด้วย เผื่อตัดในที่แสงน้อยได้
  • เสียงเงียบ ไม่ดังรบกวนการนอนของลูก
  • มีกล่องเก็บขนาดเล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา ให้พกพาสะดวก
  • มีการรับประกันสินค้า เผื่อชำรุดจะได้เปลี่ยนได้ทันที

ตัดเล็บให้ลูกน้อย ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะคะ เพียงแค่เลือกอุปกรณ์ที่ปลอดภัยเหมาะสมกับวัยลูก ก็จะช่วยให้การตัดเล็บง่ายขึ้นมาก และเพื่อสุขอนามัยที่ดีควรจะตัดเล็บลูกน้อยเป็นประจำทุกสัปดาห์ด้วยนะคะ

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เมื่อรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่สถานะคุณแม่ตั้งครรภ์เต็มตัวแล้ว สิ่งแรกที่บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายแอบกังวลอยู่ไม่น้อย คงจะหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ตรงของการเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว บรรดาเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด มักจะวนเวียนมาถามว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินอะไร หรือสามารถกินอะไรได้บ้าง ยิ่งถ้าไม่มีอาการแพ้ท้อง ถือว่าโชคดีสองชั้น อยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอน หรือแพ้ท้องแล้วก็ดันอยากจะกินอาหารที่ไม่ควรกินอีก เพราะโน้นก็อร่อย นี่ก็ของชอบ ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์รึเปล่า วันนี้คุณแม่เลยอยากจะแนะนำอาหารคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องใหม่ไม่ควรรับประทานให้ฟังว่า 1. อาหารที่มีรสจัดคุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เพราะระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม การกินอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด จะทำให้มีโอกาสปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ นำไปสู่อาหารเป็นพิษได้ง่าย 2. อาหารที่ก่อโรคไหลย้อนในช่วงตั้งครรภ์ โอกาสที่คุณแม่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนโดยเฉพาะ อาหารทอด, อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ, อาหารที่มีรสจัด, ชา, กาแฟ, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ชีส รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น 3. อาหารที่กินแล้วท้องผูกต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาการท้องผูกกลายเป็นของคู่กันของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อย่างผักและผลไม้แทน […]

โดยส่วนใหญ่แล้ว หากต้องการพาทารก ขึ้นเครื่องบิน เพื่อความปลอดภัยคุณพ่อคุณแม่ควรพาไปเมื่อทารกอายุ 4-8 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ เนื่องจากว่าทารกมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการเดินทางได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่แข็งแรงมากพอ อีกทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ บนเครื่องบินยังทำให้ทารกเกิดความเครียดได้ง่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในหลายๆ สายการบินมีการอนุญาติให้ขึ้นได้ตั้งแต่อายุ 7 วัน และในบทความนี้ BabyGift จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความเข้าใจเรื่องราวของการพาเด็ก ขึ้นเครื่องบินอย่างปลอดภัย พร้อมคำแนะนำต่างๆ ก่อนการพาลูกขึ้นเครื่องบินีกันค่ะ  ชวนเตรียมพร้อมก่อนพา เด็ก ขึ้นเครื่องบิน ต้องเตรียมอะไร ? ต้องรู้อะไรบ้าง ?  ในแต่ละสายการบินมักจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันในการพาทารก ขึ้นเครื่องบินค่ะ บางที่ก็อนุญาติให้โดยสารได้ตั้งแต่ 7 วัน แต่บางที่ก็ต้องอายุ 14 วันก่อนถึงจะอนุญาติให้เดินทางได้ ซึ่งเอกสารที่ใช้สำหรับการเดินทางหลักๆ ก็จะเป็นใบสูติบัตร กับพาสปอร์ตนั่นเองค่ะ ซึ่งหากมีเด็กโดยสารไปด้วย ผู้ปกครองจำเป็นต้องติดต่อสายการบิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมในการดูแลในวันเดินทางได้นั่นเอง ซึ่ง BabyGift ได้เช็กข้อมูลกับสายการบินที่อนุญาติให้ทารกเดินทางมาให้ประมาณ 3 สายการบิน พร้อมคำแนะนำต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูล เป็นไอเดียให้คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการพาเจ้าตัวจิ๋วขึ้นเครื่องบิน ดังนี้ค่ะ พาเด็ก ขึ้นเครื่องบิน การบินไทย  การบินไทยอนุญาติให้ทารก […]

ของเล่นเด็ก เป็นไอเท็มที่มีส่วนช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการ ให้กับลูกน้อยได้เป็นอย่างดี โดยของเล่นแต่ละแบบจะมีวิธีการเล่น การกระตุ้นให้ลูกน้อยใช้กล้ามเนื้อ ร่างกาย ประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน การเลือกซื้อ ของเล่นเด็ก ให้ลูกน้อยได้ถูกต้องสมวัย จะช่วยให้เล่นได้สนุก และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการได้อย่างแท้จริง เบบี้กิ๊ฟ เข้าใจแม่ ในความสงสัย และสับสนว่า ควรเลือกซื้อของเล่นชิ้นไหนดี เพราะทุกวันนี้มีของเล่นในท้องตลาดมากมาย ทั้งราคาถูก ไปจนถึงราคาแพง แบบไหนถึงจะเหมาะกับลูกน้อยแต่ละวัย เบบี้กิ๊ฟ หาคำตอบมาให้แล้วในบทความนี้ ของเล่นเด็ก วัยแรกเกิด – 6 เดือน วัยนี้ลูกน้อยจะใช้เวลาไปกับการนอนมากเป็นพิเศษ สลับกับการตื่นมาทานนมทุกๆ 3 ชั่วโมง ในช่วงระหว่างที่ลูกน้อยตื่นนอน สามารถส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็กวัยนี้ได้ โดยเริ่มจาก การฝึกการมองเห็น ผ่านดวงตาโตใสแป๋ว โดยทารกวัยนี้มักจะชอบ มองสิ่งของที่ขยับไปมา เช่น โมบายหมุนได้ และดวงตาของทารกจะ มองเห็นสีที่ตัดกันชัดเจน เช่น สีดำ/ขาว เหลือง/แดง เพราะน้องๆจะยังไม่รู้จักสีพาสเทลเหมือนผู้ใหญ่ และการมองตัวเองแค่ในกระจก ก็เรียกเสียงหัวเราะจากน้องได้แล้วค่า โดยสามารถเลือกเป็น เพลเพน ที่มีโมบาย กระจก ตุ๊กตาห้อยให้ลูกน้อยนอนมองเล่นได้เพลินๆ ค่ะ ฉะนั้น การเลือกของเล่นที่มีสีสันฉูดฉาด บาดใจ จะเหมาะกับเด็กน้อยวันนี้มากๆ โดยวัสดุของเล่นนั้น ควรจะมีลักษณะเป็นผ้า อ่อนนุ่ม ซักทำความสะอาดได้ […]

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สิ่งแรกๆ ที่คุณแม่ส่วนใหญ่นึกถึงก็คือเรื่องของการคลอดใช่มั้ยล่ะคะ ส่วนวิธีการคลอดนั้น ก็อย่างที่คุณแม่ทราบกันดีว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ก็คือการคลอดธรรมชาติกับการผ่าคลอดค่ะ เราลองเปรียบเทียบกันดูดีกว่าว่าสองวิธีนี้ต่างกันยังไงบ้าง การคลอดธรรมชาติคืออะไร มีอะไรที่ต้องกังวลบ้าง? การคลอดธรรมชาติก็คือการที่คุณแม่เบ่งลูกน้อยออกมาทางช่องคลอด ซึ่งการคลอดแบบนี้คุณแม่จะต้องรอให้มีน้ำเดินหรือเจ็บท้องคลอด รวมถึงปากมดลูกเปิดมากพอที่จะทำการคลอดได้นั่นเอง ส่วนใหญ่แล้ว คุณแม่จะเจ็บท้องคลอดกันที่ช่วง 37-40 สัปดาห์ค่ะ การคลอดธรรมชาติมักเป็นที่นิยมเพราะคุณแม่ส่วนใหญ่ก็อยากมีประสบการณ์ อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดในการเบ่งคลอด แถมยังมีราคาถูกกว่าผ่าคลอดอีกด้วยนะ แม้ว่าการคลอดธรรมชาติจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แผลหายเร็ว และคุณแม่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แต่ก็มีหลายปัจจัยที่คุณแม่ควรทราบกันไว้ซักนิดนึงน้า ปัจจัยที่อาจทำให้การคลอดธรรมชาติไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเสมอไป 1. ลูกไม่กลับหัว ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการคลอดธรรมชาติ และมักจะจบลงด้วยการที่คุณหมอเปลี่ยนไปเป็นผ่าคลอดแทนค่ะ โดยปกติ เวลาที่จะคลอด ลูกน้อยจะต้องกลับหัวเพื่อใช้หัวดันออกมาจากช่องคลอด มีทารกบางรายที่ไม่ยอมกลับหัว หรืออาจจะกลับหัวผิดตำแหน่ง ทำให้คุณหมอไม่สามารถทำคลอดได้ 2. คุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น แรงเบ่งนั้นมีความสำคัญกับการคลอดธรรมชาติมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น ลูกน้อยก็จะไม่สามารถคลอดออกมาได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะ เพราะโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่คุณแม่ไปฝากครรภ์ เค้าจะมีการอบรม สอนวิธีการเบ่ง การหายใจ เพื่อให้คุณแม่สามารถเบ่งได้อย่างถูกวิธีค่ะ 3. คุณแม่มีโรคประจำตัว โรคประจำตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น โรคเบาหวาน […]

การนอนกรนของแม่ท้อง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ เช่น ท้องโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย การสูบฉีดเลือด ระบบไหลเวียนของเลือด รวมทั้งการเต้นของหัวใจ ซึ่งการสูบฉีดไหลเวียนเลือดที่มากขึ้น จะไปกระตุ้นเส้นเลือดในโพรงจมูก ทำให้มีภาวะบวมน้ำส่งผลให้เวลานอน จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก และเกิดเสียงกรนนั่นเอง ประกอบกับลักษณะการนอนของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ช่วง 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะนอนมากกว่าปกติ แต่ประสิทธิภาพ การนอนลดลง ช่วงหลับลึกและหลับฝันน้อยลง ทำให้ง่วงบ่อยและงีบในตอนกลางวัน ต่อมาช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน คุณแม่จึงจะเริ่มนอนเหมือนปกติ แต่ประสิทธิภาพการนอนจะยังไม่เหมือนเดิม ทำให้คุณแม่รู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม พอเข้า 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อายุครรภ์ 6-9 เดือน คุณแม่จะนอนสั้นลง ประสิทธิภาพการนอนยิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ และเป็นช่วงที่คุณแม่นอนกรนมากขึ้น ทั้งนอนกรนผิดปกติ หรือภาวะหยุดหัวใจขณะหลับก็จะเกิดขึ้นในช่วงใกล้คลอดนี้ด้วย แม้โอกาสเกิดขึ้นจะมีน้อยก็ตาม 6 ปัจจัยเสี่ยงภาวะหยุดหายใจเพิ่ม หากคุณแม่เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ต้องติดตามและเฝ้าสังเกตอาการตัวเอง เพื่อป้องกันและรักษาต่อไป โดยกลุ่มเสี่ยงมีปัจจัยดังนี้ ขอบคุณข้อมูลสัมภาษณ์จาก : พ.อ.(พ).ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญช์  ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยา โรคลมชักและการนอนหลับผิดปกติ โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก […]

 ฝึกลูกกินข้าวเอง หรือคำที่คุ้นหูกันในปัจจุบันอย่าง BLW (Baby Led Weaning) คือวิธีการที่ให้ลูกรู้จักหยิบอาหารกินเอง โดยอาหารจะไม่ใช่พวกอาหารปั่น อาหารบด แต่เป็นอาหารที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ มีความนุ่ม และหยิบจับได้ วิธีการนี้จะทำให้ลูกได้รู้จักและคุ้นเคยกับอาหารที่เป็นของแข็งมากยิ่งขึ้น โดยวิธีนี้เหมาะกับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป และสามารถนั่งได้เอง โดยที่ไม่ต้องมีคนช่วย ฝึกลูกกินข้าวเอง มีประโยชน์อย่างไร           การให้ลูกกินข้าวเองนั้น นอกจากจะช่วยให้ลูกรู้จักอาหารที่เป็นของแข็งมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย และด้านความคิดอีกด้วย 1. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการกินของลูก            ฝึกให้ลูกกินข้าวเอง ช่วยให้ลูกมีความสุขกับการทานอาหารมากยิ่งขึ้น เพราะลูกได้สนุกกับการกิน สนุกกับการเลียนแบบท่าทางระหว่างการกินอาหาร ทำให้ไม่ต้องคอยหลอกล่อให้ลูกกินข้าว 2. ฝึกพัฒนาการการใช้กล้ามเนื้อมือ           การให้ลูกได้หยิบจับอาหาร ทำให้ได้ฝึกการใช้แรงของมือ แรกๆอาหารอาจจะมีร่วงหล่นจากมือบ้าง หรืออาหารเละคามือบ้าง แต่ก็เป็นการให้ลูกได้ฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมือและน้ำหนักของมือ 3. ฝึกพัฒนาการการเคี้ยวและความคิด       […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages