ไขข้อสงสัยคุณแม่ ให้ลูก เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? พร้อมเทคนิคฝึกลูกให้เข้าห้องน้ำแบบไม่งอแง !

แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ

ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส

หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ

เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ?

ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ?

สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ ไม่เร่งหรือกดดันเด็ก เพราะแต่ละคนมีจังหวะการพัฒนาที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มจากการชวนลูกพูดคุยเรื่องการเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และเริ่มฝึกการใช้ห้องน้ำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้การสนับสนุนและกำลังใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรกดดัน หรือตั้งคำถามว่าจะเลิกแพมเพิสกี่ขวบ และการสังเกตว่าลูกพร้อมเลิกหรือไม่ สามารถดูได้จากตัวอย่างสัญญาณดังต่อไปนี้ค่ะ

1. สังเกตจากการสื่อสาร เมื่อลูกบอกได้ว่าต้องการเข้าห้องน้ำ เริ่มเข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับการขับถ่าย

2. เริ่มควบคุมกล้ามเนื้อได้ เช่น สามารถถอดกางเกงหรือกระโปรงเองได้ เริ่มแสดงท่าทางหรืออาการเมื่อต้องการขับถ่าย

3. สังเกตจากความแห้งของผ้าอ้อม เช่น ผ้าอ้อมแห้งนานขึ้น (2 ชั่วโมงขึ้นไป) หรือตื่นนอนมาตอนเช้าด้วยผ้าอ้อมที่แห้ง

4. เริ่มแสดงความสนใจเมื่อเห็นคนอื่นเข้าห้องน้ำ มีความสนใจอยากลองใช้โถส้วม หรือกระโถน

5. ต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาขับถ่าย มีการบอกเมื่อผ้าอ้อมเปียกหรือสกปรก

6. เริ่มมีทักษะการจดจำและทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้ สามารถจดจำขั้นตอนการใช้ห้องน้ำได้

7. เริ่มมีการความมั่นใจ และความเป็นตัวของตัวเอง เช่น แสดงความต้องการที่จะเป็นเด็กโต หรือมีความภูมิใจเมื่อทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง

ถ้าอยากให้ลูกเลิกแพมเพิส มีวิธีแนะนำบ้างมั้ย ?

หากว่าคุณแม่ คุณพ่อ คิดว่าการปล่อยให้เลิกตามธรรมชาติไม่ใช่แนวทางที่ถูกใจ หรืออาจเพราะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว ก็เลยอยากจะฝึกให้ลูกเลิกใส่ เรามีวิธีแนะนำ ดังนี้ค่ะ

1. ให้ลองนั่งกระโถน : การให้ลูกใช้กระโถนเป็นวิธีที่ช่วยฝึกให้เลิกใช้แพมเพิสได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้มีข้อดีหลายอย่างค่ะ และเป็นขั้นตอนที่ขั้นกลางระหว่างการใส่ผ้าอ้อมกับการใช้โถส้วม ทำให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้กระโถนยังมีขนาดเหมาะสมกับตัวเด็ก ทำให้รู้สึกปลอดภัยและรู้สึกสบายกว่าโถส้วมผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่สามารถวางกระโถนไว้ใกล้ๆ เด็ก ทำให้เห็นง่าย หยิบใช้ได้ง่าย และใช้ได้รวดเร็ว โดยเริ่มจากอธิบายวิธีการใช้ ชื่นชมเมื่อใช้เรียบร้อย ให้ลูกรู้สึกว่าทำได้สำเร็จ และอยากใช้อีก วิธีนี้จะทำให้ลูกได้เรียนรู้การควบคุมการขับถ่าย และยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจให้กับเด็กอีกด้วย (หากสนใจเรื่องฝึกให้ลูกนั่งกระโถน ก่อนไปโรงเรียน อ่านเพิ่มเติมได้อีกในเว็บ BabyGift นะคะ)

2. คุณพ่อคุณแม่ทำให้ลูกดู : การให้ลูกดูเป็นตัวอย่างที่ดีมากที่จะช่วยในการฝึกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป วิธีนี้เรียกว่า “การเรียนรู้โดยการสังเกต” เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับเด็กเล็ก เริ่มจากให้ลูกดูพ่อแม่หรือพี่น้องใช้ห้องน้ำ แล้วอธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างง่ายๆ อาจจะใช้ตุ๊กตาสาธิต แสดงวิธีการใช้กระโถน หรือเข้าห้องน้ำ หรือจะใช้วิธีให้ลูกดูผ่านหนังสือ วีดีโอ หรือสื่อการสอนต่างๆ แล้วค่อยๆ อธิบายเพิ่มเติมก็ได้เช่นกัน และอย่าลืม แสดงความยินดีเมื่อคนอื่นใช้ห้องน้ำสำเร็จ  ให้ลูกเห็นว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และชื่นชมเมื่อลูกพยายามสนใจ หรือทำตามได้ ทั้งนี้ควรระวังไม่ให้เด็กรู้สึกกดดัน หรืออายมากเกินไป และต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของทุกคนด้วยค่ะ 

3. พาเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา : การพาเด็กเข้าห้องน้ำเป็นเวลาก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยได้มากเลยค่ะ วิธีนี้เรียกว่า “การฝึกแบบกำหนดเวลา” เป็นการสร้างนิสัยที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การใช้ห้องน้ำเป็นกิจวัตรประจำวัน ให้เด็กได้เรียนรู้สัญญาณของร่างกาย ช่วยให้เด็กเริ่มรู้จักสังเกตเมื่อต้องการเข้าห้องน้ำ คุณพ่อคุณแม่ อาจเริ่มจากพาเด็กเข้าห้องน้ำทุก 1 – 2 ชั่วโมง พาไปก่อนและหลังนอน รวมถึงหลังมื้ออาหาร อาจใช้นาฬิกาหรือตั้งเสียงเตือนเพื่อความสม่ำเสมอ ข้อควรระวังคือ ควรมีความยืดหยุ่น และปรับตามความต้องการของเด็กแต่ละคน บางครั้งอาจต้องพาไปบ่อยกว่านี้ โดยเฉพาะระยะแรกของการฝึก

4. สอนลูกให้บอกเมื่อปวดอยากถ่ายเบา ถ่ายหนัก : สอนการสื่อสารให้เด็กเรียนรู้ที่จะบอกความต้องการของตัวเอง ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกตสัญญาณร่างกายของตัวเอง ลดการเลอะเทอะเมื่อเด็กบอกได้ ผู้ปกครองก็สามารถพาไปห้องน้ำได้ทันท่วงที ทำให้เด็กมีความมั่นใจรู้สึกว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้ การใช้วิธีนี้ ผู้ปกครองต้องสร้างบรรยากาศให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่จะบอก สอนท่าทางหรือสัญญาณที่เด็กสามารถใช้บอกได้ และอย่าลืมให้รางวัลเมื่อเด็กบอกได้ แม้จะไม่ทันก็ตาม

5. ใช้วิธี 3 วัน : วิธี 3 วัน หรือที่เรียกว่า “3-Day Potty Training Method” เป็นวิธีการฝึกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบเข้มข้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

1) การเตรียมตัว : ให้เลือกช่วงเวลา 3 วัน ที่คุณสามารถอยู่บ้านได้ตลอดทั้งวัน เตรียมกระโถน เสื้อผ้าสำรอง และของรางวัล และอธิบายให้เด็กเข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

2) วันที่ 1-3 : ให้ถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูปออก ใส่แต่กางเกงในเท่านั้น แล้วให้เด็กดื่มน้ำระหว่างวันเพื่อกระตุ้นการปัสสาวะ พาเด็กไปห้องน้ำทุก 15 – 20 นาที หมั่นสังเกตว่าเด็กต้องการเข้าห้องน้ำหรือไม่ และให้รางวัลทันทีเมื่อเด็กใช้ห้องน้ำสำเร็จ หากเกิดเหตุการณ์ฉี่ราดก็ให้ทำความสะอาดโดยไม่แสดงอาการโกรธหรือผิดหวังค่ะ

3) หลังจาก 3 วัน : ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการพาไปห้องน้ำให้นานขึ้น และยังคงให้รางวัล คำชมเชยต่างๆ จากนั้นก็อัปเลเวลเริ่มฝึกการออกนอกบ้านโดยไม่ใส่ผ้าอ้อมต่อไปได้เลยค่ะ

ข้อควรระวังในการใช้วิธี 3 วัน 

  • วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับทุกครอบครัว เพราะต้องการเวลา และความทุ่มเทอย่างมาก
  • อาจทำให้เกิดความเครียดได้ทั้งเด็ก และผู้ปกครอง ดังนั้นพ่อแม่ต้องคุยกันก่อน ตั้งใจร่วมกัน และไม่คาดหวัง
  • ไม่ควรใช้กับเด็กที่ยังไม่พร้อม หรือมีอายุน้อยเกินไปค่ะ

เลือกวิธียังไงให้เหมาะกับบ้านเรา ?

แต่ละวิธีก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไปค่ะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละครอบครัว ซึ่ง

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการเลือกวิธีฝึกจะมีอะไรบ้าง มาดูกันต่อค่ะ

1. ความพร้อมของเด็ก ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ

2. ตารางเวลาของครอบครัว บางวิธีก็ต้องการเวลา และความทุ่มเทมากกว่า คุณพ่อคุณแม่จึงควรพูดคุยกันก่อนเพื่อหาวิธีที่ลงตัวค่ะ

3. บุคลิกของเด็ก เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจชอบวิธีที่สนุกสนาน แต่บางคนก็อาจชอบความเป็นระบบ

4. สภาพแวดล้อมมีผลต่อการฝึกเลิกใช้แพมเพิสอย่างมาก การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมจะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้นทั้งสำหรับเด็กและผู้ปกครอง ลองมาดูรายละเอียดกันนะคะ

  • สภาพอากาศ เช่น หากร้อนใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นถอดง่าย ก็จะฝึกง่ายกว่า การอยู่ในอากาศที่หนาว ใส่เสื้อผ้าหลายชิ้นถอดยาก เพราะเด็กอาจไม่อยากลุกไปไหน 
  • พื้นที่ในบ้าน หากห้องน้ำใกล้ ไปง่าย ก็ทำให้เพิ่มโอกาสที่อยากเดินไปมากกว่า และช่วยลดโอกาสเลอะเทอะได้มากกว่าด้วย
  • การจัดวางสิ่งของให้หยิบใช้ง่าย เช่น กระโถน หรือจัดเก็บเสื้อผ้าสำรองในพื้นที่ที่หยิบง่ายก็ช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้การมีบันไดเล็กๆ สำหรับขึ้นโถส้วมผู้ใหญ่ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุกขึ้นได้เหมือนกันค่ะ
  • ในห้องน้ำควรมีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มืดจนทำให้เด็กกลัว อาจใช้ไฟกลางคืนเพื่อช่วยในการเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน

BabyGift แนะนำ ! : อาจเริ่มจากวิธีที่คุณรู้สึกว่าเหมาะกับครอบครัวมากที่สุด แล้วผสมผสานหลายๆ วิธีเข้าด้วยกันก็ได้ค่ะ จากนั้นก็ให้เวลากับวิธีที่เลือกสักระยะ ถ้าไม่ได้ผล ก็สามารถเปลี่ยนวิธีได้ โดยสังเกตปฏิกิริยาของลูก และปรับวิธีให้เหมาะสมค่ะ

BabyGift แนะนำสินค้าช่วยเลิกแพมเพิส

1. กระโถนเด็ก 3in1 Baby Potty แบรนด์ Prince & Princess

กระโถนเด็ก จาก Prince & Princess ที่สามารถปรับการใช้งานได้ถึง 5 STEPs ปรับเป็นฝารองชักโครกเด็ก เก้าอี้สำหรับนั่ง หรือ ยืน ได้แบบอเนกประสงค์ โครงสร้างแข็งแรงปลอดภัย สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 60 กิโลกรัม เหมาะกับสรีระเด็ก มีแผ่นรองกันลื่น TPE ถึง 12 จุด แน่นหนาปลอดภัย ช่วยยึดเกาะพื้นห้องน้ำ ป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถลขณะใช้งาน 

จุดเด่น 

  • ใช้งานได้อเนกประสงค์ตั้งแต่ 1 ขวบ จนถึง 6 ขวบ โดยในช่วง 1-2 ปี ใช้เป็นกระโถนให้เด็กได้ฝึกขับถ่าย เมื่อนั่งกระโถนได้เก่งแล้วในวัย 3-4 ขวบก็สามารถปรับวางบนชักโครกผู้ใหญ่เพื่อฝึกนั่งบนชักโครกได้ หลังจากนั้นในช่วง 4- 6 ขวบ สามารถใช้ฐานเป็นเก้าอี้เพื่อให้เด็กขึ้นลงชักโครกได้ หรือจะปรับใช้เป็นบันไดกันลื่นเวลาแปรงฟัน หรือเป็นเก้าอี้กันลื่นในห้องน้ำได้เช่นกัน
  • โถรองฉี่ลึก 13 เซนติเมตร จุได้เยอะ ป้องกันการล้นออกมา ตัวเบาะเป็นวัสดุ PU Cushion สัมผัสนุ่มสบาย ยืดหยุ่น นั่งนานได้ไม่เมื่อย ตัวโถรองทำจากวัสดุ Antibacterial ไม่สะสมเชื้อโรค ด้านหน้าออกแบบโค้งนูน 4 เซนติเมตร ป้องกันปัสสาวะกระเด็นได้เป็นอย่างดี มีมือจับ 2 ด้าน ให้จับระหว่างนั่ง เพื่อความปลอดภัยอุ่นใจขณะใช้งาน 
  • รูปทรงเหมาะกับสรีระเด็กตามช่วงวัย ช่วยฝึกขับถ่าย และสร้างความคุ้นเคยกับการนั่งโถสุขภัณฑ์ มีพนักพิงหลัง ให้เด็กนั่งถนัดมากขึ้น นั่งสบาย ช่วยฝึกการขับถ่ายได้ง่ายขึ้น 
  • ดีไซน์สวย ทันสมัย เหมาะกับห้องน้ำทุกสไตล์ สามารถรองรับกับชักโครกผู้ใหญ่ได้หลากหลายขนาด 
  • น้ำหนักเบา เด็กสามารถเคลื่อนย้ายเพื่อที่จะใช้งานได้ด้วยตัวเอง 

2. กระโถนเด็ก 3 สเต็ป RICHELL Pottis Step and Potty

RICHELL Pottis Step and Potty คือกระโถนเด็กที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัย 4 เดือน ถึงวัยเกิน 18 เดือนขึ้นไป เพราะสามารถปรับสเต็ปการใช้งานได้ถึง 3 ระดับ โดย สเต็ปที่ 1 (4-10 เดือน) เหมาะกับการฝึกนั่งบนกระโถน สเต็ปที่ 2 (10-18 เดือน) ใช้เมื่อลูกของเราเริ่มนั่งเองได้บ้างแล้ว โดยจะใช้ส่วนฝาวางบนฝาโถส้วมของผู้ใหญ่ และฝึกอุ้มให้นั่งเองบนกระโถนแบบมีฝาคอยทรงตัว และสเต็ปที่ 3 (18 เดือนขึ้นไป) ให้คุณแม่ใช้ฝาวางไว้ที่โถแล้วปล่อยให้ลูกนั่งจับเอง โดยใช้ส่วนฝาล่างวางใว้ที่โถส้วมผู้ใหญ่ วางฝาไว้ที่กระโถน ให้น้องเหยียบขึ้นนั่งโถด้วยตนเอง มีให้เลือกถึง 3 สี ตามความชอบเลยค่ะ

จุดเด่น 

  • ใช้งานได้ 3 สเต็ป ตามช่วงวัยตั้งแต่ 4 เดือน ไปจนถึง 18 เดือน
  • สินค้าทำจากวัสดุคุณภาพ ปลอดภัย ไม่อันตรายกับเด็ก

3. บันไดชักโครกเด็ก 2in1 Baby Potty Ladder แบรนด์ Prince & Princess ​

อีกหนึ่งสินค้าแนะนำจาก Prince & Princess ค่ะ บันไดชักโครก 2in1 Baby Potty Ladder ที่ช่วยฝึกลูกน้อยให้ขับถ่ายด้วยตัวเอง ได้อย่างปลอดภัย มีโครงสร้างแบบสามเหลี่ยม แข็งแรงมั่นคง ฐานบันไดขนาดใหญ่ หน้ากว้างถึง 40.7 เซนติเมตร ให้เด็กลงน้ำหนักได้เต็มที่ และสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 25 กิโลกรัม พับเก็บได้ รองรับกับชักโครกผู้ใหญ่ได้หลากหลายขนาด ตั้งแต่ความสูง 38 – 45 เซนติเมตร สามารถใช้ได้ยาวนาน ตั้งแต่อายุ 2 – 6 ปี หรือที่น้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม ​

จุดเด่น 

  • รูปทรงเหมาะกับสรีระเด็กตามช่วงวัย ช่วยให้เด็กฝึกขับถ่ายเองได้ง่ายขึ้น เพราะนั่งได้ถนัด มีความมั่นคงปลอดภัย อีกทั้งระยะห่างของขั้นบันไดก็เหมาะสมกับสรีระของเด็กทำให้ก้าวขึ้นและลงได้อย่างปลอดภัย 
  • ปรับระดับความสูงได้ง่าย เพียงแค่สไลด์ขึ้น-ลง ที่ฝารองชักโครก สะดวกมากกว่าแบรนด์ทั่วไปที่ต้องปรับความสูงจากฐานหรือบันได 
  • โครงและเบาะรองด้านใน มีแผ่นรองกันลื่น ถึง 11 จุด เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนั้นบันไดยังเสริมแผ่นรองกันลื่น ทำจาก TPE ป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นในขณะขึ้นและลงบันไดได้ดีกว่าแผ่นรองกันลื่นทั่วไปอีกด้วย 
  • ดีไซน์สวย ทันสมัย เหมาะกับห้องน้ำทุกสไตล์ ทำความสะอาดง่าย 

การเลิกใช้แพมเพิสเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของพัฒนาการในเด็ก แต่หากถามว่าควรเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ก็ต้องบอกว่าไม่ได้มีอายุที่แน่นอนตายตัวค่ะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเด็ก ผู้ปกครอง และสภาพแวดล้อม แต่สิ่งสำคัญก็คือการสังเกตสัญญาณความพร้อมของลูก และไม่เร่งรัดจนทำให้เกิดความเครียด การฝึกด้วยความใจเย็น เข้าใจ และสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กแต่ละคน จะช่วยให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับทั้งเด็กและผู้ปกครองนั่นเองค่ะ และหากใครสนใจผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยลูกเลิกแพมเพิส หรือสนใจสินค้าแม่ และเด็กอื่นๆ ก็สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟ ทั้ง 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือ สอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

การตั้งชื่อลูกเป็นหนึ่งในความสุขและความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพราะนอกจากจะต้องไพเราะทันสมัยแล้ว ยังต้องเป็นชื่อมงคลที่มีความหมายดี เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของลูกน้อย วันนี้ BabyGift ได้รวบรวมไอเดียตั้งชื่อมงคลตามวันเกิดมาให้คุณแล้ว พร้อมทั้งหลักการ ตั้งชื่อลูก ที่ถูกต้อง เพื่อให้การตั้งชื่อเป็นเรื่องที่ง่ายและเต็มไปด้วยความหมายที่สุด การตั้งชื่อลูกสำคัญอย่างไร ชื่อเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต และเชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อโชคชะตาและลักษณะนิสัยของบุคคลนั้น ๆ การตั้งชื่อมงคลที่ถูกต้องตามหลักการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวันเกิดหรือหลักทักษา จึงเป็นสิ่งที่หลายครอบครัวให้ความสำคัญ เพื่อเป็นการส่งเสริมชีวิตของลูกให้เจริญรุ่งเรือง มีความสุข และประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน หลักการตั้งชื่อลูก หลักการ ตั้งชื่อลูก ที่เป็นที่นิยม คือการพิจารณาจากวันเกิดของลูก ซึ่งจะมีการกำหนดอักษรที่เป็น กาลกิณี หรืออักษรต้องห้ามในแต่ละวันเอาไว้ การตั้งชื่อโดยไม่ใช้อักษรต้องห้ามเหล่านี้จะช่วยเสริมชื่อมงคลให้แก่ลูกน้อยได้ ตั้งชื่อลูกชาย การ ตั้งชื่อลูกชาย มักจะเน้นที่ความหมายเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำ และความสำเร็จ เพื่อส่งเสริมให้ลูกเป็นคนที่มีพลัง มีอำนาจ และสามารถปกป้องดูแลครอบครัวได้ในอนาคต ตั้งชื่อลูกสาว สำหรับลูกสาว การ ตั้งชื่อลูกสาว ในยุคปัจจุบันมักจะเน้นความหมายที่ทันสมัย แต่ก็ยังคงความอ่อนหวาน สง่างาม และความฉลาดเฉลียวไว้ เพื่อให้ลูกเติบโตเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและมีความสุขในชีวิต ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด วันอาทิตย์ สำหรับน้อง ๆ ที่เกิดวันอาทิตย์ […]

เมื่อแม่ท้องปวดเมื่อย ไปนวดได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?             สารพันอาการปวดเมื่อย เป็นเรื่องธรรมดาที่มักเกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ร่างกายมีการปรับเปลี่ยน ร่วมกับการรับน้ำหนักท้องที่ใหญ่ มดลูกที่ขยายและน้ำหนักตัวลูกน้อย ทำให้คุณแม่ท้องมีอาการปวดขา ปวดหลัง ปวดเข่า ปวดเท้าต่างๆ ร่วมกับการปวดเมื่อยเนื้อตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน จนทำให้ปวดคอ ปวดบ่าไหล่กันได้อีก ด้วยความปวดเมื่อยหลายส่วนของแม่ท้องนี้ จึงทำให้คุณแม่หลายท่านคิดจะไปนวดเพื่อให้หายเมื่อยและผ่อนคลาย  โดยอาจไม่รู้ว่าการนวดในช่วงตั้งครรภ์ มีข้อจำกัดและยกเว้นในบางเรื่อง ซึ่งหากคุณแม่ไปนวดโดยไม่ศึกษาหาข้อมูลหรือปรึกษาแพทย์ก่อน อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ทั้งคุณแม่และลูกน้อย  ฉะนั้น…เพื่อคลายข้อข้องใจ เราจึงมาอธิบายเบื้องต้นให้คุณแม่ได้รู้ว่า แม่องจะนวดได้ไหม และการนวดแบบไหนเป็นข้อห้ามกันบ้าง แม่ท้อง นวดอะไรได้แค่ไหน? อาการปวดเมื่อยต่างๆ กับคุณแม่ตั้งครรภ์คือของคู่กัน เพราะร่างกายที่เปลี่ยนไป การต้องแบกรักน้ำหนักท้อง โดยต้องยืนแอ่นหลังเพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้ จึงทำให้คุณแม่เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลัง และทำให้ขา ข้อเข่า และข้อเท้าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น ปวดขา ปวดน่อง โดยเฉพาะคุณแม่ท้องที่ต้องยืนนานๆ นอกจากนี้หากคุณแม่มีอาการปวดเมื่อยจากโรคข้อและกล้ามเนื้ออยู่แล้ว ในช่วงตั้งครรภ์อาจทำให้มีอาการรุนแรงขึ้นได้  นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่อยากนวด แม่ท้องนวด มีทั้งประโยชน์และโทษพร้อมกัน เนื่องจากมีข้อมูลจากการศึกษาอยู่จำนวนหนึ่งที่บอกถึงประโยชน์ของการนวดในคุณแม่ตั้งครรภ์ นั่นคือ การนวดช่วยลดความปวดเมื่อย ลดอาการบวม ตะคริว ปวดศีรษะ คลายความเครียด ทำให้หลับสบาย หลับง่ายขึ้น และอารมณ์ดีขึ้น แต่การนวดในคุณแม่ตั้งครรภ์ […]

เตรียมตัวรับมือให้พร้อมกับการเป็นคุณแม่อย่างเต็มตัว กับ 14 วิธีรับมือลูกแรกเกิด ขอบคุณบทความดีๆ จาก คุณหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

หนึ่งในความปรารถนาสูงสุดของคุณแม่ตั้งครรภ์ คือการคลอดลูกน้อยได้อย่างปลอดภัย ลูกน้อยแรกคลอดมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด   แต่ปัญหาหนึ่งที่คุณแม่หลายๆ ท่านต้องพบเจอ คือภาวะคลอดก่อนกำหนด  ที่ทำให้คุณแม่จำเป็นต้องคลอดก่อนเวลา ลูกน้อยต้องคลอดในขณะที่ยังตัวเล็ก มีโอกาสเจ็บป่วย และพิการ รวมทั้งอวัยวะต่างๆ ยังทำงานหรือพัฒนาได้ไม่ดี เรื่องการคลอดก่อนกำหนดแบบนี้ไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นจะดีกว่าไหม? หากเราสามารถตรวจสอบหรือเช็กก่อนได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะคลอดก่อนกำหนดร้ายนี้เกิดขึ้น รู้จักกับปัจจัยเสี่ยง เลี่ยงคลอดก่อนกำหนด ไม่มีแม่ท้องคนไหนอยากให้ลูกคลอดก่อนกำหนด ดังนั้นการรู้ทัน ป้องกันไว้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและดีต่อทุกคน เราจึงอยากให้คุณแม่ตั้งครรภ์มาลองสังเกตและรู้จักกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด นั่นคือ การวัดปากมดลูก ป้องกันและลดปัญหาคลอดก่อนกำหนด เพราะความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดมีค่อนข้างมาก หากคุณแม่ได้สังเกตรู้ก่อนเพื่อป้องกันจะทำให้ลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ทางการแพทย์ใช้ในการป้องกันและลดปัญหาคลอดก่อนกำหนด คือการวัดปากมดลูก  แต่จะต้องทำอย่างไร มีข้อจำกัดหรืออันตรายหรือไม่…ไปดูกันค่ะ การวัดปากมดลูกคืออะไร? คือการตรวจคัดกรองว่าคุณแม่มีภาวะปากมดลูกสั้นหรือไม่ ด้วยวิธีการประเมินปากมดลูกจากการวัดความยาวของปากมดลูก ผ่านการสแกนด้วยอัลตร้าซาวนด์ทางช่องคลอด หรือโดยแพทย์ วิธีนี้เป็นการวัดความยาวและประเมินความยาวปากมดลูกของคุณแม่ตั้งครรภ์ว่ามีขนาดปกติ หรือมีความสั้นจนเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด  การวัดปากมดลูกหรือัลตราซาวนด์ปากมดลูกนี้ มีความปลอดภัย คุณแม่ไม่เจ็บ ทำไมต้องวัดปากมดลูก เพราะปากมดลูกเป็นส่วนล่างของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด ตามปกติหากคุณแม่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ปากมดลูกจะมีความยาวอย่างน้อยประมาณ 3 ซม. ซึ่งหากในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่มีปากมดลูกสั้นกว่าปกติ จะสัมพันธ์และทำให้มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด  ยิ่งความยาวของปากมดลูกสั้นก็จะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดมากยิ่งขึ้น รวมถึงแพทย์จะได้ตรวจด้วยว่าคุณแม่มีการเปิดของปากมดลูกด้านในหรือเปล่า เพราะหากปากมดลูกเปิดเร็วก็อาจคลอดก่อนกำหนดเร็วด้วย ดังนั้นการที่สูติแพทย์ทำการวัดความยาวปากมดลูกโดยอัลตราซาวนด์  […]

คาร์ซีทปลอดภัย สำหรับเด็กแรกเกิด จะต้องดูจากอะไรบ้าง วันนี้ BabyGift จะมาบอกวิธีดูคาร์ซีทที่ปลอดภัย แบบลึกซึ้งถึงโครงสร้างกันเลยค่ะ เพราะทุกวัสดุที่ประกอบอยู่ในคาร์ซีทนั้น มีผลต่อความปลอดภัยของลูกน้อยมาก และก่อนคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกรัก นี่คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้เลยค่ะ   โครงคาร์ซีท ทำจากอะไร แบบไหนที่ปลอดภัย      1. โครงพลาสติกทั่วไป (PP)  พลาสติกมีความแข็งแรง ทนต่อการกระแทก มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่มักจะใช้ภายในห้องโดยสารรถยนต์ เช่น แผงประตู หรือ คอนโซลรถ  เมื่อใช้พลาสติก 100% ทำเป็นโครงคาร์ซีทสำหรับเด็กโตโดยเฉพาะ ที่น้องมีสรีระแข็งแรงแล้ว ก็เพียงพอต่อการปกป้องน้องให้ปลอดภัยค่ะ   แต่สำหรับเด็กแรกเกิด ที่สรีระบอบบาง ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ การใช้พลาสติก 100% เลย อาจจะไม่พียงพอ โครงคาร์ซีทควรจะเสริมด้วยวัสดุอื่น ๆ เพิ่มความแข็งแรงด้วย เช่น เสริมด้วยไฟเบอร์กลาส       2. โครงพลาสติก เสริมไฟเบอร์กลาส ไฟเบอร์กลาส หรือ เส้นใยแก้ว จะใช้เพื่อเสริมความแข็งแรงเป็นพิเศษ ใช้แทนโลหะได้เลย เช่น ทำชิ้นส่วนเครื่องบินเล็ก ทำชิ้นส่วนรถแข่ง เพราะทนต่อการถูกกระแทก ทนต่อการฉีกขาด มีน้ำหนักเบา และยังสามารถดัดโค้งจัดรูปทรงได้ ไม่เปราะง่าย  ในการทำโครงคาร์ซีทเด็กแรกเกิด […]

 ฝึกลูกกินข้าวเอง หรือคำที่คุ้นหูกันในปัจจุบันอย่าง BLW (Baby Led Weaning) คือวิธีการที่ให้ลูกรู้จักหยิบอาหารกินเอง โดยอาหารจะไม่ใช่พวกอาหารปั่น อาหารบด แต่เป็นอาหารที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ มีความนุ่ม และหยิบจับได้ วิธีการนี้จะทำให้ลูกได้รู้จักและคุ้นเคยกับอาหารที่เป็นของแข็งมากยิ่งขึ้น โดยวิธีนี้เหมาะกับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป และสามารถนั่งได้เอง โดยที่ไม่ต้องมีคนช่วย ฝึกลูกกินข้าวเอง มีประโยชน์อย่างไร           การให้ลูกกินข้าวเองนั้น นอกจากจะช่วยให้ลูกรู้จักอาหารที่เป็นของแข็งมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย และด้านความคิดอีกด้วย 1. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการกินของลูก            ฝึกให้ลูกกินข้าวเอง ช่วยให้ลูกมีความสุขกับการทานอาหารมากยิ่งขึ้น เพราะลูกได้สนุกกับการกิน สนุกกับการเลียนแบบท่าทางระหว่างการกินอาหาร ทำให้ไม่ต้องคอยหลอกล่อให้ลูกกินข้าว 2. ฝึกพัฒนาการการใช้กล้ามเนื้อมือ           การให้ลูกได้หยิบจับอาหาร ทำให้ได้ฝึกการใช้แรงของมือ แรกๆอาหารอาจจะมีร่วงหล่นจากมือบ้าง หรืออาหารเละคามือบ้าง แต่ก็เป็นการให้ลูกได้ฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมือและน้ำหนักของมือ 3. ฝึกพัฒนาการการเคี้ยวและความคิด       […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages