คาร์ซีท เด็กแรกเกิด ต้องเลือกยังไง ? แจกทิปส์ที่พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนเลือกซื้อเพื่อต้อนรับลูกน้อยกัน !

คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อย และคุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมพร้อมคาร์ซีทให้เรียบร้อยก่อนที่ลูกน้อยจะคลอด เพราะเมื่อออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ต้องนั่งคาร์ซีทกลับบ้าน ทั้งเพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยเอง และเพื่อปฏิบัติตามกฏหโมายเรื่องการกำหนดที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดอย่างไรดี ควรเลือกแบบไหน คาร์ซีทสำหรับเด็กมีกี่ประเภท เลือกอย่างไร BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันแล้วค่ะ
เลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิด อย่างไรดี ? ต้องรู้อะไร ? เลือกยังไงดี หาคำตอบได้จากบทความนี้ !

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องเตรียมไว้ให้กับลูกตั้งแต่ก่อนคลอด และควรที่จะให้ลูกได้ใช้ตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากร่างกายของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง ยังไม่สามารถรับแรงกระแทกได้มากเท่าไหร่ อีกทั้งเราไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงควรป้องกันไว้ก่อนและเตรียมความพร้อมในทุกสถานการณ์ คาร์ซีท เด็กแรกเกิด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี ต้องเลือกแบบไหน คาร์ซีท มีกี่แบบ ต้องเลือกอย่างไร ? ในบทความนี้ BabyGift มีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดมาฝากกันค่ะ เรามารู้จักประเภทของคาร์ซีทกันก่อนเลย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดได้ดังนี้
1. New Born Only : หรือคาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก มีน้ำหนักเบา สามารถถอดออกและถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ เวลาที่ลูกนอนหลับก็ไม่ต้องปลุกลูก หรืออุ้มลูกออกจากคาร์ซีท ทำให้ลูกน้อยนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ในบางรุ่นสามารถนำไปใช้บนเครื่องบินหรือใช้กับรถเข็นเด็กได้ด้วย หรือบางรุ่นก็สามารถปรับเป็นเปลนอนได้ แต่คาร์ซีท เด็กแรกเกิดประเภทนี้มักจะมีอายุการใช้งานที่สั้น ส่วนใหญ่แล้วจะนั่งได้ไม่เกิน 18 เดือน เพราะเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น คาร์ซีทแบบกระเช้าก็จะมีขนาดเล็กเกินไป จึงต้องรีบหาคาร์ซีทตัวใหม่มาทดแทน
2. Convertible : หรือคาร์ซีทเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าคาร์ซีทแบบกระเช้า โดยแต่ละรุ่นนั้นก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันไป โดยมีอายุการใช้งานตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 4 ปี 7 ปี หรือจนถึง 12 ปีเลยทีเดียว สามารถใช้งานกับเด็กได้หลายช่วงอายุ มีฟังก์ชั่นความปลอดภัยมากขึ้น โครงสร้างของคาร์ซีทใหญ่ขึ้น และปรับการใช้งานได้ 2 รูปแบบ คือ ปรับให้คาร์ซีทหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) สำหรับเด็กแรกเกิด และปรับให้หันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) สำหรับเด็กโต มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทำให้มีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือ มีน้ำหนักเยอะ ไม่สามารถถอดออกแล้วเดินถือได้เหมือนคาร์ซีทแบบกระเช้า และต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้ง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังมีความสงสัยว่า แล้วจะเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดเป็นแบบคาร์ซีทกระเช้าหรือคาร์ซีทแบบ Convertible ก็ต้องเลือกจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ความสะดวกสบายในการใช้งาน หากครอบครัวไหนเดินทางบ่อย ต้องพาลูกน้อยไปยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำ การใช้คาร์ซีทแบบกระเช้าก็สะดวกสบายในการขนย้ายมากกว่าคาร์ซีทแบบ Convertible เพราะคาร์ซีทแบบกระเช้าสามารถนำไปติดตั้งบนรถเข็นได้ หรือปรับเป็นเปลนอนได้ด้วย แต่มีข้อเสียคือ ใช้งานได้ในระยะสั้น และมีความแข็งแรงทนทานน้อยกว่า แต่ถ้าบ้านไหนไม่อยากเปลี่ยนคาร์ซีทบ่อย ๆ อยากใช้งานได้อย่างยาวนาน มีความแข็งแรงทนทาน การเลือกคาร์ซีทแบบ Convertible ก็ตอบโจทย์มากกว่าค่ะ

จะเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด ควรเลือกอย่างไร ?
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกคาร์ซีทเด็กแรกเกิดนั้น มีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน นอกจากความสะดวกสบายและความเหมาะสมในการใชงานแล้ว ควรพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. เลือกคาร์ซีทที่มีการรับรองมาตรฐาน
สำหรับคาร์ซีทในประเทศไทย ได้มีประกาศจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ว่าคาร์ซีทจะต้องผลิตหรือนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยของยุโรปเท่านั้น ทั้งนี้ ยังมีประกาศเพิ่มข้อบังคับให้คาร์ซีทต้องผ่านการทดสอบการชนจากด้านข้างด้วย ซึ่งตรงกับข้อบังคับของมาตรฐานคาร์ซีท ECE R129 (i-Size) อันเป็นมาตรฐานฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด ดังนั้นแล้ว หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนกำลังเลือกดูคาร์ซีทให้ลูกน้อยอยู่ ก็ให้มองหาสินค้าที่มีสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐาน ECE R129 (i-Size) รับรองว่าอุ่นใจในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยแน่นอนค่ะ (สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คาร์ซีทในประเทศไทย ใช้มาตรฐานใหม่ ECE R129 (i-Size) ได้ในบทความนี้ที่ BabyGift เขียนเอาไว้แล้วเพิ่มเติมได้เลยนะคะ)
2. เลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก
สำหรับรูปแบบคาร์ซีท เด็กแรกเกิดนั้น ควรเลือกคาร์ซีทสำหรับทารกที่เป็นแบบปรับให้หันหน้าไปด้านหลังรถ หรือ Rear – Facing Car Seat เท่านั้น เพราะมีความปลอดภัยต่อลูกน้อยมากที่สุด ซึ่งคาร์ซีทแบบกระเช้าหรือ New Born Only Car seat และคาร์ซีทแบบ Convertible ก็สามารถปรับให้เป็นรูปแบบหันหน้าไปด้านหลังรถ (Rear – facing Car Seat) ได้ทั้ง 2 แบบค่ะ และเมื่อลูกอายุ 2 ขวบขึ้นไป ก็จะสามารถนั่งคาร์ซีทแบบหันหน้ามาด้านหน้า (Forward-facing Car Seat) ได้
3. เลือกคาร์ซีทที่มีสายรัดเข็มขัด 5 จุด
คาร์ซีทที่มีสายรัดเข็มขัด 5 จุด จะมีความปลอดภัยมากกว่าสายรัดเข็มขัด 3 จุด ซึ่งสายรัดเข็มขัด 5 จุดจะประกอบด้วยสายรัดช่วงไหล่ 2 เส้น สายรัดเอว 2 เส้น และสายรัดผ่านระหว่างขาอีก 1 เส้น ซึ่งระบบเข็มขัดรัด 5 จุดนี้ จะสามารถป้องกันลูกน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ดีและมีความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ ควรเลือกคาร์ซีทที่มีการป้องกันแรงกระแทกด้านข้างด้วยนะคะ เพราะในอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น มากกว่า 25 -30 % จะเป็นการชนกระแทกที่เกิดขึ้นจากทางด้านข้าง เพื่อการป้องกันสูงสุด จึงต้องให้ความสำคัญกับการกันกระแทกด้านข้างด้วยค่ะ
4. เลือกให้เหมาะสมกับขนาดรถ และติดตั้งให้ถูกตำแหน่ง
การเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดนั้น นอกจากจะต้องเลือกขนาดของคาร์ซีทให้มีความเหมาะสมกับขนาดรถยนต์ของเราเพื่อความมั่นคงแน่นหนาและปลอดภัยสูงสุดแล้ว ควรติดตั้งให้ถูกตำแหน่งด้วย เช่น หากรถที่ใช้อยู่เป็นประจำเป็นรถเก๋ง ก็ควรติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะหลัง ไม่ควรติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะหน้าด้านข้างที่นั่งคนขับ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุเด็กอาจโดนกระแทกจากถุงลมนิรภัยและเป็นอันตรายได้
5. เลือกซื้อคาร์ซีทจากศูนย์ในประเทศไทย
ควรซื้อคาร์ซีทที่มีศูนย์ในประเทศไทย เพื่อความสะดวกในการส่งซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ หรือสามารถเคลมได้ ทั้งนี้ ควรเลือกซื้อจากร้านที่มีความน่าเชื่อถือ และนำเข้าคาร์ซีทอย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วยนะคะ ซึ่งสามารถปรึกษากับ BabyGift ได้ จะได้อุ่นใจว่าใช้สินค้าที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้อง สามารถเคลมได้และส่งซ่อมได้ หายห่วงเรื่องบริการหลังการขายค่ะ และถ้าเป็นไปได้ ควรซื้อคาร์ซีทที่เป็นของใหม่ และยังไม่ผ่านการใช้งาน เสี่ยงต่อการชำรุดเสียหายน้อยกว่า หากมีความจำเป็นจะต้องซื้อคาร์ซีทมือสองควรตรวจสอบว่าไม่มีชิ้นส่วนใดขาดหายไป ไม่มีรอยแตกหรือรอยร้าว และไม่เคยผ่านอุบัติเหตุทางรถยนต์มาก่อน เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบนิรภัยได้
ฟังก์ชั่นอื่นๆ ของคาร์ซีทที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการใช้งานมีอะไรบ้าง ?

คาร์ซีท เด็กแรกเกิดในปัจจุบันยังมีฟังก์ชั่นให้เลือกอีกหลายแบบ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อตัวเด็ก และเพิ่มความสะดวกต่อทั้งตัวเด็ก และคุณพ่อคุณแม่ขณะใช้งาน นอกจากจะพิจารณาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และปัจจัยต่างๆ ข้างต้นแล้ว ฟังก์ชั่นอื่นๆ ของคาร์ซีทก็มีอีกหลายแบบ ดังนี้ค่ะ
1.คาร์ซีทที่สามารถหมุนได้
เป็นคาร์ซีทที่สามารถหมุนหันหน้าเข้าออกเบาะรถได้ในตัวเดียว โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ ซึ่งคาร์ซีทประเภทนี้จะมีข้อดีตรงที่หมุนได้ 360 องศา ทำให้สะดวกสบายต่อการติดตั้ง ติดตั้งครั้งเดียวจบ สะดวกต่อการอุ้มลูกขึ้นลงรถ ง่ายต่อการดูแลลูกไม่ว่าจะเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือเล่นกับลูก สามารถปรับการใช้งานได้ตามการใช้ชีวิตของลูก เวลาอุ้มลูกเข้า – ออกจากคาร์ซีท ก็แค่หมุนไปในองศาที่คุณพ่อแม่สะดวก แต่คาร์ซีทแบบนี้มักจะมีช่วงอายุการใช้งานสั้น เพราะส่วนใหญ่จะใช้ได้จนถึงลูกอายุ 4 ปีเท่านั้นค่ะ
2. คาร์ซีทแบบไม่สามารถหมุนได้
คาร์ซีทประเภทนี้ส่วนใหญ่จะออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานของเด็กโตด้วย จึงไม่มีฟังก์ชั่นการหมุนมาให้ และจะต้องติดตั้งใหม่เมื่อลูกโตขึ้น จากการนั่งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) ไปเป็นการนั่งหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing) แต่คาร์ซีทแบบนี้ จะใช้งานได้นานขึ้นกว่าแบบที่หมุนได้ บางรุ่นใช้ได้ถึง 12 ปี เลยทีเดียวค่ะ
3. คาร์ซีทปรับนอนราบได้ และหมุนได้
คาร์ซีทแรกเกิดประเภทนี้ จะมีความพิเศษกว่าแบบอื่นคือ สามารถปรับนอนราบได้สูงสุด 170 องศา และยังหมุนได้ด้วย เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด และเด็กเล็กที่ต้องเดินทางบ่อย นอกจากนี้ ยังเหมาะกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย เพราะการปรับนอนราบจะช่วยทำให้เด็กนั่งคาร์ซีทได้สบายขึ้น และหายใจสะดวกขึ้น การนอบราบยังช่วยให้เด็กหายใจได้อย่างเต็มที่ ช่วยเรื่องการพัฒนาทางสมองและระบบต่างๆ ของร่างกาย คาร์ซีทแบบนี้ทำให้ลูกสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในขณะเดินทาง โดยคาร์ซีทประเภทนี้จะเหมาะกับรถที่มีพื้นที่กว้าง เพราะต้องปรับเอนนอนให้กับลูก และเนื่องจากเป็นคาร์ซีทหมุนได้ จึงมีช่วงอายุการใช้งานสั้นกว่า ส่วนมากใช้ได้ถึงอายุ 4 ปี
ข้อควรระวังในการเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดที่พ่อแม่ควรรู้

การเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกน้อยนั้น นอกจากจะต้องเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมกับการใช้งาน มีฟังก์ชั่นตามที่ต้องการ และมีมาตรฐานการรับรองคุณภาพที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลแล้ว การเลือกซื้อคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงอย่างเต็มที่ จะต้องพิจารณาว่าลูกน้อยของเราต้องได้รับการปกป้องอย่างดีที่สุดในทุกๆ ด้าน เพื่อความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยหลักๆ แล้วจะมีอยู่ 8 จุดสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจในการเลือกซื้อคาร์ซีท รวมถึงการซื้อของใช้ต่างๆ ให้กับเด็กแรกเกิด ซึ่งมาจากการค้นคว้าและวิจัยโดย Aprica ที่มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- สมองและศีรษะ : บริเวณศีรษะของเด็กแรกเกิดนั้นจะมีความเปราะบาง เด็กแรกเกิดจะมีขนาดศีรษะเท่ากับ 1 ใน 4 ของร่างกาย ถือได้ว่ามีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับขนาดของร่างกายโดยรวม คาร์ซีทสำหรับลูกน้อยจึงควรมีส่วนที่ Support บริเวณศีรษะได้ดี และสามารถปกป้องบริเวณศีรษะของลูกน้อยได้อย่างดีเยี่ยม
- ระบบหายใจ : ระบบหายใจของเด็กเล็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทารกจะใช้ท้องเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ช่วยในการหายใจ เมื่ออยู่ในลักษณะท่าทางที่ต้องงอตัวหรือถูกกดทับบริเวณท้องจะทำให้เกิดสภาวะหายใจติดขัดได้ง่าย คาร์ซีทที่ดีต้องสามารถปรับระดับองศาการนอนให้เหมาะสม โดยองศาที่เหมาะสมอยู่ที่ 135 -170 องศา
- กระดูกสันหลัง : เด็กแรกเกิดจะมีแนวกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง สะโพกสามารถเคลื่อนได้ง่าย ดังนั้นจึงควรดูแลจัดให้สรีระอยู่ในท่านั่งและนอนให้เหมาะสม ให้ลูกน้อยสามารถขยับแขนและขาได้ง่ายเป็นธรรมชาติ เบาะรองนอนของคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดจึงควรมีการออกแบบเพื่อ support ช่วงหลังและสะโพกของเด็กได้ดี
- ระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย : เด็กแรกเกิดมีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายต่ำ ดังนั้นตัวช่วยในการปรับอุณหภูมิให้มีความเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คาร์ซีทสำหรับเด็กเล็กควรมีการระบายอากาศที่ดีโดยเฉพาะด้านหลังของตัวเด็ก เพราะเป็นจุดที่เหงื่อออกได้ง่ายมากกว่าจุดอื่นๆ
- การนอนที่ยังไม่เป็นระบบ : เด็กแรกเกิดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนและเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 จะเริ่มเรียนรู้ความแตกต่างของกลางวันกลางคืนค่ะ ดังนั้นการเลือกคาร์ซีทที่สามารถให้ลูกน้อยของเรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ขณะเดินทางก็จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านร่างกายอย่างเหมาะสม
- ผิวหนังบองบางไวต่อสิ่งสัมผัส : ผิวหนังของเด็กเล็กมีความบอบบางมาก จึงไวต่อสิ่งสัมผัสและผิวแห้งง่าย ด้วยรูขุมขนที่ละเอียดเล็ก จึงทำให้คลายความร้อนได้ช้าและทำให้มีเหงื่อออกมาก เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็ควรที่จะปลอดภัยต่อผิวเด็ก ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และควรระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม ไม่กักเก็บเหงื่อ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว รู้สึกระคายเคือง หรืออาจเกิดอาการแพ้เหงื่อตัวเองได้
- ประสาทสัมผัสที่อ่อนแอ : เด็กแรกเกิดจะมีระยะการมองเห็นสั้นๆ และยังมองเห็นได้ไม่ดีพอ เด็กจะรับรู้ข้อมูลส่วนใหญ่ผ่านการสัมผัสทางด้านร่างกาย คาร์ซีทจึงควรมีหลังคาที่สามารถปิดบังแสงแดด และสามารถป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อทั้งผิว และสายตาของเด็กเล็กได้
- ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย : ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเด็กแรกเกิดจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ที่ติดตัวเด็กไปเป็นระยะเวลาหลายปี ดังนั้น การเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดควรเลือกที่ทำจากวัสดุอันไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็ก มีความปลอดภัยต่อลูกน้อย และสามารถทำความสะอาดได้ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค ฝุ่น และแบคทีเรียที่อาจทำให้ลูกน้อยป่วยได้
7 คาร์ซีทเด็กแรกเกิดที่ BabyGift อยากแนะนำ !
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่กำลังเตรียมพร้อมเลือกซื้อคาร์ซีทให้กับลูกน้อย ก็น่าจะมีแนวทางในการเลือกบ้างแล้วนะคะ ซึ่งคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดในท้องตลาดนั้นก็มีหลายรุ่นหลายแบบด้วยกัน ถ้าใครยังไม่มีคาร์ซีทในใจ BabyGift มีมาแนะนำแล้วค่ะ

1. คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto R The First
คาร์ซีทของ Ailebebe รุ่น Kurutto R The First เป็นคาร์ซีทเพื่อเด็กแรกเกิดที่ได้การรับรองมาตรฐานใหม่ ECE R129 ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น มี Head Support ใหม่ที่หนาขึ้น 100 มิลลิเมตร ช่วยป้องกันการกระแทกด้านข้างได้อย่างมั่นใจ โครงสร้างออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ของทารก เพื่อปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยอย่างรอบด้าน
จุดเด่น
- ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ECE R129 (i – Size)
- เป็นคาร์ซีททรงไข่ Egg – Shell Protection เพื่อทารกแรกเกิดอย่างแท้จริง
- พนักพิงสามารถยุบตัวได้ จึงช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยปกป้องกระดูกสันหลังของลูกน้อย
- โครงคาร์ซีทเป็นไฟเบอร์กลาส มีความทนทาน แข็งแรง แตกหักยาก
- ผ้าที่บุคาร์ซีทสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ 99% ด้วยพลัง Ion Silver
- ด้านหลังและด้านข้างของคาร์ซีทมีช่องระบายอากาศถึง 1695 ช่อง
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมระบบ Jumping Harness
- สามารถหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้อุ้มลูกขึ้นลงคาร์ซีทได้อย่างปลอดภัย
- หลังคาของคาร์ซีทสามารถคลุมได้มิดชิดถึงปลายเท้า ยาว 98 เซนติเมตรช่วยป้องกันรังสี UV และปกป้องดวงตาของลูกน้อย
การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนักไม่เกิน 18 กิโลกรัม หรือความสูงระหว่าง 40 – 105 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น
ราคาโดยประมาณ : 28,900 บาท
ช่องทางการสั่งซื้อสินค้าใน BabyGift : คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto R The First

2. คาร์ซีทแรกเกิด Ailebebe รุ่น Kurutto R Grance
อีกหนึ่งคาร์ซีทเพื่อเด็กแรกเกิดจากแบรนด์ Ailebebe รุ่น Kurutto R Grance ได้การรับรองมาตรฐานใหม่ ECE R129 เช่นเดียวกัน มาพร้อม Head Support ใหม่ที่หนาขึ้น เบาะมีขนาดใหญ่พิเศษ เสริมกันกระแทกด้านข้างได้อย่างมั่นใจ ได้รับการทดสอบแรงกระแทกทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง อุ่นใจในเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อย
จุดเด่น
- ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ECE R129 (i – Size)
- เป็นคาร์ซีททรงไข่ Egg – Shell Protection เพื่อทารกแรกเกิดอย่างแท้จริง
- พนักพิงสามารถยุบตัวได้ จึงช่วยรองรับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยปกป้องกระดูกสันหลังของเด็กเล็ก
- โครงคาร์ซีทเป็นไฟเบอร์กลาส มีความทนทาน แข็งแรง แตกหักยาก
- ด้านหลังและด้านข้างของคาร์ซีทมีช่องระบายอากาศถึง 1695 ช่อง
- คาร์ซีทบุผ้าตาข่าย W Russell ตลอดช่วงตัว มีการถักทอแบบตัว W ทำให้ระบายอากาศได้ดีขึ้น
- สามารถหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้อุ้มลูกขึ้นลงคาร์ซีทได้อย่างปลอดภัย
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมระบบ Jumping Harness
- หลังคาของคาร์ซีทสามารถคลุมได้มิดชิดถึงปลายเท้า ยาว 79 เซนติเมตรช่วยป้องกันรังสี UV และปกป้องดวงตาของลูกน้อย
การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือน้ำหนักไม่เกิน 18 กิโลกรัม หรือความสูงระหว่าง 40 – 105 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น

3. คาร์ซีทแรกเกิด APRICA รุ่น Fladea Grow Safety Plus
คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด APRICA รุ่น Fladea Grow Safety Plus ได้รับการคิดค้นวิจัยโดยกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นรุ่นเดียวในโลกที่มีการออกแบบเป็น Flatbed Design จดสิทธิบัตรเฉพาะแบรนด์ APRICA เท่านั้น โดยคาร์ซีทสามารถปรับนอนราบได้ ให้ลูกน้อยได้นั่งสบายระดับ First Class ปลอดภัยสูงสุดทุกการเดินทาง ติดตั้งครั้งเดียวจบ สามารถปรับใช้งานได้ทั้งแบบนอนราบ แบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rear-Facing) และหันหน้าไปหน้ารถ (Forward facing)
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ระดับยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
- ออกแบบเป็น Flatbed Design คาร์ซีทที่สามารถปรับนอนราบได้ ให้ทารกนอนหงายอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ท้องไม่งอ คอไม่พับ หายใจสะดวก ป้องกันภาวะ Baby Shaken Syndrome ได้อย่างอุ่นใจ
- ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ระบบทางเดินหายใจยังไม่แข็งแรง ก็สามารถใช้คาร์ซีทนอนราบได้อย่างปลอดภัย
- มี Mamoru Support เบาะนอนสำหรับทารก พร้อมเสริมนวมปลายเท้า กันกระแทกรอบด้าน 360 องศา นอนสบาย อบอุ่น และปลอดภัยมากขึ้น
- นวัตกรรมช่องระบายอากาศด้านหลัง อากาศถ่ายเทได้ดี ระบายความร้อนไม่ให้สะสมที่เบาะ นั่งนานได้โดยไม่รู้สึกร้อน
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา พร้อมล็อค 4 ทิศทาง เพิ่มความปลอดภัยในการหมุนมากขึ้น ช่วยพาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ
- มี Side Protection ป้องกันการกระแทกด้านข้างได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
- มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง พร้อมเสริมนวมหนานุ่ม สวมใส่สบาย
- หลังคาขนาดใหญ่ กันความร้อน กันแดด UV Protection 99% ปกป้องดวงตาทารก พร้อมช่องระบายอากาศ 2 ช่อง อากาศถ่ายเทได้ดี
การใช้งาน : แรกเกิด – 4 ปี หรือความสูงระหว่าง 40 – 100 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น

4. คาร์ซีทแรกเกิด RENOLUX รุ่น GAIA
มาดูคาร์ซีทจากแบรนด์ประเทศฝรั่งเศสกันบ้างค่ะ กับแบรนด์ RENOLUX รุ่น GAIA เป็นสิทธิบัตรความปลอดภัยเฉพาะแบรนด์เท่านั้นที่เลือกใช้เหล็กเป็นโครงสร้างหลักของคาร์ซีท ฉีดขึ้นรูปห่อหุ้มด้วยโฟมชนิดพิเศษ มีความแข็งแรงทนทาน ดูดซับแรงกระแทกได้มากกว่าคาร์ซีททั่วไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวค่ะ พร้อมสัมผัสที่นุ่มสบายเหมือนยกโซฟามาไว้ในรถ ให้ลูกน้อยได้นั่งคาร์ซีทอย่างสบายตัว พร้อมความปลอดภัยแบบจัดเต็ม
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- เป็นแบรนด์เดียวในโลกที่มีเทคโนโลยี Softness Cushion ใช้โครงเหล็กทั้งตัว หุ้มด้วยโฟมพิเศษ ทำให้เบาะนุ่มพิเศษ นั่งสบายเหมือนโซฟา ดูดซับแรงกระแทกได้มากกว่าคาร์ซีททั่วไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์
- ปรับเลื่อนระดับเพิ่มพื้นที่วางขาได้ ให้ลูกนั่งหันหน้าเข้าเบาะได้นานที่สุด 4 ปี หรือจนกว่าจะมีส่วนสูง 105 เซนติเมตร
- หมุนง่ายได้ถึง 180 องศา สะดวกสบาย ช่วยอุ้มลูกเข้าหรือออกคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น
- เนื้อผ้าสัมผัสเย็น หนานุ่ม นั่งสบายมากขึ้น
- มี Side Protection ป้องกันการชนด้านข้าง รองรับแรงกระแทกได้ดี
การใช้งาน : เด็กแรกเกิดความสูง 40 – 105 เซ็นติเมตร หรือ อายุ 0 – 4 ปี
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศฝรั่งเศส

5. คาร์ซีทแรกเกิด KINDERKRAFT รุ่น I-360
ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนมองหาคาร์ซีทที่ใช้งานได้อย่างยาวนาน ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กจนถึงเด็กโต แนะนำเป็นรุ่นนี้เลยค่ะ คาร์ซีทของ KINDERKRAFT รุ่น I-360 ใช้งานได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 12 ปี ได้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่ยุโรป R129 (i-Size) จากประเทศเยอรมนี ติดตั้งง่ายด้วยระบบ ISOFIX และ Support leg รองรับการใช้งานได้ทุกช่วงอายุ มีซัพพอร์ตเด็กแรกเกิด ช่วยให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ซึ่งสามารถถอดออกได้ เมื่อลูกโตขึ้น พร้อมเนื้อผ้าเนียนนุ่ม สัมผัสสบาย ระบายอากาศได้ดี ให้ลูกน้อยสบายตัวตลอดการเดินทาง
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหมยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา หมุ่นง่าย พาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ
- ปรับการใช้งานได้ 3 STEPs ติดตั้งได้ทั้งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rearward Facing) หันหน้าไปหน้ารถ (Forward Facing) และปรับเป็นบูสเตอร์ซีทเด็กโต (Booster Seat)
- ติดตั้งง่ายด้วยระบบ ISOFIX และ Support leg ขาค้ำยัน ช่วยยึดคาร์ซีทให้แน่นหนากับเบาะรถยนต์
- ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ ตามสรีระลูกน้อย และปรับความสูงพนักพิงศีรษะได้ 12 ระดับ ตามสรีระลูกน้อยแต่ละวัยจนถึงส่วนสูง 150 เซนติเมตร
- มี Head Support หนา 3 ชั้น ปกป้องศีรษะ และลำคอทารกแรกเกิดได้อย่างแน่นหนา
- มี Side Protect เสริมการ์ดด้านข้าง ป้องกันการกระแทกได้อย่างปลอดภัย
- มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้จนลูกน้อยส่วนสูง 100 เซนติเมตร
- โครงคาร์ซีทใหญ่ แข็งแรง แตกหักยาก ดูดซับแรงกระแทกได้ดี
- มีซัพพอร์ตเด็กแรกเกิด ช่วยให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ สามารถถอดออกได้ เมื่อลูกโตขึ้น
- เนื้อผ้าเนียนนุ่ม สัมผัสสบาย ระบายอากาศได้ดี
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือมีความสูง 40 – 150 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศเยอรมนี

6. คาร์ซีทแรกเกิด KINDERKRAFT รุ่น I-GROW
คาร์ซีทอีกรุ่นหนึ่งที่ใช้งานได้อย่างยาวนานตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 12 ปี จัดเต็มเรื่องความปลอดภัย มีระบบติดตั้งเสริม TOP TETHER ตะขอเกี่ยวเบาะรถยนต์ พร้อมหมุนได้ 360 องศา เพียงกดปุ่มก็พาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก โครงคาร์ซีทมีขนาดใหญ่ แข็งแรง แตกหักยาก ดูดซับแรงกระแทกได้ดี มีซัพพอร์ตเด็กแรกเกิด ช่วยให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ สามารถถอดออกได้เมื่อลูกโตขึ้น เนื้อผ้าเนียนนุ่ม สัมผัสสบาย ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อลูกรัก
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งปลอดภัยสูง ด้วยระบบ ISOFIX และ TOP TETHER ตะขอเกี่ยวเบาะรถยนต์
- คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา พาลูกน้อยเข้า-ออกคาร์ซีทได้สะดวก แม้จอดรถในที่แคบ
- ปรับการใช้งานได้ 3 STEPs ติดตั้งได้ทั้งหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rearward Facing) หันหน้าไปหน้ารถ (Forward Facing) และปรับเป็นบูสเตอร์ซีทเด็กโต (Booster Seat)
- ปรับเอนนอนได้ 5 ระดับ และปรับความสูงพนักพิงศีรษะได้ 12 ระดับ ตามสรีระลูกน้อยแต่ละวัยจนถึงส่วนสูง 150 เซนติเมตร
- มีเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้จนลูกน้อยส่วนสูง 100 เซนติเมตร
- มี Head Support หนา 3 ชั้น ปกป้องศีรษะ และลำคอทารกแรกเกิดได้อย่างแน่นหนา
- มี Side Protect เสริมการ์ดด้านข้าง ป้องกันการกระแทกได้อย่างปลอดภัย
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 12 ปี หรือ ความสูง 40 – 150 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ ISOFIX
แบรนด์ : ประเทศเยอรมนี

7. คาร์ซีทกระเช้า KINDERKRAFT รุ่น MINK PRO
ถ้ากำลังมองหาคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย มีน้ำหนักเบา แนะนำเป็นคาร์ซีทแบบกระเช้าจาก KINDERKRAFT รุ่น MINK PRO ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยยุโรป R129 (i-Size) จากประเทศเยอรมนี มีน้ำหนักเบาเพียง 3.5 กิโลกรัม ถอด และถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ ติดตั้งแบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ (Rearward Facing) มีซัพพอร์ตแรกเกิดหนานุ่มทั้งชิ้น ให้ทารกนั่งได้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ระดับยุโรป R129 (i-Size) เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีความปลอดภัยสูงสุด
- ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้ เช่น รถเข็นเด็กรุ่น Apino และรถเข็นรุ่น NEA
- ปรับพนักพิงศีรษะและเข็มขัดนิรภัยพร้อมกันได้ 5 ระดับ ตามสรีระลูกน้อย
- มี Head Support เมมโมรี่โฟมหนา 3 ชั้น เสริมด้านในด้วย EPS โฟม ปกป้องศีรษะ และลำคอทารกแรกเกิดได้อย่างแน่นหนา
- มี Side Protect เสริมการ์ดป้องกันการกระแทกด้านข้าง ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
- เข็มขัดนิรภัย 3 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม สัมผัสสบาย มีความปลอดภัยสูง
- มีหลังคาบังแดด ปกป้องสายตาทารกที่ยังบอบบาง ให้ลูกน้อยหลับสนิทมากขึ้น
- โครงคาร์ซีทแข็งแรง แตกหักยาก ดูดซับแรงกระแทกได้สูง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ความสูง 40 – 75 เซนติเมตร หรือน้ำหนัก 0 – 13 กิโลกรัม
การติดตั้ง : ระบบ Belt
แบรนด์ : ประเทศเยอรมนี

8. คาร์ซีทกระเช้า KINDERKRAFT รุ่น I-CARE
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาคาร์ซีทแรกเกิด ยี่ห้อไหนดีที่เป็นคาร์ซีทแบบกระเช้า รุ่นนี้ก็น่าสนใจค่ะ เป็นคาร์ซีทกระเช้าเด็กแรกเกิดที่สามารถถอดและถือหิ้วเหมือนตะกร้าได้ เลย ติดตั้งกับรถเข็นเด็กได้ สะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมจัดเต็มเรื่องความปลอดภัย ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยยุโรป R129 (i-Size)
จุดเด่น
- ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ล่าสุดจากยุโรป ECE R129 (i-Size)
- ติดตั้งกับรถเข็นเด็ก ที่มี Adapter ได้ เช่น รถเข็นเด็ก รุ่น NEA
- ปรับพนักพิงศีรษะและเข็มขัดนิรภัยพร้อมกันได้ 4 ระดับ ตามสรีระลูกน้อย
- น้ำหนักเบาเพียง 4.2 กิโลกรัม ถอดออก และถือหิ้วได้สะดวก
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม สัมผัสสบาย
- พนักพิงแข็งแรง หนา 3 ชั้น ลดแรงกระแทกได้ดี
- มีฟังก์ชั่น Side Protect เสริมการ์ดป้องกันการกระแทกด้านข้าง
- เข็มขัดนิรภัย 5 จุด พร้อมนวมหุ้มสายเข็มขัดหนานุ่ม สัมผัสสบาย มีความปลอดภัยสูง
การใช้งาน : เด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือ ส่วนสูง 40 – 87 เซนติเมตร
การติดตั้ง : ระบบ Belt (ฐาน Isofix จำหน่ายแยก)
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านใดที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกคาร์ซีท เด็กแรกเกิดอย่างไรดี ต้องพิจารณาจากปัจจัยใดบ้าง ก็หวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ หรือถ้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า BabyGift เป็นร้านจำหน่ายสินค้าแม่ และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการคัดสรรคาร์ซีทที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกช่วงวัย คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเลือกชมคาร์ซีทสำหรับแรกเกิดได้ด้วยตัวเอง หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
อ้างอิงที่มาข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.babylist.com/hello-baby/car-seats
https://www.tcc.or.th/tcc_media/info-how-to-choose-carseat/
https://www.princsuvarnabhumi.com/news/car-seat

สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
ในช่วงแรกของการเป็นคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ คำถามที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ “ทำไมต้องใช้หมอนสำหรับทารก หรือหมอนหัวทุย” แท้จริงแล้วหมอนเหล่านี้มีประโยชน์มากมายสำหรับเจ้าตัวน้อย เนื่องจากช่วยป้องกันปัญหาหัวแบน กระดูกสันหลังบิดเบี้ยว ช่วยเพิ่มความสบายในการนอนหลับ ระบายอากาศได้ดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะชวนมาเรียนรู้เหตุผลสำคัญที่คุณพ่อ คุณแม่ทุกคนไม่ควรมองข้ามในการเลือกหมอนสำหรับทารกแรกเกิด เพื่อเตรียมห้องนอนเด็กอ่อนให้พร้อมก่อนคลอดกันค่ะ เลือกหมอนทารกใบแรกให้ลูก ต้องเลือกยังไง ? หมอนหัวทุยจำเป็นหรือเปล่า ? หมอนสำหรับทารกถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดูแลเจ้าตัวน้อย แม้จะดูเป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ แต่การเลือกหมอนที่เหมาะกับทารกจะส่งผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกน้อยอย่างมาก คุณพ่อ คุณแม่คนไหนที่กำลังสงสัยว่าจะเลือกหมอนสำหรับทารก หรือหมอนหัวทุยยังไงดี ไปหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้พร้อมๆ กันเลยค่ะ หมอนทารก คืออะไร ? หมอนสำหรับทารก เป็นหมอนขนาดเล็กที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับทารก ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้ ควรใช้หมอนทารก เมื่อไหร่ ? ตามคำแนะนำจากกุมารแพทย์ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ได้มีการสรุปว่า ท่านอนที่ดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับทารก คือการนอนหงายบนพื้นผิวแบนราบโดยไม่มีสิ่งของใดๆ อยู่บนเตียงนอน เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตา หมอน เป็นต้น เนื่องจากอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือโรคไหลตายในทารก (SIDS) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในเด็กอายุไม่เกิน 4 เดือน การใช้หมอนอาจเพิ่มความเสี่ยงจากการอุดกั้นทางเดินหายใจของทารก เมื่อทารกพลิกตัว หรือคว้าวัตถุเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว […]
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังหมดช่วงลาคลอด หรือผู้ที่ต้องการให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม การพิจารณาเนิร์สเซอรี หรือสถานรับเลี้ยงเด็กจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ แต่คำถามที่ตามมาคือ เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อลูกมากแค่ไหน และควรส่งลูกไปเนอสเซอรี่ อายุเท่าไหร่ บทความนี้ BabyGift จะมาให้คำตอบอย่างละเอียด เพื่อช่วยคุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เนิร์สเซอรีคืออะไร เนิร์สเซอรี หรือที่เรียกกันว่า เดย์แคร์ (Day Care) คือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียนในช่วงเวลากลางวัน มักรับดูแลเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 3 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจต้องกลับไปทำงานประจำ โดยเน้นการดูแลพื้นฐาน การให้ความอบอุ่น และการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการตามวัย เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาลต่อไป ข้อดีและข้อเสียของเนิร์สเซอรี การส่งลูกไปเนิร์สเซอรีมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณพ่อคุณแม่ควรนำมาพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้การตัดสินใจนั้นเหมาะสมกับวิถีชีวิตของครอบครัวและพัฒนาการของลูกน้อยที่สุด ข้อดีของเนิร์สเซอรี ข้อเสียของเนิร์สเซอรี เนิร์สเซอรีจำเป็นต่อลูกมากแค่ไหน คำถามว่า เนิร์สเซอรี จำเป็นต่อลูกน้อยมากแค่ไหนนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะหลักการสำคัญคือเด็กเล็กวัยต่ำกว่า 3 ขวบยังต้องการความผูกพันที่มั่นคงจากผู้เลี้ยงดูหลัก (พ่อแม่) เป็นอันดับแรก การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในทางกลับกัน เนิร์สเซอรีจะจำเป็นต่อแม่และเด็ก ที่ไม่มีผู้ดูแลในช่วงกลางวัน หรือเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเริ่มฝึกทักษะสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นมันคือตัวช่วยในการจัดการชีวิตของครอบครัวมากกว่าความจำเป็นด้านพัฒนาการหลักของลูก ควรพาลูกไปเนิร์สเซอรีอายุเท่าไหร่ สำหรับคำถามว่า ควรพาลูกไปเนิร์สเซอรีอายุเท่าไหร่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักแนะนำว่าควรรอให้ลูกอายุ 3 […]
ขวดนมที่ผลิตจากพลาสติกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นขวดที่ผลิตจากพลาสติกประเภท polypropylene (PP), polyethersulfone (PES), polyphenylsulfone (PPSU) ซึ่งไม่มีสาร BPA ในกระบวนการผลิต (สามารถตรวจสอบได้ที่ข้างกล่อง) สามารถใช้ตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ และยังเป็นการชลอการเสื่อมของพลาสติกเพราะการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV เป็นการใช้แสงและความร้อนต่ำแต่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% ขวดนมที่ผลิตจากแก้ว สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ทุกแบรนด์ ขวดนมที่ผลิตจากซิลิโคนที่มีขอบเกลียวเป็นพลาสติกแบบถอดแยกชิ้นส่วนได้ สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ เพราะไม่ใช้สารเคมีในการเชื่อมขอบเกลียวพลาสติกให้ติดกับขวดซิลิโคน ขวดนมที่ไม่สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ ขวดนมที่ผลิตจากซิลิโคนที่มีขอบเกลียวเป็นพลาสติกแบบแยกชิ้นส่วนไม่ได้ ไม่สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ เพราะมีการเชื่อมต่อระหว่างขอบเกลียวพลาสติกและขวดซิลิโคนให้ยึดติดกันโดยใช้วัสดุ ที่ไม่สามารถระบุได้ เป็นตัวเชื่อม ซึ่งวัสดุที่ใช้เชื่อมนี้จะเสื่อมสภาพเมื่อได้รับแสง UV เป็นระยะเวลานาน คำแนะนำสำหรับการใช้ขวดนม : ควรเปลี่ยนขวดนมหลังจากการใช้งานแล้วทุกๆ 6-12 เดือน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลาย ๆ คนคงเคยฝึกการอาบน้ำเด็กอ่อนจากคลินิกฝากครรภ์ หรือ จากโรงพยาบาลมาก่อน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ต้องเรียนรู้อย่างหนึ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อที่จะได้อาบน้ำสระผมให้กับลูกน้อยของเราอย่างถูกวิธีและมีความปลอดภัย ซึ่งการอาบน้ำเด็กแรกเกิดนั้น ก็มีขั้นตอนและวิธีการที่ไม่ยากจนเกินไป เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่มือใหม่สามารถทำตามได้อย่างแน่นอน อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร ต้องระวังเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้าง ในบทความนี้เรามีข้อมูลดีๆ มาฝากค่ะ ชวนคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ มาดูขั้นตอนการอาบน้ำเด็กแรกเกิดยังไง ให้ถูกวิธี คุณพ่อคุณแม่มือใหม่บางคนอาจจะมีความกังวลในเรื่องของการอาบน้ำให้เด็กอ่อนหรือ เด็กแรกเกิด เพราะว่าเด็กเล็กนั้นมีร่างกายบอบบาง ยังไม่แข็งแรง หากอาบน้ำไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้ลูกน้อยของเราไม่สบายได้ อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดชำระร่างกาย และดูแลสุขอนามัยของเด็กแรกเกิดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ เพียงแต่ว่าเด็กเล็กมีผิวที่บอบบาง จึงเสี่ยงต่อการระคายเคืองได้ง่าย ทั้งนี้ เด็กเล็กยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ จึงอาจไม่สบายได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิด ที่ถูกต้องและเหมาะสมกับวัยของลูกน้อย แล้วจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง อุปกรณ์ที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง มีวิธีการอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับการอาบน้ำเด็กแรกเกิด วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำตามได้ไม่ยาก 1. ให้คุณแม่ หรือ คนที่จะอาบน้ำให้เด็ก เตรียมตัวให้พร้อมผู้ที่จะอาบน้ำให้เด็กเล็กควรถอดเครื่องประดับออกให้หมด ทั้งนาฬิกา แหวน สร้อยข้อมือ เพื่อป้องกันไม่ให้ไปขีดข่วนโดนตัวเด็ก พร้อมกับล้างมือถูสบู่ให้สะอาดก่อนอาบน้ำให้เด็กทุกครั้ง ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ หรือ ผู้ดูแลควรตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการข่วนผิวหนังของเด็กด้วยค่ะ […]
ด้วยคุณค่าน้ำนมแม่ที่มีสารอาหารมากมายกว่า 200 ชนิด แถมด้วยสารสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เชื่อว่าคุณแม่ทุกท่านตั้งใจมั่นที่จะให้นมจากเต้าแก่ลูกน้อยให้นานที่สุด แต่ด้วยปัจจุบันคุณแม่หลายๆ ท่านเป็นเวิร์กกิ้งมัม ที่ต้องกลับไปทำงานหลังจากต้องลาคลอด และลางานเพื่อเลี้ยงลูก ทำให้ไม่สามารถให้นมลูกได้ด้วยตัวเอง เครื่องปั๊มนม จึงเป็นอุปกรณ์คู่ใจ ที่จะทำให้คุณแม่ยังคงให้นมแม่แก่ลูกได้ไปยาวนาน แต่เมื่อถึงเวลาต้องไปทำงาน หรือออกนอกบ้าน ก็มีเงื่อนไขมากมายที่อาจทำให้คุณแม่ใช้งานเครื่องปั๊มนมบางชนิดได้ไม่สะดวก ดังนั้นเพื่อให้คุณแม่ทำงานนอกบ้านได้เต็มที่ พร้อมกับมีน้ำนมให้ลูกได้เพียงพอ คุณแม่จึงควรต้องรู้เทคนิคในการเลือกเครื่องปั๊มนมที่เหมาะสำหรับเวิร์กกิ้งมัม ที่จะช่วยให้ปั๊มนมเก็บไว้ให้ลูกน้อยได้สะดวกเสมอ เทคนิค Working Mom เลือก เครื่องปั๊มนม 1. มีแรงในการปั๊มนมและรอบดูดที่มีคุณภาพ มีแรงดูดและปั๊มที่ดีมีประสิทธิภาพ สามารถปรับได้หลายระดับ เพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือต้องเร่งรีบ โดยเครื่องปั๊มนม ที่ใช้งานได้ดี ควรจะมีจังหวะการปั๊มนมและรอบดูดที่เลียนแบบการดูดของลูกน้อยทารก นั่นคือ ควรมีแรงดูดหรือปั๊มไม่น้อยกว่า 200 mmHg.และรอบการดูดอย่างน้อย 40-60 รอบต่อนาที ซึ่งคุณแม่ที่น้ำนมออกดีอาจใช้เครื่องปั๊มนมที่มีรอบการดูดต่ำกว่า 40 นาทีได้ แต่เพื่อการใช้งานได้ยาวนาน และส่วนใหญ่คุณแม่ทำงานมักจะปั๊มนมและเก็บนมแม่ให้ลูกนานกว่า 4 เดือนขึ้นไป จึงควรเลือกใช้เครื่องปั๊มนมที่มีรอบการดูดมากกว่า 40 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป จะช่วยทำให้ปั๊มนมแต่ละครั้งออกมาได้มากและรวดเร็วกว่านั่นเอง 2. เครื่องปั๊มนม มีฟังก์ชั่นการทำงานหลากหลาย ทั้งการนวดกระตุ้นน้ำนม การปั๊มนม การดูดน้ำนมหลายจังหวะ จะช่วยให้คุณแม่ใช้เครื่องปั๊มเป็นผู้ช่วยในการกระตุ้นน้ำนมได้ไปในตัว […]
การให้ลูกน้อยทารกนอนเปล เพื่อช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับง่าย และนอนหลับนาน ถือเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดกันมาอย่างยาวนานในบ้านเรา ซึ่งสมัยก่อนพ่อแม่ปู่ย่าก็ใช้เปลญวน เปลผ้าขาวม้า ผูกให้ลูกแล้วไกวนอน จนปัจจุบันการใช้เปลไกว ได้พัฒนาออกมามากมายหลายระบบ ทั้งระบบที่ต้องใช้แรงคนไกวหรือไกวมือ เปลไกวไฟฟ้า แบบมีล้อเคลื่อนที่ได้ เปลลูกกรงตั้งอยู่กับที่ และเปลไกวอัตโนมัติ ที่สามารถตั้งเวลาและระดับการไกวได้อย่างแสนสะดวก แต่ก็เพราะการมีเปลไกวหลายระบบ หลายแบบให้คุณแม่เลือกในยุคนี้ ทำให้มีคำถามว่าควรจะเลือกเปลไกวแบบไหน แถมยังมีทั้งแบบที่ไกวไปด้านหน้า-หลัง และไกวแบบด้านข้างซ้าย-ขวา จึงอยากจะรู้ว่าสองแบบนี้แตกต่างกันแค่ไหน อย่างไรบ้าง ? เราลองมาอ่านข้อมูลกันค่ะ ให้ลูกนอนเปลดีไหมนะ? ดีแน่ค่ะ…การให้ลูกเล็กนอนเปลมีข้อดีมากมาย เพราะมีข้อมูลบอกไว้ว่าการแกว่งของเปล จะทำให้ลูกน้อยเบบี๋รู้สึกสบาย อบอุ่นและผ่อนคลาย คล้ายกับตอนที่ลูกยังอยู่ในครรภ์คุณแม่ เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ช่วยให้คุณแม่ไกวเปลกล่อมลูกน้อยนอนหลับ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องอุ้มกล่อมลูกน้อยนานๆ ให้เมื่อยแขนหรือเดินจนเมื่อยขา ช่วยทำให้ลูกนอนง่าย นอนหลับได้ยาวนาน ลดอาการงอแงและไม่ทำให้ลูกน้อยเครียด นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่บอกว่า การให้ลูกนอนเปลไว สามารถช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยได้ อาทิ ส่วนข้อเสียน่าจะมีเพียงแค่ลูกอาจจะติดการนอนเปล แต่ก็สามารถแก้ไขได้ไม่ยากหากคุณแม่มีเปลไกวที่เคลื่อนย้ายหรือพับเก็บได้ หรือบางท่านคิดว่าการให้ลูกนอนเปลจะทำให้ลูกหัวแบนอันนี้ก็แก้ได้ ด้วยการเมื่อลูกหลับอาจจะขยับเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงข้าง และส่วนใหญ่การให้ลูกนอนเปลมักจะอยู่ในช่วงที่ลูกอายุไม่เกิน 5-6 เดือนเท่านั้น เพราะพอลูกโตขึ้น ก็มักจะพลิกคว่ำหงายและปีนป่ายเปล จนเป็นอันตรายได้ เลือกเปลต้องดูให้ละเอียดทุกด้าน การเลือกเปลให้ลูกน้อยคุณแม่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด ทั้งด้านวัสดุที่ใช้ การออกแบบมาให้เหมาะสมกับสรีระเด็ก และการแกว่งไกวที่ปลอดภัย […]








