ไม่อยากครรภ์เป็นพิษ สังเกตอย่างไร ป้องกันได้ไหมนะ?

“ครรภ์เป็นพิษ” หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ ถือเป็นภาวะไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นตัวคุณแม่เอง ครอบครัว รวมถึงคุณหมอสูติแพทย์ เนื่องจากหากคุณแม่ตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ จะมีโอกาสเสียชีวิตได้ค่อนข้างมาก โดยสถิติพบว่า10-15% ของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตเกิดจากภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีร้อยละ  2-8% ของสตรีตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ (ข้อมูลจากรพ.บำรุงราษฎร์)

ฉะนั้นเพื่อไม่ให้คุณแม่ต้องมาเจอกับภาวะร้ายแรงนี้ ลองมาดูสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ และเรียนรู้กันว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกัน หรือตรวจเช็กเพื่อรักษาได้ทันท่วงที ให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยปลอดภัยสุขภาพดีได้จนหลังคลอด

ครรภ์เป็นพิษ ภาวะอันตรายในแม่ท้อง

  • สาเหตุของครรภ์เป็นพิษ : สาเหตุนั้นยังไม่แน่ชัด สันนิษฐานได้หลายสาเหตุ อาทิ เกิดจากความผิดปกติในช่วงระหว่างการฝังตัวของเซลล์ของรก ทำให้การไหลเวียนเลือดระหว่างรกและมดลูกผิดปกติ เซลล์รกมีภาวะขาดออกซิเจน จึงมีการหลั่งสารที่เป็นพิษเข้าสู่กระแสเลือดของคุณแม่ ทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ  รวมถึงสาเหตุที่เกิดจากภาวะการขาดออกซิเจนของเด็กในครรภ์ จึงสร้างสารหรือฮอร์โมนไปกระตุ้นให้แม่มีความดันโลหิตสูง จนเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

โดยภาวะครรภ์เป็นพิษที่มักพบส่วนใหญ่ มักจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์หลัง 20 สัปดาห์จนถึง 48 ชั่วโมงหลังคลอด แต่พบบ่อยคือหลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์

  • ตรวจเช็กความเสี่ยงของแม่ท้อง!! ชวนคุณแม่มาลองเช็กดูสิว่า มีความเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่? เพื่อจะได้ปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ไว้ล่วงหน้า
    • คุณแม่เป็นความดันโลหิตสูง
    • คุณแม่เคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ครั้งก่อน
    • คุณแม่มีโรคประจำตัว เบาหวาน โรคไต ภาวะเลือดจับตัวเป็นก้อน
    • คุณแม่เคยมีพี่น้องหรือญาติใกล้ชิด เคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษ เช่น พี่สาว น้องสาว แม่ ป้า น้า ยาย ย่า
    • คุณแม่ตั้งครรภ์ตอนอายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
    • คุณแม่ตั้งครรภ์แฝด
    • คุณแม่ตั้งครรภ์ครั้งแรก
    • คุณแม่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน

แม่ท้อง รู้ก่อนรักษาได้ 

ชวนคุณแม่มาสังเกตอาการและสัญญาณต่างๆ ที่บอกถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • สังเกตสัญญาณอันตราย บอกอาการครรภ์เป็นพิษ

อาการหลักๆ ที่สำคัญแสดงถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่ การที่คุณแม่มี “ความดันโลหิตสูง” 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป  ร่วมกับตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 300 มิลลิกรัมใน 24 ชั่วโมง  และคุณแม่มีอาการ “บวม” ผิดปกติที่คุณหมอตรวจแล้วว่าไม่ได้บวมเพราะเป็นโรคไตหรืออื่นๆ  รวมถึงมีอาการบวมที่มือ เท้าและใบหน้า ปวดศีรษะมาก  ตาพร่ามัว อาเจียน คลื่นไส้ ปวดจุกเสียดใต้ลิ้นปี่  ซึ่งหากรู้สึกมีอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อย ก็ต้องรีบไปพบแพทย์

เนื่องจากแม่ท้องส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตัวเองมีภาวะครรภ์เป็นพิษ คิดว่าเป็นอาการปกติของคนท้อง จึงทำให้มีอาการรุนแรงลุกลามจนเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีจะทำให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์เสียชีวิตได้ เช่น คุณแม่มีอาการชัก รกมีการลอก เกิดการคลอดก่อนกำหนด  ลูกน้อยไม่เติบโต อวัยวะของคุณแม่เช่น หัวใจ ปอด ตับเสียหาย มีการทำงานของไตผิดปกติหรือไตวาย  ภาวะเลือดออกในสมอง และน้ำท่วมปอด เป็นต้น

ครรภ์เป็นพิษป้องกันได้ไหม? แม่ไม่อยากเป็น

หากคุณแม่พิจารณา เช็กดูความเสี่ยงเบื้องต้นและพบว่าครอบครัวหรือตัวเองมีประวัติความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ  เช่น อายุมากกว่า 35 ปี  มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน มีพันธุกรรมจากคนในครอบครัวที่เคยเป็น  ควรรีบแจ้งข้อมูลและปรึกษาสูติแพทย์ที่ฝากครรภ์ เพื่อประเมินหรือรับบริการตรวจคัดกรองหาความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ที่ปัจจุบันเริ่มมีใช้ในโรงพยาบาลชั้นนำแล้ว ได้แก่ การเจาะเลือดตรวจ PIGF และ sFlt-1

  • การเจาะเลือดตรวจ PIGF และ sFlt-1

เป็นการตรวจวินิจฉัย โดยการเจาะเลือดคุณแม่หาสารบ่งชี้ภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยเป็นการตรวจวัดระดับโปรตีนสำคัญ 2 กลุ่มร่วมกับการตรวจวัดการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดที่เลี้ยงมดลูก เพื่อนำมาวิเคราะห์ให้แพทย์รู้ว่าคุณแม่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ ให้คุณหมอสามารถติดตามอาการและวางแผนการดูแลคุณแม่ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างใกล้ชิด ป้องกันอันตราย เฝ้าระวัง ลดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่จะเกิดกับคุณแม่และลูกน้อยได้เต็มที่ รวมถึงรักษาภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ  ให้ลูกน้อยได้เกิดมาแข็งแรงสมบูรณ์ปลอดภัย คุณแม่ก็ปลอดภัยพร้อมมีสุขภาพดีได้พร้อมกัน

  • ปรึกษาแพทย์เรื่องการให้ยาแอสไพริน และการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์

นอกจากการตรวจคัดกรองเพื่อหาความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษด้วยวิธี PIGF และ sFlt-1 ที่จะช่วยป้องกันหรือดูแลไม่ให้เกิดครรภ์เป็นพิษร้ายแรงได้แล้ว ปัจจุบันสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลชั้นนำค้นพบวิธีการป้องกันครรภ์เป็นพิษ ด้วยการให้ยาแอสไพริน  โดยแพทย์จะให้ใช้เฉพาะคุณแม่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ และต้องได้รับการดูแลและสั่งโดยแพทย์เท่านั้น  ซึ่งการตรวจคัดกรองและการให้ยาเพื่อป้องกันครรภ์เป็นพิษ จะต้องทำตั้งแต่ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 12 – 16 สัปดาห์  จึงจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ผล แต่ผลการดูแลป้องกันก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพและภาวะครรภ์เป็นพิษของคุณแม่แต่ละท่านด้วย

และสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ คือการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์ ในแง่ที่จะสามารถช่วยหลีกเลี่ยงภาวะอันตรายต่างๆ ไม่ให้มีโอกาสเกิดครรภ์เป็นพิษเป็นในช่วงตั้งครรภ์ได้ นั่นคือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้หลากหลายครบถ้วน 5 หมู่ ดื่มน้ำให้มาก รักษาน้ำหนักให้ขึ้นอย่างเหมาะสม ไม่กินอาหารเค็มจัดหวานจัด ป้องกันเบาหวาน

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

“เวลาลูกสาววัย 5 เดือนดูดนมแม่ จะมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะที่ศีรษะจะเปียกตลอดเลยทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ถือเป็นอาการผิดปกติหรือเปล่า”  เด็กต้องการพลังงานเทียบกับน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆจึงต้องการใช้พลังงานสูงมาก เช่น เพื่อการสร้างเซลสมอง การสร้างเซลกล้ามเนื้อ ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องการพลังงานเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กล้ามเนื้อหัวใจในเด็กทารกเป็นเซลกล้ามเนื้อชนิดที่ล้าง่าย ต้องการพลังงานสูง ชีพจรของเด็กจึงเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ เด็กแรกเกิดชีพจรเต้น 140 ครั้งต่อนาที และลดลงเรื่อยๆเมื่อเด็กเติบโตขึ้น จนเป็น 60-80 ครั้งต่อนาทีเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานก็ย่อมมีมาก การระบายความร้อนออกจากร่างกายทำได้โดยการขับออกเป็นเหงื่อ ดังนั้นการที่เห็นว่าทารกนอนดูดนมเฉยๆ ทำไมถึงมีเหงื่อเยอะจัง เพราะภายในร่างกายของเขามีการทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ผิดปกติค่ะ ขณะที่ผู้ใหญ่จะใช้พลังงานสูงเท่ากับที่เด็กทารกต้องการ ก็ต่อเมื่อมีการออกกำลัง จนชีพจรเต้นเร็วเท่ากับเด็กทารก ถึงเวลานั้นเราก็มีเหงื่อออกเต็มตัวเหมือนเด็กทารกเวลาดูดนมเช่นกัน อย่างไรก็ดีมีโรคบางอย่างที่ทำให้ทารกมีเหงื่อออกมากผิดปกติกว่าเด็กคนอื่น เช่น โรคหัวใจ โรคธัยรอยด์เป็นพิษ แต่ลูกควรมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เลี้ยงไม่โต ดูดนมแล้วดูเหนื่อยต้องหยุดเป็นพักๆ ตรวจร่างกายฟังได้ยินเสียงผิดปกติที่หัวใจ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคเหล่านี้ ให้ปรึกษากุมารแพทย์ได้ค่ะ หากตรวจแล้วพบว่าลูกปกติดี การมีเหงื่อออกเวลาดูดนม นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังช่วยให้ต่อมเหงื่อทำงานขับของเสียออกทางผิวหนังอีกทางหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ให้ลูกตลอดเวลา เพียงใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ง่าย และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทจะดีกว่าค่ะ >>>ขอบคุณข้อมูล : สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

ท้องมาสามเดือนแต่ยังไม่เห็นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ท้องก็ยังไม่ใหญ่ ลูกก็ยังไม่ดิ้น แถมขึ้นบีทีเอสก็ยังไม่มีคนลุกให้นั่งอีกต่างหาก ถ้าคุณแม่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ก็ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่เดือนที่สี่ ห้าและหกให้ดีๆ เลยจ้า บอกก่อนเลยว่าช่วงไตรมาสนี้ นอกจากอารมณ์คุณแม่ๆ จะแปรปรวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงแล้ว เจ้าร่างกายก็น้อยหน้าซะที่ไหน เผลอๆ แปรปรวนหนักกว่าอารมณ์ซะอีก เราลองไปดูกันดีกว่า ว่าช่วงนี้คุณแม่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ลูกได้ดูดนมไปสักพัก หัวนมคุณแม่ก็จะกลับมาเป็นสีชมพูเหมือนเดิม ช่วงก่อนคลอดนี่ร่างกายก็จะเตรียมพร้อมเพื่อลูกน้อย ท่อน้ำนมขยาย ลานนมกว้างขึ้น บางทีอาจจะเห็นน้ำใสๆ ไหลออกมาจากเต้า แต่อย่าได้ไปบีบหัวนมเลยเชียว เพราะอาจจะทำให้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้ ในช่วงไตรมาสนี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นเลยอาจจะทำให้เคลื่อนไหวช้าลงนิดหน่อย ช่วงนี้ร่างกายของคุณแม่จะต้องการพลังงานแค่ประมาณ 2,200 กิโลแคลอรีเท่านั้น คุณแม่บางคนอาจจะคิดว่าทานสำหรับสองคน ต้องเอาแคลมาบวกกันรึเปล่า…ไม่ต้องนะ เดี๋ยวน้ำหนักคุณแม่จะพุ่งทะลุเป้าเกินไปซะก่อน เราขอเน้นให้คุณแม่เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่นพวกผักใบเขียว ปลาที่มีโอเมกา 3 โปรตีนจากไก่ อะไรพวกนี้ดีกว่า ส่วนพวกอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลายก็ควรจะงดไปก่อนเนอะ เพราะไขมันเยอะมากกกก แถมของทอดๆ ยังอาจจะทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้อีกต่างหาก สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าลืมทานยาบำรุงที่คุณหมอให้มา โดยเฉพาะแคลเซียม เพราะลูกจะแย่งแคลเซียมจากเราไปเยอะมากๆ เพราะงั้นควรจะทานเสริมเข้าไปให้ได้อย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวันนะคะ

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สิ่งแรกๆ ที่คุณแม่ส่วนใหญ่นึกถึงก็คือเรื่องของการคลอดใช่มั้ยล่ะคะ ส่วนวิธีการคลอดนั้น ก็อย่างที่คุณแม่ทราบกันดีว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ก็คือการคลอดธรรมชาติกับการผ่าคลอดค่ะ เราลองเปรียบเทียบกันดูดีกว่าว่าสองวิธีนี้ต่างกันยังไงบ้าง การคลอดธรรมชาติคืออะไร มีอะไรที่ต้องกังวลบ้าง? การคลอดธรรมชาติก็คือการที่คุณแม่เบ่งลูกน้อยออกมาทางช่องคลอด ซึ่งการคลอดแบบนี้คุณแม่จะต้องรอให้มีน้ำเดินหรือเจ็บท้องคลอด รวมถึงปากมดลูกเปิดมากพอที่จะทำการคลอดได้นั่นเอง ส่วนใหญ่แล้ว คุณแม่จะเจ็บท้องคลอดกันที่ช่วง 37-40 สัปดาห์ค่ะ การคลอดธรรมชาติมักเป็นที่นิยมเพราะคุณแม่ส่วนใหญ่ก็อยากมีประสบการณ์ อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดในการเบ่งคลอด แถมยังมีราคาถูกกว่าผ่าคลอดอีกด้วยนะ แม้ว่าการคลอดธรรมชาติจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แผลหายเร็ว และคุณแม่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แต่ก็มีหลายปัจจัยที่คุณแม่ควรทราบกันไว้ซักนิดนึงน้า ปัจจัยที่อาจทำให้การคลอดธรรมชาติไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเสมอไป 1. ลูกไม่กลับหัว ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการคลอดธรรมชาติ และมักจะจบลงด้วยการที่คุณหมอเปลี่ยนไปเป็นผ่าคลอดแทนค่ะ โดยปกติ เวลาที่จะคลอด ลูกน้อยจะต้องกลับหัวเพื่อใช้หัวดันออกมาจากช่องคลอด มีทารกบางรายที่ไม่ยอมกลับหัว หรืออาจจะกลับหัวผิดตำแหน่ง ทำให้คุณหมอไม่สามารถทำคลอดได้ 2. คุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น แรงเบ่งนั้นมีความสำคัญกับการคลอดธรรมชาติมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณแม่มีแรงเบ่งไม่พอ หรือเบ่งไม่เป็น ลูกน้อยก็จะไม่สามารถคลอดออกมาได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะ เพราะโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่คุณแม่ไปฝากครรภ์ เค้าจะมีการอบรม สอนวิธีการเบ่ง การหายใจ เพื่อให้คุณแม่สามารถเบ่งได้อย่างถูกวิธีค่ะ 3. คุณแม่มีโรคประจำตัว โรคประจำตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น โรคเบาหวาน […]

ขวดนมเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นสำหรับทารกในช่วงแรกเกิด ยิ่งหากว่าคุณแม่จำเป็นต้องทำงาน หรือเดินทาง การใช้ขวดนมก็จะเป็นตัวช่วยที่บุคคลอื่นสามารถช่วยให้ลูกน้อยมีนมไว้กินได้ หรือในคุณแม่บางคนที่อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด ก็ใช้ขวดนมเป็นตัวช่วยได้อีกเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มความสบายให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกน้อยเลยหล่ะค่ะ และในบทความนี้ BabyGift จะชวนคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ไปดูยี่ห้อขวดนมคุณภาพดี ราคามิตรภาพ พร้อมคำแนะนำต่างๆ ที่ควรรู้ในการเลือกซื้อขวดนมกันค่ะ  ขวดนม ยี่ห้อไหนดี ? รวมยี่ห้อดี คุณภาพแน่น ที่บรรดาคุณแม่ไว้วางใจ !  ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องซื้อขวดนม ยี่ห้อไหนดี BabyGift ขอชวนคุณพ่อคุณแม่มาดูคำแนะนำในการเลือกซื้อขวดนมกันก่อนสักหน่อยค่ะ สิ่งที่ต้องโฟกัสก็คือ วัสดุ ที่มีทั้งแก้ว หรือพาสติก รูปทรงขวด จุกนม ความง่ายในการทำความสะอาด และที่สำคัญก็คือควรเลือกยี่ห้อที่มีคุณภาพ ใช้วัสดุที่ปลอดภัยต่อลูกน้อยของเราค่ะ สำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่อยากเข้าใจวิธีการเลือกซื้อขวดนมให้มากขึ้นกว่านี้ เราเคยเขียนบทความไว้แล้วลองอ่านเพิ่มเติมกันดูนะคะ เอาหล่ะค่ะ ตอนนี้ได้เวลาของการแนะนำขวดนม ยี่ห้อไหนดี ? ที่เราเลือกมาแนะนำแล้ว ตามไปดูยี่ห้อดีๆ กันเลยค่ะ BabyGift แนะนำ ขวดนม ยี่ห้อไหนดี ? 1. HAENIM ขวดนม รุ่น NOTHING™ ขนาด 5 ออนซ์ (ไม่รวมจุกนม)  หากกำลังมองหาขวดนมที่ใสเหมือนแก้ว มองเห็นน้ำนมชัดแจ๋วต้อง ต้องเลือกขวดนม จาก HAENIM รุ่น NOTHING™ นี้เลยค่ะ นี่คือขวดนมที่เป็น Medical […]

คาร์ซีทเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีสำหรับลูกน้อยของเราตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี เพื่อความปลอดภัยขณะนั่งรถยนต์ ประกอบกับมีการออกกฏหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2566 ให้ใช้คาร์ซีทในเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี ยกเว้นรถรับจ้างหรือรถสาธารณะ ดังนั้นทุกบ้านควรจะต้องเตรียมคาร์ซีทให้พร้อมตั้งแต่ก่อนคลอด เพราะต้องให้ลูกน้อยนั่งตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล ปัจจุบันคาร์ซีทก็มีหลายแบบมาก คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกแบบไหนดี หรือจะเลือกคาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี ที่มีคุณภาพดี ปลอดภัยได้มาตรฐาน และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ BabyGift มีมาแนะนำแล้วค่ะ   จะเลือกคาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี ? แนะนำวิธีเลือกคาร์ซีทเด็กแรกเกิด มั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย      ผู้ปกครองบางท่านอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องใช้คาร์ซีทสำหรับลูกน้อย ขอบอกว่า คาร์ซีทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ค่ะ คาร์ซีทเป็นอุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งในรถยนต์ของคุณพ่อคุณแม่เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กๆ ในขณะที่นั่งรถยนต์ เพื่อป้องกันหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด คาร์ซีทจะช่วยลดโอกาสบาดเจ็บรุนแรง หรือลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ ซึ่งคาร์ซีทก็มีหลายแบบมาก มีตั้งแต่คาร์ซีทเด็กแรกเกิด คาร์ซีทแบบกระเช้า คาร์ซีทสำหรับเด็กเล็ก และคาร์ซีทสำหรับเด็กโต นอกจากจะมีหลากหลายแบบแล้วก็ยังมีหลายยี่ห้อด้วย แล้วจะเลือกอย่างไรดี จะเลือกคาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี ? ให้กับลูกรักของเรา มารู้จักกับแต่ละประเภทของคาร์ซีทให้มากขึ้นก่อน ไปดูยี่ห้อที่ BabyGift แนะนำกันค่ะ  คาร์ซีทเด็กแรกเกิด […]

เนื้องอกในมดลูก (Myoma Uteri) แค่ฟังชื่อก็น่ากลัวแล้วใช่มั้ยล่ะคะ แต่ความจริงเนื้องอกชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดถ้าเปรียบเทียบกับพวกเนื้องอกของผู้หญิงที่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นๆ ในช่วงเริ่มต้นเจ้าเนื้องอกนี้จะมีขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวเองค่ะ แต่ขนาดของมันจะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นถ้าได้รับการกระตุ้นโดยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และขนาดจะเล็กลงได้หากไม่ได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนชนิดนี้ เพราะอย่างนี้เราจึงมักจะพบเนื้องอกในมดลูกในผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือนอยู่ และเมื่อหมดประจำเดือนเนื้องอกนี้ก็จะค่อยๆ เล็กลงและหายไปเองในที่สุดค่ะ เนื้องอกในมดลูกขณะตั้งครรภ์เป็นแบบไหนกันนะ? เนื้องอกในมดลูกจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ โดยจะแทรกอยู่ตามที่ต่างๆ บนผนังมดลูกค่ะ อาจจะอยู่ตรงกลางของผนังมดลูก หรืออยู่บนผนังค่อนมาทางโพรงของมดลูก บางรายอาจถึงขนาดยื่นลงมาผ่านปากมดลูกยาวมาถึงช่องคลอดเลยก็ได้ค่ะ แล้วอาการล่ะจะเป็นแบบไหน? เนื่องจากเนื้องอกชนิดนี้จะเติบโตอย่างช้าๆ คุณแม่ส่วนใหญ่จึงจะไม่ทราบว่าตนมีเนื้องอกนี้อยู่จนกว่าคุณหมอจะตรวจพบ อย่างไรก็ตามอาการที่สังเกตได้จากการมีเนื้องอกในมดลูกนั้นจะมีลักษณะดังข้างล่างนี้ค่ะ แต่ว่าคุณแม่อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพราะอาการที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็เป็นอาการปกติที่พบในคุณแม่ท้องทั่วไปต่อให้ไม่มีเนื้องอกในมดลูกนะ ถ้าพบเนื้องอกในมดลูกตอนตั้งครรภ์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดเนื้องอกค่ะ แต่ว่าถ้าเกิดเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะเบียดดันมดลูก ทำให้มดลูกโตได้ไม่เต็มที่และอาจทำให้เกิดการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด หรือถ้าหากเนื้องอกไปอยู่ที่ด้านล่างแล้วก็อาจจะไปขวางตรงส่วนของช่องคลอด คุณแม่จึงไม่สามารถคลอดเองได้แต่จะต้องผ่าคลอดค่ะ แต่ในบางราย หากเนื้องอกดันเข้าไปในโพรงมดลูกมาก ก็อาจส่งผลทำให้แท้งลูกในท้องได้ค่ะ เนื้องอกในมดลูกขณะตั้งครรภ์รักษาให้หายได้ไหมนะ? โดยปกติแล้วคุณหมอจะไม่ทำการรักษาเนื้องอกนี้ไม่ว่าจะเป็นการให้ยาหรือผ่าตัดค่ะ เพราะว่ายาไม่ได้ช่วยให้เนื้องอกยุบลง ส่วนการผ่าตัดก็เป็นการเสี่ยงที่จะทำให้คุณแม่เสียเลือดมากและแท้งบุตรค่ะ นอกจากนี้ คุณแม่อาจจะต้องถูกตัดมดลูกทิ้งหากเลือดออกมากจนไม่สามารถควบคุมได้ ตามหลักการแล้วคุณหมอจะเริ่มทำการรักษาเมื่อคุณแม่คลอดลูกน้อยได้อย่างน้อย 3 เดือน เพราะในคุณแม่บางรายเนื้องอกมีขนาดเล็กลงหลังคลอดจนไม่ต้องทำการรักษาก็มีค่ะ แต่ในบางรายก็อาจโตขึ้นจนต้องตัดมดลูกทิ้งเลยค่ะ คู่แต่งงานคู่ไหนที่วางแผนอยากมีลูกน้อยเป็นโซ่ทองคล้องใจ ก็อย่าลืมแวะไปตรวจร่างกายกับคุณหมอเสียก่อนนะคะ จะได้เตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรง หากเจอเนื้องอกในมดลูกก็จะได้รักษาให้เรียบร้อยเสียก่อน จะได้สบายใจไม่ต้องมานั่งเครียดให้เสียสุขภาพนะ

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages