เปลไกวแบบหน้า-หลัง กับ ไกวซ้าย-ขวาต่างกันไหม? เลือกแบบไหนดี

การให้ลูกน้อยทารกนอนเปล เพื่อช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับง่าย และนอนหลับนาน ถือเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดกันมาอย่างยาวนานในบ้านเรา  ซึ่งสมัยก่อนพ่อแม่ปู่ย่าก็ใช้เปลญวน เปลผ้าขาวม้า ผูกให้ลูกแล้วไกวนอน จนปัจจุบันการใช้เปลไกว ได้พัฒนาออกมามากมายหลายระบบ ทั้งระบบที่ต้องใช้แรงคนไกวหรือไกวมือ เปลไกวไฟฟ้า แบบมีล้อเคลื่อนที่ได้ เปลลูกกรงตั้งอยู่กับที่ และเปลไกวอัตโนมัติ ที่สามารถตั้งเวลาและระดับการไกวได้อย่างแสนสะดวก แต่ก็เพราะการมีเปลไกวหลายระบบ หลายแบบให้คุณแม่เลือกในยุคนี้ ทำให้มีคำถามว่าควรจะเลือกเปลไกวแบบไหน แถมยังมีทั้งแบบที่ไกวไปด้านหน้า-หลัง และไกวแบบด้านข้างซ้าย-ขวา  จึงอยากจะรู้ว่าสองแบบนี้แตกต่างกันแค่ไหน อย่างไรบ้าง ?  เราลองมาอ่านข้อมูลกันค่ะ

ให้ลูกนอนเปลดีไหมนะ?

ดีแน่ค่ะ…การให้ลูกเล็กนอนเปลมีข้อดีมากมาย เพราะมีข้อมูลบอกไว้ว่าการแกว่งของเปล จะทำให้ลูกน้อยเบบี๋รู้สึกสบาย อบอุ่นและผ่อนคลาย คล้ายกับตอนที่ลูกยังอยู่ในครรภ์คุณแม่  เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ช่วยให้คุณแม่ไกวเปลกล่อมลูกน้อยนอนหลับ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องอุ้มกล่อมลูกน้อยนานๆ ให้เมื่อยแขนหรือเดินจนเมื่อยขา  ช่วยทำให้ลูกนอนง่าย นอนหลับได้ยาวนาน  ลดอาการงอแงและไม่ทำให้ลูกน้อยเครียด  นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่บอกว่า การให้ลูกนอนเปลไว สามารถช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยได้ อาทิ

  • ทำให้ลูกนอนหลับได้สนิทและยาวนาน ส่งผลให้ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตหรือ Growth Hormone หลั่งได้ดี
  • เมื่อลูกน้อยตื่นนอนมา มักจะอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส เพราะได้นอนเต็มที่อย่างมีความสุข
  • ขณะที่ลูกน้อยนอนเปลที่แกว่งไกว ทำให้น้ำในหูมีการไหลเวียน ส่งผลดีต่อการทรงตัว
  • ลูกน้อยรู้สึกสนุก เพลิดเพลิน ร่างกายได้เคลื่อนไหวเหมือนคุณแม่อุ้มโยกเห่กล่อมรวมถึงข้อดีสำหรับคุณแม่ในเรื่องช่วยทุ่นแรงในการแกว่งไกวลูก ช่วยให้คุณแม่ได้นอนหลับ พักผ่อน หรือมีเวลาทำกิจวัตรส่วนตัว กิจกรรมที่ชอบได้ในช่วงที่ลูกนอนเปลด้วย

ส่วนข้อเสียน่าจะมีเพียงแค่ลูกอาจจะติดการนอนเปล แต่ก็สามารถแก้ไขได้ไม่ยากหากคุณแม่มีเปลไกวที่เคลื่อนย้ายหรือพับเก็บได้  หรือบางท่านคิดว่าการให้ลูกนอนเปลจะทำให้ลูกหัวแบนอันนี้ก็แก้ได้ ด้วยการเมื่อลูกหลับอาจจะขยับเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงข้าง และส่วนใหญ่การให้ลูกนอนเปลมักจะอยู่ในช่วงที่ลูกอายุไม่เกิน 5-6 เดือนเท่านั้น เพราะพอลูกโตขึ้น ก็มักจะพลิกคว่ำหงายและปีนป่ายเปล จนเป็นอันตรายได้

เลือกเปลต้องดูให้ละเอียดทุกด้าน

การเลือกเปลให้ลูกน้อยคุณแม่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด ทั้งด้านวัสดุที่ใช้ การออกแบบมาให้เหมาะสมกับสรีระเด็ก และการแกว่งไกวที่ปลอดภัย นุ่มนวล มีการติดตั้งที่ปลอดภัย มีฐานที่มั่นคงไม่พลิกคว่ำได้ ข้อต่ออุปกรณ์ต่างๆ มีความมั่นคงแข็งแรงคุณภาพดี ไกวแล้วไม่หลุดหรือเลื่อนจนทำลูกตก  มีราวกันตก ตาข่ายหรือซี่ลูกกรงที่มีความถี่ ลูกไม่สามารถเอาศีรษะลอดออกมาได้  มีเข็มขัดนิรภัยล็อกตัวลูกน้อย รวมถึงเลือกยี่ห้อที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้  รวมถึงอาจคำนึงถึงการเคลื่อนย้ายง่าย เผื่อกรณีลูกติดเปลก่อนนอน จะได้นำไปใช้ได้สะดวกขึ้น

เปลไกวแบบ หน้า-หลัง & ซ้าย-ขวา ต่างกันอย่างไร?

เปลไกวหน้า-หลัง

คือเปลที่มีการไกวหรือโยกแกว่งไปทางด้านศีรษะ และปลายเท้าของลูก ลักษณะขึ้นลงไปมา มักใช้ในเด็กเล็กประมาณไม่เกิน  4-5 เดือน ซึ่งเปลไกวอัตโนมัติแบบโยกหน้า-หลังนี้ เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีการออกแบบที่โอบกระชับตัวลูกเบบี๋ และการไกวเปลแบบขึ้นลง เป็นการโยกไกวตามหลักแรงโน้มถ่วง ที่คล้ายกับการโยกเคลื่อนไหวเดินไปมาของแม่ ในช่วงที่ลูกน้อยอยู่ในท้องคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์

นอกจากนี้การที่เปลไกวโยกหน้า-หลัง ยังคล้ายการที่คุณแม่อุ้มลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขนแล้วโยกไปมา คือคุณแม่อุ้มลูกแล้วโยกจะขยับแขนขึ้นลงซ้ายไปขวาของลำตัวคุณแม่ แต่ลำตัวลูกน้อยจะเคลื่อนหน้า-หลัง คล้ายชิงช้าหน้าไปหลัง  จึงช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย และคุ้นเคย ทำให้ลูกนอนหลับได้สบายและนานขึ้น ส่วนคุณแม่ก็มีเปลเป็นตัวช่วย ไม่ต้องผลัดกับคุณพ่อหรือคนในบ้านไกวลูก และไม่ต้องอุ้มลูกกล่อมเองตลอดเวลา และข้อดีอีกอย่างคือ มีขนาดไม่ใหญ่หรือกว้างมาก ไม่ต้องใช้พื้นที่ด้านข้างในการตั้งหรือไกว เหมือนเปลไวแบบซ้าย-ขวา

เปลไกวแบบหน้า-หลังยุคใหม่ จะออกแบบมาให้ลูกนอนสบาย ไม่อึดอัด เพราะมักจะไม่มีซี่กรงบดบังสายตาหรือมีซี่กรงที่เสี่ยงทำให้อวัยวะบางส่วนของลูกลอดไปติดขัดได้  พร้อมกับมีเข็มขัดนิรภัยหลายจุดเพื่อความปลอดภัยที่ทำให้คุณแม่มั่นใจยิ่งขึ้น

เปลไกวซ้าย-ขวา

เป็นเปลไกว ที่มีการไกวงแบบดั้งเดิม เหมือนเปลญวน เปลผ้าขาวม้าที่ใช้กันมานาน คือการแกว่งไกวไปด้านข้าง ด้านซ้ายและด้านขวาของลำตัวลูก  เปลไกวแบบนี้ปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบใช้แรงมือคนไกว และเปลไฟฟ้าที่ไกวอัตโนมัติ ซึ่งลักษณะการไกวด้านข้างแบบนี้ จะแตกต่างกับการไกวแบบหน้า-หลัง เพราะตัวของลูกน้อยจะไม่ได้เคลื่อนแบบบนลงล่าง แต่ละเอนซ้ายทีขวาที  ช่วยแกว่งไกวให้ลูกน้อยนอนได้เช่นเดียวกัน

เปลไกวซ้าย-ขวาส่วนใหญ่ จะมีขนาดใหญ่  ต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งและเคลื่อนย้าย อาจต้องใช้พื้นที่ด้านข้างเว้นระยะให้กับเปลในเวลาที่แกว่งไกว เพื่อไม่ให้ตัวเปลไปกระทบหรือโดนเฟอร์นิเจอร์ หรือกระแทก จนลูกสะดุ้งตกใจและบาดเจ็บจากการแรงกระแทกได้  นอกจากนี้เปลไกวแบบซ้าย-ขวา จะมีทั้งแบบ ที่มีซี่ลูกกรงที่อาจทำให้อวัยวะบางส่วนของลูกไปติดหรือลอดจนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ และรุ่นสมัยใหม่ที่กั้นขอบเตียงด้านข้างด้วยผ้าตาข่าย ที่ปลอดภัยกว่า และระบายอากาศได้ดี ดังนั้นหากจะเลือกใช้ควรพิจารณาเลือกที่ได้คุณภาพมาตรฐาน เพื่อป้องกันอันตรายทุกด้านให้ลูก

แต่ข่าวดีสำหรับคุณแม่ยุคใหม่ คือเดี๋ยวนี้มีเปลไกวไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่ไกวได้ทั้งแบบหน้า-หลัง และด้านข้างซ้าย-ขวา  ขึ้นอยู่กับการเลือกสรรของคุณแม่ว่าชอบและสะดวกต้องการใช้แบบไหน  ข้อสำคัญคือควรเลือกการไกวของเปลอัตโนมัติที่มีความนุ่มนวล มีจังหวะสม่ำเสมอไม่รุนแรง ไม่ติดขัด ไม่มีเสียงดัง และไม่ทำให้ลูกน้อยรู้สึกเวียนศีรษะ  เท่านี้ลูกน้อยก็นอนหลับพริ้มได้ง่าย แฮปปี้กันไปแม่ลูก  ^_^

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

สวัสดีค่ะคุณแม่ทุกคนนะคะ สำหรับคุณแม่ทั้งหลายที่มีลูกน้อย คงจะเคยชินกับการล้างขวดนมเสร็จแล้ว ก็ฆ่าเชื้อขวดนมด้วยหม้อนึ่งความร้อนกันใช่ไม๊คะ วันนี้แม่อีฟ ขอแนะนำเครื่องมือชิ้นใหม่ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คุณแม่สมัยใหม่อย่างเราๆ ที่ต้องการความสะดวกสบายและการฆ่าเชื้อ โรคได้มากที่สุดสำหรับลูกน้อย มาทำความรู้จักกับตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ UV แบรนด์ Prince&Princess  สัญชาติเกาหลี เครื่องนี้เป็น Gen2 ที่มีการพัฒนาขึ้น ให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น การใช้งาน ก็ง๊ายง่ายค่ะ ที่เครื่องจะมีแค่ 3 ปุ่ม เท่านั้น คือปุ่ม Auto, ปุ่ม UV และปุ่ม Dry ถ้าใช้สำหรับขวดนมหรือของใช้ที่ล้างมาเปียกๆ ก็ง่ายเลยค่ะ แค่กดปุ่ม Auto เพียงปุ่มเดียวแล้วรอแค่ 30 นาที ก็สามารถเอาขวดนมมาชงนมให้ลูกได้เลยค่ะ เริ่มน่าสนใจกันแล้วใช่ไหมหล่ะคะ และนี้ก็คือโฉมหน้าของเจ้าตู้อบฆ่าเชื้อ ด้วยUV ที่มีดีไซน์ แบบทันสมัย ใช้ง่าย และน้ำหนักเบาแค่ 5 kg. เองค่ะ คุณแม่ก็สามารถยกย้ายที่ใช้งานได้แบบง่ายๆเลยค่ะ ก่อนหน้าที่จะใช้เครื่องนี้ ก็เคยมีวิธีการทำความสะอาดของให้กับลูก โดยการล้างทำความสะอาด แล้วก็เอาไปนึ่งต่อต้องทำหลายขั้นตอน ตั้งแต่ตวงน้ำลงในถาด นึ่งเสร็จก็ต้องล้างหม้อนึ่งด้วย พอน้ำแห้งก็มักเป็นตะกรัน พอบ่อยๆ […]

ลูกควรเลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่? อยากฝึกให้ลูกนั่งกระโถน นั่งชักโครกขับถ่ายเองได้เริ่มเมื่อไหร่ดี? คงเป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่มักสงสัยกันใช่ไหมคะ เพราะการฝึกลูกให้เลิกใส่ผ้าอ้อม ฝึกลูกนั่งกระโถน ไปจนฝึกให้เข้าห้องน้ำเองได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมที่จะเลิกใส่ผ้าอ้อม พร้อมนั่งกระโถนแล้ว มาเช็กกันเลยค่ะ ทำไมต้องฝึกลูกเรื่องขับถ่าย  การฝึกลูกขับถ่ายให้เหมาะสม จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ ที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงเป็นการปลูกฝังด้านสุขอนามัย ความสะอาด รู้จักร่างกายตัวเอง และรู้จักการช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นได้ หากพ่อแม่ไม่สอนลูกเรื่องการขับถ่าย ปล่อยให้ขับถ่ายในผ้าอ้อมไปจนโต จะทำให้ลูกมีการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสมตามวัย เมื่อลูกต้องไปโรงเรียน จะทำให้มีปัญหาในการดูแลความสะอาด อาจเกิดการขับถ่ายเล็ดราด หรือยังต้องใส่ผ้าอ้อมจนอึดอัด  ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ ส่งผลต่อพัฒนาการตามวัยได้ ฝึกลูกนั่งชักโครก เลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ตอนไหน? วัยที่มีพัฒนาการและพฤติกรรมพร้อมพี่จะเริ่มฝึกได้ ควรเริ่มเมื่ออายุ 1 ปี – 1 ปี 6 เดือน และมักจะทำได้ดีตอนอายุ 2 ปี หรือเด็กบางคนอาจจะมาฝึกตอนอายุ  2 ปี และนั่งกระโถนได้เองตอนอายุ 3 ปี หรือบางคนอาจทำได้เมื่อโตกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและสัญญาณต่าง ๆ ที่แสดงออกมาทั้งทางร่างกาย การสื่อสาร และความต้องการของลูก ไม่ควรเกิดจากการบังคับลูก 8 สัญญาณที่บอกว่าลูกพร้อมนั่งกระโถนเองได้แล้ว 7 เทคนิคฝึกลูกขับถ่าย […]

การเป็นแม่มือใหม่คือการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และความท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพของลูกน้อย เพราะสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตและพัฒนาการของเด็กๆ ในวัยเด็กแรกเกิด ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดูยากในตอนเริ่มต้น แต่แม่มือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพดีได้ มาดูกันว่า 10 เคล็ดลับที่จะช่วยเลี้ยงลูกให้สุขภาพดีมีอะไรบ้างค่ะ 1. ให้นมแม่เป็นหลัก การให้นมแม่เป็นการมอบสารอาหารที่ดีที่สุดแก่ลูกในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต นมแม่มีทั้งสารอาหารที่ครบถ้วนและภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก เคล็ดลับ: 2. เริ่มอาหารเสริมเมื่อถึงเวลา เมื่อเด็กครบ 6 เดือน ควรเริ่มให้อาหารเสริมเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยพัฒนาร่างกายและสมองของลูกได้อย่างดี เคล็ดลับ: 3. ส่งเสริมการนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็กและช่วยพัฒนาสมอง เด็กเล็กต้องการการนอนหลับมากในแต่ละวัน เคล็ดลับ: 4. ฉีดวัคซีนตามกำหนด การฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคหัด คอตีบ หรือบาดทะยัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่ควรมองข้าม เคล็ดลับ: 5. ให้ลูกได้รับการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการร่างกายและสมองของลูก การให้ลูกมีโอกาสเคลื่อนไหวตามวัย เช่น การคลาน การนั่ง หรือการยืน ช่วยเสริมพัฒนาการให้ดีขึ้น เคล็ดลับ: 6. รักษาความสะอาดและสุขอนามัย การรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและสิ่งแวดล้อมช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อในช่องปากหรือผิวหนัง […]

หนึ่งอุปกรณ์สำคัญเพื่อการเลี้ยงลูกที่คุณแม่ขาดไม่ได้คือ ขวดนม ที่คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านอาจมองข้าม เพราะคิดและตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้นมแม่ล้วนหลังคลอด ซึ่งอาจลืมไปว่าแม้จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ขวดนมก็ยังมีความสำคัญและเป็นผู้ช่วยชั้นดีของการให้นมแม่ได้แน่นอน » ขวดนมจำเป็นแค่ไหน ? » ขวดนม มีกี่แบบ ? ปัจจุบันขวดนมสำหรับเด็กผลิตขึ้นจากวัสดุที่หลากหลาย มีหลายประเภทและหลายรูปทรงให้เลือก วัสดุของขวดนม ขวดนมสำหรับเด็ก มีทั้งขวดแก้ว ขวดพลาสติก และขวดที่ใช้แล้วทิ้ง(Disposable Liners)ที่ใส่ลงในขวดนมอีกที  แต่ปัจจุบันขวดนมส่วนใหญ่ที่นิยมใช้มักผลิตจากพลาสติกเพราะน้ำหนักเบา ตกไมแตก ทนความร้อนและหาซื้อง่าบ โดยมีทั้งขวดพลาสติกใส ขวดพลาสติกขาวขุ่น และขวดสีชา ที่ผลิตจากพลาสติกที่ต่างชนิดกัน 1. ขวดนม PP วัสดุ POLYPROPYLENE เป็นขวดนมที่มีสีโปร่งใส หรือสีขาวขุ่น มีน้ำหนักเบา ทนทาน โดยทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -20 –110˚c มีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน และอาจเหลือน้อยลงหากผ่านความร้อนจากการต้มหรือนึ่งบ่อยๆ 2. ขวดนม PES วัสดุ POLYETHERSULFONE เป็นขวดพลาสติกสีชาหรือน้ำผึ้ง สามารถทนอุณหภูมิได้ที่ -50–180˚c มีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6 เดือน […]

หนึ่งในความปรารถนาสูงสุดของคุณแม่ตั้งครรภ์ คือการคลอดลูกน้อยได้อย่างปลอดภัย ลูกน้อยแรกคลอดมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด   แต่ปัญหาหนึ่งที่คุณแม่หลายๆ ท่านต้องพบเจอ คือภาวะคลอดก่อนกำหนด  ที่ทำให้คุณแม่จำเป็นต้องคลอดก่อนเวลา ลูกน้อยต้องคลอดในขณะที่ยังตัวเล็ก มีโอกาสเจ็บป่วย และพิการ รวมทั้งอวัยวะต่างๆ ยังทำงานหรือพัฒนาได้ไม่ดี เรื่องการคลอดก่อนกำหนดแบบนี้ไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นจะดีกว่าไหม? หากเราสามารถตรวจสอบหรือเช็กก่อนได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะคลอดก่อนกำหนดร้ายนี้เกิดขึ้น รู้จักกับปัจจัยเสี่ยง เลี่ยงคลอดก่อนกำหนด ไม่มีแม่ท้องคนไหนอยากให้ลูกคลอดก่อนกำหนด ดังนั้นการรู้ทัน ป้องกันไว้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและดีต่อทุกคน เราจึงอยากให้คุณแม่ตั้งครรภ์มาลองสังเกตและรู้จักกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด นั่นคือ การวัดปากมดลูก ป้องกันและลดปัญหาคลอดก่อนกำหนด เพราะความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดมีค่อนข้างมาก หากคุณแม่ได้สังเกตรู้ก่อนเพื่อป้องกันจะทำให้ลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ทางการแพทย์ใช้ในการป้องกันและลดปัญหาคลอดก่อนกำหนด คือการวัดปากมดลูก  แต่จะต้องทำอย่างไร มีข้อจำกัดหรืออันตรายหรือไม่…ไปดูกันค่ะ การวัดปากมดลูกคืออะไร? คือการตรวจคัดกรองว่าคุณแม่มีภาวะปากมดลูกสั้นหรือไม่ ด้วยวิธีการประเมินปากมดลูกจากการวัดความยาวของปากมดลูก ผ่านการสแกนด้วยอัลตร้าซาวนด์ทางช่องคลอด หรือโดยแพทย์ วิธีนี้เป็นการวัดความยาวและประเมินความยาวปากมดลูกของคุณแม่ตั้งครรภ์ว่ามีขนาดปกติ หรือมีความสั้นจนเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด  การวัดปากมดลูกหรือัลตราซาวนด์ปากมดลูกนี้ มีความปลอดภัย คุณแม่ไม่เจ็บ ทำไมต้องวัดปากมดลูก เพราะปากมดลูกเป็นส่วนล่างของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด ตามปกติหากคุณแม่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ปากมดลูกจะมีความยาวอย่างน้อยประมาณ 3 ซม. ซึ่งหากในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่มีปากมดลูกสั้นกว่าปกติ จะสัมพันธ์และทำให้มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด  ยิ่งความยาวของปากมดลูกสั้นก็จะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดมากยิ่งขึ้น รวมถึงแพทย์จะได้ตรวจด้วยว่าคุณแม่มีการเปิดของปากมดลูกด้านในหรือเปล่า เพราะหากปากมดลูกเปิดเร็วก็อาจคลอดก่อนกำหนดเร็วด้วย ดังนั้นการที่สูติแพทย์ทำการวัดความยาวปากมดลูกโดยอัลตราซาวนด์  […]

ช่วงเวลา ใกล้คลอด ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ยิ่งใกล้ถึงเวลาคลอดเท่าไร คุณแม่ควรสังเกตอาการของตัวเองมากยิ่งขึ้น วันนี้ Baby Gift มีสัญญาณเตือนใกล้คลอดมาให้คุณแม่ศึกษาและเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งจะมีสัญญาณเตือนใกล้คลอดอะไรบ้าง? ตามมาดูกันเลย เช็คด่วน! 6 สัญญาณเตือน ใกล้คลอด 1. ท้องเคลื่อนลงต่ำอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงช่วงใกล้คลอด ทารกจะเริ่มเคลื่อนตัวลงมาด้านล่าง ทำให้ท้องคุณแม่เคลื่อนต่ำลงจนเห็นได้ชัดเจน สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้คลอดแล้ว 2. มดลูกหดตัวอย่างรุนแรง คุณแม่ช่วงท้องแก่ใกล้คลอดมักจะรู้สึกเจ็บหลังส่วนล่างอยู่ตลอดเวลา เพราะมดลูกเริ่มหดตัวเป็นระยะๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลักดันทารกออกสู่โลกภายนอก ยิ่งเมื่อถึงกำหนดคลอดแล้ว มดลูกก็จะยิ่งหดตัวอย่างรุนแรงและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ 3. ถ่ายอุจจาระบ่อยกว่าปกติ การที่คุณแม่มีอาการถ่ายอุจจาระบ่อยๆนั้น ไม่ต้องกังวล เพราะร่างกายเพียงต้องการขับถ่ายของเสียออกมา เพื่อเตรียมสำหรับการคลอดลูกน้อยเป็นลำดับต่อไป โดยคุณแม่บางคนอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย 4. มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด สัญญาณเตือนใกล้คลอดระยะสุดท้าย คุณแม่จะมีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดลักษณะเป็นมูกเหนียวๆ แสดงว่ามดลูกเริ่มมีการขยายแล้ว หากคุณแม่มีอาการแบบนี้ ไม่ต้องตกใจ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแม่ต้องรีบไปโรงพยาบาลพบคุณหมอทันที เพื่อเตรียมตัวสำหรับการคลอดลูกน้อย 5. น้ำคร่ำแตก สัญญาณเตือนใกล้คลอดที่สำคัญที่สุด เมื่อใดก็ตามที่มีอาการน้ำคร่ำแตก คุณแม่ควรรีบเดินทางไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะทารกที่ไม่มีน้ำคร่ำโอบล้อมร่างกายในขณะที่ยังอยู่ในครรภ์นั้น อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ดังนั้น คุณหมอจึงจำเป็นต้องทำคลอดให้คุณแม่หลังจากที่น้ำคร่ำแตกภายใน 1-2 […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages