เทคนิค ฝึกลูกนั่งกระโถน เตรียมให้พร้อมก่อนไปโรงเรียน

ลูกควรเลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่? อยากฝึกให้ลูกนั่งกระโถน นั่งชักโครกขับถ่ายเองได้เริ่มเมื่อไหร่ดี? คงเป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่มักสงสัยกันใช่ไหมคะ เพราะการฝึกลูกให้เลิกใส่ผ้าอ้อม ฝึกลูกนั่งกระโถน ไปจนฝึกให้เข้าห้องน้ำเองได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมที่จะเลิกใส่ผ้าอ้อม พร้อมนั่งกระโถนแล้ว มาเช็กกันเลยค่ะ
ทำไมต้องฝึกลูกเรื่องขับถ่าย
การฝึกลูกขับถ่ายให้เหมาะสม จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ ที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงเป็นการปลูกฝังด้านสุขอนามัย ความสะอาด รู้จักร่างกายตัวเอง และรู้จักการช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นได้ หากพ่อแม่ไม่สอนลูกเรื่องการขับถ่าย ปล่อยให้ขับถ่ายในผ้าอ้อมไปจนโต จะทำให้ลูกมีการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสมตามวัย เมื่อลูกต้องไปโรงเรียน จะทำให้มีปัญหาในการดูแลความสะอาด อาจเกิดการขับถ่ายเล็ดราด หรือยังต้องใส่ผ้าอ้อมจนอึดอัด ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ ส่งผลต่อพัฒนาการตามวัยได้

ฝึกลูกนั่งชักโครก เลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ตอนไหน?
วัยที่มีพัฒนาการและพฤติกรรมพร้อมพี่จะเริ่มฝึกได้ ควรเริ่มเมื่ออายุ 1 ปี – 1 ปี 6 เดือน และมักจะทำได้ดีตอนอายุ 2 ปี หรือเด็กบางคนอาจจะมาฝึกตอนอายุ 2 ปี และนั่งกระโถนได้เองตอนอายุ 3 ปี หรือบางคนอาจทำได้เมื่อโตกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและสัญญาณต่าง ๆ ที่แสดงออกมาทั้งทางร่างกาย การสื่อสาร และความต้องการของลูก ไม่ควรเกิดจากการบังคับลูก
8 สัญญาณที่บอกว่าลูกพร้อมนั่งกระโถนเองได้แล้ว
- เมื่อลูกเริ่มสามารถเว้นช่วงการถ่ายปัสสาวะได้นานประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง มีความถี่ในการขับถ่ายลดลง เช่น ไม่ฉี่ใส่ผ้าอ้อมได้นาน 2 ชั่วโมง
- เริ่มถ่ายอุจจาระเป็นเวลา เช่น ในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังอาหารเช้า
- ลูกเข้าใจการ ”ฉี่” การ ”อึ” รู้จักการขับถ่าย เริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างการปวดปัสสาวะและอุจจาระ
- แสดงความสนใจเวลาเห็นผู้ใหญ่เข้าห้องน้ำ เลียนแบบหรือพยายามจะเดินตาม สนใจและถามว่าในห้องน้ำไว้ทำอะไร มีอะไรบ้าง
- ลูกเข้าใจภาษาพูดง่าย ๆ โดยสามารถโต้ตอบด้วยท่าทางคำพูดได้ เช่น “อึ” “ฉี่”
- ลูกสามารถลองนั่งกระโถนสำหรับเด็ก และลุกขึ้นยืนได้เอง
- เริ่มมีอาการแสดงออกบางอย่างเมื่อจะขับถ่าย เช่น ทำท่าทางปวดฉี่ บิดขาไปมาและมองหาห้องน้ำ แสดงความตื่นเต้นเมื่อเห็นปัสสาวะตัวเองพุ่ง หรือรู้สึกอึดอัด ทำท่าจับท้องจับก้นของตัวเอง
- ลูกอยากสวมกางเกงแทนผ้าอ้อม รู้สึกอึดอัดเมื่อผ้าอ้อมเปียกหรือมีสิ่งขับถ่ายในผ้าอ้อม เริ่มพยายามดึงผ้าอ้อม ถอดกางเกงหรือใส่กางเกงเองได้

7 เทคนิคฝึกลูกขับถ่าย นั่งกระโถน
1. สอนให้ลูกบอกเมื่อต้องการขับถ่าย และรู้จักสถานที่ขับถ่ายที่เหมาะสม
เมื่อลูกพูด “อึ” หรือ “ฉี่” ได้แล้ว ให้สังเกตการแสดงออกของลูก เมื่อจะขับถ่าย เช่น ลูกกำลังเล่นอยู่แต่หยุด ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์ไม่ดี จับที่ผ้าอ้อม อวัยวะเพศหรือก้น คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าไปถามลูกว่า “ฉี่ไหม” หรือ “อึไหม” เพื่อให้ลูกรู้ว่าเป็นการปวดปัสสาวะ หรืออุจจาระ แล้วจึงพาไปที่กระโถนหรือห้องน้ำ
กรณีที่ลูกถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระบนผ้าอ้อม หรือรดกางเกงไปแล้ว ควรพูดให้ลูกรู้ว่า “ลูกฉี่หรือ ลูกอึ” แล้วพาไปเข้าห้องน้ำ ล้างทำความสะอาด และให้ทิ้งสิ่งขับถ่ายลงในโถส้วมให้ลูกเห็น ให้รู้ว่าเวลาขับถ่ายแล้วต้องทำอะไรบ้าง
2. สร้างความคุ้นเคยกับกระโถน
แรก ๆ ลูกเห็นกระโถนอาจจะยังไม่กล้านั่ง หรือกลัว พ่อแม่อาจต้องทำท่าทางให้ลูกดู และลองให้ลูกคุ้นเคยกับการนั่งกระโถน ให้ลูกลองนั่งกระโถนบ่อย ๆ อาจนั่งโดยที่ลูกยังสวมผ้าอ้อมไว้ก่อนก็ได้ หรือถ้าลูกยอมก็ให้นั่งในขณะที่ไม่ได้สวมผ้าอ้อม และเพื่อไม่ให้ลูกเครียดหรือกลัวในขณะที่นั่งกระโถน ก็สามารถอ่านนิทานให้ฟัง พูดคุยเล่นกับลูก หรือ เล่นของเล่นได้

3. ฝึกขับถ่ายให้สม่ำเสมอและเป็นเวลา
ในระหว่างวัน ควรกำหนดหรือกะเวลาให้ลูกถ่ายปัสสาวะทุก 2-3 ชั่วโมง และให้ถ่ายอุจจาระทุกวัน วันละ 1 ครั้ง เช่น ให้ลูกนั่งกระโถนในช่วงเช้าทุกวันหลังตื่นนอน หรือหลังมื้ออาหารเพื่อถ่ายอุจจาระ แต่ต้องให้ลูกเต็มใจไม่บังคับ รวมทั้งอาจให้ลูกเริ่มถอดกางเกงหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูปในช่วงสั้น ๆ และวางกระโถนไว้ใกล้ ๆ เพื่อให้ลูกลองนั่งเล่นหรือนั่งขับถ่ายได้ตามต้องการ
4. ดื่มน้ำและกินอาหารช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
ถ้าลูกท้องผูกเขาจะกลัวเจ็บและไม่อยากขับถ่าย จึงควรให้ลูกทานผัก ผลไม้ ดื่มน้ำให้มากพอ ช่วยกระตุ้นให้ปวดปัสสาวะและช่วยให้อุจจาระนุ่มถ่ายออกง่าย ซึ่งในเด็กที่อายุประมาณ 1-2 ปีขึ้นไป ไม่ควรดื่มนมมากเกิน 32 ออนซ์ ต่อวัน แต่ควรให้นมเป็นเพียงอาหารเสริม เนื่องจากนมมีปริมาณไขมันมาก ทำให้การเคลื่อนตัวของลำไส้ช้าลง จะส่งผลให้การฝึกขับถ่ายอุจจาระยากขึ้น
5. นั่งชักโครกเมื่อลูกโตขึ้น
เมื่อลูกนั่งกระโถนได้และเติบโตขึ้น นั่งเองได้แข็งแรงแล้ว อาจพัฒนามาฝึกขับถ่ายที่โถส้วมในห้องน้ำ ด้วยการใช้ฝารองนั่งชักโครก และหาที่วางเท้าให้ลูกวางได้เต็มฝ่าเท้า ไม่ให้เท้าลอยจากพื้นเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มลื่น หรือ ฝึกลูกชายให้ฉี่ในโถปัสสาวะเด็ก ให้ลูกชายได้รู้จักปลดหรือรูดซิปกางเกงเองได้ ยืนฉี่เองได้ และพ่อแม่ต้องอยู่ดูแลลูกตลอดเวลา

6. สอนเรื่องการทำความสะอาด
เมื่อลูกคุ้นเคยสามารถถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูป ถอดกางเกง และนั่งกระโถนเองได้ ให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปทำความสะอาดพร้อมสอนเรื่องสุขอนามัย เช่น ล้างก้นด้วยน้ำสะอาด เช็ดก้นด้วยกระดาษชำระ ป้ายจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อไม่ให้อุจจาระมาเปื้อนด้านหน้า โดยเฉพาะในเด็กหญิง รวมถึงสอนให้ลูกล้างมือหลังจากใช้กระโถน และเช็ดชำระล้างก้นแล้ว

7. เลือกกระโถนที่ถูกใจ เป็นของใช้ประจำตัว
ให้ลูกเลือกลายและสีของกระโถนหรือฝาชักโครกเอง โดยคุณพ่อคุณแม่ควรจะให้ตัวเลือกโดยดูจากขนาดที่พอเหมาะกับตัวลูก ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ให้ลูกนั่งได้สบาย นอกจากนี้กระโถนของลูก ควรต้องผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย ผิวกระโถนควรเรียบลื่น ไม่มีเหลี่ยมแหลมคมหรือเศษวัสดุยื่นออกมาบาดผิว และควรออกแบบมาให้ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่มีซอกเล็กซอกน้อยที่ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง แบรนด์แนะนำ เช่น PUR กระโถนเด็ก Potty 3 in 1 , PUR ฝารองนั่งชักโครกเด็ก Toilet
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
อุ่นนมแม่ น้ำนมแม่ สารอาหารที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ที่จำเป็นต่อการเติบโตของลูกน้อย และสร้างภูมิคุ้มกันที่สำคัญให้กับลูกน้อย ในปัจจุบัน คุณแม่จึงมักนิยมให้ลูกได้ทานน้ำแม่มากขึ้น แต่ด้วยภาระที่คุณแม่ที่ไม่สะดวกต่อการให้น้ำนมลูกได้ตลอดเวลา จึงทำให้คุณแม่นิยมปั้มนมใส่ถุงสต๊อกนำไปแช่เย็นไว้อย่างดี และในเวลาที่ลูกหิวก็นำนมแม่ออกมาอุ่นให้กับลูกน้อยกิน ซึ่งวิธีนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณแม่ได้เป้นอย่างมากอีกด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็น คุณพ่อ คุณตา คุณยาย ใครๆก็สามารถนำนมมาอุ่นแล้วก็ป้อนให้กับลูกน้อยได้ แต่ทุกคนรู้กันไหวว่า ถ้าอุ่นนมผิดวิธี จะทำให้น้ำนมแม่นั้นเสียคุณค่าทางอาหารไป วันนี้ทาง BABY GIFT EXPERT จึงจะมาแชร์วิธีการ การอุ่นนมที่ถูกวิธีให้กับทุกคนได้รู้กันค่ะ ก่อนอื่นที่จะไปรู้วิธีการการอุ่นนม เรามารู้จักกันก่อนว่าก่อนอุ่นนมที่ดี มีข้อห้ามหรือข้อแนะนำอะไรบ้าง วิธีการอุ่นนมแม่แบบทั่วไป อุ่นนมแม่ด้วยวิธีแบบทั่วไปนั้นใครๆก็สามารถทำได้ แต่ข้อเสียของวิธีการนี้คือ อุณหภูมิน้ำอาจจะไม่อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดเวลา ต้องใช้ระยะเวลา มีความยุ่งยาก และหลายขั้นตอน ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่ไม่สะดวก หรือไม่มีเวลามาก อาจจะไม่เหมาะกับวิธีการนี้ และที่สำคัญยังไม่ทันต่อการใช้งาน เพราะบางครั้งลูกน้อยอาจจะหิวไม่เป็นเวลา หรือตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วร้องทานนม อุ่นนมแม่ […]
การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การที่ลูกน้อยยังไม่สามารถนั่งในรถได้อย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัยธรรมดา การเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทางของลูกน้อย วันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีทอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกน้อยและปลอดภัยที่สุดค่ะ 1. รู้จักประเภทของคาร์ซีท ก่อนที่จะเลือกคาร์ซีทให้ลูกน้อย สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือประเภทของคาร์ซีทที่มีในตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้: คาร์ซีทสำหรับทารก (Rear-Facing Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จะติดตั้งหันหลังและรองรับศีรษะและคอของเด็กให้ดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ คาร์ซีทแบบหันหน้า (Forward-Facing Seat): ใช้ได้เมื่อเด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักประมาณ 9-18 กิโลกรัม ตัวคาร์ซีทจะหันหน้าไปข้างหน้าและมีเข็มขัดนิรภัยในตัว คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ (Booster Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนัก 15 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อเสริมให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยกับเด็กที่โตขึ้น 2. เลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก การเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับวัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการรองรับที่ดีในขณะนั่งในรถ หากเลือกคาร์ซีทผิดประเภทอาจทำให้ลูกไม่สามารถได้รับความปลอดภัยที่ดีที่สุดในกรณีเกิดอุบัติเหตุ 3. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเลือกซื้อคาร์ซีท คาร์ซีทที่ดีจะต้องมีการทดสอบด้านความปลอดภัยผ่านมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน […]
การมีน้ำนมให้ลูกน้อยกินอย่างเพียงพอเป็นความปรารถนาของคุณแม่ทุกคน แต่การให้นมจากเต้าอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแม่ยุคใหม่ การปั๊มนมแม่จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ลูกได้กินนมแม่แม้คุณแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ วันนี้ BabyGift จะมาแชร์เทคนิคการปั๊มนมแม่ให้ถูกวิธีและเกลี้ยงเต้า ที่จะช่วยให้คุณแม่มือใหม่มีน้ำนมเก็บสำรองอย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป การปั๊มนมคืออะไร การปั๊มนมแม่ คือการนำน้ำนมออกจากเต้าเพื่อเก็บสำรองไว้ให้ลูกน้อยสำหรับมื้อต่อไป โดยสามารถใช้มือบีบหรือใช้เครื่องปั๊มนมเป็นตัวช่วยก็ได้ การปั๊มนมเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณแม่สามารถจัดการเวลาได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่ต้องให้นมจากเต้าลูกน้อยตลอดเวลา และยังช่วยให้คนในครอบครัวสามารถช่วยป้อนนมได้ในยามที่แม่ไม่สะดวกอีกด้วย การปั๊มนมกับคุณแม่สำคัญอย่างไร การปั๊มนมแม่ มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อตัวคุณแม่และลูกน้อย สำหรับลูก การได้รับน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ส่วนคุณแม่เองก็จะได้ประโยชน์จากการปั๊มนมโดยตรง เช่น การป้องกันเต้านมคัดตึง การรักษาระดับน้ำนมให้คงที่และเพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยให้คุณแม่ประหยัดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหิว คุณแม่ควรเริ่มปั๊มนมตอนไหน ระยะเวลาในการเริ่มการปั๊มนมแม่ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการของคุณแม่แต่ละคน คุณแม่บางคนอาจเริ่มปั๊มนมทันทีหลังคลอดเพื่อกระตุ้นน้ำนม ในขณะที่บางคนอาจรอให้ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ หรือเริ่มเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงาน ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณแม่มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกน้อย ซึ่งควรเริ่มฝึกการปั๊มนมแม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและสร้างน้ำนมได้อย่างต่อเนื่อง 7 เทคนิคการปั๊มนมที่คุณแม่เตรียมคลอดควรรู้ การเรียนรู้เทคนิคการปั๊มนมแม่ตั้งแต่ก่อนคลอดจะช่วยให้คุณแม่มือใหม่มีความมั่นใจและพร้อมรับมือกับการให้นมลูกได้ดียิ่งขึ้น 1. ปั๊มนมทันทีภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หลังคลอดทันทีถือเป็นช่วงเวลาทองในการเริ่มต้นการปั๊มนมแม่ หากลูกน้อยยังไม่สามารถเข้าเต้าได้ คุณแม่ควรเริ่มปั๊มภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หรือช้าที่สุดไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง การปั๊มนมแม่ในช่วงนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมและทำให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะผลิตน้ำนมออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ […]
สอนดูแลลูกตั้งแต่แรกเกิดแบบจับมือทำ โดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย..#BabyGift เข้าใจและมองเห็นถึงความสำคัญ จึงได้ร่วมกับ พี่กัลนมแม่ กลุ่มแม่และเด็ก คลินิกนมแม่ สรุปเทคนิคดูแลทารกแรกเกิด โดยผู้เชี่ยวชาญ #พี่กัลนมแม่ จากในงาน 𝐌𝐨𝐦𝐦𝐲’𝐬 𝐋𝐨𝐯𝐞 𝐌𝐚𝐠𝐢𝐜 จะมีอะไรบ้าง ? ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ดูแลการกินของทารก #นมแม่ดีที่สุด ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดความเสี่ยงติดเชื้อต่างๆ ได้ ถ้าลูกไม่ยอมดูดเต้าให้แม่ใช้เครื่องปั๊มนม และขวดนมแรกเกิดป้อนนมแม่ให้กับลูกน้อยแทน 2. หมั่นสังเกตการเจริญเติบโตลูกน้อย ปกติแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ น้ำหนักลูกน้อยจะเพิ่มขึ้น วันละ 30 กรัม หากน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่านี้ ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ค่ะ 3. สังเกตการขับถ่ายของลูก อุจจาระแต่ละสีบอกสุขภาพลูกได้ หากมีสีขาวหรือแดงเข้ม หรือหากมีปัสสาวะขุ่น มีตะกอน อาจมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที 4. การนอนของทารก ท่านอนที่ดีที่สุดของทารก คือ การนอนหงาย เด็กแรกเกิดควรนอน 16-18 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ Growth Hormone […]
การใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบันเรียกได้ว่าต้องเป็นคุณแม่สายแข็งสายสตรอง ไหนจะมลพิษ ไหนจะฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ที่ถาโถมมาประดังกันอย่างไม่หยุดหย่อน ซ้ำร้ายกว่านั้น เจ้าภัยร้าย PM2.5 ยังมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีกซะนี่ แต่ไหนๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว งั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า PM2.5 พร้อมวิธีการป้องกันกันดีกว่าค่ะ PM2.5 คืออะไร? PM2.5 คือฝุ่นละอองไซส์เล็กจิ๋วที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ถ้าคุณแม่คิดภาพไม่ออก ลองมองดูที่เส้นผมเราค่ะ เจ้าฝุ่นตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าผมเราประมาณ 25 เท่าเลยเชียวนะ และขนาดที่เล็กมากเนี่ยแหละที่เป็นอันตราย เพราะแม้แต่จมูกของเราที่สามารถกรองฝุ่นได้อย่างดีเยี่ยมยังไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้ก็เลยเป็นหน้าที่ของเราแล้วนะที่จะต้องป้องกันตัวเอง PM 2.5 เกิดจากอะไร? สาเหตุหลักๆ ของ PM2.5 มาจากการเผาขยะ โรงงานอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่งอะไรพวกนี้ค่ะ แต่ฝุ่นนี้ก็ไม่ได้มาแค่ฝุ่นนะคะ เพราะมันจะพาพวกสารเคมีอันตรายจำนวนมากมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งอย่าง P-A-Hs สารเคมีที่ไปทำลายระบบประสาทอย่างปรอท รวมถึงแคดเมียมซึ่งเป็นสารพิษจากการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ และสารหนูที่ส่งผลต่อระบบประสาทอีกด้วยเช่นกัน ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ เพราะฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ลูกน้อยของเราจึงมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ แถมยังมีก๊าซต่างๆ ที่ลอยคลุ้งอยู่กับฝุ่นละออง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และโอโซน ซึ่งล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ทั้งสิ้น […]
เมื่อลูกน้อยอายุประมาณ 5 เดือนขึ้นไป ฟันซี่แรกก็จะเริ่มขึ้น ฟันจะค่อย ๆ ดันเหงือกขึ้นมา ทำให้ลูกเริ่มมีอาการคันเหงือก เจ็บเหงือก ลูกเลยชอบที่จะหยิบของเล่นเข้าปากเพื่อกัดเล่น เคี้ยวเล่น ให้ผ่อนคลายอาการคันเหงือกนี้ แต่เพื่อความสะอาด เพื่อความปลอดภัยกับเหงือกและฟันซี่แรกของลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่จึงมักจะมองหายางกัดมาให้ลูกน้อยได้กัดเล่น แต่ยางกัดเด็ก ไม่ใช่อะไรก็ได้นะคะ คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจด้วยว่า วัสดุไร้สารเคมี นุ่มอ่อนโยนสำหรับเด็ก รูปทรงไม่เป็นอันตราย และไม่ทำให้เหงือกและฟันของลูกน้อยบาดเจ็บ แล้วแบบนี้จะเลือกยางกัดเด็กอย่างไรดี เด็กแรกเกิดใช้ยางกัดได้ไหม เรามีคำตอบมาให้ในบทความนี้ค่ะ ยางกัดเด็ก ลดคันเหงือก แบบไหนดี ? ลูกควรใช้ได้ตอนอายุเท่าไหร่ สามารถเริ่มเล่นยางกัดได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือน ขึ้นไป เนื่องจากยางกัดเด็กสามารถเป็นของเล่นเสริมพัฒนาการได้ หรือ เมื่อลูกอายุประมาณ 5 เดือน ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตอาการลูก ว่ามักจะหยิบของเล่นทุกอย่างมากัดเล่นหรือเปล่า พอกัดไม่ได้เนื่องจากของเล่นนั้นแข็งเกินไป ระคายช่องปาก ก็จะทำให้ลูกร้องไห้งอแง เริ่มมีน้ำลายไหลมากขึ้นด้วย อาการเหล่านี้บ่งบอกว่าลูกอยากหาอะไรกัดเคี้ยวเล่นเพื่อบรรเทาอาการคันเหงือก ก็สามารถเริ่มใช้ยางกัดเด็กได้แล้วค่ะ ยางกัดเด็กมีกี่ประเภท พร้อมวิธีการเลือกยางกัดที่พ่อแม่ต้องรู้ ! 1. ยางกัดเด็กแบบซิลิโคน ยางกัดเด็กแบบซิลิโคน จะผลิตจากซิลิโคนฟู้ดส์เกรด BPA Free100% […]