ภาวะครรภ์เสี่ยง ภาวะที่คุณแม่ไม่อยากเจอ

ไม่ว่าแม่ท้องท่านไหนก็ไม่มีใครอยากจะอยู่ในภาวะครรภ์เสี่ยงกันทั้งนั้นแหละใช่มั้ยคะ คุณแม่บางท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องภาวะครรภ์เสี่ยงมาบ้างแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอาการแบบไหนกันแน่ วันนี้เราจะนำเรื่องเกี่ยวกับภาวะครรภ์เสี่ยงมาฝากคุณแม่กันค่ะ

ภาวะครรภ์เสี่ยงก็คือการตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบทั้งต่อตัวคุณแม่เองและลูกในท้อง ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้ลูกเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่คลอด ในขณะคลอด หรือหลังคลอดได้ค่ะ ภาวะครรภ์เสี่ยงมักจะเกิดกับคุณแม่ที่เคยแท้งมาก่อน หรือเคยคลอดก่อนกำหนด คุณแม่ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ หรือตั้งครรภ์ในขณะที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี หรือมากกว่า 40 ปี นอกจากนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากเนื้องอกในมดลูก ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงที่คุณแม่ท้อง การท้องลูกแฝดหรือแม้แต่การที่ลูกในท้องอยู่ในท่าที่ไม่ปกติ

มีข้อไหนที่ตรงกับคุณแม่บ้างมั้ยคะ ถ้ามีคุณแม่รีบปรึกษาคุณหมอแล้วก็เข้ารับการตรวจตามกำหนดและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัดนะคะ เพราะคุณแม่ที่มีภาวะเสี่ยงจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็คุณแม่จะต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างน้อยหนึ่งอย่างโดยคุณหมอตามด้านล่างนี้ด้วยค่ะ

การตรวจประเมินภาวะครรภ์เสี่ยงโดยคุณหมอ

1. อัลตราซาวด์ (Ultrasound)

    การตรวจแบบอัลตราซาวด์ก็คือการตรวจโดยใช้คลื่นความถี่สูงเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นตอนตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของรกหรือของลูกน้อยในท้องค่ะ นอกจากนี้ การตรวจอัลตราซาวด์ยังสามารถบอกปริมาณน้ำคร่ำ รูปร่างของมดลูกและอัตราการเต้นของหัวใจทารกได้ด้วยนะ

    2. การตรวจกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ 

    กลุ่มอาการดาวน์ก็คือดาวน์ซินโดรมที่เราเรียกกันโดยทั่วไปนี่แหละค่ะ สำหรับการตรวจหากลุ่มดาวน์นี้จะสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

      • Combined Test หรือการตรวจครั้งเดียวในช่วงสามเดือนแรก คุณแม่จะตรวจด้วยวิธีนี้ได้เมื่อมีอายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์ คุณหมอจะทำการตรวจผ่านการอัลตราซาวด์โดยวัดความหนาของต้นคอร่วมกับการตรวจเลือดค่ะ แต่การตรวจแบบนี้จะสามารถคัดกรองได้เพียงแค่ 85% เท่านั้นนะคะ แล้วก็จะมีผลบวกลวงอยู่ที่ 5% ค่ะ
      • Quadruple Test หรือการตรวจครั้งเดียวในช่วงเดือนที่ 4-6 ค่ะ คุณแม่ที่มาฝากครรภ์หลังไตรมาสแรกก็จะได้รับการตรวจเลือดในช่วงไตรมาสที่ 2 ค่ะ โดยการคัดกรองนี้จะอยู่ที่ 85% และมีผลบวกลวงที่ 5% เช่นเดียวกับการตรวจวิธีแรกค่ะ
      • นิฟตี้เทสต์ (NIFTY Test) คุณแม่ที่อยากทราบผลแน่ชัดขอแนะนำวิธีนี้เลยค่ะ เพราะเป็นวิธีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่โดยจะตรวจดีเอ็นเอของทารกผ่านทางเลือดของคุณแม่ ซึ่งวิธีนี้จะสามารถตรวจคัดกรองได้ถึง 99% และมีผลบวกลวงน้อยกว่า 1% ค่ะ คุณแม่สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปนะคะ แต่ค่าตรวจก็จะแพงหน่อย เพราะว่าผลค่อนข้างแม่นยำค่ะ

      3. การเจาะน้ำคร่ำ

      การตรวจโดยเจาะน้ำคร่ำนี้จะทำเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ระหว่าง 18-20 สัปดาห์ค่ะ เอาตรงๆ การเจาะน้ำคร่ำนี่เจ็บมาก แต่ก็ต้องทนอ่ะเนอะเพื่อความปลอดภัยของลูกเรา คุณหมอจะเจาะน้ำคร่ำเพื่อนำเซลล์ของลูกมาใช้ตรวจวิเคราะห์หาโรคและความผิดปกติต่างๆ เช่นพวกโรคธาลัสซีเมีย โครโมโซมผิดปกติ หรือโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ ค่ะ

      4. การตรวจอื่นๆ ตามความเห็นของแพทย์

      ยกตัวอย่างเช่น การเจาะเลือดจากสายสะดือ การตรวจการทำงานของหัวใจทารกในครรภ์ (Non-Stress Test: NST) เป็นต้น

      การรักษาข้างต้นนี้นอกจากจะทำให้คุณแม่ทราบได้ทันทีเมื่อเกิดความผิดปกติแล้ว ยังช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนด้านล่างนี้ด้วยนะคะ

      ภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดกับคุณแม่ที่มีภาวะครรภ์เสี่ยง

      1. เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

        เนื่องจากฮอร์โมนจากรกจะต้านการทำงานของอินซูลิน จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้ พอร่างกายคุณแม่มีน้ำตาลสูงก็จะส่งผลต่อลูกน้อยในท้องค่ะ โดยลูกที่คลอดออกมาอาจจะตัวใหญ่กว่าปกติและคลอดก่อนกำหนด หรืออาจจะตัวเล็กกว่าปกติและเสียชีวิตในครรภ์ได้ การเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์นี้ไม่จำเป็นว่าคุณแม่ต้องมีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อนนะคะ ใครๆ ก็เป็นได้ค่ะ

        2. ภาวะรกเกาะต่ำ

          ภาวะรกเกาะต่ำนี้มักจะเกิดกับคุณแม่ที่เคยขูดมดลูกหรือผ่าตัดเนื้องอกในมดลูกมาก่อน โดยในภาวะนี้ รกจะเกาะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น บางส่วนของรกจะไปปิดบริเวณปากมดลูกทำให้มีเลือดออกและเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดค่ะ

          3. ครรภ์ไข่ปลาอุก

            หากเกิดการปฏิสนธิโดยที่ไข่ของฝ่ายหญิงไม่มีโครโมโซมแล้วมันจะเหมือนมีไข่ปลาอยู่ในถุงน้ำแทนการเกิดตัวอ่อนค่ะ โดยภาวะนี้จะทำให้เกิดเลือดออกทางช่องท้อง ซึ่งถ้ามีเลือดออกจำนวนมากจะทำให้ช็อกหมดสติ คุณหมอจะทำการรักษาอาการประเภทนี้ด้วยการยุติการตั้งครรภ์ค่ะ

            4. ภาวะแท้งคุกคาม

              ภาวะนี้จะเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมหรือฮอร์โมน โดยจะเกิดกับคุณแม่ที่มีโรคประจำตัว และทารกที่มีความพิการอยู่ก่อนแล้ว สาเหตุเหล่านี้อาจทำให้มีเลือดออกจากโพรงมดลูกและทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยได้ค่ะ ภาวะแท้งคุกคามนี้อาจจะทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิต หรือถ้าหากมีชีวิตอยู่รอดจนคลอด ก็ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดค่ะ

              5. ภาวะน้ำคร่ำน้อย

                โดยปกติแล้วในช่วงตั้งครรภ์ประมาณ 32-36 สัปดาห์นั้นปริมาณน้ำคร่ำจะไม่น้อยกว่า 500 cc. ค่ะ แต่คุณแม่ที่มีภาวะน้ำคร่ำน้อย ปริมาณน้ำคร่ำจะอยู่ที่ 100-300 cc. เท่านั้น ซึ่งกว่าจะคลอด น้ำคร่ำก็จะลดลงไปเรื่อยๆ จนทำให้โพรงมดลูกแคบกว่าปกติ เมื่อโพรงมดลูกแคบแล้วก็จะทำให้การเจริญเติบโตของทารกไม่เต็มที่ อาจทำให้เกิดรูปร่างผิดปกติ ปอดแฟบ อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ในบางรายจึงต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนค่ะ

                6. ภาวะครรภ์เป็นพิษ

                  ภาวะนี้จะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดค่ะ ในบางรายอาจอันตรายถึงชีวิตเพราะทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก โดยภาวะนี้คุณแม่จะมีอาการบวมบริเวณใบหน้า มือ ขาและเท้า ร่วมกับอาการปวดศีรษะและตาพร่ามัวค่ะ สาเหตุของภาวะนี้คือเกิดจากระดับความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนไข่ขาวออมาทางปัสสาวะค่ะ

                  ภาวะครรภ์เสี่ยงเป็นอะไรที่ฟังดูน่ากลัวก็จริง แต่คุณแม่ก็สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่งนะคะ นั่นก็คือคุณแม่จะต้องมาฝากครรภ์ให้ตรงตามกำหนด ทานยาบำรุงให้ครบ งดดื่มแอลกอฮอล์และงดใช้สารเสพติดต่างๆ นอกจากนี้คุณแม่ควรจะต้องควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้น้อยเกินไปหรือมากเกินไปด้วยน้า

                  สินค้าที่เกี่ยวข้อง

                  คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

                  สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

                  7,700.00
                  คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

                  สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

                  7,700.00
                  คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

                  สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

                  7,700.00
                  คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

                  สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

                  7,700.00
                  คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

                  สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

                  7,700.00
                  คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

                  สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

                  7,700.00

                  บทความแนะนำ

                  โยคะ ช่วยอะไรคุณแม่ได้บ้าง ชวนคุณแม่เริ่มฝึก 3 ท่าโยคะง่ายๆ ท่านอน  ท่าไหว้พระอาทิตย์ ท่าภูเขา คุณแม่คววรู้หลังทำโยคะคุณแม่ไม่ควรอาบน้ำ หรือทานอาหารทันที ควรพัก 30–60นาที เพื่อให้ร่างกายช่วงหลังคลอดมีโอกาสปรับตัว เมื่อคุณแม่แข็งแรงดีแล้ว ค่อยเปลี่ยนจากการทำโยคะมาออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขอบคุณข้อมูลจาก : Morther&care

                  เพราะแม่แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่าง Aprica จึงสรรสร้างนวัตกรรมที่รองรับทุกความต้องการด้วยรถเข็นเด็กหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์ที่ไม่เหมือนกัน แล้วรถเข็นเด็ก Aprica รุ่นไหน เหมาะกับคุณไปดูกันเลย แม่ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ทุ่มเททุกความสุขเพื่อลูกและคนในครอบครัวเป็นสำคัญ ถ้าคำว่า “ที่สุด” คือนิยามของรถเข็นเด็กที่ดีที่สุดสำหรับลูก คือคำตอบเดียวที่คุณต้องการ รถเข็นเด็ก Aprica โดดเด่นในเรื่องนวัตกรรมใหม่ล่าสุดมอบความสบาย นุ่มนวล ปกป้องลูกน้อยแบบ 360 องศา ใส่ใจในสุขภาพและเสริมสร้างพัฒนาการ เพื่อเทวดานางฟ้าตัวน้อย รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Optia รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Soraria Magic basket คุณแม่ทรงพลัง คล่องแคล่ว ขี้เล่น ถ้าคุณและลูกน้อยต้องการความคล่องตัว พร้อมทุกสถานการณ์ รถเข็นเด็กน้ำหนักเบาแต่ครบทุกฟังชันท์ที่เหนือกว่า พร้อมเติมความคล่องตัวด้วยการใช้รถเข็นสลับกับเป้อุ้มเด็กได้ง่าย เป็นตัวช่วยที่ดี ไม่ว่าสถานการณ์ไหนๆ คุณแม่ก็พร้อม รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna CTS รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Luxuna Light คุณแม่เด็กแนว กิ๊บเก๋ทันสมัย ไม่ชอบตามใคร สนใจทางเลือกใหม่ๆ รักอิสระและความแปลกใหม่ รถเข็นเด็ก แบบ 3 ล้อเท่ห์ๆ ไม่เหมือนใครที่ผสมผสานทุกฟังก์ชั่นอย่างลงตัว และที่โดนใจยิ่งกว่าคือ ความแข็งแรง ทนทาน ไม่ว่าจะไปไหนก็พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว ใช้ง่ายพับกางสะดวกและขนาดกระทัดรัด […]

                  โบราณเค้าว่าสามีที่แพ้ท้องแทนภรรยา(เมีย)คือสามีที่รักภรรยามาก…จริงหรอ? คือฟังแล้วก็สงสัยจริงๆ นะคะ ว่าผู้ชายแพ้ท้องได้ด้วยหรอ วันนี้เรามีคำตอบมาให้ค่ะ อาการแพ้ท้องแทนภรรยานั้น ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จริงค่ะ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่ารักมากหรือรักน้อยหรอกนะคะ จริงๆ แล้วอาการนี้ไม่ใช่อาการที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายค่ะ แต่เป็นอาการที่เกิดจากจิตใจของคุณพ่อต่างหาก โดยหลักๆ แล้วคุณพ่อก็จะมีอาการเหมือนคุณแม่เวลาแพ้ท้องนั่นแหละค่ะ จะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริว หน้ามืด วิงเวียน ประมาณนี้ สาเหตุมันเกิดมาจากอะไรกันนะ? มีนักวิจัยได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้และพบว่าสาเหตุมันเกิดมาจากการที่คุณพ่อเริ่มวิตกกังวลบวกกับความตื่นเต้นที่กำลังจะมีสมาชิกครอบครัวเพิ่ม แล้วก็รวมไปถึงความห่วงใยที่มีต่อคุณแม่จึงทำให้ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คุณพ่อมีอาการแพ้ท้องเหมือนคุณแม่ค่ะ อาการแบบนี้ทางการแพทย์เค้าจะเรียกว่า โคเวด ซินโดรม (Couvade Syndrome) อาการแพ้ท้องแทนภรรยาเป็นแบบไหนบ้างนะ? จะแพ้นานไหมแล้วควรทำอย่างไรดีล่ะ? ก็เหมือนๆ กับคุณแม่ ระยะการแพ้ท้องของคุณพ่อมักจะเป็นในช่วงเดือนแรกๆ และจะค่อยๆ หายไปในช่วงเดือนที่สี่ แต่ว่าคุณพ่อบางท่านอาจจะแพ้ท้องจนคุณแม่คลอดเลยก็มีค่ะ ซึ่งก็อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอาการทางจิตเวช นั่นหมายความว่าหากคุณพ่อสามารถจัดการกับความคิดของตัวเองได้ก็จะทำให้อาการดีขึ้นค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อไม่สามารถทำได้ ก็ลองทำวิธีด้านล่างนี้ดูเพื่อช่วยบรรเทาอาการในเบื้องต้นก็ได้นะ แม้อาการแพ้ท้องแทนภรรยาจะเป็นอาการที่ค่อนข้างทรมาน แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่นะเพราะคุณพ่อจะได้เข้าใจหัวอกคุณแม่มากขึ้นไงคะ หากคุณพ่อท่านไหนมีอาการแปลกๆ ช่วงที่คุณแม่ท้อง ก็อาจจะเป็นอาการแพ้ท้องแทนภรรยานี่แหละค่ะ ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณคือผู้ถูกเลือก

                  น้ำนมแม่ คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย  องค์การอนามัยโลกหรือ WHO และยูนิเซฟ มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ด้วยการให้นมแม่ทันทีในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด  และควรให้นมแม่แก่ลูกน้อยเพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด ตลอดจนให้นมแม่ต่อเนื่อง ควบคู่กับอาหารเสริมที่มีคุณค่า ปลอดภัยและเหมาะกับอายุ ตั้งแต่เดือนที่ 6 ไปจนถึงลูกอายุ 2 ปี หรือมากกว่า หรือนานที่สุดตราบเท่าที่ลูกและแม่ยังมีความต้องการนมแม่อยู่ ด้วยเพราะนมแม่มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนเพื่อพัฒนาลูกทุกด้านทั้งด้านสมอง ความฉลาด การเจริญเติบโต อารมณ์จิตใจ แถมการให้นมแม่ยังช่วยให้ครอบครัวประหยัด  นมแม่สะอาด และสะดวกในการเลี้ยงลูกน้อย ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่หลังคลอดทุกคนตั้งใจที่จะให้นมแม่หลังคลอดทันที  ตลอดจนมองหาอุปกรณ์ช่วยในการให้นมแม่ได้สำเร็จ เพื่อให้ลูกรักได้ประโยชน์จากนมแม่อย่างเต็มที่และยาวนาน “ เครื่องปั๊มนม ”  ถือเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้คุณแม่ยุคใหม่ให้นมแม่ได้สะดวกมากขึ้น  และเป็นตัวช่วยสำคัญในการปั๊มนมเพื่อทำสต๊อกนมแม่ไว้ในยามที่ต้องไปทำงาน  ทำให้คุณแม่หลายๆ บ้านต้องซื้อเป็นของใช้ประจำตัว แต่ก็มีคุณแม่หลายท่านมีคำถามว่าเครื่องปั๊มนมนั้นจำเป็นหรือไม่? เพราะลูกน้อยทารกสามารถดูดนมจากเต้าคุณแม่ได้   เราจึงมาชี้ให้เห็นถึงข้อดีของเครื่องปั๊มนมว่ามีความจำเป็นหรือช่วยคุณแม่ได้แค่ไหน พร้อมคำแนะนำว่าคุณแม่ควรซื้อเมื่อไร จึงจะใช้งานได้ดีและคุ้มค่าที่สุด เครื่องปั๊มนม ช่วยแม่ให้นมลูกได้อย่างไรบ้าง? เครื่องปั๊มนมได้ เลือกซื้อได้ตามทรัพย์และสไตล์ครอบครัว สำหรับบางบ้านที่คุณแม่สะดวกและมีเวลาเต็มที่เพื่อให้ลูกน้อยได้ดูดนมจากเต้าตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก  เพราะอาจไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปั๊มนมได้  แต่จากสื่อและข้อมูลต่างๆ จะเห็นว่าเครื่องปั๊มนมในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย หลายราคา  ทำให้คุณแม่สามารถเลือกซื้อหาได้หลายแบบหลายชนิดตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง   […]

                  1.เลือกจากประเภทการใช้งานให้เหมาะสมกับสรีระและน้ำหนักของเด็กค่ะโดยทั่วไปรถเข็นจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 2. วัสดุโครงสร้างของรถเข็นเด็กต้องแข็งแรงและที่สำคัญน้ำหนักต้องเบาเพราะว่าบางครั้งคุณแม่อาจจะต้องเดินทางโดยลำพังกับลูกน้อย นอกจากนี้เบาะที่สัมผัสของตัวน้องควรทำจากวัสดุที่นุ่มสบายเพื่อให้เด็กนั่งได้นาน อีกทั้งยังต้องมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนที่ดีเนื่องจากอากาศที่เมืองไทยค่อนข้างร้อนและระบบปรับอุณหภูมิในเด็กเล็กนั้นยังทำงานได้ไม่ดีนักทำให้เด็กจะร้อนและเหงื่อออกได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ 3. ล้อต้องเป็นล้อที่สามารถหมุนได้สะดวกและแข็งแรง เพราะจะทำให้การเคลื่อนตัวของรถเข็นคล่องตัวขึ้นแม้ว่าคุณแม่จะต้องเข็นรถในที่ที่แคบ 4. โครงสร้างของผลิตภัณฑ์ต้องออกแบบมาเพื่อรักษาให้ขาและข้อต่อสะโพกอยู่ในรูปทรงตามธรรมชาติโดยประคองขาและข้อต่อสะโพกในอยู่ในรูปทรงตัว“M” ซึ่งเป็นท่าที่จะทำให้ขาและสะโพกของลูกน้อยมั่นคงที่สุดรวมทั้งจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกทั้งสองส่วนให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ดีที่สุด 5. มีหลังคาที่สามารถปกป้องลูกน้อยจากแสงแดดและรังสียูวีเพราะผิวหนังของเด็กนั้นยังบอบบางโดยที่บังแดดควรจะปรับได้ตามทิศทางของแสงแดดที่ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาในแต่ละวัน นอกจากนี้ที่บังแดดยังช่วยบังลมให้ลูกน้อยได้อีกด้วย 6. โครงสร้างของรถเข็นเด็ก ต้องออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบการหายใจในกรณีที่เด็กอาจจะเผลอหลับบนรถเข็น โดยมีเบาะที่จะทำให้ศีรษะเด็กไม่เคลื่อนที่และป้องกันการบิดของลำคอจึงช่วยป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทางเดินหายใจอุดกั้น 7. ข้อสำคัญอีกประการก็คือหากคุณใช้รถเข็นเด็กแรกเกิด ควรจะเลือกประเภทที่สามารถหันที่นั่งรถเอาหาตัวคุณแม่ได้ เนื่องจากเด็กเล็กต้องการความเอาใจใส่จากแม่เป็นพิเศษ เมื่อน้องออกไปข้างนอกเขาต้องการจะมองเห็นคุณแม่เพื่อความอุ่นใจค่ะ แต่ถ้าเป็นเด็กโตแล้ว เด็กจะให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวซึ่งในวัยนี้คุณแม่อาจจะปรับที่นั่งรถเข็นให้มองออกไปข้างนอกได้ค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างถูกต้อง

                  เตรียมตัวรับมือให้พร้อมกับการเป็นคุณแม่อย่างเต็มตัว กับ 14 วิธีรับมือลูกแรกเกิด ขอบคุณบทความดีๆ จาก คุณหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

                  Menu
                  All Categories
                  All Brands
                  All Ages
                  Promotions
                  Locations
                  BabyGift Family
                  BabyGift Care
                  Parents Guide
                  News & Event

                  All Categories

                  All Categories
                  All Brands
                  All Ages