พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่ตั้งท้องต้องรู้ – BabyGift

เมื่อเริ่มตังครรภ์ มีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณแม่ทุกคนก็ต้องตื่นเต้นอยากเจอหน้าลูกและสงสัยว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ ไปถึงไหนแล้วใช่ไหมคะ เราจึงนำพัฒนาการของลูกน้อยตลอดเก้าเดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่มาให้ชมกัน เบบี้กิ๊ฟขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ
ลูกน้อยตัวโตแค่ไหนแล้ว เราลองเทียบกับผลไม้ให้ดูค่ะ

พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้
พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 1
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 1 คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เข้าเดือนที่สองไปแล้ว เพราะว่าในเดือนแรกนี้จะเป็นช่วงที่ไข่กับอสุจิเข้าผสมกัน มีการแบ่งเซลล์แล้วก็ฝังตัวของเอ็มบริโอ ซึ่งในระยะนี้เจ้าหนูน้อยก็จะเล็กจิ๋วมาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีขนาดไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนการพัฒนาหลัก ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาในส่วนของรก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับสารอาหารจากคุณแม่

พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 2
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 เดือนนี้แหละที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านจะเริ่มรู้ตัว มีอาการแพ้ท้อง แล้วก็ไปหาคุณหมอเพื่อการฝากครรภ์กันแล้ว ในช่วงเดือนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ก็จะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพัฒนาของระบบประสาท เนื้อเยื่อเส้นใยประสาท แล้วก็ไขสันหลัง คุณแม่สามารถทำอัลตราซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเต้นได้แล้วนะคะ

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3
ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 28 กรัม และมีความยาวประมาณ 7.6 ซ.ม. แล้วค่ะ เป็นช่วงที่ทารกกำลังพัฒนาต่อมรับรส เรียนรู้รสชาติจากอาหารที่คุณแม่ทาน อวัยวะภายในเริ่มทำงานแล้ว คุณแม่จะได้เห็นอวัยวะอย่างชัดเจน เช่น เล็บ ตา ปาก หู จมูก แขนขา และผมขึ้น นอกจากนี้อวัยวะเพศลูกน้อยก็จะเริ่มพัฒนาขึ้น แต่อาจจะเห็นได้ไม่ชัดเจนมาก ในเดือนนี้เสียงหัวใจเต้นของลูกน้อยจะชัดมาก คุณแม่สามารถใช้เครื่องเครื่องฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ แบบพกพาได้นะคะ เช่น แบรนด์ Jumper AngelSounds ที่มีวางขายอย่างแพร่หลายทั่วยุโรปและอเมริกา ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย สามารถใช้เองได้ที่บ้านค่ะ

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 4
เดือนที่ 4 น่าจะเป็นเดือนที่คุณแม่หลาย ๆ คนรอคอย เพราะคุณหมอจะสามารถอัลตร้าซาวด์เห็นเพศของลูกน้อยได้ชัดเจนและแม่นยำแล้ว ลูกน้อยจะมีความยาวของตัวได้มากถึง 18 เซนติเมตร และช่วงนี้ระบบประสาทต่าง ๆ ก็จะเริ่มทำงานแล้ว ลูกน้อยจะสามารถทำสีหน้าต่าง ๆ ได้ สามารถขยับแขนขาได้คล่องแคล่วกว่าเดิม แล้วบางทีคุณแม่ก็อาจจะเห็นเขาดูดนิ้วอยู่เวลาอัลตราซาวด์ด้วย เดือนนี้รู้เพศลูกแล้วคุณแม่สามารถเตรียมของใช้ให้ลูกได้นะคะ เตรียมอะไรบ้างเช็กได้เลยค่ะ Baby Checklist

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 5
เดือนนี้ลูกน้อยจะพัฒนาประสาทสัมผัสต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อาจมีการตอบสนองต่อแสงหรือเสียงรอบตัว คุณพ่อคุณแม่สามารถเล่านิทานหรือเปิดเพลงเบา ๆให้ลูกน้อยในครรภ์ฟังได้ และเดือนนี้ลูกน้อยจะเริ่มดิ้นแล้วนะคะ แต่ถ้าคุณแม่คนไหนยังไม่รู้สึกถึงการดิ้นก็อย่าเพิ่งเป็นกังวล เพราะบางทีคุณแม่อาจจะมีผนังหน้าท้องที่หนา ทำให้ยังไม่รู้สึกถึงการดิ้นของเจ้าตัวจิ๋ว ตอนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดตัวยาวประมาณไม่เกิน 25 เซนติเมตร น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นกว่าเดือนที่แล้วเท่าตัว หากคุณแม่มีอาหารปวดหลังหรือไม่สบายตัว ก็สามารถใช้เข็มขัดพยุงครรภ์ได้นะคะ เช่น แบรนด์ Ministry of mama, Mammy Village ที่สวมใส่สบาย ลดแรงกดบริเวณหน้าท้องและสะโพกได้ดี

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 6
ในเดือนนี้ลูกน้อยจะคุ้นเคยกับเสียงของคุณแม่แล้วค่ะ เพราะประสาททางการได้ยินของลูกพัฒนามากแล้วคุณแม่อย่าเสียงดังทะเลาะกับใครนะคะ เพราะลูกน้อยได้ยินค่ะ ยิ่งเวลาคุณแม่พูดคุยกับลูก ลูกก็จะมีการตอบสนอง มีการดิ้นหรือขยับไปมาด้วยค่ะ ช่วงเดือนนี้จะมีอาการนึงเรียกว่า “ทารกสะอึก” เกิดจากการที่ทารกเริ่มสามารถหายใจในน้ำคร่ำได้ เพราะว่าในช่วงเดือนนี้ลูกจะสามารถผลิตสารมาช่วยทำให้ปอดสามารถทำงานได้ดีขึ้น คุณแม่ก็จะรู้สึกเหมือนลูกน้อยกระตุกเป็นจังหวะอยู่ในท้องนั่นเอง ช่วงเดือนนี้อวัยวะเพศของลูกน้อยก็จะพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิมด้วยนะคะ

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 7
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 7 ตอนนี้ไขมันใต้ชั้นผิวหนังของลูกน้อยจะหนาขึ้นทั่วทั้งตัว ซึ่งจะช่วยทำให้ทารกรู้สึกอบอุ่น มาถึงเดือนนี้เราขอแนะนำให้คุณแม่ลองใช้ไฟฉายอันเล็ก ๆ ที่ไฟไม่แรงมาก ส่องไปที่ท้องดู ลูกจะสามารถเริ่มกระพริบตา ลืมตา แล้วก็ตอบสนองต่อแสงที่ทะลุผ่านหน้าท้องของคุณแม่ได้ค่ะ การใช้ไฟส่องก็เป็นการช่วยกระตุ้นประสาทส่วนรับภาพของลูกน้อยได้อย่างดีเลยทีเดียว ส่วนน้ำหนักตัวของลูกน้อยตอนนี้ก็ประมาณ 1 กิโลกรัมเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 8
เดือนนี้ลูกน้อยจะดิ้นแรงขึ้นกว่าเดิมมาก คุณแม่อาจจะเห็นที่รอยปูด ๆ ที่ท้องได้ชัดเลย เพราะว่าความยาวทารกจะอยู่ที่ประมาณ 40 กว่า ๆ เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม ทำให้ท้องของคุณแม่ดูแคบไปเลย ลูกน้อยเลยขอดิ้น ๆ หมุน ๆ เปลี่ยนท่าซะหน่อย และคุณแม่ควรนับด้วยนะคะว่าลูกดิ้นกี่ครั้งต่อวันในช่วงเดือนนี้สมองของลูกน้อยก็จะพัฒนาเร็วมาก ๆ มีรอยหยักแล้วก็ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทำงานได้ไวมากขึ้นอีกด้วยค่ะ คุณแม่สามารถดื่มน้ำหัวปลี น้ำขิง หรือเครื่องดื่มเพื่อเตรียมน้ำนมให้ลูกน้อยได้นะคะ

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 9
สำหรับพัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 9 เดือนแห่งการรอคอยมาถึงแล้ว เดือนนี้ปอดของลูกน้อยก็จะพัฒนาได้เต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ พร้อมจะออกมาดูโลกได้อย่างหายห่วง สังเกตได้จากว่าลูกน้อยจะกลับหัว โดยศีรษะจะมาอยู่บริเวณช่องคลอดเป็นที่เรียบร้อย ทารกที่คลอดช่วงนี้ก็จะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 42-50 เซนติเมตร น้ำหนัก 2,800-3,500 กรัม ส่วนถ้าลูกของคุณแม่ท่านไหนตัวใหญ่มาก ๆ ก็อาจจะหนักไปถึง 3,600-4,000 กรัมได้เลยนะคะ คุณแม่เตรียมเก็บกระเป๋าไปคลอดได้เลยค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ อ่านสปอยล์การเติบโตของลูกน้อยกันไปเรียบร้อย อย่างไรก็แล้วแต่คุณแม่ท้องอย่าลืมดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ ออกกำลังกายเบา ๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของทั้งคุณแม่และลูกน้อยค่ะ
หากอยากเตรียมของใช้ลูกน้อย BabyGift ยินดีให้คำแนะนำนะคะ เราคัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ใส่ใจในความปลอดภัย มาตรฐานการผลิตจากหลากหลายประเทศ มาให้คุณพ่อคุณแม่เลือกซื้อได้อย่างครบวงจร สามารถแวะมาเลือกของใช้ทารกได้ที่ร้าน BabyGift 4 สาขา ใกล้บ้านคุณ หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ได้นะคะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
ของเล่นเด็ก เป็นไอเท็มที่มีส่วนช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการ ให้กับลูกน้อยได้เป็นอย่างดี โดยของเล่นแต่ละแบบจะมีวิธีการเล่น การกระตุ้นให้ลูกน้อยใช้กล้ามเนื้อ ร่างกาย ประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน การเลือกซื้อ ของเล่นเด็ก ให้ลูกน้อยได้ถูกต้องสมวัย จะช่วยให้เล่นได้สนุก และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการได้อย่างแท้จริง เบบี้กิ๊ฟ เข้าใจแม่ ในความสงสัย และสับสนว่า ควรเลือกซื้อของเล่นชิ้นไหนดี เพราะทุกวันนี้มีของเล่นในท้องตลาดมากมาย ทั้งราคาถูก ไปจนถึงราคาแพง แบบไหนถึงจะเหมาะกับลูกน้อยแต่ละวัย เบบี้กิ๊ฟ หาคำตอบมาให้แล้วในบทความนี้ ของเล่นเด็ก วัยแรกเกิด – 6 เดือน วัยนี้ลูกน้อยจะใช้เวลาไปกับการนอนมากเป็นพิเศษ สลับกับการตื่นมาทานนมทุกๆ 3 ชั่วโมง ในช่วงระหว่างที่ลูกน้อยตื่นนอน สามารถส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็กวัยนี้ได้ โดยเริ่มจาก การฝึกการมองเห็น ผ่านดวงตาโตใสแป๋ว โดยทารกวัยนี้มักจะชอบ มองสิ่งของที่ขยับไปมา เช่น โมบายหมุนได้ และดวงตาของทารกจะ มองเห็นสีที่ตัดกันชัดเจน เช่น สีดำ/ขาว เหลือง/แดง เพราะน้องๆจะยังไม่รู้จักสีพาสเทลเหมือนผู้ใหญ่ และการมองตัวเองแค่ในกระจก ก็เรียกเสียงหัวเราะจากน้องได้แล้วค่า โดยสามารถเลือกเป็น เพลเพน ที่มีโมบาย กระจก ตุ๊กตาห้อยให้ลูกน้อยนอนมองเล่นได้เพลินๆ ค่ะ ฉะนั้น การเลือกของเล่นที่มีสีสันฉูดฉาด บาดใจ จะเหมาะกับเด็กน้อยวันนี้มากๆ โดยวัสดุของเล่นนั้น ควรจะมีลักษณะเป็นผ้า อ่อนนุ่ม ซักทำความสะอาดได้ […]
คุณแม่มือใหม่กับการเอาลูกน้อยเข้าเต้า ให้นมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ เพราะการที่แขนของคุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักลูกและต้องก้มตัวให้นมลูกน้อยบ่อย ๆ อาจจะทำให้คุณแม่ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดแขน หรือ เมื่อยล้าได้สะสมจนส่งผลต่อสุขภาพระยะยาวได้ เพราะเห็นถึงปัญหาของคุณแม่หลังคลอด หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จึงถูกออกแบบมาเพื่อคุณแม่ให้นมโดยเฉพาะเลยค่ะ หมอนออกแบบตามสรีระศาสตร์ทารก ช่วยประคองคอและหลังของลูกน้อย พร้อมช่วยลดอาการปวดเมื่อยของคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้มทารกได้ด้วยค่ะ หมอนรองให้นม เบาะอุ้มให้นม จำเป็นต้องมีไหม? คุณแม่ที่เชี่ยวชาญในการอุ้มทารกเป็นอย่างดี อุ้มลูกน้อยได้สบายหายห่วง เบาะอุ้มให้นมอาจจะดูไม่จำเป็นเท่าไหร่ค่ะ แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เวลาให้นมลูกยังต้องเกร็งแขน จนต้องใช้วิธีเอาหมอนหนุนมาวางซ้อนกันหลาย ๆ ใบ เพื่อรองรับลูกน้อย ยกลูกให้ถึงเต้านม หมอนรองให้นมก็ถือว่าจำเป็นต้องมีค่ะ เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยอยู่ในระดับที่ให้นมได้สะดวกมากขึ้น ลดอาการปวดเมื่อยของคุณแม่ และที่สำคัญหมอนทั่วไปไม่เหมาะกับการให้ทารกนอนระหว่างให้นม เพราะหมอนไม่ได้โค้งกระชับรองรับสรีระทารกค่ะ วิธีเลือกซื้อหมอนรองให้นม 1. เลือกจากรูปทรงหมอนรองให้นมมีหลายรูปแบบ เช่น รูปตัวยู, เบาะตามสรีระทารก เป็นต้น คุณแม่ควรจะเลือกแบบที่ตัวเองถนัด ที่สำคัญคุณสมบัติหลักควรจะกระชับรองรับสรีระทารกได้เป็นอย่างดี 2. กระชับแนบตัวลูก หรือ ตัวคุณแม่หมอนรองให้นมควรจะแนบกระชับตัวลูกน้อย รองรับตามสรีระเด็กทารก เพื่อให้คุณแม่อุ้มได้ถูกท่า หากเป็นแบบหมอนรูปตัวยู ควรจะปรับสายได้เพื่อให้แนบกระชับกับเอวคุณแม่ ไม่ให้หมอนเลื่อนหลุดง่าย […]
ความเชื่อแรกที่ต้องมี..คาร์ซีทคือสิ่งสำคัญ เคยคิดไหมว่าถ้าวันหนึ่งคุณขับรถประสบอุบัติเหตุจนทำให้ลูกน้อยๆ ของคุณได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต คุณจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง?? ผมถือว่าผมเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้รับการปลูกฝังให้เห็นความสำคัญของคาร์ซีทสำหรับเด็กๆ ทั้งจากคุณหมอประจำตัวลูกๆ พี่สาว ภรรยา ตลอดจนเพื่อนๆของผมและภรรยาที่เคยมีลูกมาก่อน ที่พร่ำสอนว่า ต้องให้เด็กนั่งคาร์ซีททุกครั้งที่ขึ้นรถนะ… ทุกครั้งที่ผมเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ผมกับภรรยาจะให้ลูกๆนั่งคาร์ซีทตลอดเวลา ถึงแม้ช่วงแรกๆ (รวมถึงช่วงหลังๆด้วยบางเวลา) เค้าจะร้องไห้ฟูมฟายก็ตาม เราก็ต้องใจแข็งปล่อยให้ร้องไห้ไป เพราะถือคติว่า “safety first” พอนานๆเข้า เด็กๆก็จะเริ่มรู้เงื่อนไขเองว่า ถ้าไม่นั่งบนคาร์ซีทจะไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย แม้แต่วันแรกที่พาลูกออกจากโรงพยาบาลหลังคลอด ผมและภรรยาก็ให้ลูกน้อยนั่งคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด …เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนมักจะใจอ่อน และมักจะคิดว่านิดหน่อยคงไม่เป็นอะไร แต่อย่าลืมว่าอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกวินาทีจริงๆ แข็งใจปล่อยให้ลูกร้องไห้ ดีกว่าไม่มีโอกาสให้เขาได้ร้องไห้นะครับ… กระนั้นก็ดี ด้วยความที่คาร์ซีทยี่ห้อดีๆมักจะมีราคาสูง(มาก) เดิมทีผมมีลูกชายคนเดียวก็มีสำหรับเด็กแรกเกิดถึงสองขวบ ต่อมาพอน้องปัณณ์โตขึ้นก็กัดฟันควักกระเป๋าซื้อสำหรับเด็ก 1-5 ขวบ มาอีกตัว จากนั้นพอผมมีน้องปุณณ์ ลูกสาวอีกคนที่อายุย่างเข้า 9 เดือน ภรรยาก็อยากได้ คาร์ซีทที่แข็งแรงๆ อีกอันไว้ให้น้องปัณณ์นั่ง ส่วนน้องปุณณ์จะขยับมานั่งอันที่สองแทน ผมก็คัดค้านเพราะเห็นว่าสิ้นเปลือง อันแรกยังใช้ได้อยู่เลย… แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยอมควักเงินอีกสองหมื่นกว่าซื้อมาอีกตัวอย่างเสียไม่ได้ หลังจากซื้อมาได้เพียงเดือนเดียว เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและร้ายแรงที่สุดในชีวิตผมก็เกิดขึ้นจนได้ ผมกับครอบครัวเดินทางไป กทม. โดยลูกชายผมนั่งคาร์ซีทตัวใหม่อยู่ด้านข้างคนขับ (ขยับเบาะให้ไกลจาก […]
เมื่อรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่สถานะคุณแม่ตั้งครรภ์เต็มตัวแล้ว สิ่งแรกที่บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายแอบกังวลอยู่ไม่น้อย คงจะหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ตรงของการเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว บรรดาเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด มักจะวนเวียนมาถามว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินอะไร หรือสามารถกินอะไรได้บ้าง ยิ่งถ้าไม่มีอาการแพ้ท้อง ถือว่าโชคดีสองชั้น อยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอน หรือแพ้ท้องแล้วก็ดันอยากจะกินอาหารที่ไม่ควรกินอีก เพราะโน้นก็อร่อย นี่ก็ของชอบ ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์รึเปล่า วันนี้คุณแม่เลยอยากจะแนะนำอาหารคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องใหม่ไม่ควรรับประทานให้ฟังว่า 1. อาหารที่มีรสจัดคุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เพราะระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม การกินอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด จะทำให้มีโอกาสปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ นำไปสู่อาหารเป็นพิษได้ง่าย 2. อาหารที่ก่อโรคไหลย้อนในช่วงตั้งครรภ์ โอกาสที่คุณแม่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนโดยเฉพาะ อาหารทอด, อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ, อาหารที่มีรสจัด, ชา, กาแฟ, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ชีส รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น 3. อาหารที่กินแล้วท้องผูกต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาการท้องผูกกลายเป็นของคู่กันของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อย่างผักและผลไม้แทน […]
การเดินทางโดยรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหลาย ๆ ครอบครัว การเลือกใช้คาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องความปลอดภัยของลูกน้อยในทุกการเดินทาง และหนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ คาร์ซีทหมุนได้ หรือ คาร์ซีทหมุนได้ 360 องศา ซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชันการหมุน ที่ช่วยให้การติดตั้งและการย้ายลูกน้อยเข้า-ออกจากคาร์ซีททำได้ง่ายยิ่งขึ้น คาร์ซีทหมุนได้คืออะไร ? คาร์ซีทหมุนได้ คือ คาร์ซีทที่สามารถหมุนตัวได้รอบทิศทาง 360 องศา ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถหมุนคาร์ซีทไปทางด้านข้าง หรือ หันไปทางประตูรถได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการติดตั้งคาร์ซีทและการย้ายลูกน้อยเข้า-ออกจากคาร์ซีทได้ง่ายขึ้นมาก คาร์ซีทหมุนได้จำเป็นไหม ช่วยให้สะดวกขึ้นอย่างไรบ้าง ? 1. คาร์ซีทหมุนได้ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน : การหมุนได้ 360 องศาช่วยให้อุ้มลูกน้อยเข้า-ออกจากคาร์ซีทได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องมุดตัวหรือเอี้ยวตัวในพื้นที่แคบ ๆ ของรถ ช่วยลดความเสี่ยงที่ศีรษะจะไปกระแทกกับขอบประตูหรือพาลูกน้อยหกล้มได้เป็นอย่างดี 2. คาร์ซีทหมุนได้ รองรับการใช้งานในระยะยาว : คาร์ซีทหมุนได้สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งการนั่งจากหันไปข้างหลัง (Rear-facing) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก ไปจนถึงการหมุนหันไปข้างหน้า (Forward-facing) เมื่อเด็กโตขึ้นได้ โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ 3. สะดวกในการดูแลลูก : การหมุนคาร์ซีทไปทางด้านข้างจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้ง่ายขึ้น เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือการปลอบโยนเมื่อลูกร้องไห้งอแงได้เลย […]
คุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินคำว่า วัยทอง 2 ขวบ หรือ Terrible Two ใช่ไหมคะ ซึ่งเป็นวัยที่เด็ก ๆ มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และพฤติกรรม อย่างเห็นได้ชัด เริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจพัฒนาการวัยนี้ให้ดีเลยนะคะ เพื่อจะได้เตรียมพร้อมรับมือกับลูกวัยนี้ได้อย่างถูกต้อง วัยทอง 2 ขวบ แค่เข้าใจก็รับมือได้ ลูกรักวัย 2 ขวบ มีพัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ที่มากขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ลูกวัย 2 ขวบ มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เมื่อถูกบังคับก็จะหงุดหงิด เมื่อไม่พอใจก็จะโวยวาย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย งอแงง่ายกว่าเดิม เนื่องจากลูกต้องการเป็นอิสระตามใจ และอยากทำอะไรด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดเป็นพัฒนาการปกติของเด็กวัยนี้ สาเหตุที่ลูกวัยทองสองขวบหงุดหงิดง่าย 7 วิธีรับมือลูก วัยทอง 2 ขวบ 1. ใจเย็น เข้าใจความต้องการของลูก ลูกวัยนี้อาจจะยังสื่อสารบอกความต้องการได้ไม่ดี และพยายามจะทำอะไรเองก็ยังไม่สำเร็จ จึงหงุดหงิดตัวเอง และหงุดหงิดสิ่งรอบตัวได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จึงควรรับรู้ว่าเป็นเรื่องปกติตามวัยของเขา พร้อมกับหมั่นพูดคุย สอบถามความต้องการของลูกเสมอว่าลูกอยากจะทำอะไร ให้แม่ช่วยไหม ต้องมีความสม่ำเสมอในการแนะนำลูก 2. […]






