ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก นวัตกรรมใหม่ที่ต้องรู้

การทำความสะอาดของเล่นเด็ก ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่อย่างเราต้องใส่ใจ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (SARS) และไข้หวัดนก การใช้วิธีแบบเดิม ๆ ที่ได้ผลในอดีต อาจไม่เพียงพอในการป้องกันเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่แฝงตัวอยู่รอบตัวได้ รวมไปถึงปัญหามลพิษในอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ฆ่าเชื้อโรคของใช้ลูก จึงต้องเลือกที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และใช้ได้กับทุกคนภายในครอบครัว เพื่อความคุ้มค่าสูงสุด

ความต้องการทีเปลี่ยนไปของผู้บริโภคทำให้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีเชิงวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศจีน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเสริมจากการป้องกันตนพื้นฐาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การพกพาเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ หรือการใช้สารฟอกขาวในการฆ่าเชื้อ ได้แก่ เทคโนโลยีเครื่องปล่อยโอโซน เครื่องผลิตไอออนประจุลบ เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามมีผลิตภัณฑ์มากมาย ที่ผลิตโดยไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย หรือไม่ได้ประสิทธิภาพตามคำโฆษณา จึงก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี หรือไม่ได้ผลในการฆ่าเชื้อโรค ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณแม่จึงต้องทำความเข้าใจรูปแบบของการ ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ใหม่ๆ เพื่อรู้ให้เท่าทันก่อนการตัดสินใจซื้อมาใช้กับลูกน้อยค่ะ

เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte Water Maker)

เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ถือเป็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้อที่ใหม่มากในประเทศไทย แต่ในประเทศแถบยุโรป หรือเกาหลีใต้ นั้น ได้ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมานานแล้ว โดยเครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ จะนำหลักการทางเคมี ที่เรียกว่า “กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส” หรือการปล่อยประจุไฟฟ้า ผ่านไปยังตัวนำไฟฟ้า (อิเล็กโทรด) ที่สัมผัสกับสารละลาย ซึ่งก็คือ น้ำประปา และเกลือบริสุทธิ์ จนก่อให้เกิดการออกซิเดชั่น (Oxidation) และได้สารประกอบใหม่ขึ้นมา ได้แก่ กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) , ไฮโปคลอไรท์ ไอออน (OCl-)  , โซเดียม ไฮโปคลอไรต์  (NaOCl) ฯลฯ ซึ่งในบรรดาสารประกอบที่เกิดขึ้น กรดไฮโปคลอรัส ถือเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อสูงสุด โดยมีบทความ และผลวิจัยจากต่างประเทศมากมาย ที่ได้มีการพูดถึง กรดไฮโปคลอรัส เป็นอย่างมาก

กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous  Acid) หรือชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl เป็นกรดอ่อน ๆ จากธรรมชาติ ชนิดเดียวกันกับภูมิคุ้มกันในร่างกาย  มีคุณสมบัติในการทำลายเยื่อผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโต และหยุดการแพร่กระจายในบริเวณนั้นได้ เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์คุ้นเคย จึงมีความอ่อนโยนกว่าการใช้สารฟอกขาว หรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธีได้

เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส ที่ได้จากเครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ มีความเป็น Organic 100% ไม่มีสารกันเสีย จึงทำให้ระเหย และกลับคืนสู่สภาพตั้งต้น หรือกลับกลายเป็นน้ำประปาดังเดิมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิสูง จึงต้องผลิตใหม่อยู่เรื่อย ๆ และไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ การเลือกใช้เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ที่ดีอาจมีราคาสูง แต่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย การกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ การล้างกำจัดยาฆ่าแมลง เป็นต้น

การเลือกซื้อ เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ที่นำมาใช้ฉีดพ่น ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ฉีดเช็ดสิ่งของรอบตัวลูกน้อย หรือการแช่ล้างฆ่าเชื้อ ล้างทำความสะอาดให้กับคนในครอบครัว นอกจากต้องได้รับรองมาตรฐานการผลิตจากหน่วยงานของรัฐในประเทศผู้ผลิต เพราะจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังต้องทราบว่า หากปล่อยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่น้ำอิเล็กโทรไลต์อยู่ตลอดเวลา จะไปเพิ่มค่าความเข้มข้นในน้ำ ให้สูงเกินค่ามาตรฐาน จนอาจก่อให้เกิดผลเสียได้ โดยปัจจุบันที่มีนำเข้ามาขายในประเทศไทย ราคาอยู่ที่ 7,000 – 10,000 บาท

เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา (Personal Rechargable Air Purifier)

เครื่องฟอกอากาศสำหรับพกพา ชนิดที่สามารถปล่อยประจุลบนั้น มีมานานหลายปีแล้ว แต่เพิ่งได้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทย ในช่วงที่เริ่มมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้น  เนื่องจากเครื่องได้ถูกประดิษฐ์ให้มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบา ดูทันสมัย สามารถห้อยคอ พกพาไปได้ทุกที่ จึงได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก โดยตัวเครื่องสามารถชาร์จไฟด้วยสาย USB และใช้งานได้นานถึง 30 – 150 ชั่วโมง

เครื่องฟอกอากาศ แบบพกพา ชนิดนี้ ทำงานโดยการปล่อยไอออนลบ หรือประจุลบ ปริมาณมากว่า 2,000,000 ประจุ ทุกวินาที อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นม่านประจุลบบริเวณโดยรอบใบหน้า หรือระยะการสูดลมหายใจ เมื่อประจุลบเหล่านี้เข้าจับตัวกับสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ได้แก่ ฝุ่น ละอองเชื้อโรค แบคทีเรีย เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ ขนสัตว์ จะทำให้ตกลงสู่พิ้นผิว เป็นการลดอัตราการสูดหายใจนำสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกาย และช่วยทำให้คุณภาพอากาศรอบตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้หากไม่ทำความสะอาดพื้นผิวที่สิ่งสกปรกเหล่านั้นตกหล่น ก็อาจปลิวกลับขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน จึงต้องทำความสะอาดพื้นผิวทุกครั้งจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด

อย่างไรก็ตาม  ประสิทธิภาพของ เครื่องฟอกอากาศชนิดปล่อยประจุลบ จะอ่อนประสิทธิภาพลงเมื่ออยู่กลางแจ้งซึ่งมีลมพัดแรง หรืออากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  และกระบวนการไหลเวียนอากาศผ่านแผ่นสร้างประจุไฟฟ้า (Ionizing) จะทำให้เกิดโอโซน ฉะนั้นต้องเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศพกพา ที่ได้รับมาตรฐานการผลิต และมีปริมาณโอโซนไม่เกิน 0.05 ppm ตามมาตรฐานที่องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา FDA USA กำหนด โดยราคาขายในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 – 7,000 บาท

เครื่องผลิตโอโซน (Ozone Generator)

โอโซน (Ozone หรือ O3) คือ  รูปหนึ่งของก๊าซออกซิเจนที่มีพลัง (Active Oxygen) สามารถทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น กับสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ได้เกือบทุกชนิดทั้งในน้ำและในอากาศ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่รุนแรงและเร็วกว่าคลอรีนถึง 3,125 เท่า โดยโอโซนจะเข้าไปจับกับโมเลกุลของสารปนเปื้อน และทำการแยกย่อยสลายโดยการเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น เนื่องจากโอโซนเป็นก๊าซที่มีโครงสร้างไม่เสถียร หลังทำปฏิกิริยา โอโซนจะแปรสภาพกลับเป็นก๊าซออกซิเจนทั่วไปที่มีอยู่ในอากาศ ซึ่งไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบใดๆ ต่อมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม โอโซนได้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1840 โดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อคริสเตียน เฟเดอริก ชอนไบน์ โดยตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Ozein ที่แปลว่า ดม

วิธีการเกิดก๊าซโอโซน
  1. ในธรรมชาติก๊าซโอโซนเกิดจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงในอากาศ หรือฟ้าผ่า ฟ้าแลบ และแสงจากดวงอาทิตย์ ที่มีรังสี Ultra Violet เปลี่ยนโครงสร้างของออกซิเจนจาก O2 ให้เป็น O3
  2. การใช้รังสี Ultra Violet หรือหลอดไฟ UV วิธีนี้จะสร้างความเข้มข้นของก๊าซโอโซนไม่สูงนัก จะอยู่ในช่วง 0.01 – 0.10% โดยน้ำหนัก (ช่วงคลื่น 185 นาโนเมตร)
  3. การใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง (High Frequency Corona Discharge) จะสามารถทำความเข้มข้นของก๊าซโอโซนได้สูงถึง 6% โดยน้ำหนัก ในยุโรป และอเมริกา สามารถผลิตได้ถึง 3,000 ปอนด์/วัน (ประมาณ 56 กิโลกรัม/ชั่วโมง)
จุดเด่นของก๊าซโอโซน
  • ฆ่าเชื้อโรคได้รวดเร็ว โดยเฉพาะแบคทีเรีย (สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและกลิ่นเหม็น) ที่ความเข้มข้น 0.01-0.04 PPM
  • ทำลาย กลิ่น สารเคมี และก๊าซพิษได้ดีเยี่ยม
  • ไม่ทิ้งพิษตกค้าง เพราะเมื่อทำปฏิกิริยากับมลพิษเสร็จทุกครั้ง จะได้ออกซิเจน (O2) ที่เป็นก๊าซบริสุทธิ์ จึงเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี

ถึงแม้โอโซนจะมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อไวรัส อย่างไวรัสโคโรนา และมีการนำมาใช้ฆ่าเชื้อในสถานพยาบาล สำหรับในประเทศไทยนั้นเครื่องผลิตโอโซนยังไม่ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อภายในบ้านมากนัก เพราะตัวเครื่องยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่มาก และผู้ใช้จะต้องมีความรู้ที่เพียงพอ เพราะหากใช้ผิดวิธี อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ได้ โดยการใช้โอโซนนั้น จะต้องใช้ในค่าความเข้มข้นที่ปลอดภัย คือไม่เกิน 0.05 ppm และต้องใช้ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท โดยจะต้องเลือกใช้เครื่องที่ผลิตได้ปริมาณพอดีกับขนาดพื้นที่ที่ต้องการใช้ ในปริมาณที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี (UV Sterilizer)

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV หรือ ตู้อบฆ่าเชื้อรังสี UV ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ในการกำจัดไวรัสแบคทีเรีย ให้กับทุกคนภายในบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยได้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานมากแล้ว ในวงการแม่และเด็ก โดยเริ่มต้นจากการนำมาใช้ฆ่าเชื้อขวดนม แทนที่เครื่องนึ่งขวดนม เพราะเป็นการฆ่าเชื้อที่ผ่านการรับรองและวิจัย ว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสแบคทีเรียได้ 99.9% โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อน จึงมั่นใจได้ว่าของใช้ที่ลูกน้อยต้องสัมผัส หรือนำเข้าปาก จะสะอาดจริง และเนื่องจากไม่ใช้ความร้อน จึงช่วยยืดอายุการใช้งานของขวดนมได้อีกด้วย

รังสี UV-C นั้น เป็นประเภทหนึ่งของรังสี UV ที่ไม่สามารถทะลุผ่านมายังพื้นโลกได้ มนุษย์จึงได้มีการคิดค้นหลอดสังเคราะห์แสง UV-C ชื่อว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation (UVGI) เพื่อนำมาใช้ในการฆ่าและทำลายเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ ที่อยู่บนพื้นผิวและในอากาศ ซึ่งหลอด UV-C มีหลายประเภท และมีค่าความเข้มข้นแสงที่ต่างกันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน โดยในการฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา หรือที่ถูกนำมาใช้กับเครื่องฆ่าเชื้อนั้น จะใช้หลอด UV ที่มีค่าความเข้มข้นแสงอยู่ที่ 257.3 นาโนเมตร ซึ่งเป็นค่าความเข้มข้นที่เพียงพอในการทะลุเข้าไปทำลาย DNA ของเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคไม่สามารถสืบพันธุ์ หยุดการเจริญเติบโต และตายในที่สุด

ตู้ฆ่าเชื้อรังสี UV ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ระบาดในประเทศไทย หลังจากที่มีบทความ และผลวิจัยต่าง ๆ มากมาย ออกมาพูดถึงประสิทธิภาพของรังสี UV ในการกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ 100% และยังมีผลการทดลองจากทีมแพทย์ รพ. รามาธิบดี ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า รังสี UV สามารถกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนา บนหน้ากากอนามัย และ หน้ากาก N95 ได้จริง โดยไม่ทำให้เสื่อมประสิทธิภาพ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพลังในการกำจัดเชื้อโรคของรังสี UV

อ่านข่าวการวิจัยฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัยด้วยรังสียูวี  ได้ที่นี่ >> Click

ปัจจุบันในประเทศไทย จึงมีการนำเข้า เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV มาจำหน่ายเป็นปริมาณมาก รวมทั้งมีการคิดค้นและดัดแปลงตู้อบชนิดอื่น ๆ โดยการติดตั้งหลอดไฟ UV เข้าไป เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อ โดยเป็นเครื่องที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานการผลิตและการป้องกันอันตรายที่อาจได้รับจากการใช้แสง UV แบบผิด ๆ เนื่องจากรังสี UV มีความเข้มข้นสูง หากสัมผัสโดนผิวหนังหรือดวงตา จะก่อให้เกิดอันตราย และมะเร็งผิวหนังได้ การเลือกซื้อ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัย โดยวัสดุจะต้องป้องกันการเล็ดลอดของรังสี UV ไม่ให้ออกสู่ภายนอก มีระบบตัดไฟ และวัสดุภายในยังต้องสามารถสะท้อนแสง UV ให้ส่องไปได้ทั่วถึงทุกอณู รวมถึงค่าความเข้มข้นของแสง UV กำลังไฟของหลอด เมื่อเทียบกับพื้นที่ความจุยังต้องสอดคล้องกัน เพื่อให้การฆ่าเชื้อโรคมีประสิทธิภาพ 100%

แนวโน้มในอนาคตของการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก น่าจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ในฐานะคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงไม่ควรพลาดที่จะทำความรู้จักหลักการใช้งานเหล่านี้ไว้ เพื่อสามารถตัดสินใจซื้อสิ่งที่ดีที่สุดให้คุ้มค่า และใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

…แต่ก็ไม่ง่ายเลย ให้คาร์ซีทเป็นเก้าอี้วิเศษของเด็กๆ ประสบการณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่อยากแชร์ให้ทุกๆบ้านฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกๆ วิธีนี้พิสูจน์แล้วได้ผลแน่นอนค่ะ แต่ช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็งหน่อยนะคะ อ่านจบแล้วนำไปฝึกกับลูกๆเราได้เลยค่ะ ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆ เรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ”  คาร์ซีทของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย 1. สร้างความผูกพันกับคาร์ซีท อนุญาตให้ลูกเอาสติ๊กเกอร์มาตกแต่งคาร์ซีทของตัวเองได้ เอาให้ถูกใจเลยเพราะต้องนั่งไปอีกนาน 2. มอบรางวัล บอกลูกว่า เราจะออกเดินทางได้ก็ต่อเมื่อล็อกสายรัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วลูกจะรีบทำตัวน่ารักเพราะอยากไปเที่ยว แต่ถ้ากำลังพาไปหาหมอ อาจให้ขนมเป็นรางวัลได้ 3. เบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าโยเยนัก ชวนคุยเรื่องการ์ตูนที่ลูกกำลังอินดีกว่า แค่นี้ก็เผลอจดจ่อกับการโม้เรื่องเจ้าหญิงกับฮีโร่ จนไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองถูกจับนั่งคาร์ซีทเรียบร้อยแล้ว (มุกนี้ไม่เหนื่อย แถมสนุกดีด้วย) 4. เตรียมของเล่นแก้เบื่อ ควรมีของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในรถ แนะนำว่าควรเป็นของเบาๆ และไม่แข็ง เช่น หนังสือผ้า เพราะคุณอาจโดนลูกเอาของในมือปาใส่ขณะขับรถ […]

เพราะคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์สารอาหารที่มีครบถ้วน เพื่อพัฒนาลูกน้อยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านความฉลาด การเติบโตแข็งแรง อารมณ์ดีมีความสุข ขับถ่ายง่าย แถมนมแม่ยังมีสารสร้างภูมิคุ้มกันมากมาย ทำให้ลูกน้อยไม่เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณแม่ทุกท่านจึงปรารถนาจะให้ลูกน้อยได้รับคุณค่าอันมหัศจรรย์จากน้ำนมแม่อย่างเต็มที่ไปจนโต หรือให้นมลูกได้นานที่สุด  โดยคุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่ นอกจากจะให้นมแม่จากเต้าโดยตรงกับลูกน้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่เวิร์กกิ้งมัม จะต้องทำสต๊อกน้ำนมแม่เก็บแช่แข็งหรือแช่เย็นไว้ เพื่อให้ลูกรักยังได้กินนมแม่ตลอดเวลา แม้จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แต่มีคุณแม่มือใหม่หลายท่านที่ยังไม่มั่นใจหรือกังวล กับการละลายนมแม่ที่แช่แข็งมาใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าวิธีการไหนจะสะดวก สะอาด ปลอดภัย แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และทำแบบไหนจะไม่เสียคุณค่าน้ำนมแม่  ดังนั้นอยากรู้ว่าแต่ละ วิธีละลายน้ำนมแม่ แตกต่างกันอย่างไรไปดูกันค่ะ ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนช่องแช่ เพื่อละลายนมแม่ก่อน หากคุณแม่เก็บน้ำนมแม่ไว้ในช่องแช่แข็ง จำเป็นต้องนำนมแม่เปลี่ยนมาแช่ที่ช่องแช่เย็นธรรมดาด้านล่างก่อนประมาณ 1 วันหรือ 1 คืน เพื่อให้นมแม่ค่อยๆ ละลาย  ควรนำนมเก่าที่แช่แข็งไว้ตามวันเวลาที่เก็บสต๊อกไว้นานที่สุดก่อน  เพื่อไม่ให้นมเก่า เก็บไว้นานเกินไป  แล้วจึงทยอยนำนมใหม่มาใช้ไล่ตามเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อนมแม่ละลายแล้ว  คุณแม่ควรแบ่งนมแม่จากถุงเก็บน้ำนมใส่ขวดนม แบ่งปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อนั้นๆ แล้วจึงนำมาอุ่นหรือละลายก่อนให้ลูกกิน   ซึ่งนมที่เหลือในถุงเก็บน้ำนมสามารถแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาให้ลูกกินให้หมดภายใน 2-3 วัน เท่านั้น  แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักจะนำมาอุ่นหรือละลายให้ลูกกินในมื้อถัดไปภายในวันเดียว หรือ 24 ชั่วโมง วิธีละลายน้ำนมแม่ […]

ปัญหาใหญ่ของคุณแม่อีกปัญหาหนึ่งเวลาตั้งท้องก็คือการทานยาเวลาไม่สบายนั่นเองค่ะ อันนี้กล้าพูดได้เลยเพราะเจอกับตัวเองเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่รู้อ่ะเนอะว่าในยาแก้แพ้พวกนี้มีส่วนผสมหรือสารอะไรที่จะมีผลต่อลูกในท้องบ้าง วิธีแก้ไขขั้นพื้นฐานที่สุดก็คือเลิกทานยาไปเลย ขนาดไม่สบายหนักๆ จนแทบทนไม่ได้ยังยอมที่จะไม่ทานยาเลยค่ะ แล้วดูอากาศประเทศไทย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตก แบบนี้จะไม่ให้ป่วยยังไงไหว แต่วันนี้เราจะมาบอกคุณแม่แม่ว่า มันมียาแก้แพ้บางตัวที่คุณแม่ท้องสามารถทานได้นะคะ เพราะยาพวกนี้ได้รับการคอนเฟิร์มจากคุณหมอแล้วว่าไม่มีผลต่อลูกน้อยแน่นอน เราลองมาดูกันดีกว่าว่าคุณแม่ใช้ยาอะไรได้บ้าง ยาแก้แพ้ที่ปลอดภัยกับคุณแม่ 1. คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine: CPM) เวลาพูดถึงยาแก้แพ้ ยาตัวแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คือเจ้ายาตัวนี้แหละ ยาเม็ดเล็กๆ สีเหลืองที่ช่วยลดอาการแพ้ ลดน้ำมูกแล้วก็แก้อาการคัน คุณแม่ท้องทานยาตัวนี้ได้เนอะ เพราะจากกรณีที่ผ่านมายังไม่พบว่ายาตัวนี้ส่งผลต่อลูกในท้องเลยค่ะ แต่ว่ายาตัวนี้มันจะมีผลข้างเคียงทำให้คุณแม่อ่อนเพลีย เพราะงั้นอาจจะต้องงดใช้ยาเวลาที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และคุณลูกค่ะ ที่สำคัญก็ไม่ควรใช้ยาตัวนี้เกิน 3 วันนะ เพราะว่าถ้าใช้ไปมากๆ แล้วอาจจะทำให้เกล็ดเลือดต่ำ แล้วลูกที่คลอดออกมาอาจจะมีอาการเลือดไหลผิดปกติได้ด้วยค่ะ 2. แอคติเฟด (Actifed) ยาตัวนี้จะช่วยลดอาการคัดจมูก ทำให้พวกอาการภูมิแพ้ทางจมูกดีขึ้น แล้วก็บรรเทาอาการคัดจมูกที่เกิดจากหวัดได้ค่ะ แต่ยาตัวนี้ก็จะทำให้ง่วงเช่นเดียวกัน ดังนั้น คุณแม่ควรจะทานยาแล้วก็พักผ่อนให้เพียงพอนะคะ พอตื่นมาอาการจะได้ดีขึ้น สดชื่นได้เหมือนเดิมค่ะ 3. เซทิไรซีน (Cetirizine) หรือ ฟาเทค (Fatec ®) คุณแม่ที่ต้องเดินทางหรือทำงานในช่วงที่ไม่สบายก็ขอแนะนำให้ทานตัวนี้เลยค่ะ เพราะว่ายาตัวนี้ไม่ทำให้ง่วงหรืออ่อนเพลีย แถมยังไม่ส่งผลเสียต่อลูกน้อยอีกต่างหาก แต่ว่ายาตัวนี้มันจะออกฤทธิ์ช้ากว่ายาตัวอื่นๆ นะคะ คุณแม่ก็เลยอาจจะหายช้านิดหน่อยค่ะ 4. ยาหยอดหรือยาพ่นจมูก […]

รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Optia สำหรับเด็กแรกเกิด – 3 ปี หรือน้ำหนัก 2.5 – 15 kg เพื่อความสุขแบบ Double ประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางที่สบายกว่าช่วยให้การเดินทางสำหรับคุณแม่และลูกน้อยเป็นเรื่องง่าย สะดวก สบาย ด้วยนวัตกรรมที่เหนือกว่า Function 1 : ลดแรงสั่นสะเทือนแบบ Double ด้วยระบบรองรับแรงกระแทกถึง 2 จุดระบบรองรับแรงกระแทกใต้ที่นั่ง และระบบรองรับแรงกระแทกที่ล้อ ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 40% Function 2 : ระบายอากาศแบบ Double ด้วยเบาะรองนอน Silky Air และผ้าระบายอากาศทุกชั้นเบาะรองนอน ถักทอด้วยเส้นใย Silky Air มีความอ่อนนุ่ม ระบายอากาศได้ดี ให้ความรู้สึกเบาสบายเมื่อสัมผัสกับผิวที่บอบบางของทารก Function 3 : ลดความอับชื้นแบบ Double ด้วยระบบ DoubleThermo Medical Sysem ช่วยระบายอากาศให้ความรู้สึกสบายตัวแผ่นฉนวนกันความร้อนพิเศษด้านหลัง ลดความร้อนสะสมบริเวณหลัง และลดอุณหภูมิของร่างกายลูกน้อยในขณะหลับได้ดี Function […]

การให้ลูกน้อยทารกนอนเปล เพื่อช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับง่าย และนอนหลับนาน ถือเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดกันมาอย่างยาวนานในบ้านเรา  ซึ่งสมัยก่อนพ่อแม่ปู่ย่าก็ใช้เปลญวน เปลผ้าขาวม้า ผูกให้ลูกแล้วไกวนอน จนปัจจุบันการใช้เปลไกว ได้พัฒนาออกมามากมายหลายระบบ ทั้งระบบที่ต้องใช้แรงคนไกวหรือไกวมือ เปลไกวไฟฟ้า แบบมีล้อเคลื่อนที่ได้ เปลลูกกรงตั้งอยู่กับที่ และเปลไกวอัตโนมัติ ที่สามารถตั้งเวลาและระดับการไกวได้อย่างแสนสะดวก แต่ก็เพราะการมีเปลไกวหลายระบบ หลายแบบให้คุณแม่เลือกในยุคนี้ ทำให้มีคำถามว่าควรจะเลือกเปลไกวแบบไหน แถมยังมีทั้งแบบที่ไกวไปด้านหน้า-หลัง และไกวแบบด้านข้างซ้าย-ขวา  จึงอยากจะรู้ว่าสองแบบนี้แตกต่างกันแค่ไหน อย่างไรบ้าง ?  เราลองมาอ่านข้อมูลกันค่ะ ให้ลูกนอนเปลดีไหมนะ? ดีแน่ค่ะ…การให้ลูกเล็กนอนเปลมีข้อดีมากมาย เพราะมีข้อมูลบอกไว้ว่าการแกว่งของเปล จะทำให้ลูกน้อยเบบี๋รู้สึกสบาย อบอุ่นและผ่อนคลาย คล้ายกับตอนที่ลูกยังอยู่ในครรภ์คุณแม่  เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ช่วยให้คุณแม่ไกวเปลกล่อมลูกน้อยนอนหลับ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องอุ้มกล่อมลูกน้อยนานๆ ให้เมื่อยแขนหรือเดินจนเมื่อยขา  ช่วยทำให้ลูกนอนง่าย นอนหลับได้ยาวนาน  ลดอาการงอแงและไม่ทำให้ลูกน้อยเครียด  นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่บอกว่า การให้ลูกนอนเปลไว สามารถช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยได้ อาทิ ส่วนข้อเสียน่าจะมีเพียงแค่ลูกอาจจะติดการนอนเปล แต่ก็สามารถแก้ไขได้ไม่ยากหากคุณแม่มีเปลไกวที่เคลื่อนย้ายหรือพับเก็บได้  หรือบางท่านคิดว่าการให้ลูกนอนเปลจะทำให้ลูกหัวแบนอันนี้ก็แก้ได้ ด้วยการเมื่อลูกหลับอาจจะขยับเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงข้าง และส่วนใหญ่การให้ลูกนอนเปลมักจะอยู่ในช่วงที่ลูกอายุไม่เกิน 5-6 เดือนเท่านั้น เพราะพอลูกโตขึ้น ก็มักจะพลิกคว่ำหงายและปีนป่ายเปล จนเป็นอันตรายได้ เลือกเปลต้องดูให้ละเอียดทุกด้าน การเลือกเปลให้ลูกน้อยคุณแม่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด ทั้งด้านวัสดุที่ใช้ การออกแบบมาให้เหมาะสมกับสรีระเด็ก และการแกว่งไกวที่ปลอดภัย […]

“เวลาลูกสาววัย 5 เดือนดูดนมแม่ จะมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะที่ศีรษะจะเปียกตลอดเลยทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ถือเป็นอาการผิดปกติหรือเปล่า”  เด็กต้องการพลังงานเทียบกับน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆจึงต้องการใช้พลังงานสูงมาก เช่น เพื่อการสร้างเซลสมอง การสร้างเซลกล้ามเนื้อ ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องการพลังงานเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กล้ามเนื้อหัวใจในเด็กทารกเป็นเซลกล้ามเนื้อชนิดที่ล้าง่าย ต้องการพลังงานสูง ชีพจรของเด็กจึงเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ เด็กแรกเกิดชีพจรเต้น 140 ครั้งต่อนาที และลดลงเรื่อยๆเมื่อเด็กเติบโตขึ้น จนเป็น 60-80 ครั้งต่อนาทีเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานก็ย่อมมีมาก การระบายความร้อนออกจากร่างกายทำได้โดยการขับออกเป็นเหงื่อ ดังนั้นการที่เห็นว่าทารกนอนดูดนมเฉยๆ ทำไมถึงมีเหงื่อเยอะจัง เพราะภายในร่างกายของเขามีการทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ผิดปกติค่ะ ขณะที่ผู้ใหญ่จะใช้พลังงานสูงเท่ากับที่เด็กทารกต้องการ ก็ต่อเมื่อมีการออกกำลัง จนชีพจรเต้นเร็วเท่ากับเด็กทารก ถึงเวลานั้นเราก็มีเหงื่อออกเต็มตัวเหมือนเด็กทารกเวลาดูดนมเช่นกัน อย่างไรก็ดีมีโรคบางอย่างที่ทำให้ทารกมีเหงื่อออกมากผิดปกติกว่าเด็กคนอื่น เช่น โรคหัวใจ โรคธัยรอยด์เป็นพิษ แต่ลูกควรมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เลี้ยงไม่โต ดูดนมแล้วดูเหนื่อยต้องหยุดเป็นพักๆ ตรวจร่างกายฟังได้ยินเสียงผิดปกติที่หัวใจ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคเหล่านี้ ให้ปรึกษากุมารแพทย์ได้ค่ะ หากตรวจแล้วพบว่าลูกปกติดี การมีเหงื่อออกเวลาดูดนม นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังช่วยให้ต่อมเหงื่อทำงานขับของเสียออกทางผิวหนังอีกทางหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ให้ลูกตลอดเวลา เพียงใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ง่าย และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทจะดีกว่าค่ะ >>>ขอบคุณข้อมูล : สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages