แม่ท้องต้องตรวจคัดกรองอะไร ใน 3 ไตรมาส

แม่ท้องต้องตรวจคัดกรองอะไร ใน 3 ไตรมาส

เมื่อรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์ คุณแม่เคยสงสัยไหมว่าตลอดเวลา 9 เดือนที่ลูกน้อยอยู่ในท้องนั้น ต้องตรวจอะไรบ้าง แม้กระทั่งในวันไปฝากครรภ์คุณหมอก็จะต้องขอตรวจหลายอย่างจากคุณแม่ เพื่อตรวจเช็กสุขภาพ โรคประจำตัว และความเสี่ยงต่างๆ เพื่อการดูแลให้คุณแม่มีครรภ์คุณภาพตลอดเวลา

เราจึงมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองต่างๆ เพื่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยตลอด 3 ไตรมาส เพื่อให้คุณแม่ได้รู้ว่าในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์ จะต้องเข้ารับการตรวจอะไร ควรจะเลือกตัดสินใจตรวจแบบไหน รวมถึงการตรวจคัดกรองต่างๆ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะกับคุณแม่วัยไหนบ้าง

แม่ท้องต้องตรวจอะไร? จำเป็นแค่ไหนนะ?

การตรวจคัดกรองและตรวจเช็กสุขภาพต่างๆ ของคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะผลของการตรวจต่างๆ จะช่วยประเมินสุขภาพและความปลอดภัยทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ได้รู้ถึงความเสี่ยงต่างๆ ในขณะตั้งครรภ์  ได้ตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรม โรคภัยแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์ ภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ประเมินอายุครรรภ์และการคลอด รวมถึงยังทำให้ได้รู้ความเสี่ยงอาการดาวน์หรือความผิดปกติของโครโมโซมอื่นๆ ที่สำคัญ ตลอดจนได้รู้โครโมโซมเพศของลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย

ซึ่งการตรวจต่างๆ นี้จะช่วยให้คุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง ดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรงได้ดี และคุณหมอจะยังสามารถให้คำแนะนำคุณแม่ในการปฏิบัติตัว การดูแลรักษาโรคภัยต่างๆ และให้คำแนะนำคุณแม่ในการตัดสินใจคลอดอีกด้วย  เรียกว่าหากคุณหมอแนะนำให้คุณแม่ตรวจอะไร ควรตัดสินใจและเชื่อมั่นในหมอและตัวเองไว้ดีที่สุดค่ะ

การตรวจคัดกรองคุณแม่ตั้งครรภ์ 1-3 เดือน (14 สัปดาห์แรก)

  • ฝากครรภ์ครั้งแรก

คุณแม่จะต้องถูกซักประวัติ ตรวจปัสสาวะ เจาะเลือด เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ ตรวจน้ำตาลในเลือด ตรวจหากรุ๊ปเลือด ตรวจโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส กามโรค ตับอักเสบบี ตับอักเสบซี รวมถึงการตรวจเช็กมะเร็งปากมดลูก (กรณีคุณแม่มีข้อบ่งชี้)

  • การตรวจคัดกรองความผิดปกติของลูกน้อยไตรมาสแรก (First Trimester Screening)
  1. ตรวจอัลตราซาวนด์ เพื่อดูอายุครรภ์ กำหนดเวลาคลอด ดูการตั้งครรภ์นอกมดลูก รู้จำนวนลูกน้อยในครรภ์ และวินิจฉัยโรคขณะตั้งครรภ์
  2. ตรวจเลือดเพื่อคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมของลูกน้อยในครรภ์ ร่วมกับอัลตร้าซาวนด์เพื่อวัดความหนาของสันคอลูกน้อย(วัดความหนาของน้ำที่สะสมบริเวณต้นคอทารก)เพื่อประเมินภาวะดาวน์ซินโดรม หรือ NT (Nuchal Translucency) โดยใช้เครื่องอัลตร้าซาวนด์วัดความหนาบริเวณต้นคอของลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งหากตรวจพบว่าลูกมีผนังคอหนามากกว่าปกติ อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะมีโครโมโซมผิดปกติหรือเป็นดาวน์ซินโดรมได้ (โดยคุณหมออาจจะมีการตรวจสารชีวเคมีและฮอร์โมนในเลือดคุณแม่ตั้งครรภ์อีก 2 ชนิด (PAPP-A กับ Free Beta hCG) เพิ่มเติมได้อีก เพื่อให้ผลแม่นยำยิ่งขึ้น
  3. ตรวจเลือดคุณแม่เพื่อคัดกรองความผิดปกติของลูก NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) หรือ NIPS (Non-Invasive Prenatal Screening) สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์ ไปจนถึง 14 -18 สัปดาห์ เป็นนวัตกรรมการตรวจคัดกรองลูกน้อยในครรภ์แบบใหม่ที่นิยมใชกันมากขึ้น เนื่องจากสามารถค้นหาความผิดปกติหรือตรวจโครโมโซมลูกน้อยในครรภ์ได้จากเลือดคุณแม่ โดยไม่มีผลกระทบต่อลูกน้อยหรือไม่มีความเสี่ยงต่อการแท้งนั่นเอง

คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถรับการตรวจ NIPT ซึ่งเป็นการตรวจที่ปลอดภัยและมีความแม่นยำสูง ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป โดยการตรวจชนิดนี้ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ลำดับเบส (Next Generation Sequencing) ในการวิเคราะห์หาความผิดปกติของโครโมโซม ทำให้สามารถตรวจคัดกรองได้ค่อนข้างมาก ทั้งการความผิดปกติของโครโมโซมต่างๆ  ที่บอกถึงกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด กลุ่มอาการพาทัวร์ และยังสามารถบอกโครโมโซมเพศของลูกน้อยให้คุณแม่รู้ได้อีกด้วย

4.การตรวจชิ้นเนื้อรก (CVS) ที่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยรู้จัก แต่เป็นการตรวจที่แม่นยำ  ซึ่งปัจจุบันไม่นิยมใช้วิธีนี้กันมากนัก ยกเว้นในรายที่มีช้อบ่งชี้สูง ด้วยวิธีการที่ต้องทำผ่านทางหน้าท้องหรือปากมดลูก ฅโดยใช้หลอดดดูดคีบตัวอย่างรกมาตรวจ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการแท้ง และต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ วิธีนี้จึงไม่ได้ใช้กันในปัจจุบัน

การตรวจคัดกรองคุณแม่ตั้งครรภ์ 4-6 เดือน (15 – 28 สัปดาห์)

  • เจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)

เป็นวิธีการตรวจที่ให้ผลความแม่นยำมาก เนื่องจากสามารถตรวจได้ทุกโครโมโซมของลูกน้อยทั้งหมด ที่บอกความเสี่ยงของกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมได้แม่นยำ บอกเพศและความผิดปกติต่างๆ ได้ถูกต้อง แต่การเจาะน้ำคร่ำถือเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งลูก เนื่องจากต้องใช้เข็มเจาะทะลุผ่านหน้าท้องคุณแม่  ทำให้ปัจจุบันการเจาะน้ำคร่ำ จะใช้เมื่อจำเป็นต้องหาผลแน่นอนเท่านั้น หรือเมื่อคุณแม่เจาะเลือดแล้วพบความผิดปกติ คุณหมอจึงจะแนะนำให้เจาะน้ำคร่ำเพื่อยืนย้นผลให้แม่นยำยิ่งขึ้น

  • ตรวจเลือดคุณแม่ในไตรมาสสอง แบบ Second Trimester Blood Test  หรือแบบ Quadruple Test

เป็นการเจาะเลือดคุณแม่เพื่อหาสารชีวเคมีและฮอร์โมน ตรวจหาความเสี่ยงของกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมของลูกน้อย  ความผิดปกติของโครโมโซม วิเคราะห์สุขภาพลูกน้อย  ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้มากนักเนื่องจากมีการเจาะเลือดตรวจแบบ NIPT ที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ให้ผลแม่นยำ และมีความเสี่ยงต่อการแท้งน้อยมาทดแทนวิธีนี้มากขึ้น

  • ตรวจพิเศษคัดกรองเบาหวาน

สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์  อาทิ เคยคลอดลูกตัวใหญ่น้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัม  มีน้ำหนักเกินขณะตั้งครรภ์ มีอายุมาก มีประวัติเบาหวานในครอบครัว หรือคุณแม่เองเป็นเบาหวาน คุณหมออาจพิจารณาให้ตรวจน้ำตาลเบาหวานในเลือด ด้วยการเจาะเลือดแบบพิเศษ ด้วยวิธีการให้อดอาหารก่อน แล้วดื่มน้ำตาลกลูโคสหรือน้ำหวาน แล้วงเจาะเลือดอีกหลายครั้ง เพื่อวินิจฉัยและหาแนวทางรักษาคุณแม่ต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้คุณแม่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จนส่งผลทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด หรือภาวะแทรกซ้อนอันตรายอื่นๆ

  • ตรวจเลือดคุณแม่เพื่อคัดกรองความผิดปกติของลูก NIPT

คือการเจาะเลือด เพื่อตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดคุณแม่ ดูความเสี่ยงดาวน์ซินโดรมและอื่นๆ  ซึ่งหากคุณแม่ไม่ได้ทำในช่วงไตรมาสแรก ก็สามารถทำในไตรมาสที่สองได้ ซึ่งการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์วินโดรมนี้ มักแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปีได้ทำ เนื่องจากมีโอกาสที่ลูกน้อยจะเป็นดาวน์ซินโดรมสูงถึง 1 ใน 250 และยิ่งอายุของแม่มากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้น  ซึ่งปัจจุบันแม้คุณแม่จะมีอายุน้อยก็สามารถตรวจคัดกรองได้เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้น

  • ตรวจอัลตราซาวนด์หน้าท้อง อัลตราซาวน์ปากมดลูก/วัดความยาวปากมดลูก 

คุณหมอจะนัดคุณแม่ตรวจอัตราซาวน์ทางหน้าท้อง ซึ่งปัจจุบันมีทั้งแบบ 2 มิติ 3 มิติ และ 4 มิติ  เพื่อตรวจสุขภาพครรภ์ อายุครรภ์ การเติบโต รายละเอียดของอวัยวะ เพศ  โครงสร้างและตำแหน่งของลูกน้อย  ดูตำแหน่งรก

รวมถึงอาจมีการอัลตราซาวนด์ปากมดลูก ในช่วงอายุครรภ์ที่ 22-24 สัปดาห์ หรือการวัดความยาวของปากมดลูก เพื่อวิเคราะห์และป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เป็นการตรวจเช็กและลดความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนด สำหรับคุณแม่ที่มีความเสี่ยงหรือเคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อน

  • ตรวจความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

เป็นการเจาะเลือดตรวจ(PIGF และ sFIT-1)ที่เน้นเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีข้อบ่งชี้สำคัญและจำเป็น เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ  เช่น คุณแม่ที่มีประวัติตั้งครรภ์ผิดปกติ คุณแม่ที่มีอายุมาก เคยตั้งครรภ์และมีความดันโลหิตสูง ตั้งครรภ์แฝด วิธีการตรวจคือเจาะเลือด นำสารที่บ่งชี้ภาวะครรภ์เป็นพิษมาวัดระดับโปรตีนสำคัญ 2 กลุ่ม แล้วนำมาคำนวณว่ามีระดับผิดปกติหรือไม่

การตรวจคัดกรองคุณแม่ตั้งครรภ์ 7-9 เดือน (29 – 42 สัปดาห์)

  • ตรวจอัลตราซาวนด์

คุณแม่ไตรมาสที่สามบางท่าน อาจจะมีนัดทำอัลตราซาวนด์อีกครั้ง เพื่อตรวจขนาดมดลูก ตรวจสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ ดูการเติบโต ฟังเสียงหัวใจลูก สังเกตการดิ้น ดูส่วนนำของลูกน้อยเพื่อเตรียมการคลอด คาดคะเนน้ำหนักลูกน้อย และพิจารณาวิธีการคลอดที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่และลูกน้อย

  • การตรวจอื่นๆ

สำรับคุณแม่ตั้งครรภ์บางท่านที่มี่ความเสี่ยงหรือมีปัจจัยบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขณะตั้งครรภ์ และอาจมีผลต่อการคลอด คุณหมออาจมีการแนะนำให้ตรวจด้วยวิธีการอื่นๆ เพิ่มเติมได้แก่ การเจาะเลือดดูภาวะซีด สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะซีด  การตรวจน้ำตาลในเลือด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง เบาหวาน และครรภ์เป็นพิษได้

คำแนะนำเพิ่มเติม การตรวจดังกล่าวทั้งหมด คุณหมอสูติจะเป็นผู้ให้คำแนะนำคุณแม่ในการเลือกตรวจว่าควรทำแบบไหนบ้าง และควรทำในช่วงเวลาเท่าไร มีค่าใช้จ่ายอย่างไร ซึ่งคุณแม่บางท่านอาจจะไม่ได้รับการตรวจคัดกรองข้างต้นในทุกแบบได้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ปัจจัยสุขภาพ และการตัดสินใจของแต่ละครอบครัว

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เด็กบางคนจะมีเหงื่อออกมาก ทั้งบนศีรษะ หน้า หน้าอก แผ่นหลัง จนหมอน และชุดนอนเปียกชื้น โดยเฉพาะเด็กที่ปกติมีเหงื่อมาก เมื่อนอนไปได้สักระยะหนึ่งอุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้น ทำให้มีเหงื่อออกจนคุณพ่อคุณแม่ตกใจเกรงลูกจะเป็นโรคร้าย เพราะมีคนกล่าวว่า เหงื่อออกมากเวลากลางคืนอาจจะเป็นอาการระยะเริ่มต้นของโรคต่างๆ ดังนี้ >>>ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็ปไซด์ maerakluke.com

เรื่อง : สิริพร ความปลอดภัยของลูกน้อยในวัยเบบี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกค่ะ คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องใส่ใจและดูแลเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิดในทุก ๆ เรื่องแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ควรมองข้ามนะคะ อยากจะชวนคุณพ่อคุณแม่มากันดูค่ะว่ามีเรื่องไหนที่เราเคยทำ แล้วเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าตัวเล็กกันบ้าง มีถุงพลาสติก หรือลูกโป่งอยู่ใกล้ตัวเบบี้ ? อย่ามองข้ามถุงพลาสติกที่คุณแม่ใส่ของหิ้วเข้าบ้านนะคะ เพราะหากเอาของออกแล้ว ไม่ทันเก็บให้ดี เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ อาจเผลอหยิบเล่นเข้าปาก หรือครอบหัวจนหายใจไม่ออก ส่วนลูกโป่งหากแตก เศษลูกโป่งก็อาจกระเด็นเข้าตา หรือดีดใส่หน้าจนได้รับอันตรายได้ Safety for baby : เจ้า ตัวเล็กอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นอยากสำรวจสิ่งใกล้ตัว ฉะนั้นความสะอาด และความปลอดภัยของสิ่งของที่ลูกจะคว้าจับได้จึงสำคัญ คุณแม่จึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เช่น หากมีลูกโป่ง หรือของที่ลูกสามารถบีบแตกได้อยู่ในบริเวณที่ลูกคว้าจับได้ง่าย คุณแม่ต้องรีบเก็บให้ห่างจากมือลูกโดยเร็ว แต่หากลูกอยากเล่นของเล่นลูกกลม ๆ ก็ลองหาลูกบอลที่เป็นผ้านุ่มนิ่ม ที่ไม่อันตรายจะดีกว่าค่ คุณพ่อสูบบุหรี่ตอนเบบี้ไม่อยู่บ้าน ? ควันบุหรี่ที่ถูกพ่อออกมาเป็นสารพิษชนิดเดียวกันกับที่สูบเข้าไปค่ะ ถึงคุณพ่อจะสูบตอนที่ลูกเบบี้ไม่อยู่บ้าน หรือไม่อยู่บริเวณนั้นขณะสูบ สารพิษนี้ก็คงยังล่องลอยอยู่ในอากาศ ทำให้บรรยากาศและคนในบ้านแย่ตามไปด้วย  Safety for baby : หากอยากจะให้เจ้าตัวเล็กของเราห่างไกลจากควันบุหรี่ คุณพ่อไม่ควรสูบบุหรี่ที่บ้านเลยดีที่สุดค่ะ และพยายามจัดบรรยากาศทั้งในและนอกบ้านให้ปลอดโปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวกอยู่ เสมอ เช่น มีการกำจัดฝุ่นตามโต๊ะ ตู้ พื้นห้องทุกวัน […]

ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวให้ความสำคัญกับ “คาร์ซีท” หรือ เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์จำเป็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยในขณะที่เดินทางด้วยรถยนต์กันเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุด นางสาวอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมชม “Aprica Central Research Center” ที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น และแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์ซีท เจาะลึกถึงแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสรีระของเด็กในแต่ละช่วงวัย การเลือกสรรวัสดุที่ปลอดภัย และขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงวิธีทดสอบคาร์ซีทในห้องปฎิบัติการด้านความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก อะปริก้า (Aprica) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.  2490 โดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความห่วงใยและใส่ใจเกี่ยวกับเด็กทารก เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็ก จึงได้ช่วยกันคิดค้นและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีเป้าหมายคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็กและพ่อแม่ ด้วยความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 70 ปี อะปริก้า จึงได้รับการยอมรับและไว้วางใจอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และอะปริก้ายังได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำรถเข็นและผลิตภัณฑ์เด็กรุ่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ Royal Knot เพื่อทูลเกล้าถวายแด่ราชวงศ์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในอีกหลายประเทศทั่วโลก Aprica Central Research Center เป็นศูนย์กลางวิจัยเกี่ยวกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์เด็กตั้งอยู่ในเมืองนาราประเทศญี่ปุ่นด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านเยน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมประวัติความเป็นมาของแบรนด์อะปริก้า แนวคิดปรัญชาการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก รวมทั้งเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยเฉพาะด้าน Childcare Engineering […]

รวมสุดยอดวิธี เลือกเป้อุ้มทารก เพราะเป้อุ้มเด็ก  เป็นเครื่องทุ่นแรงที่สำคัญยิ่งสำหรับคุณแม่  ที่เรียกได้ว่าคืออุปกรณ์คู่กายคู่ใจที่พาคุณแม่และลูกน้อยไปทำกิจวัตรด้วยกันได้เสมอ เป้อุ้มลูกนี้จึงเป็นหนึ่งในสิ่งอำนวยความสะดวกประจำบ้านที่กำลังเลี้ยงลูกอ่อน ยิ่งเป็นครอบครัวเล็กที่คุณแม่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวไม่มีคนมาช่วยเลี้ยงลูก ในช่วงเวลาที่คุณพ่อไปทำงานนอกบ้าน  ยิ่งถือเป็นของใช้ที่จะช่วยให้คุณแม่ทำงานและกิจกรรมอื่นๆได้ พร้อมเลี้ยงลูกได้แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งในยุคสมัยที่การหาเงินได้ฝืดเคือง และข้าวของใช้ราคาสูงเช่นนี้ การเลือกซื้อเป้อุ้มลูกทั้งที เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ และเลือกใช้ให้คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย แต่จะรู้ได้อย่างไร? ว่าเป้อุ้มเด็กแบบไหนดี ทนทานปลอดภัย ใช้งานได้นานจนลูกโต ลองมาอ่านเทคนิคดีๆ เหล่านี้กันเลย 1 ตอบโจทย์การใช้งาน การเลี้ยงลูกของครอบครัว นั่นคือการเลือกให้ตรงกับสไตล์การเลี้ยงลูกของครอบครัว การทำงานของคุณพ่อคุณแม่และการเดินทางของคนในบ้าน ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ  ได้แก่  ขนาดของครอบครัวและคนช่วยเลี้ยงลูก เพราะหากเป็นครอบครัวเล็ก คุณแม่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว คุณพ่อไปทำงาน จำเป็นต้องใช้เป้อุ้มลูก สำหรับเวลาทำงานบ้าน ทำธุระหรือจำเป็นต้องออกไปซื้อของนอกบ้าน   แม้แต่เป็นครอบครัวใหญ่ อาจจะได้ใช้เวลาคุณแม่ต้องทำธุระ ผลัดกันใช้เวลาเดินทางไปข้างนอก  สิ่งของที่ใช้กับลูก เวลาที่ต้องพาลูกออกนอกบ้าน เพราะหากคุณพ่อคุณแม่มีข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ต้องพกไปมาก การใช้เป้อุ้มเด็กก็จะทำให้สะดวก พ่อแม่ถือของใช้ และซื้อของได้สบาย ไม่ต้องใช้มืออุ้มหรือเข็นลูก หรือหากเวลาไปไหนที่ต้องใช้พื้นที่จำกัดการใช้เป้อุ้มเด็กก็จะไม่ต้องเปลืองพื้นที่เพราะพับเก็บได้ พกพาง่ายกว่ารถเข็น    การเดินทางของครอบครัว หมายถึงสังเกตการใช้ชีวิตของครอบครัวว่า ต้องออกไปต่างจังหวัด หรือไปเยี่ยมญาติบ่อยหรือเปล่า ใช้เวลาพาลูกออกนอกบ้านนานแค่ไหน หากต้องไปที่ไหนไม่นานนัก การใช้เป้อุ้มเด็กจะมีความคล่องตัวสะดวกกว่ารถเข็น  […]

ลูกน้อยที่ทั้งฉลาดและอารมณ์ดี คือลูกน้อยที่คุณแม่ทุกๆ บ้านใฝ่ฝัน ว่าแต่คุณแม่ทราบมั้ยคะว่า ทั้งความฉลาดและความอารมณ์ดีนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องของโชคหรือดวงหรอกนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณแม่สามารถปลูกฝังและฟูมฟักได้ตั้งแต่ลูกน้อยยังอยู่ในท้อง สำหรับบทความนี้ เรามีวิธีง่ายๆ ที่คุณแม่ท่านไหนก็ทำได้ที่บ้านมาฝากกัน ลองไปดูกันเลยค่ะ 1. อารมณ์ลูกเริ่มจากแม่ คุณแม่อาจจะเคยได้ยินมาว่าอารมณ์ของคุณแม่จะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ ถูกต้องแล้วล่ะค่ะ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นเลยที่บอกว่าแม่ที่เครียดตอนตั้งครรภ์ หรือเป็นซึมเศร้านั้นจะส่งผลต่อบุคลิกภาพและอารมณ์ของลูกน้อย อันนี้ก็เพราะว่ามันจะมีฮอร์โมนตัวนึงที่เรียกว่าคอร์ติซอล ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อยในท้องค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าคุณแม่ทำอารมณ์ตัวเองให้ดีและสดใสอยู่เสมอ ร่างกายก็จะลดการหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลเสียตัวนี้ แล้วก็ไปเพิ่มฮอร์โมนตัวดี ที่ไปช่วยกระตุ้นการพัฒนาและการรับรู้ต่างๆ แทนนั่นเองค่ะ 2. อ่านนิทานให้ลูกน้อยฟัง ลูกน้อยจะเริ่มรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณแม่ตั้งแต่ 2-3 เดือนเลยนะ แถมพอเข้าเดือนที่ 3-4 ประสาทหูก็จะทำงานดีขึ้นด้วยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นคุณแม่ก็เริ่มพูดคุยกับเค้าตอนนี้ได้เลย นอกจากนี้ คุณแม่ยังควรจะอ่านนิทานให้เค้าฟัง เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการด้านการได้ยินของลูกน้อยแล้ว ยังเป็นสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับคุณแม่อีกด้วยนะ 3. เลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม อาหารที่เหมาะสมจะช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและการสร้างเซลล์ต่างๆ ส่วนอาหารที่คุณแม่ควรรับประทานก็อย่างเช่น 4. ส่องไฟกระตุ้นการมองเห็น ตอนอายุครรภ์ได้ประมาณ 7 เดือน ลูกน้อยจะเริ่มพัฒนาด้านการมองเห็น และจะสามารถเห็นแสงไฟส่องทะลุผนังหน้าท้องของคุณแม่เข้ามาได้ค่ะ เพราะฉะนั้นการส่องไฟที่หน้าท้องก็ถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นพัฒนาการและเซลล์สมองส่วนรับภาพได้เหมือนกันนะ วิธีการเล่นกับลูกน้อยด้วยการใช้ไฟส่องก็คือ ให้คุณแม่ใช้ไฟฉายมาวนเป็นวงกลมที่หน้าท้องรอบๆ สะดือ ลูกจะขยับตอบรับกับแสงไฟนั้นให้คุณแม่รู้สึกได้ […]

คาร์ซีทออร์แกนิค เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยและฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อคาร์ซีทแล้ว เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็เป็นอีกปัจจัยที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด เนื่องจากผิวลูกน้อยบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึงหลายเท่า มีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือติดเชื้อได้ง่าย เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ คุณพ่อคุณแม่ จึงต้องใส่ใจและพิจารณาวัสดุที่จะมาสัมผัสกับผิวลูกน้อยเป็นอย่างดี            ผ้าฝ้าย Organic หรือผ้าที่ทำจากฝ้าย Organic 100%  เป็นผ้าที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจะทำให้ผ้าฝ้ายที่ได้มานั้น ปลอดจากสารพิษ และยาฆ่าแมลง ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำร้ายสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งองค์กรผู้บริโภคสินค้าออร์แกนิค (The Organic Consumers Association) ยังแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าออร์แกนิคคอตตอน หรือผ้าฝ้าย Organic 100% เป็นทางเลือกแรกอีกด้วย คาร์ซีทออร์แกนิค มีข้อดีอย่างไรบ้าง 1. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้           จากข้อมูลในรัฐแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ระบุว่าในการปลูกฝ้ายด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปจะมีการใช้ยาฆ่าแมลง โดยเฉลี่ยต่อปีจะมีการมูลค่ากว่า 2.6 พันล้านเหรียญ และผลการทดสอบยาฆ่าแมลงจำนวน 5 […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages