สอน ใช้เครื่องปั๊มนม ครั้งแรก พร้อมเทคนิคปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า

ใช้เครื่องปั๊มนม ดียังไงนะ? คุณแม่รู้ไหมว่า การปั๊มนมมีส่วนช่วยคุณแม่และลูกน้อยได้มากมายกว่าที่คิด

  • การปั๊มนม เป็นการเก็บสำรองน้ำนมแม่ เพื่อให้ลูกน้อยได้รับคุณค่านมแม่ได้เต็มที่และต่อเนื่องเสมอ แม้คุณแม่จะไม่อยู่กับลูก ต้องไปทำงาน ไปธุระหรืออื่นๆ  ช่วยให้คุณแม่สะดวก ประหยัดเวลา ลูกน้อยได้สารอาหารจากนมแม่เหมือนเดิม
  • การปั๊มนมช่วยเพิ่มปริมาณนมแม่ได้ ทำให้คุณแม่หมดกังวลเรื่องน้ำนมไม่เพียงพอให้ลูก กลัวลูกกินไม่อิ่ม เพราะน้ำนมแม่ที่ปั๊มและแช่เก็บไว้ แค่นำมาละลายก็สามารถให้ลูกกินได้ทันที
  • ช่วยกักเก็บน้ำนมไว้ในกรณีฉุกเฉิน  เมื่อคุณแม่เจ็บป่วยไม่สบายจำเป็นต้องใช้ยา ที่มีผลส่งผ่านจากน้ำนมแม่ไปสู่ลูกน้อย
  • การปั๊มนม มีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดจากการคัดเต้านม  และยังช่วยระบายน้ำนมออก เพื่อสร้างน้ำนมใหม่ต่อเนื่อง

แต่เชื่อว่าสำหรับคุณแม่มือใหม่ การปั๊มนมครั้งแรกอาจไม่ใช่เรื่องง่าย อาจมีความกังวลใจต่างๆ นาๆ  ว่าจะเริ่มยังไง ต้องทำอะไรบ้าง  เราจึงอยากจะมาแนะนำวิธีการปั๊มนมครั้งแรก พร้อมกับเทคนิคการปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า เพื่อให้คุณแม่ได้ ใช้เครื่องปั๊มนมได้เก่ง คุ้มค่าอย่างมืออาชีพ ลูกน้อยก็มีน้ำนมแม่กินอิ่มอยู่เสมอค่ะ

สอนคุณแม่ ใช้เครื่องปั๊มนม

  • เริ่มต้นเรียนรู้ ศึกษาข้อมูล วิธีการใช้ โดยการอ่านข้อมูลคำแนะนำ การประกอบอุปกรณ์ต่างๆ และวิธีการใช้อย่างละเอียด และทำความคุ้มเคยกับเครื่องปั๊มน
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์ให้ปลอดภัย ปราศจากเชื้อโรค  ก่อนนำมาทดลองใช้ ด้วยการล้างด้วยน้ำยาล้างขวดนมจุกนมที่อ่อนโยนปลอดภัย และนำไปฆ่าเชื้อ  คุณแม่จะใช้เครื่องนึ่งขวดนม หรือเครื่องอบฆ่าเชื้อ เพื่อฆ่าเชื้อกรวยปั๊มนม ขวดนมที่ปั๊ม ก็ได้ เสร็จแล้วจึงนำมาทดลองใช้กับเต้านม เพราะหากไม่ทำความสะอาดก่อน อาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนติดตัวคุณแม่ได้   
  • ทดลองใช้ให้คุ้นเคย  ด้วยการลองครอบกรวยปั๊มกับเต้านม ลองปรับรอบของการดูดหรือแรงปั๊มนม ว่าแรงไปหรือไม่ เจ็บหรือเปล่า  อาจลองค่อย ๆ ปรับไป  ซึ่งหากคุณแม่ลองใช้เครื่องปั๊มหลังคลอดใหม่ ครั้งแรก ๆ อาจจะไม่ได้น้ำนม รู้สึกว่าแรงปั๊มไม่มี ควรค่อย ๆ หาสาเหตุ แล้วแก้ไข ลองปรับวาล์วว่าแน่นดีหรือไม่ และใส่ทุกอย่างให้ถูกต้อง
  • เริ่มปั๊มนมหลังคลอด  เนื่องจากในช่วง 3-4 วันแรกลูกน้อยยังนอนหลับมาก จึงมักไม่ตื่นขึ้นมาดูดนมแม่บ่อยๆ ทำให้คุณแม่ต้องปลุกลูกน้อยมาดูดกระตุ้นเต้านมทุก 2-3 ชม.  ดังนั้นคุณแม่จึงอาจลองเริ่มปั๊มนมได้ในช่วงที่ลูกหลับนี้   เพื่อเป็นการกระตุ้นน้ำนมให้มาเร็วขึ้นและมากขึ้น

แม้คุณแม่จะลองปั๊มนมแล้ว น้ำนมจะยังไม่มี ก็ไม่ควรเครียด หรือตกใจ คิดว่าตัวเองไม่มีน้ำนม เพราะการปั๊มนมช่วงนี้เป็นการปั๊มนมเพื่อกระตุ้น และฝึก ใช้เครื่องปั๊มนมให้คุ้นเคย เมื่อคุณแม่ได้ใช้เครื่องปั๊มนมร่วมกับให้ลูกดูดกระตุ้นบ่อยๆ น้ำนมแม่จะมาเร็วขึ้น

เมื่อ ใช้เครื่องปั๊มนม

  1. ให้คุณแม่ล้างมือ ล้างอุปกรณ์ปั๊มนม และขวดนมให้สะอาดแล้วฆ่าเชื้อ
  2. จับกรวยครอบเต้านมสำหรับปั๊มนม วางลงบนหัวนมโดยให้กรวยอยู่บริเวณตรงกลางหัวนม
  3. ใช้มือข้างหนึ่งประคองเต้านม ให้นิ้วโป้งอยู่ด้านบน ส่วนนิ้วที่เหลือประคองอยู่ด้านใต้เต้านม ประคองเต้านมกับกรวยให้ครอบกันพอดี ระวังอย่าดันหัวนมกับกรวยเต้านมแรงเกินไป เพราะคุณแม่อาจเจ็บหรือมีรอยแผลที่เต้านม
  4. ปรับความเร็วและอัตราการปั๊มนมตามคู่มือการใช้เครื่อง โดยเริ่มต้นจากอัตราการปั๊มที่ต่ำและเร็วก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้แรงดูดมากทำคุณแม่เจ็บเต้านม
  5. เมื่อน้ำนมคุณแม่เริ่มไหลคงที่ อาจใช้เวลาประมาณ 1-3 นาที จากนั้นจึงค่อยๆปรับความเร็วให้ช้าลงและเพิ่มอัตราการปั๊มให้สูงขึ้นได้ ในช่วงแรก แนะนำคุณแม่ไม่ปั๊มนมนานหรือแรงเกินไป เพราะอาจทำให้หัวนมแตกได้ อาจเริ่มต้นปั๊มนมครั้งละประมาณ 3-5 นาทีก่อน  เมื่อเริ่มปรับตัวได้จึงเพิ่มเวลาในการปั๊มนมขึ้น ประมาณข้างละ 15-20 นาที
  6. หลังจากปั๊มนมเสร็จ ให้คุณแม่ค่อย ๆ นำกรวยเครื่องปั๊มออกจากเต้านม จากนั้นนำน้ำนมที่ได้ เขียนวันเวลาแล้วไปแช่เย็นเก็บทันที เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำนมแม่ไว้ให้นานที่สุด
  7. หลังเก็บน้ำนมแล้ว ให้ทำความสะอาดเครื่องปั๊มนมตามคู่มือการใช้งาน และเก็บให้มิดชิดเพื่อป้องกันเชื้อโรคและสิ่งสกปรก
  8. ปกติแล้วการใช้เครื่องปั๊มนมจะไม่ทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บขณะปั๊ม แต่หากคุณแม่มีอาการเจ็บแสดงว่าใช้กรวยปั๊มนมผิดขนาด หรือปรับอัตราแรงปั๊มนมสูงเกินไป จึงควรตั้งค่าและปรับการปั๊มให้คุณแม่รู้สึกสบายที่สุดและได้น้ำนมมากที่สุด
  9. หากคุณแม่ใช้เครื่องปั๊มนมแล้วเจ็บทุกครั้ง แม้จะลองปรับเปลี่ยนต่างๆ แล้ว ลองปรึกษาผู้ผลิตเครื่องปั๊มนม หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ เพื่อช่วยหาสาเหตุและการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง

ปั๊มนมแบบไหน? ให้เกลี้ยงเต้า 

การปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า คือการระบายน้ำนมให้หมดจากเต้านมคุณแม่ในครั้งนั้นๆ เพื่อให้เต้านมคุณแม่ได้มีพื้นที่สำหรับการผลิตน้ำนมขึ้นใหม่อยู่เสมอ เพราะน้ำนมแม่จะมีรอบของการผลิตใหม่ๆ ในเต้านมตลอดเวลา เมื่อน้ำนมผลิตจนเต็มเต้า เต็มพื้นที่เก็บน้ำนม จะทำให้เต้านมคุณแม่คัดตึง ต้องให้ลูกน้อยดูดหรือปั๊มนมระบายออกมา  ซึ่งการปั๊มนมออกมานั้น ยิ่งระบายน้ำนมออกได้เกลี้ยงเต้ามากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้นมแม่ผลิตออกมาสม่ำเสมอได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ

เทคนิคปั๊มเกลี้ยงเต้า

  • ปั๊มนมแม่โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีต่อข้าง ในการปั๊มนมแต่ละครั้ง ซึ่งเท่าๆ กับระยะเวลาที่ลูกดูดนมแม่จนเกลี้ยงเต้านั่นเอง หากปั๊มถึง 15 นาทีแล้วยังมีน้ำนมไหลออกมาอยู่ ยังสามารถปั๊มต่อได้อีกประมาณ 2-5 นาที เพื่อให้เกลี้ยงเต้า แต่ไม่ควรนานเกินไปเพราะคุณแม่จะเจ็บเต้านมได้
  • ควรปั๊มนมแม่ให้หมดจากเต้าทีละข้าง เป็นข้างๆ ไป
  • ปั๊มนมไปพร้อมกับให้ลูกดูดนมจากเต้าอีกข้าง หรือปั๊มนมพร้อมกันสองข้างในครั้งเดียว ก็จะช่วยให้ระบายน้ำนมแม่ออกได้ดี และเร่งการผลิตน้ำนมให้มีมากยิ่งขึ้น
  • ปั๊มนมแม่ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง ไม่ปล่อยให้รู้สึกคัดเต้าหรือเจ็บเต้านม โดยกำหนดเวลาปั๊มนมที่แน่นอน ตรงเวลาทุกๆ วัน จะเป็นการช่วยกระตุ้นการสร้างนมแม่ ให้น้ำนมไหลดีอย่างต่อเนื่อง

คุณแม่จะรู้ได้ว้าน้ำนมที่ปั๊มนั้นเกลี้ยงเต้าแล้ว เมื่อรู้สึกได้ว่าเต้านมอ่อนนุ่มนิ่มลง อาการคัดตึงเต้านมก่อนที่จะปั๊มนม (เพราะมีน้ำนมอยู่เต็มเต้านม) ก็จะหายไปด้วย

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

ลูกควรเลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่? อยากฝึกให้ลูกนั่งกระโถน นั่งชักโครกขับถ่ายเองได้เริ่มเมื่อไหร่ดี? คงเป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่มักสงสัยกันใช่ไหมคะ เพราะการฝึกลูกให้เลิกใส่ผ้าอ้อม ฝึกลูกนั่งกระโถน ไปจนฝึกให้เข้าห้องน้ำเองได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมที่จะเลิกใส่ผ้าอ้อม พร้อมนั่งกระโถนแล้ว มาเช็กกันเลยค่ะ ทำไมต้องฝึกลูกเรื่องขับถ่าย  การฝึกลูกขับถ่ายให้เหมาะสม จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ ที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงเป็นการปลูกฝังด้านสุขอนามัย ความสะอาด รู้จักร่างกายตัวเอง และรู้จักการช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นได้ หากพ่อแม่ไม่สอนลูกเรื่องการขับถ่าย ปล่อยให้ขับถ่ายในผ้าอ้อมไปจนโต จะทำให้ลูกมีการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสมตามวัย เมื่อลูกต้องไปโรงเรียน จะทำให้มีปัญหาในการดูแลความสะอาด อาจเกิดการขับถ่ายเล็ดราด หรือยังต้องใส่ผ้าอ้อมจนอึดอัด  ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ ส่งผลต่อพัฒนาการตามวัยได้ ฝึกลูกนั่งชักโครก เลิกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ตอนไหน? วัยที่มีพัฒนาการและพฤติกรรมพร้อมพี่จะเริ่มฝึกได้ ควรเริ่มเมื่ออายุ 1 ปี – 1 ปี 6 เดือน และมักจะทำได้ดีตอนอายุ 2 ปี หรือเด็กบางคนอาจจะมาฝึกตอนอายุ  2 ปี และนั่งกระโถนได้เองตอนอายุ 3 ปี หรือบางคนอาจทำได้เมื่อโตกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและสัญญาณต่าง ๆ ที่แสดงออกมาทั้งทางร่างกาย การสื่อสาร และความต้องการของลูก ไม่ควรเกิดจากการบังคับลูก 8 สัญญาณที่บอกว่าลูกพร้อมนั่งกระโถนเองได้แล้ว 7 เทคนิคฝึกลูกขับถ่าย […]

คาร์ซีทปลอดภัย สำหรับเด็กแรกเกิด จะต้องดูจากอะไรบ้าง วันนี้ BabyGift จะมาบอกวิธีดูคาร์ซีทที่ปลอดภัย แบบลึกซึ้งถึงโครงสร้างกันเลยค่ะ เพราะทุกวัสดุที่ประกอบอยู่ในคาร์ซีทนั้น มีผลต่อความปลอดภัยของลูกน้อยมาก และก่อนคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีทให้ลูกรัก นี่คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้เลยค่ะ   โครงคาร์ซีท ทำจากอะไร แบบไหนที่ปลอดภัย      1. โครงพลาสติกทั่วไป (PP)  พลาสติกมีความแข็งแรง ทนต่อการกระแทก มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่มักจะใช้ภายในห้องโดยสารรถยนต์ เช่น แผงประตู หรือ คอนโซลรถ  เมื่อใช้พลาสติก 100% ทำเป็นโครงคาร์ซีทสำหรับเด็กโตโดยเฉพาะ ที่น้องมีสรีระแข็งแรงแล้ว ก็เพียงพอต่อการปกป้องน้องให้ปลอดภัยค่ะ   แต่สำหรับเด็กแรกเกิด ที่สรีระบอบบาง ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ การใช้พลาสติก 100% เลย อาจจะไม่พียงพอ โครงคาร์ซีทควรจะเสริมด้วยวัสดุอื่น ๆ เพิ่มความแข็งแรงด้วย เช่น เสริมด้วยไฟเบอร์กลาส       2. โครงพลาสติก เสริมไฟเบอร์กลาส ไฟเบอร์กลาส หรือ เส้นใยแก้ว จะใช้เพื่อเสริมความแข็งแรงเป็นพิเศษ ใช้แทนโลหะได้เลย เช่น ทำชิ้นส่วนเครื่องบินเล็ก ทำชิ้นส่วนรถแข่ง เพราะทนต่อการถูกกระแทก ทนต่อการฉีกขาด มีน้ำหนักเบา และยังสามารถดัดโค้งจัดรูปทรงได้ ไม่เปราะง่าย  ในการทำโครงคาร์ซีทเด็กแรกเกิด […]

นั่งดูหนังฝรั่งส่วนใหญ่ก็ฟังแค่เสียง แต่ตัวอักษรแปลด้านล่างก็มองเห็นไปพร้อมกันเพราะเลี่ยงไม่ได้  ทำให้หลายครั้งจะเกิดอาการสะดุดในการดู ด้วยมีความรู้สึกว่า”?!?” ในใจ ก็คนแปลนะสิคะ  น่าจะเก่งการแป ลแต่คงไม่เก่งเรื่องสำนวน หลายครั้งที่คำไม่ได้มีความหมายตรงตามพจนานุกรม ดูมาหลายเรื่องหลายคำโดยที่ไม่ได้ใส่ใจนัก  จนกระทั่งเจอกับคำว่า shower ซึ่งเป็นเรื่องของมารยาทและธรรรมเนียมต่างๆ เข้าพอดี ในหนังเรื่องหนึ่ง ตัวละครพูดว่า “…baby shower…” คำแปลขึ้นว่า “อาบน้ำเด็ก”  ส่วนอีกเรื่องได้ยินคำว่า “…wedding shower…”  คำแปลขึ้นว่า “รดน้ำแต่งงาน” คนดูที่ไม่ได้สนใจเสียงภาษาอังกฤษ  ก็เข้าใจตามตัวอักษรไทยที่ปรากฏ  คนที่ดูหนังจริงจังหน่อย  อาจเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่ตัวละครพูดมันเกี่ยวกับเรื่องที่ดำเนินอยู่ยังไงหว่า? ใช่ค่ะ shower แปลว่ารดน้ำ อาบน้ำ ซึ่งถ้าละเอียดขึ้นอีกนิด ก็ต้องบอกว่าเป็นการรด หรืออาบโดยใช้ฝักบัวให้น้ำโปรยปรายลงมา ไม่ใช่นอนแช่อ่างหรือตักราดโครมๆ แต่ shower ในที่นี้ หมายถึงธรรมเนียมในการจัดงานปาร์ตี้ประเภทหนึ่ง  ซึ่งเวลาพูดจะมีคำว่า party ตามหลังหรือไม่ก็ได้ การจัดงานเพื่อให้ของขวัญล่วงหน้าแบบนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมไทย  ถ้าจะให้ของขวัญเด็กก็ต้องรอให้คลอดออกมาซะก่อน และด้วยความที่เราไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญอะไรดี  ทุกวันนี้ก็เลยให้เงินแทนซะเลย อยากได้อะไรก็ซื้อเอาเอง ก็ดีไปอย่างค่ะ  แต่ไร้อารมณ์ไปหน่อย การจัดปาร์ตี้แบบ shower นั้น สร้างความอบอุ่น สนุกสนาน มิตรภาพ และความใกล้ชิดได้ดีมาก แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่มีต่อกันและกัน  เพราะเป็นงานเลี้ยงที่เจ้าภาพไม่ได้จัดให้ตัวเองแต่จัดให้กับคนที่ตนรัก กิจกรรมการเปิดของขวัญคือไฮไลต์ของงาน แต่ก็มีกิจกรรมอื่นๆ เช่น เกมหรือการแสดงก็เป็นสีสันของงานการจัดงานจะมี Theme […]

การเป็นแม่มือใหม่คือการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และความท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพของลูกน้อย เพราะสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตและพัฒนาการของเด็กๆ ในวัยเด็กแรกเกิด ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดูยากในตอนเริ่มต้น แต่แม่มือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพดีได้ มาดูกันว่า 10 เคล็ดลับที่จะช่วยเลี้ยงลูกให้สุขภาพดีมีอะไรบ้างค่ะ 1. ให้นมแม่เป็นหลัก การให้นมแม่เป็นการมอบสารอาหารที่ดีที่สุดแก่ลูกในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต นมแม่มีทั้งสารอาหารที่ครบถ้วนและภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก เคล็ดลับ: 2. เริ่มอาหารเสริมเมื่อถึงเวลา เมื่อเด็กครบ 6 เดือน ควรเริ่มให้อาหารเสริมเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยพัฒนาร่างกายและสมองของลูกได้อย่างดี เคล็ดลับ: 3. ส่งเสริมการนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็กและช่วยพัฒนาสมอง เด็กเล็กต้องการการนอนหลับมากในแต่ละวัน เคล็ดลับ: 4. ฉีดวัคซีนตามกำหนด การฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคหัด คอตีบ หรือบาดทะยัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่ควรมองข้าม เคล็ดลับ: 5. ให้ลูกได้รับการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการร่างกายและสมองของลูก การให้ลูกมีโอกาสเคลื่อนไหวตามวัย เช่น การคลาน การนั่ง หรือการยืน ช่วยเสริมพัฒนาการให้ดีขึ้น เคล็ดลับ: 6. รักษาความสะอาดและสุขอนามัย การรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและสิ่งแวดล้อมช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อในช่องปากหรือผิวหนัง […]

 ฝึกลูกกินข้าวเอง หรือคำที่คุ้นหูกันในปัจจุบันอย่าง BLW (Baby Led Weaning) คือวิธีการที่ให้ลูกรู้จักหยิบอาหารกินเอง โดยอาหารจะไม่ใช่พวกอาหารปั่น อาหารบด แต่เป็นอาหารที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ มีความนุ่ม และหยิบจับได้ วิธีการนี้จะทำให้ลูกได้รู้จักและคุ้นเคยกับอาหารที่เป็นของแข็งมากยิ่งขึ้น โดยวิธีนี้เหมาะกับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป และสามารถนั่งได้เอง โดยที่ไม่ต้องมีคนช่วย ฝึกลูกกินข้าวเอง มีประโยชน์อย่างไร           การให้ลูกกินข้าวเองนั้น นอกจากจะช่วยให้ลูกรู้จักอาหารที่เป็นของแข็งมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย และด้านความคิดอีกด้วย 1. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการกินของลูก            ฝึกให้ลูกกินข้าวเอง ช่วยให้ลูกมีความสุขกับการทานอาหารมากยิ่งขึ้น เพราะลูกได้สนุกกับการกิน สนุกกับการเลียนแบบท่าทางระหว่างการกินอาหาร ทำให้ไม่ต้องคอยหลอกล่อให้ลูกกินข้าว 2. ฝึกพัฒนาการการใช้กล้ามเนื้อมือ           การให้ลูกได้หยิบจับอาหาร ทำให้ได้ฝึกการใช้แรงของมือ แรกๆอาหารอาจจะมีร่วงหล่นจากมือบ้าง หรืออาหารเละคามือบ้าง แต่ก็เป็นการให้ลูกได้ฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมือและน้ำหนักของมือ 3. ฝึกพัฒนาการการเคี้ยวและความคิด       […]

เมื่อแม่ท้องปวดเมื่อย ไปนวดได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?             สารพันอาการปวดเมื่อย เป็นเรื่องธรรมดาที่มักเกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ร่างกายมีการปรับเปลี่ยน ร่วมกับการรับน้ำหนักท้องที่ใหญ่ มดลูกที่ขยายและน้ำหนักตัวลูกน้อย ทำให้คุณแม่ท้องมีอาการปวดขา ปวดหลัง ปวดเข่า ปวดเท้าต่างๆ ร่วมกับการปวดเมื่อยเนื้อตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน จนทำให้ปวดคอ ปวดบ่าไหล่กันได้อีก ด้วยความปวดเมื่อยหลายส่วนของแม่ท้องนี้ จึงทำให้คุณแม่หลายท่านคิดจะไปนวดเพื่อให้หายเมื่อยและผ่อนคลาย  โดยอาจไม่รู้ว่าการนวดในช่วงตั้งครรภ์ มีข้อจำกัดและยกเว้นในบางเรื่อง ซึ่งหากคุณแม่ไปนวดโดยไม่ศึกษาหาข้อมูลหรือปรึกษาแพทย์ก่อน อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ทั้งคุณแม่และลูกน้อย  ฉะนั้น…เพื่อคลายข้อข้องใจ เราจึงมาอธิบายเบื้องต้นให้คุณแม่ได้รู้ว่า แม่องจะนวดได้ไหม และการนวดแบบไหนเป็นข้อห้ามกันบ้าง แม่ท้อง นวดอะไรได้แค่ไหน? อาการปวดเมื่อยต่างๆ กับคุณแม่ตั้งครรภ์คือของคู่กัน เพราะร่างกายที่เปลี่ยนไป การต้องแบกรักน้ำหนักท้อง โดยต้องยืนแอ่นหลังเพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้ จึงทำให้คุณแม่เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลัง และทำให้ขา ข้อเข่า และข้อเท้าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น ปวดขา ปวดน่อง โดยเฉพาะคุณแม่ท้องที่ต้องยืนนานๆ นอกจากนี้หากคุณแม่มีอาการปวดเมื่อยจากโรคข้อและกล้ามเนื้ออยู่แล้ว ในช่วงตั้งครรภ์อาจทำให้มีอาการรุนแรงขึ้นได้  นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่อยากนวด แม่ท้องนวด มีทั้งประโยชน์และโทษพร้อมกัน เนื่องจากมีข้อมูลจากการศึกษาอยู่จำนวนหนึ่งที่บอกถึงประโยชน์ของการนวดในคุณแม่ตั้งครรภ์ นั่นคือ การนวดช่วยลดความปวดเมื่อย ลดอาการบวม ตะคริว ปวดศีรษะ คลายความเครียด ทำให้หลับสบาย หลับง่ายขึ้น และอารมณ์ดีขึ้น แต่การนวดในคุณแม่ตั้งครรภ์ […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages