ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก นวัตกรรมใหม่ที่ต้องรู้

การทำความสะอาดของเล่นเด็ก ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่อย่างเราต้องใส่ใจ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (SARS) และไข้หวัดนก การใช้วิธีแบบเดิม ๆ ที่ได้ผลในอดีต อาจไม่เพียงพอในการป้องกันเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่แฝงตัวอยู่รอบตัวได้ รวมไปถึงปัญหามลพิษในอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ฆ่าเชื้อโรคของใช้ลูก จึงต้องเลือกที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และใช้ได้กับทุกคนภายในครอบครัว เพื่อความคุ้มค่าสูงสุด

ความต้องการทีเปลี่ยนไปของผู้บริโภคทำให้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีเชิงวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศจีน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเสริมจากการป้องกันตนพื้นฐาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การพกพาเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ หรือการใช้สารฟอกขาวในการฆ่าเชื้อ ได้แก่ เทคโนโลยีเครื่องปล่อยโอโซน เครื่องผลิตไอออนประจุลบ เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามมีผลิตภัณฑ์มากมาย ที่ผลิตโดยไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย หรือไม่ได้ประสิทธิภาพตามคำโฆษณา จึงก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี หรือไม่ได้ผลในการฆ่าเชื้อโรค ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณแม่จึงต้องทำความเข้าใจรูปแบบของการ ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ใหม่ๆ เพื่อรู้ให้เท่าทันก่อนการตัดสินใจซื้อมาใช้กับลูกน้อยค่ะ

เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte Water Maker)

เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ถือเป็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้อที่ใหม่มากในประเทศไทย แต่ในประเทศแถบยุโรป หรือเกาหลีใต้ นั้น ได้ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมานานแล้ว โดยเครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ จะนำหลักการทางเคมี ที่เรียกว่า “กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส” หรือการปล่อยประจุไฟฟ้า ผ่านไปยังตัวนำไฟฟ้า (อิเล็กโทรด) ที่สัมผัสกับสารละลาย ซึ่งก็คือ น้ำประปา และเกลือบริสุทธิ์ จนก่อให้เกิดการออกซิเดชั่น (Oxidation) และได้สารประกอบใหม่ขึ้นมา ได้แก่ กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) , ไฮโปคลอไรท์ ไอออน (OCl-)  , โซเดียม ไฮโปคลอไรต์  (NaOCl) ฯลฯ ซึ่งในบรรดาสารประกอบที่เกิดขึ้น กรดไฮโปคลอรัส ถือเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อสูงสุด โดยมีบทความ และผลวิจัยจากต่างประเทศมากมาย ที่ได้มีการพูดถึง กรดไฮโปคลอรัส เป็นอย่างมาก

กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous  Acid) หรือชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl เป็นกรดอ่อน ๆ จากธรรมชาติ ชนิดเดียวกันกับภูมิคุ้มกันในร่างกาย  มีคุณสมบัติในการทำลายเยื่อผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโต และหยุดการแพร่กระจายในบริเวณนั้นได้ เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์คุ้นเคย จึงมีความอ่อนโยนกว่าการใช้สารฟอกขาว หรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธีได้

เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส ที่ได้จากเครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ มีความเป็น Organic 100% ไม่มีสารกันเสีย จึงทำให้ระเหย และกลับคืนสู่สภาพตั้งต้น หรือกลับกลายเป็นน้ำประปาดังเดิมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิสูง จึงต้องผลิตใหม่อยู่เรื่อย ๆ และไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ การเลือกใช้เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ที่ดีอาจมีราคาสูง แต่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ได้แก่ การฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย การกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ การล้างกำจัดยาฆ่าแมลง เป็นต้น

การเลือกซื้อ เครื่องผลิตน้ำอิเล็กโทรไลต์ ที่นำมาใช้ฉีดพ่น ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก ฉีดเช็ดสิ่งของรอบตัวลูกน้อย หรือการแช่ล้างฆ่าเชื้อ ล้างทำความสะอาดให้กับคนในครอบครัว นอกจากต้องได้รับรองมาตรฐานการผลิตจากหน่วยงานของรัฐในประเทศผู้ผลิต เพราะจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังต้องทราบว่า หากปล่อยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่น้ำอิเล็กโทรไลต์อยู่ตลอดเวลา จะไปเพิ่มค่าความเข้มข้นในน้ำ ให้สูงเกินค่ามาตรฐาน จนอาจก่อให้เกิดผลเสียได้ โดยปัจจุบันที่มีนำเข้ามาขายในประเทศไทย ราคาอยู่ที่ 7,000 – 10,000 บาท

เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา (Personal Rechargable Air Purifier)

เครื่องฟอกอากาศสำหรับพกพา ชนิดที่สามารถปล่อยประจุลบนั้น มีมานานหลายปีแล้ว แต่เพิ่งได้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทย ในช่วงที่เริ่มมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงขึ้น  เนื่องจากเครื่องได้ถูกประดิษฐ์ให้มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบา ดูทันสมัย สามารถห้อยคอ พกพาไปได้ทุกที่ จึงได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก โดยตัวเครื่องสามารถชาร์จไฟด้วยสาย USB และใช้งานได้นานถึง 30 – 150 ชั่วโมง

เครื่องฟอกอากาศ แบบพกพา ชนิดนี้ ทำงานโดยการปล่อยไอออนลบ หรือประจุลบ ปริมาณมากว่า 2,000,000 ประจุ ทุกวินาที อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นม่านประจุลบบริเวณโดยรอบใบหน้า หรือระยะการสูดลมหายใจ เมื่อประจุลบเหล่านี้เข้าจับตัวกับสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ได้แก่ ฝุ่น ละอองเชื้อโรค แบคทีเรีย เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ ขนสัตว์ จะทำให้ตกลงสู่พิ้นผิว เป็นการลดอัตราการสูดหายใจนำสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกาย และช่วยทำให้คุณภาพอากาศรอบตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้หากไม่ทำความสะอาดพื้นผิวที่สิ่งสกปรกเหล่านั้นตกหล่น ก็อาจปลิวกลับขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน จึงต้องทำความสะอาดพื้นผิวทุกครั้งจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด

อย่างไรก็ตาม  ประสิทธิภาพของ เครื่องฟอกอากาศชนิดปล่อยประจุลบ จะอ่อนประสิทธิภาพลงเมื่ออยู่กลางแจ้งซึ่งมีลมพัดแรง หรืออากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  และกระบวนการไหลเวียนอากาศผ่านแผ่นสร้างประจุไฟฟ้า (Ionizing) จะทำให้เกิดโอโซน ฉะนั้นต้องเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศพกพา ที่ได้รับมาตรฐานการผลิต และมีปริมาณโอโซนไม่เกิน 0.05 ppm ตามมาตรฐานที่องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา FDA USA กำหนด โดยราคาขายในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 – 7,000 บาท

เครื่องผลิตโอโซน (Ozone Generator)

โอโซน (Ozone หรือ O3) คือ  รูปหนึ่งของก๊าซออกซิเจนที่มีพลัง (Active Oxygen) สามารถทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น กับสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ได้เกือบทุกชนิดทั้งในน้ำและในอากาศ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่รุนแรงและเร็วกว่าคลอรีนถึง 3,125 เท่า โดยโอโซนจะเข้าไปจับกับโมเลกุลของสารปนเปื้อน และทำการแยกย่อยสลายโดยการเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น เนื่องจากโอโซนเป็นก๊าซที่มีโครงสร้างไม่เสถียร หลังทำปฏิกิริยา โอโซนจะแปรสภาพกลับเป็นก๊าซออกซิเจนทั่วไปที่มีอยู่ในอากาศ ซึ่งไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบใดๆ ต่อมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม โอโซนได้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1840 โดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อคริสเตียน เฟเดอริก ชอนไบน์ โดยตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Ozein ที่แปลว่า ดม

วิธีการเกิดก๊าซโอโซน
  1. ในธรรมชาติก๊าซโอโซนเกิดจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงในอากาศ หรือฟ้าผ่า ฟ้าแลบ และแสงจากดวงอาทิตย์ ที่มีรังสี Ultra Violet เปลี่ยนโครงสร้างของออกซิเจนจาก O2 ให้เป็น O3
  2. การใช้รังสี Ultra Violet หรือหลอดไฟ UV วิธีนี้จะสร้างความเข้มข้นของก๊าซโอโซนไม่สูงนัก จะอยู่ในช่วง 0.01 – 0.10% โดยน้ำหนัก (ช่วงคลื่น 185 นาโนเมตร)
  3. การใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง (High Frequency Corona Discharge) จะสามารถทำความเข้มข้นของก๊าซโอโซนได้สูงถึง 6% โดยน้ำหนัก ในยุโรป และอเมริกา สามารถผลิตได้ถึง 3,000 ปอนด์/วัน (ประมาณ 56 กิโลกรัม/ชั่วโมง)
จุดเด่นของก๊าซโอโซน
  • ฆ่าเชื้อโรคได้รวดเร็ว โดยเฉพาะแบคทีเรีย (สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและกลิ่นเหม็น) ที่ความเข้มข้น 0.01-0.04 PPM
  • ทำลาย กลิ่น สารเคมี และก๊าซพิษได้ดีเยี่ยม
  • ไม่ทิ้งพิษตกค้าง เพราะเมื่อทำปฏิกิริยากับมลพิษเสร็จทุกครั้ง จะได้ออกซิเจน (O2) ที่เป็นก๊าซบริสุทธิ์ จึงเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี

ถึงแม้โอโซนจะมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อไวรัส อย่างไวรัสโคโรนา และมีการนำมาใช้ฆ่าเชื้อในสถานพยาบาล สำหรับในประเทศไทยนั้นเครื่องผลิตโอโซนยังไม่ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อภายในบ้านมากนัก เพราะตัวเครื่องยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่มาก และผู้ใช้จะต้องมีความรู้ที่เพียงพอ เพราะหากใช้ผิดวิธี อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ได้ โดยการใช้โอโซนนั้น จะต้องใช้ในค่าความเข้มข้นที่ปลอดภัย คือไม่เกิน 0.05 ppm และต้องใช้ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท โดยจะต้องเลือกใช้เครื่องที่ผลิตได้ปริมาณพอดีกับขนาดพื้นที่ที่ต้องการใช้ ในปริมาณที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี (UV Sterilizer)

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV หรือ ตู้อบฆ่าเชื้อรังสี UV ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ในการกำจัดไวรัสแบคทีเรีย ให้กับทุกคนภายในบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยได้มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานมากแล้ว ในวงการแม่และเด็ก โดยเริ่มต้นจากการนำมาใช้ฆ่าเชื้อขวดนม แทนที่เครื่องนึ่งขวดนม เพราะเป็นการฆ่าเชื้อที่ผ่านการรับรองและวิจัย ว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสแบคทีเรียได้ 99.9% โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อน จึงมั่นใจได้ว่าของใช้ที่ลูกน้อยต้องสัมผัส หรือนำเข้าปาก จะสะอาดจริง และเนื่องจากไม่ใช้ความร้อน จึงช่วยยืดอายุการใช้งานของขวดนมได้อีกด้วย

รังสี UV-C นั้น เป็นประเภทหนึ่งของรังสี UV ที่ไม่สามารถทะลุผ่านมายังพื้นโลกได้ มนุษย์จึงได้มีการคิดค้นหลอดสังเคราะห์แสง UV-C ชื่อว่า Ultraviolet Germicidal Irradiation (UVGI) เพื่อนำมาใช้ในการฆ่าและทำลายเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ ที่อยู่บนพื้นผิวและในอากาศ ซึ่งหลอด UV-C มีหลายประเภท และมีค่าความเข้มข้นแสงที่ต่างกันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน โดยในการฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา หรือที่ถูกนำมาใช้กับเครื่องฆ่าเชื้อนั้น จะใช้หลอด UV ที่มีค่าความเข้มข้นแสงอยู่ที่ 257.3 นาโนเมตร ซึ่งเป็นค่าความเข้มข้นที่เพียงพอในการทะลุเข้าไปทำลาย DNA ของเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคไม่สามารถสืบพันธุ์ หยุดการเจริญเติบโต และตายในที่สุด

ตู้ฆ่าเชื้อรังสี UV ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ระบาดในประเทศไทย หลังจากที่มีบทความ และผลวิจัยต่าง ๆ มากมาย ออกมาพูดถึงประสิทธิภาพของรังสี UV ในการกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ 100% และยังมีผลการทดลองจากทีมแพทย์ รพ. รามาธิบดี ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า รังสี UV สามารถกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนา บนหน้ากากอนามัย และ หน้ากาก N95 ได้จริง โดยไม่ทำให้เสื่อมประสิทธิภาพ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพลังในการกำจัดเชื้อโรคของรังสี UV

อ่านข่าวการวิจัยฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัยด้วยรังสียูวี  ได้ที่นี่ >> Click

ปัจจุบันในประเทศไทย จึงมีการนำเข้า เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV มาจำหน่ายเป็นปริมาณมาก รวมทั้งมีการคิดค้นและดัดแปลงตู้อบชนิดอื่น ๆ โดยการติดตั้งหลอดไฟ UV เข้าไป เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อ โดยเป็นเครื่องที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานการผลิตและการป้องกันอันตรายที่อาจได้รับจากการใช้แสง UV แบบผิด ๆ เนื่องจากรังสี UV มีความเข้มข้นสูง หากสัมผัสโดนผิวหนังหรือดวงตา จะก่อให้เกิดอันตราย และมะเร็งผิวหนังได้ การเลือกซื้อ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัย โดยวัสดุจะต้องป้องกันการเล็ดลอดของรังสี UV ไม่ให้ออกสู่ภายนอก มีระบบตัดไฟ และวัสดุภายในยังต้องสามารถสะท้อนแสง UV ให้ส่องไปได้ทั่วถึงทุกอณู รวมถึงค่าความเข้มข้นของแสง UV กำลังไฟของหลอด เมื่อเทียบกับพื้นที่ความจุยังต้องสอดคล้องกัน เพื่อให้การฆ่าเชื้อโรคมีประสิทธิภาพ 100%

แนวโน้มในอนาคตของการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อของเล่นเด็ก น่าจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ในฐานะคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงไม่ควรพลาดที่จะทำความรู้จักหลักการใช้งานเหล่านี้ไว้ เพื่อสามารถตัดสินใจซื้อสิ่งที่ดีที่สุดให้คุ้มค่า และใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

บริษัท เบบี้กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) ได้คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของลูกค้าทุกท่าน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลที่จำเป็นของท่าน เพื่อระบุตัวบุคคลตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ แห่งราชอาณาจักรไทย นโยบายความเป็นส่วนตัวอธิบายถึงวิธีที่เราเก็บข้อมูล นำมาใช้ และ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (ในบางกรณี) โดยนโยบายนี้จะอธิบายถึงขั้นตอนการกระทำกับข้อมูลส่วนบุคคล และสุดท้ายนโยบายนี้จะอธิบายถึงตัวเลือกที่ท่านสามารถเลือกได้เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของท่านเอง การปกป้องดูแลข้อมูลส่วนตัวของท่านเปรียบเสมือนความไว้วางใจที่ท่านมีให้เราและเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ดังนั้นเราจึงจะขอใช้เพียงข้อมูลบางส่วนของท่านอันได้แก่ ชื่อ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะที่สอดคล้องกับนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เราได้กำหนดไว้ ทั้งนี้เราจึงเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำเนินความสัมพันธ์ทางธุรกรรมของเรากับท่านเท่านั้น ทางเราจะเก็บรักษาข้อมูลของท่านไว้เป็นระยะเวลาตราบเท่าที่กฎหมายกำหนดหรือ เป็นระยะเวลาตามวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลนั้นๆ ท่านสามารถเยี่ยมชมและท่องเว็บไซต์ของเราได้โดยไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ โดยตลอดการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ท่านจะอยู่ในฐานะผู้ไม่เปิดเผยตัวตน และไม่สามารถระบุตัวตนได้ตลอดเวลา จนกว่าท่านจะลงทะเบียนสมัครบัญชีผู้ใช้ และได้เข้าสู่ระบบด้วยชื่อบัญชีและรหัสผ่านของท่านเอง คลังข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท เบบี้กิ๊ฟ (ไทยแลนด์)  จะไม่ยอมให้บุคคลภายนอกมีส่วนร่วมรู้เห็นข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าที่ได้เก็บไว้โดยเด็ดขาด ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บไว้จะได้รับการเปิดเผยเฉพาะภายในเครือบริษัทของเราเพื่อการดำเนินการภายในเท่านั้น เมื่อท่านได้สร้างบัญชีผู้ใช้กับบริษัท เบบี้กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) ข้อมูลส่วนบุคคลที่เราจะเก็บไว้ มีดังต่อไปนี้ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด, เพศ, อายุ, เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, สัญชาติ เป็นต้น ข้อมูลที่ใช้ในการติดต่อ เช่น […]

มาช่วงหลัง ๆ นี้เราจะได้ยินคำว่า Baby Shower กันบ่อยมาก โดยเฉพาะในเหล่าดาราคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ก่อนจะไปดูไอเดียสนุก ๆ คุณแม่ทราบมั้ยคะว่า Baby Shower คืองานอะไรกันแน่? Baby Shower คืออะไร? พอได้ยินคำว่า Baby Shower ปุ๊ป คุณแม่บางบ้านอาจเห็นภาพฝักบัวลอยมาเลย ไม่แปลกค่ะ เพราะว่างานนี้ยังไม่ค่อยแพร่หลายในเมืองไทย แต่เป็นงานที่มีความนิยมมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศทางฝั่งตะวันตก อธิบายง่าย ๆ ก็คือ Baby Shower เป็นงานรวมญาติสนิทมิตรสหายเพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองให้กับลูกน้อยของเราที่กำลังจะลืมตามาดูโลก โดยหลัก ๆ แล้ว แขกแต่ละคนก็จะนำของติดไม้ติดมือมาให้เพื่อเป็นของขวัญรับขวัญหลาน หรือบางคนก็อาจจะให้เป็นเงินทอง ส่วนใหญ่แล้วงาน Baby Shower ก็จะจัดขึ้นในไตรมาสที่ 3 นะคะ ไม่ช้าไม่เร็ว มาค่ะ เรามาดูกันว่านอกจากจะแค่ชวนเพื่อน ๆ มาพบปะกันแล้วเราจะจัดงาน Baby Shower แบบไหนกันได้บ้าง ไอเดียการจัด Baby Shower แบบคิวท์ ๆ 1. […]

เลือกคาร์ซีทที่ปลอดภัยที่สุด จำเป็นต้องเลือกระบบ ติดตั้งคาร์ซีท ที่ดีที่สุดด้วย…จริงหรือ? คุณพ่อคุณแม่หลายคนเห็นแบบนี้แล้วคงสงสัยว่าจริงหรือว่า ติดตั้งคาร์ซีท ระบบการติดตั้งไม่เหมือนกัน ความปลอดภัยก็ไม่เหมือนกันด้วย มาทำความรู้จักกับระบบ ติดตั้งคาร์ซีท กันก่อนว่ามีกี่ระบบ และจะเลือกการติดตั้งอย่างไรให้เหมาะกับรถยนต์ที่คุณใช้ค่ะ ISOFIX คืออะไร? ISOFIX เป็นระบบ ติดตั้งคาร์ซีท แบบใหม่ที่ได้รับมาตรฐานจากสากล และมีใช้อยู่ทั่วโลกทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งเป็นระบบ ติดตั้งคาร์ซีท สำหรับเด็กที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยได้อย่างมาก โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัยเพราะระบบ ติดตั้งคาร์ซีท แบบISOFIX นั้นเป็นการยึดติดคาร์ซีทด้วยตัวยึด ISOFIX ที่มีความแข็งแรง แน่นหนาตามมาตรฐานสากล และระบบ ISOFIX ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการ ติดตั้งคาร์ซีท ให้กับคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย เนื่องจากปกติแล้วการ ติดตั้งคาร์ซีท จะมี 2 ระบบคือ (ที่เขียนรวมให้ย่อหน้านี้เพราะ ถ้าเผื่อพ่อแม่บางคนเป็นคนไม่ชอบอ่านก็จะอ่านตรงนี้แล้วรู้ว่า ISOFIX คืออะไรแล้วมันดียังไงนะคะ…^^) ISOFIX มีประโยชน์อย่างไร? ติดตั้งคาร์ซีท ด้วยระบบISOFIX ช่วยลดความผิดพลาด เรื่องการเสี่ยงต่อการ ติดตั้งคาร์ซีท ที่ผิดวิธี เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บางท่านอาจสับสน และ ติดตั้งคาร์ซีท ผิดพลาด เช่น ดึงสายเข็มขัดนิรภัยไม่แน่นหนาพอ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดอุบัตเหตุจริง จะทำให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ที่ใช้ ติดตั้งคาร์ซีท นั้นหลุดออก เป็นสาเหตุที่จะทำให้ลูกน้อยเกิดอันตรายได้ จากผลการทดลองเมื่อ ติดตั้งคาร์ซีท ด้วยระบบ ISOFIX จะมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ตัวล็อกISOFIX ช่วยยึดติดกับโครงสร้างรถยนต์ได้มั่นคงกว่าจะไม่เกิดการคลาดเคลื่อนจากเบาะรถยนต์ ลดการกระทบกระเทือนกับลูกได้น้อยกว่า ระบบISOFIX ติดตั้งยังไง 1.มาตรวจสอบก่อนว่าที่รถของคุณสามารถ ติตดั้งคาร์ซีท ระบบISOFIX ได้หรือไม่ โดยการตรวจสอบตามในคลิปด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ 2.เมื่อรู้แล้วว่ารถของคุณ ติดตั้งคาร์ซีท ระบบISOFIX ได้ งั้นก็ลองมาติตดั้งคาร์ซีทกันเลยค่ะ โดยทำตามคลิปวิธีการ ติดตั้งคาร์ซีท จากด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

คุณแม่ทุกคนล้วนแต่คิดถึงลูกในท้องมาเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของอาหารการกินและการบำรุง แต่คุณแม่หลายๆ คนตอนนี้กลับต้องมานั่งเครียดกับปัญหาน้ำหนักของตัวเองที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจนเกินจะควบคุมได้ ถ้าพูดแบบชาวบ้านๆ เค้าเรียกกันว่า “น้ำหนักลงแม่หมด” ค่ะ และคุณลูกก็ยังตัวเล็กเหมือนเดิมนะ เพราะงั้น ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าน้ำหนักคุณแม่ขึ้นมากจนเกินไป ก็อย่าเพิ่งดีใจว่าลูกของคุณแม่ตัวใหญ่สมบูรณ์ เพราะความจริงแล้ว อาหารที่คุณแม่ทานเข้าไปนั้นอาจจะไม่ได้มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อทารกในครรภ์ หากแต่เป็นอาหารเพิ่มเนื้อหนังคุณแม่ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นแป้งเอย ไขมันเอย ทราบอย่างนี้แล้ว ก่อนจะนำอะไรเข้าปาก ลองฉุกคิดกันซักนิดก่อนดีกว่า ว่าอาหารคำนี้จะไปเป็นของคุณแม่หรือของคุณลูก น้ำหนักช่วงไตรมาส 2 ควรเป็นประมาณไหน? คุณแม่ทราบหรือเปล่าคะว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องนั้นจะมีความต้องการพลังงานมากกว่าสาวๆ ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน นั่นหมายถึงว่า โดยปกติแล้วเราจะต้องการพลังงานแค่ 2,000 กิโลแคลอรีใช่มั้ยคะ แต่คุณแม่ๆ ก็จะต้องการที่ประมาณ 2,300 กิโลแคลเพื่อที่จะนำมาสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของลูกน้อย ความจริงแล้ว ไม่มีใครสามารถบอกเป็นตัวเลขได้เป๊ะๆ ว่าน้ำหนักคุณแม่ควรจะเพิ่มขึ้นที่เท่าใด เพราะจะต้องคำนึงถึงน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ด้วย แต่ถ้าจะให้พูดโดยรวมๆ น้ำหนักของคุณแม่ควรจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 กิโลกรัม และไม่ควรเกิน 13 กิโลกรัมค่ะ ในช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น น้ำหนักของคุณแม่จะขึ้นเร็วกว่าในช่วงไตรมาสแรกอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉลี่ยแล้วจะขึ้นที่ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์เลยทีเดียวนะ เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่คุณแม่ส่วนใหญ่สามารถทานอะไรได้มากขึ้น […]

ว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย พอรู้ข่าวดีว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์คงเกิดอาการดีใจอยู่ไม่น้อย แต่ในความดีใจของคุณแม่ก็เกิดคำถามและความกังวลในหัวอยู่มากมาย โดยเฉพาะการลุ้นพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์อยู่ตลอด หนึ่งในนั้นเชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลาย คงอยากรู้สินะว่า ลูกในครรภ์จะได้ยินเสียงเราตอนไหน และการได้ยินของลูกจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ และคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถสื่อสารในรูปแบบไหนได้บ้าง ที่จะช่วยการกระตุ้นให้ลูกน้อยได้รับรู้ เพราะคุณแม่ทั้งหลายต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าการพูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์ เป็นการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีกับลูกได้ดีอีกอย่างหนึ่ง บางทีเราเองก็จะเห็นคุณแม่หลายๆคน เปิดเพลงคลาสสิกให้ลูกฟังสไตล์โมซาส เผื่อลูกจะได้อารมณ์ดี บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็เล่านิทาน แต่จริงๆแล้วคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าลูกในครรภ์จะได้ยินเสียงตอนกี่เดือนกันแน่ พัฒนาการการได้ยินของลูกน้อยในครรภ์ เริ่มต้นอย่างไร คุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการ การได้ยินของลูกน้อยอย่างไรได้บ้าง ดังนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการการได้ยินของทารกในครรภ์ได้ เพราะจริงๆแล้ว ทารกจะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่เดือนที่ 5 เป็นต้นไป และการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ โดยคุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการการได้ยินของทารกในครรภ์ อย่างมีประสิทธิภาพแบบง่ายๆ ได้ดังนี้ 1. พูดคุยกับลูกบ่อยๆ โดยการใช้น้ำเสียงปกติในชีวิตประจำวันที่เป็นอยู่ รวมถึงคุณแม่อาจจะเพิ่มการร้องเพลง หรืออ่านหนังสือ เข้าไปด้วยก็เป็นการช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการได้ยินของทารกในครรภ์แล้ว 2. เปิดเพลงให้ลูกฟังบ่อยๆ โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะเป็นเพลงแนวไหน สามารถเปิดได้หมด ทั้ง โมสาร์ท คลาสสิก แจ๊ส ป๊อป ร็อค ลูกทุ่ง เพียงแค่ขอให้เป็นเพลงที่ฟังสบายๆ ไม่รุนแรงเกินไป ก็ช่วยให้ลูกได้รู้สึกถึงจังหวะมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นพัฒนาการการได้ยิน พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวเมื่อลูกได้ดิ้นและขยับตัวตามจังหวะดนตรีเพลง […]

ช่วงเวลาการเตรียมตัวเป็นพ่อแม่คนใหม่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความกังวลไปพร้อมกัน BabyGift เข้าใจดีว่าการจัดกระเป๋าเตรียมคลอดและการเตรียมตัวสำหรับคุณแม่มือใหม่ต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง เราจึงรวบรวมผลิตภัณฑ์แม่และเด็กคุณภาพพรีเมียมไว้ในที่เดียว ของใช้เตรียมคลอดสำหรับคุณแม่มือใหม่มีอะไรบ้าง การเตรียมความพร้อมก่อนคลอดไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งของ แต่เป็นการเตรียมจิตใจและความมั่นใจ ของใช้เตรียมคลอดที่ครบถ้วนจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างราบรื่น ของใช้เตรียมคลอดสำหรับเด็ก ทารกแรกเกิดต้องการการดูแลเป็นพิเศษในทุกด้าน ตั้งแต่ความอบอุ่น ความสะอาด ไปจนถึงความปลอดภัย การเลือกของใช้เตรียมคลอดสำหรับสินค้าแม่และเด็กที่มีคุณภาพจะช่วยให้ลูกน้อยปรับตัวเข้ากับโลกภายนอกได้ดีขึ้น เสื้อผ้า เสื้อผ้าเป็นสิ่งแรกที่สัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของทารก การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมจึงสำคัญอย่างยิ่ง เครื่องนอน การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นรากฐานสำคัญของการเจริญเติบโต เครื่องนอนที่ดีจะช่วยให้ลูกนอนหลับสนิทและปลอดภัย ให้นมทารก การให้นมเป็นช่วงเวลาแห่งความผูกพัน อุปกรณ์ที่มีคุณภาพจะทำให้ประสบการณ์นี้ราบรื่นและมีความสุข สุขอนามัยของเตรียมคลอดสำคัญ ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ยังไม่สมบูรณ์ การรักษาความสะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ยาสามัญสำหรับทารกแรกเกิด การเตรียมยาสามัญพื้นฐานจะช่วยให้พ่อแม่จัดการกับอาการเบื้องต้นได้ทันท่วงที อุปกรณ์เซฟตี้ลูกน้อย ความปลอดภัยของลูกน้อยเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องใส่ใจตั้งแต่วันแรก อุปกรณ์เซฟตี้ที่จำเป็นจะช่วยปกป้องลูกตั้งแต่การเดินทางครั้งแรก ของใช้เตรียมคลอดสำหรับคุณแม่ คุณแม่หลังคลอดต้องการการดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ทั้งร่างกายและจิตใจ การเตรียมของใช้ที่เหมาะสมจะช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่น เอกสารสำคัญ เอกสารที่ครบถ้วนจะทำให้ขั้นตอนการเข้าโรงพยาบาลและการออกใบเกิดเป็นไปอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้า ร่างกายหลังคลอดมีการเปลี่ยนแปลงมาก เสื้อผ้าที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายและมั่นใจ สุขอนามัย การดูแลสุขอนามัยส่วนตัวหลังคลอดต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ครีมดูแลผิว การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนหลังคลอดส่งผลต่อสภาพผิว ครีมบำรุงที่เหมาะสมจะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสวยสุขภาพดี คุณแม่มือใหม่สนใจซื้อสินค้าแม่และเด็กครบวงจรที่สุดได้ที่ BabyGift BabyGift ไม่ใช่แค่ร้านขายผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก แต่เป็นที่ปรึกษาที่เข้าใจความต้องการของครอบครัวใหม่ ด้วยบรรยากาศการช้อปปิ้งแบบ “โฮมมี่” และการจัดโซนสินค้าตามความต้องการ พร้อมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages