คาร์ซีทหมุนได้ ทำไมถึงจำเป็น ?

คาร์ซีทหมุนได้ จำเป็นต่อคุณพ่อ คุณแม่อย่างไร คุณพ่อและคุณแม่ทุกคน พยายามและสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อยเสมอ เพราะลูกน้อยคือแก้วตาดวงใจของคุณพ่อและคุณแม่ แต่จะดีกว่าไหมถ้าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยยังสร้างความสะดวกสบายสำหรับคุณพ่อและคุณแม่ไปพร้อมกัน
การเลือกซื้อคาร์ซีทก็เหมือนกัน นอกจากจะดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังคงต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งาน ต่อทั้งกับคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อยอีกด้วย และหนึ่งในปัญหาชวนปวดหัวสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ในการใช้คาร์ซีท อย่างปัญหาการอุ้มลูกน้อยเวลาขึ้นลงรถ หรือปัญหาที่จอดรถแคบเกินไป ที่ทำให้การอุ้มลูกน้อยขึ้นลงรถลำบาก อาจจะชนกับรถ หรือกำแพง ที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้ง คุณพ่อ คูณแม่ และลูกน้อยได้ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้าคุณพ่อ และคุณแม่เลือกใช้คาร์ซีทแบบ Convertible Carseat คาร์ซีทหมุนได้ 2 ทิศทาง หรือคาร์ซีทที่หมุนได้ 360 องศา ที่นอกจากปกป้องลูกน้อยได้แล้ว ยังเพิ่มเติมความสะดวกสบายให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้อีกด้วย นอกจากนี้คาร์ซีทหมุนได้ยังมีข้อดีอีกมากมาย ทาง Baby Gift จึงขอพา คุณพ่อ คุณแม่ มาเข้าใจถึงข้อดีของคาร์ซีทหมุนได้กันค่ะ

ข้อดีของการใช้ คาร์ซีทหมุนได้
.คุณพ่อ และคุณแม่ สะดวกสบายในการอุ้มลูกน้อยขึ้นลงรถ
อย่างที่บอกไปในตอนต้น ปัญหาที่จอดรถหายากและแคบ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่คนใช้รถ ใช้ถนน ต้องได้พบเจอ และในกรณีคุณพ่อ คุณแม่ ที่ต้องการพาลูกน้อย ออกไปเดินเล่น ไปโรงพยาบาลหรือไป Shopping ตามห้างสรรพสินค้า ก็มักจะเจอปัญหาการอุ้มลูกน้อยขึ้นลงรถลำบาก เพราะที่จอดรถแคบ ทำให้ไม่สะดวกต่อการอุ้มลูกน้อยขึ้นลง อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นการมีคาร์ซีทหมุนได้ทำให้อุ้มลูกน้อยขึ้นลงรถในฝั่งไหนของตัวรถก็ได้ เพิ่มความสะดวกสบายได้มากยิ่งขึ้น

2.ช่วยฝึกลูกน้อยในการนั่งคาร์ซีท
คาร์ซีทหมุนได้ยังมีข้อดีในการช่วยฝึกให้เด็กนั่งคาร์ซีทได้สบายตลอดช่วงของการใช้งานได้อีกด้วย เพราะในช่วงเด็กเริ่มนั่งหลังตรง (วัย 9 เดือนหรือ น้ำหนัก 9 kg.) จะเป็นช่วงที่เริ่มปรับเปลี่ยนการติดตั้งจากหันหลังไปเป็นแบบหันหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กส่วนใหญ่จะร้องงอแงไม่ยอมนั่งในคาร์ซีทแบบหันหน้าในขณะที่ไม่ได้นอนหลับอยู่ ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนเข้าใจว่าลูกเริ่มไม่ยอมนั่งคาร์ซีททั้งที่ผ่านมาก็นอนสบายดีอยู่แล้ว คาร์ซีทหมุนได้จึงเข้ามามีส่วนช่วยในการปรับให้ลูกน้อยเคยชินกับการนั่งหันหน้าออกจากเบาะ เพราะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการนั่งให้เข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตของลูกน้อยได้อย่างลงตัว

3.คาร์ซีทหมุนได้ ช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่ดูแลลูกน้อยในรถได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ขณะจอดรอในที่จอดรถ คุณพ่อ และคุณแม่สามารถหันลูกน้อยมาหาคุณพ่อ คุณแม่เพื่อป้อนข้าว หรือแม้แต่การเปลี่ยนผ้าอ้อมในรถก็สะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการอุ้มลูกน้อยขึ้นลงคาร์ซีท หรือการที่ต้องหาพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเหล่านี้ ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ ได้ใช้เวลากับลูกน้อยได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

4. รองรับทุกอิริยาบถของลูกน้อย
คาร์ซีทหมุนได้ไม่ว่าจะกิจกรรมไหน ก็ตอบโจทย์ต่อลูกน้อย เพราะเมื่อเด็กตื่นนอนและเริ่มอยากนั่งหลังตรงขึ้นมาตามพัฒนาการ คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกหันคาร์ซีทมาด้านหน้ารถและหมุนหันกลับไปเป็นแบบหันหลังที่มีองศาการนอนที่มากกว่าในขณะที่เจ้าตัวเล็กเคลิ้มหลับ เพื่อช่วยให้ลูกน้อยนอนได้สบายมากขึ้น ปลอดภัยกว่า และช่วยเพิ่มความสุขของลูกน้อยตลอดการเดินทาง

5. สะดวกสบายติดตั้งครั้งเดียว แต่ปรับใช้งานได้หลายรูปแบบ
โดยปกติทั่วไปการใช้คาร์ซีทแบบธรรมดาที่หมุนไม่ได้แบบ 360 องศา จะต้องถอดคาร์ซีทออกมา เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการหันหน้าเข้าและออกของคาร์ซีท ซึ่งอาจทำให้ติดตั้งคาร์ซีทผิด ไม่ปลอดภัยกับลูกน้อยเต็มที่ นอกจากนี้ยังทำให้คุณพ่อและคุณแม่รู้สึกยุ่งยากในการติดตั้งอีกด้วย แต่การใช้คาร์ซีท 360 องศาจะไม่ทำให้เกิดัญหาเหล่านี้ เพราะหลังจากการติดตั้งแล้ว สามารถหมุนหันหน้าเข้าหรือหันหลังโดยที่ไม่ต้องถอดคาร์ซีทออกมาติดตั้งใหม่


คาร์ซีทหมุนได้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ของคุณพ่อ คุณแม่ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยขณะเดินทางแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณพ่อ คุณแม่มากขึ้นอีกด้วย
ข้อมูลอ้างอิง : https://bit.ly/3mEvFGV,https://www.facebook.com/AilebebeThailand/
สนใจเลือกซื้อคาร์ซีทหมุนได้ นำเข้า มาตรฐานสากล หลากหลายรุ่น ปรึกษาพนักงาน Baby Gift ทุกท่าน ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
โยคะ ช่วยอะไรคุณแม่ได้บ้าง ชวนคุณแม่เริ่มฝึก 3 ท่าโยคะง่ายๆ ท่านอน ท่าไหว้พระอาทิตย์ ท่าภูเขา คุณแม่คววรู้หลังทำโยคะคุณแม่ไม่ควรอาบน้ำ หรือทานอาหารทันที ควรพัก 30–60นาที เพื่อให้ร่างกายช่วงหลังคลอดมีโอกาสปรับตัว เมื่อคุณแม่แข็งแรงดีแล้ว ค่อยเปลี่ยนจากการทำโยคะมาออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขอบคุณข้อมูลจาก : Morther&care
สอนดูแลลูกตั้งแต่แรกเกิดแบบจับมือทำ โดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย..#BabyGift เข้าใจและมองเห็นถึงความสำคัญ จึงได้ร่วมกับ พี่กัลนมแม่ กลุ่มแม่และเด็ก คลินิกนมแม่ สรุปเทคนิคดูแลทารกแรกเกิด โดยผู้เชี่ยวชาญ #พี่กัลนมแม่ จากในงาน 𝐌𝐨𝐦𝐦𝐲’𝐬 𝐋𝐨𝐯𝐞 𝐌𝐚𝐠𝐢𝐜 จะมีอะไรบ้าง ? ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ดูแลการกินของทารก #นมแม่ดีที่สุด ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดความเสี่ยงติดเชื้อต่างๆ ได้ ถ้าลูกไม่ยอมดูดเต้าให้แม่ใช้เครื่องปั๊มนม และขวดนมแรกเกิดป้อนนมแม่ให้กับลูกน้อยแทน 2. หมั่นสังเกตการเจริญเติบโตลูกน้อย ปกติแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ น้ำหนักลูกน้อยจะเพิ่มขึ้น วันละ 30 กรัม หากน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่านี้ ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ค่ะ 3. สังเกตการขับถ่ายของลูก อุจจาระแต่ละสีบอกสุขภาพลูกได้ หากมีสีขาวหรือแดงเข้ม หรือหากมีปัสสาวะขุ่น มีตะกอน อาจมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที 4. การนอนของทารก ท่านอนที่ดีที่สุดของทารก คือ การนอนหงาย เด็กแรกเกิดควรนอน 16-18 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ Growth Hormone […]
ปัญหาใหญ่ของคุณแม่อีกปัญหาหนึ่งเวลาตั้งท้องก็คือการทานยาเวลาไม่สบายนั่นเองค่ะ อันนี้กล้าพูดได้เลยเพราะเจอกับตัวเองเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่รู้อ่ะเนอะว่าในยาแก้แพ้พวกนี้มีส่วนผสมหรือสารอะไรที่จะมีผลต่อลูกในท้องบ้าง วิธีแก้ไขขั้นพื้นฐานที่สุดก็คือเลิกทานยาไปเลย ขนาดไม่สบายหนักๆ จนแทบทนไม่ได้ยังยอมที่จะไม่ทานยาเลยค่ะ แล้วดูอากาศประเทศไทย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตก แบบนี้จะไม่ให้ป่วยยังไงไหว แต่วันนี้เราจะมาบอกคุณแม่แม่ว่า มันมียาแก้แพ้บางตัวที่คุณแม่ท้องสามารถทานได้นะคะ เพราะยาพวกนี้ได้รับการคอนเฟิร์มจากคุณหมอแล้วว่าไม่มีผลต่อลูกน้อยแน่นอน เราลองมาดูกันดีกว่าว่าคุณแม่ใช้ยาอะไรได้บ้าง ยาแก้แพ้ที่ปลอดภัยกับคุณแม่ 1. คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine: CPM) เวลาพูดถึงยาแก้แพ้ ยาตัวแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คือเจ้ายาตัวนี้แหละ ยาเม็ดเล็กๆ สีเหลืองที่ช่วยลดอาการแพ้ ลดน้ำมูกแล้วก็แก้อาการคัน คุณแม่ท้องทานยาตัวนี้ได้เนอะ เพราะจากกรณีที่ผ่านมายังไม่พบว่ายาตัวนี้ส่งผลต่อลูกในท้องเลยค่ะ แต่ว่ายาตัวนี้มันจะมีผลข้างเคียงทำให้คุณแม่อ่อนเพลีย เพราะงั้นอาจจะต้องงดใช้ยาเวลาที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และคุณลูกค่ะ ที่สำคัญก็ไม่ควรใช้ยาตัวนี้เกิน 3 วันนะ เพราะว่าถ้าใช้ไปมากๆ แล้วอาจจะทำให้เกล็ดเลือดต่ำ แล้วลูกที่คลอดออกมาอาจจะมีอาการเลือดไหลผิดปกติได้ด้วยค่ะ 2. แอคติเฟด (Actifed) ยาตัวนี้จะช่วยลดอาการคัดจมูก ทำให้พวกอาการภูมิแพ้ทางจมูกดีขึ้น แล้วก็บรรเทาอาการคัดจมูกที่เกิดจากหวัดได้ค่ะ แต่ยาตัวนี้ก็จะทำให้ง่วงเช่นเดียวกัน ดังนั้น คุณแม่ควรจะทานยาแล้วก็พักผ่อนให้เพียงพอนะคะ พอตื่นมาอาการจะได้ดีขึ้น สดชื่นได้เหมือนเดิมค่ะ 3. เซทิไรซีน (Cetirizine) หรือ ฟาเทค (Fatec ®) คุณแม่ที่ต้องเดินทางหรือทำงานในช่วงที่ไม่สบายก็ขอแนะนำให้ทานตัวนี้เลยค่ะ เพราะว่ายาตัวนี้ไม่ทำให้ง่วงหรืออ่อนเพลีย แถมยังไม่ส่งผลเสียต่อลูกน้อยอีกต่างหาก แต่ว่ายาตัวนี้มันจะออกฤทธิ์ช้ากว่ายาตัวอื่นๆ นะคะ คุณแม่ก็เลยอาจจะหายช้านิดหน่อยค่ะ 4. ยาหยอดหรือยาพ่นจมูก […]
น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้ สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ […]
การเป็นแม่มือใหม่อาจจะเป็นเรื่องที่ทั้งสนุกและท้าทายอย่างมาก สำหรับแม่มือใหม่หลายๆ คนที่เพิ่งมีลูกคนแรก ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้รู้สึกเครียดและสับสน แต่ไม่ต้องกังวล เพราะทุกปัญหามีวิธีการจัดการที่สามารถทำได้ทันที วันนี้เรามี 5 ปัญหาที่แม่มือใหม่เจอบ่อย พร้อมวิธีแก้ไขที่ได้ผลทันทีมาฝากค่ะ 1. ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืน หนึ่งในปัญหาที่แม่มือใหม่มักเจอบ่อยคือ ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืน ตื่นบ่อย หรือร้องไห้จนทำให้แม่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นี่อาจเกิดจากการที่เด็กยังไม่คุ้นเคยกับการนอนตอนกลางคืน หรือยังปรับตัวไม่ได้กับตารางเวลา วิธีแก้ไข: 2. ลูกไม่ยอมกินนม/อาหารเสริม หลายๆ แม่มือใหม่มักจะพบว่า ลูกไม่ยอมกินนมแม่หรือนมขวด หรือแม้กระทั่งปฏิเสธอาหารเสริม แม้จะพยายามหลายครั้งแล้วก็ตาม วิธีแก้ไข: 3. ลูกร้องไห้ไม่หยุด หนึ่งในปัญหาที่ท้าทายมากสำหรับแม่มือใหม่คือการที่ลูกร้องไห้ไม่หยุด ซึ่งบางครั้งอาจทำให้แม่รู้สึกวิตกกังวลและไม่รู้วิธีการช่วยลูก วิธีแก้ไข: 4. ปัญหาน้ำนมไม่พอ แม่มือใหม่หลายคนจะมีความกังวลเรื่องน้ำนมไม่พอให้ลูกดื่ม ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดหรือการให้นมไม่สม่ำเสมอ วิธีแก้ไข: 5. รู้สึกเครียดหรือเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูก การเป็นแม่มือใหม่ที่ต้องดูแลลูกอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดความเครียดและรู้สึกเหนื่อยล้า ทำให้บางครั้งแม่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีพอ วิธีแก้ไข: บทสรุป ปัญหาที่แม่มือใหม่เจอบ่อยนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ด้วยการมีความรู้และวิธีการที่ถูกต้อง อย่าลืมว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่การแข่งกับเวลา แต่คือการเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องกังวลหรือเครียดเกินไป ขอให้แม่มือใหม่ทุกคนมีความสุขกับการเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มที่ และรู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพและความสุขของลูกค่ะ!
ช่วงเวลา ใกล้คลอด ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ยิ่งใกล้ถึงเวลาคลอดเท่าไร คุณแม่ควรสังเกตอาการของตัวเองมากยิ่งขึ้น วันนี้ Baby Gift มีสัญญาณเตือนใกล้คลอดมาให้คุณแม่ศึกษาและเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งจะมีสัญญาณเตือนใกล้คลอดอะไรบ้าง? ตามมาดูกันเลย เช็คด่วน! 6 สัญญาณเตือน ใกล้คลอด 1. ท้องเคลื่อนลงต่ำอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงช่วงใกล้คลอด ทารกจะเริ่มเคลื่อนตัวลงมาด้านล่าง ทำให้ท้องคุณแม่เคลื่อนต่ำลงจนเห็นได้ชัดเจน สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้คลอดแล้ว 2. มดลูกหดตัวอย่างรุนแรง คุณแม่ช่วงท้องแก่ใกล้คลอดมักจะรู้สึกเจ็บหลังส่วนล่างอยู่ตลอดเวลา เพราะมดลูกเริ่มหดตัวเป็นระยะๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลักดันทารกออกสู่โลกภายนอก ยิ่งเมื่อถึงกำหนดคลอดแล้ว มดลูกก็จะยิ่งหดตัวอย่างรุนแรงและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ 3. ถ่ายอุจจาระบ่อยกว่าปกติ การที่คุณแม่มีอาการถ่ายอุจจาระบ่อยๆนั้น ไม่ต้องกังวล เพราะร่างกายเพียงต้องการขับถ่ายของเสียออกมา เพื่อเตรียมสำหรับการคลอดลูกน้อยเป็นลำดับต่อไป โดยคุณแม่บางคนอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย 4. มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด สัญญาณเตือนใกล้คลอดระยะสุดท้าย คุณแม่จะมีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดลักษณะเป็นมูกเหนียวๆ แสดงว่ามดลูกเริ่มมีการขยายแล้ว หากคุณแม่มีอาการแบบนี้ ไม่ต้องตกใจ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแม่ต้องรีบไปโรงพยาบาลพบคุณหมอทันที เพื่อเตรียมตัวสำหรับการคลอดลูกน้อย 5. น้ำคร่ำแตก สัญญาณเตือนใกล้คลอดที่สำคัญที่สุด เมื่อใดก็ตามที่มีอาการน้ำคร่ำแตก คุณแม่ควรรีบเดินทางไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะทารกที่ไม่มีน้ำคร่ำโอบล้อมร่างกายในขณะที่ยังอยู่ในครรภ์นั้น อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ดังนั้น คุณหมอจึงจำเป็นต้องทำคลอดให้คุณแม่หลังจากที่น้ำคร่ำแตกภายใน 1-2 […]






