อุ่นนมแม่ อย่างไร? ให้ลูกได้สารอาหารครบถ้วน

นมแม่ คืออาหารมหัศจรรย์ของลูกน้อย อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่ครบถ้วนและเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกน้อย ซึ่งคุณค่าสารอาหารในนมแม่ สำคัญที่สุดต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูกทุกด้าน ได้แก่

  • สารอาหารสร้างพัฒนาการสมอง ทั้ง ดีเอชเอ เอเอ  กรดไขมันจำเป็นโอเมก้า3 โอเมก้า 6 ทอรีนและอื่นๆ ที่ช่วยพัฒนาระบบประสาทและการทำงานของสมองลูกน้อย
  • สารอาหารเพื่อร่างกายลูกน้อยเติบโตแข็งแรง เพราะมีทั้งโปรตีนที่มีประโยชน์และย่อยง่าย  แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไขมัน  คาร์โบไฮเดรต  growth factor และวิตามินที่จำเป็นต่างๆ อีกมากมาย เพื่อให้ลูกมีร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรงสมวัยเสมอ
  • นมแม่มีสารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันธรรมชาติให้ลูก เทียบเท่ากับวัคซีนเป็นพันเข็ม ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันโรคที่ไม่สามารถหาได้จากอาหารอื่น  ช่วยลดภูมิแพ้ และป้องกันการติดเชื้อจากโรคภัยต่างๆ  ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่เจ็บป่วยง่ายนั่นเอง
  • นมแม่ มีสารที่ช่วยในเรื่องระบบย่อยและฮอร์โมนต่างๆ  ช่วยให้ลูกขับถ่ายง่าย  อารมณ์ดี จิตใจแจ่มใส ยิ้มง่าย และยังได้รับความอบอุ่นปลอดภัย สร้างสายสัมพันธ์แห่งความผูกพันจากใจคุณแม่  ทำให้คุณหนูเลี้ยงง่าย อารมณ์ดีมีความสุข

อุ่นนมแม่ให้ถูก ลูกได้คุณค่าเต็มที่

เมื่อรู้ว่านมแม่มีคุณค่ามหาศาลอย่างนี้แล้ว คุณแม่ต้องให้ลูกน้อยกินนมแม่ให้นานที่สุด  เพื่อให้ลูกได้รับคุณค่าน้ำนมให้มากที่สุด ด้วยการทำสต๊อกนมแม่เก็บไว้ให้ลูก และให้ความสำคัญกับการอุ่นนมแม่ที่แช่แข็งหรือทำสต๊อกไว้มาให้ลูกกินด้วย เพราะหากอุ่นนมแม่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้ลูกเจ็บป่วยท้องเสีย แถมยังสูญเสียสารอาหารที่มีคุณค่าในนมแม่ไป   เราจึงขอแนะนำวิธีการอุ่นนมที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดมาฝากกันค่ะ

วิธี อุ่นนมแม่ จากช่องแช่แข็ง

  • นำนมแม่ในถุงเก็บน้ำนมที่แช่แข็งจากช่องฟรีซ ย้ายลงมาแช่ในช่องธรรมดาด้านล่าง เพื่อเตรียมก่อนจะใช้ 1 คืน  ให้นมแม่ค่อยๆ ละลายในวันรุ่งขึ้น  โดยนำนมเก่าที่คุณแม่ปั๊มเก็บไว้มาใช้ก่อนตามลำดับวัน เวลา ที่เขียนไว้หน้าถุงเก็บน้ำนม
  • เมื่อนมแม่ละลาย ให้แบ่งนมแม่ใส่ขวด ในปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อต่อมื้อเท่านั้น แล้วจึงค่อยนำมาอุ่น ซึ่งนมส่วนที่เหลือในช่องตู้เย็นธรรมดาจะสามารถเก็บให้ลูกกินได้อีก 2-3 วัน
  • ไม่ควรนำนมแช่เข็ง ออกมาวางปล่อยให้ละลายเองที่อุณหภูมิห้อง เพราะอาจทำให้คุณแม่ทิ้งไว้จนลืมเวลา หรือทิ้งไว้นานเกินไป จนทำให้นมแม่เสียได้
  • วิธีการอุ่นนมแม่ที่ดีและถูกต้องคือ นำนมแม่ไปแช่ไว้ในถ้วยหรือกะละมังเล็กๆ ที่ใส่น้ำอุ่น หรือน้ำธรรมดาอุณหภูมิห้อง  จนนมแม่หายเย็น
  • ห้ามอุ่นนมแม่ด้วยการนำไปใส่ไมโครเวฟ หรือแช่ในน้ำร้อน  นมแม่ควรผ่านความร้อนให้น้อยที่สุด เพราะความร้อนจะไปทำลายสารอาหารสำคัญในนมแม่ เช่น วิตามินบางตัว สารภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และอื่นๆ  รวมทั้งน้ำนมอาจจะร้อนเกินไปจนลวกปากลูกน้อยได้
  • หลังนมละลาย อาจมีชั้นของไขมันนมลอยอยู่ด้านบน แยกกับส่วนที่เห็นเป็นน้ำ ให้คุณแม่ค่อยๆเขย่าหรือแกว่งเบาๆ ให้นมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันก่อนให้ลูกน้อยกิน
  • น้ำนมแช่แข็งที่ละลายแล้วอาจมีกลิ่นหืนนิดหน่อย แต่ไม่เสีย ลูกน้อยสามารถกินได้ไม่มีอันตราย
  • ถ้าลูกน้อย ไม่ปฏิเสธหรือยอมกินนมเย็นๆ ได้ อาจไม่ต้องนำมาแช่ในน้ำอุ่น โดยเมื่อนมแม่ละลายตัวเข้ากันในช่องแช่เย็นธรรมดาแล้ว ก็สามารถนำมาให้ลูกกินนมแบบเย็นๆ ได้ทันที

ปัจจุบันมีเครื่องอุ่นนม ที่ช่วยอำนวยความสะดวกคุณแม่ในการละลายนมแม่แช่แข็ง ซึ่งมีการทำงานที่หลากหลายทั้งอุ่นนม ละลายน้ำแข็ง อุ่นอาหาร และฆ่าเชื้อได้  โดยคุณแม่ควรพิจารณาเลือกซื้อที่มีมาตรฐานความปลอดภัย  สามารถเลือกปรับอุณหภูมิได้ตามความเหมาะสม เพื่อรักษาคุณค่าของนมแม่ไว้ให้ครบถ้วน

ข้อควรระวัง

  • คุณแม่ควรทดสอบอุณหภูมิของน้ำนม ด้วยการหยดใส่หลังมือ โดยต้องไม่รู้สึกร้อนหรือเย็นเกินไป  เพราะนมที่ร้อนเกินไปอันตรายต่อทางเดินอาหารของลูก ตั้งแต่อาการพุพอง จนอาจกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกในกระเพาะอาหาร  และยังทำลายเซล์เม็ดเลือดขาวในนมแม่  ส่วนนมที่เย็นเกินไป จะทำให้ลูกทารกมีภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำได้ด้วย
  • คุณแม่ควรดมกลิ่นนมสต็อกหลังจากละลายน้ำแข็ง หรืออุ่นนมแม่แล้วทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่านมมีลักษณะเสียหรือไม่ ซึ่งนมที่เสียจะมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นรุนแรงมาก
  • นมแม่ที่อุ่นจนละลายแล้ว ไม่สามารถเก็บได้นานเกิน 2-3 ชั่วโมง ในอุณหภูมิห้อง  ดังนั้นจึงควรให้ลูกกินนมจนหมด หรือเก็บต่อได้ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง แล้วต้องทิ้งไป
  • ไม่ควรนำนมแช่แข็งที่ละลายแล้ว กลับไปแช่แข็งใหม่

เรื่องเข้าใจผิดของการ อุ่นนมแม่ ทำเสียคุณค่าน้ำนม 

  1. นำนมไปแช่ในน้ำร้อน หรือนำไปนึ่งได้ เพื่อให้ละลายเร็ว
    ความจริงคือ ไม่ควรนำนมแม่ไปละลายในน้ำร้อน เพราะความร้อนจะทำให้สารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีคุณค่าต่อลูกน้อยเสียไป
  2. ละลายนมแม่ หรืออุ่นให้ร้อนเร็วได้ด้วยไมโครเวฟ
    ความจริงคือ ห้ามนำนมไปอุ่นหรือทำให้ร้อนในไมโครเวฟ  เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายสารภูมิคุ้มกัน และสารอาหารจำเป็นในนมแม่ ทำให้ลูกไม่ได้รับสารอาหารที่สำคัญครบถ้วน และน้ำนมอาจร้อนเกินไปจนลวกปากลูกได้ด้วย
  3. หากลูกนมแม่ที่อุ่นแล้วไม่หมด  ยังเก็บนมแม่นั้นให้ลูกกินมื้อถัดไปได้อีก
    ความจริงคือ ไม่ควรนำนมที่ออกมาอุ่นแล้ว หรือนมที่เหลือ มาให้ลูกกินในมื้อถัดไป  เพราะนมที่ละลายแล้วจะเก็บได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง  นมอาจจะเสียหรือบูด เสี่ยงทำให้ลูกน้อย ปวดท้อง ท้องเสียหรือเจ็บป่วยได้
  4. ลูกกินนมเย็นไม่ได้ เดี๋ยวปวดท้อง ท้องเสีย!
    ความจริงคือ  การกินนมแม่ที่ละลายแล้วแบบเย็น ไม่ทำให้ลูกปวดท้องหรือ ท้องเสีย และนมแม่ก็ยังมีคุณค่าสารอาหารที่จำเป็นต่อลูกน้อย  แต่หากลูกไม่ชอบกินนมเย็น คุณแม่ก็เพียงนำขวดนมแม่มาแช่ในน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้องรอให้หายเย็นลงเท่านั้น
  5. นมแม่ที่ละลายแล้วมีกลิ่นหืน คือเสีย! ให้ลูกกินไม่ได้
    ความจริงคือ  น้ำนมแม่ที่แช่แข็งไว้ เมื่อละลายหรืออุ่นแล้วอาจมีกลิ่นหืนได้บ้าง  แต่ไม่ได้เสีย  ลูกน้อยสามารถกินได้ เพราะยังคงมีคุณค่าสารอาหาร และไม่มีอันตราย  ยกเว้นกรณีนมแม่มีกลิ่นรุนแรงมาก และมีรสเปรี้ยว  แสดงว่านมนั้นเสียแล้วไม่ควรให้ลูกกิน

ข้อมูลเพิ่มเติม :
https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/HpH/admin/news_files/718_49_1.pdf, FB: สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ,
https://www.phyathai.com/
https://library.thaibf.com/ (คลังข้อมูล มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย)

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวให้ความสำคัญกับ “คาร์ซีท” หรือ เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์จำเป็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยในขณะที่เดินทางด้วยรถยนต์กันเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุด นางสาวอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมชม “Aprica Central Research Center” ที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น และแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์ซีท เจาะลึกถึงแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสรีระของเด็กในแต่ละช่วงวัย การเลือกสรรวัสดุที่ปลอดภัย และขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงวิธีทดสอบคาร์ซีทในห้องปฎิบัติการด้านความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก อะปริก้า (Aprica) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.  2490 โดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความห่วงใยและใส่ใจเกี่ยวกับเด็กทารก เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็ก จึงได้ช่วยกันคิดค้นและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีเป้าหมายคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็กและพ่อแม่ ด้วยความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 70 ปี อะปริก้า จึงได้รับการยอมรับและไว้วางใจอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และอะปริก้ายังได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำรถเข็นและผลิตภัณฑ์เด็กรุ่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ Royal Knot เพื่อทูลเกล้าถวายแด่ราชวงศ์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในอีกหลายประเทศทั่วโลก Aprica Central Research Center เป็นศูนย์กลางวิจัยเกี่ยวกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์เด็กตั้งอยู่ในเมืองนาราประเทศญี่ปุ่นด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านเยน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมประวัติความเป็นมาของแบรนด์อะปริก้า แนวคิดปรัญชาการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก รวมทั้งเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยเฉพาะด้าน Childcare Engineering […]

1.การรู้จักใช้เงิน 2.การรู้จักนับถือความรู้ 3.การมีเสรีภาพ 4.การคิดก่อนพูด 5.ความพอเพียง 6.คนดี 7.ความสามัคคี 8.คนเราต้องรับและจะต้องให้ 9.พูดจริงทำจริง 10.ความซื่อสัตย์

เคล็ดลับการฝึกลูกนั่งคาร์ซีท car seat จากประสบการณ์จริงคุณแม่ลูกสอง โดย แม่ป่าน เพจ เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข by mommy Arpan 1. ฝึกเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ : ถ้าเป็นไปได้จัดเตรียมคาร์ซีท car seat ไว้ก่อนคลอด และให้ลูกนั่งตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล จะช่วยสร้างความคุ้นเคยให้กับทั้งตัวลูกและพ่อแม่ 2. ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอจนกลายเป็น routine (กิจวัตร) : ไม่ว่าจะไปไหน ใกล้หรือไกลต้องให้เด็กนั่ง car seat ทุกครั้ง เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ปฏิบัติจนคุ้นชิน และทุกอย่างจะง่ายขึ้นเองค่ะ 3. ปรับทัศนคติให้ตรงกัน (ปัญหาหลักที่หลายบ้านพบเจอ) : โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในบ้านที่อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือยังมองไม่เห็นความสำคัญ ลองนั่งพูดคุยบอกเล่าเหตุการณ์ๆต่างๆในข่าว ที่เวลาเกิดอุบัติเหตุและเด็กที่นั่ง car seat รอดชีวิต เปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้นั่งและเกิดความสูญเสียร้ายแรงตามมา และลองคุยปรับความเข้าใจกับท่านดู เชื่อว่าถ้าท่านรักและห่วงหลานๆเป็นทุน ยังไงวันหนึ่งท่านจะเข้าใจค่ะ อีกวิธีหนึ่งที่แนะนำคือลองหาวิดิโอใน Youtube สาธิตแรงกระแทกที่เกิดขณะรถชน (จะมีสาธิตเปรียบเทียบระหว่างมีคนอุ้มเด็ก กับเด็กนั่งคาร์ซีท ….หวังว่าภาพที่เห็นจะสามารถเปลี่ยนใจของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านได้นะคะ […]

ว่าที่คุณแม่มือใหม่หลายคนคงจะปวดหัวไม่น้อย ว่าลูกน้อยของเราควรจะหนุน หมอนทารก นอนหรือไม่ แล้ว หมอนหัวทุย จำเป็นไหม กดมือถือหาข้อมูลทีไรก็หาข้อสรุปไม่ได้เสียที ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้หายสงสัยกันค่า หมอนทารก ทารกควรหนุนหรือไม่ คำแนะนำจากกุมารแพทย์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยกล่าวว่า ท่านอนที่ดีและปลอดภัยสำหรับทารกที่สุดก็คือ การนอนหงายโดยไม่หนุนอะไรทั้งสิ้น เพราะสรีระของกะโหลกศีรษะของทารก ซึ่งจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ทำให้พอดีในการนอนแล้วถึงแม้จะนอนหงาย และนอกจากนี้จะต้องไม่มีสิ่งของอื่นๆ เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตา ของเล่น ฯลฯ อยู่บนเตียงขณะลูกน้อยนอนหลับ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจากการนอน หรือโรคไหลตายในทารก (SIDS) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตเด็กๆ มากมายทั่วโลก และโรคนี้มักจะเกิดกับเด็กอายุไม่เกิน 4 เดือนมากที่สุด โดยที่เด็กยังแข็งแรงดีอีกด้วย แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่หนึ่งในปัจจัยที่ชัดเจนและกระตุ้นให้เกิดการเสียชีวิตคือการที่มีผ้า วัตถุนุ่มๆ หรือการใช้ที่นอนที่อ่อนยวบเกินไป ไปอุดกั้นทางเดินหายใจของลูก จากการที่ลูกเกิดพลิกตัวนอนคว่ำ หรือคว้าวัตถุเหล่านั้นมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเด็กยังเล็กเกินไปที่จะชันคอหรือพลิกตัวกลับได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ทารกจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้หมอนหนุนนอนจนกว่าจะเข้าสู่วัยเตาะแตะหรือ 18 เดือนขึ้นไป หรือช้ากว่านั้นได้ยิ่งดีค่ะ กลัวลูกหัวแบน ทำไงดี อีกหนึ่งความกังวลใหญ่ของบรรดาแม่ๆ คือ กลัวลูกหัวแบน เพราะต้องนอนหงายตลอดเวลา ปัจจุบันจึงได้มีการผลิตคิดค้นหมอนหนุนสำหรับทารกเพื่อป้องกันหัวแบน และลูกน้อยยังคงนอนหงายได้ด้วย แต่ทั้งนี้คุณหมอและผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่แนะนำให้ใช้หมอนหนุนมากนัก เพราะหากใช้หมอนที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ […]

Aprica ก่อตั้งเมื่อปี 1947 ปี โดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความห่วงใยและใส่ใจเกี่ยวกับเด็กทารก เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็ก จึงได้ช่วยกันคิดค้นและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีเป้าหมายคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็กและพ่อแม่ ด้วยความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 70 ปี Aprica จึงได้รับการยอมรับและไว้ว่างใจอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น Aprica เป็นบริษัทแรกในโลก ที่มีการใช้หุ่นจำลองเด็กทารกขนาด 5 kg. ที่มีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านบาท โดยหุ่นจำลองนี้มีข้อต่อและอวัยวะในร่างกายเช่นเดียวกับเด็กทารก ติดตั้งเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณในส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อตรวจวัดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการกระแทกในอุบัติเหตุจำลองรูปแบบต่างๆ ได้รับรางวัลทรงเกียรติจากสถาบันนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น

“เพราะรถเข็นเด็กทุกคัน ไม่ได้เหมาะกับเด็กแรกเกิดทุกคัน” หลายคนยังเข้าใจผิดว่ารถเข็นเด็กแต่ละคัน ดูๆแล้วก็คล้ายๆกัน น่าจะใช้เหมือนๆ กันแต่ในความเป็นจริง แล้วเด็กแรกเกิดมีความบอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ รถเข็นเด็กสำหรับเด็กแรกเกิดจึงต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่นอกจากจะช่วยปกป้องสรีระของลูกน้อย  แล้วยังช่วยเสริมพัฒนาการรอบด้าน สร้างสุขอนามัยที่ดี และสร้างรอยยิ้มแห่งความสุขให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยได้อีกด้วย 1.ปรับให้นอนราบได้ 170 องศา สำหรับเด็กแรกเกิด รถเข็นเด็กแรกเกิด ที่ดีควรสามารถปรับให้นอนราบได้ 170 องศา ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กแรกเกิด เพราะกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง ยังไม่แข็งแรง จึงควรจัดให้เด็กนอนในท่านอนราบที่เป็นธรรมชาติ 2. เบาะรองนอนรูปนาฬิกาทราย จะช่วยรองรับสรีระได้อย่างเหมาะสม โดยมีพื้นที่วางแขนแบบ W-Shape และวางขาแบบ M-Shape เพื่อให้ขยับตัวได้ง่าย ซึ่งเป็นท่านอนที่เป็นธรรมชาติสำหรับเด็กวัยแรกเกิด 3. ชุดหมอนรองคอและสะโพก สำหรับทารกวัยแรกเกิดที่ยังไม่แข็งแรง เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับทารกวัยแรกเกิด ที่คอยังโงนเงนไม่แข็งแรง Head Support ที่มีส่วนเว้าโค้งพอเหมาะจะช่วยสอดรับช่วงต้นคอและศีรษะ ป้องกันคอพับซึ่งอาจส่งผลต่อการปิดทับระบบทางเดินหายใจได้ Hip Support หรือหมอนรองสะโพก ช่วยประคองให้กระดูกสันหลังมั่นคงไม่โค้งหรือเอียง ช่วยจัดท่านั่งและนอนได้อย่างเป็นธรรมชาติ 4. เบาะรองนอนระบายอากาศได้ดี และช่วยรองรับสรีระได้อย่างนุ่มนวล ด้วยระบบปรับอุณหภูมิในร่างกายลูกน้อยที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กทารกจะมีความสามารถในการควบคุมอุณหภุมิต่ำกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้มีเหงื่อออกมากกว่า โดยเฉพาะในเวลานอนซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเสริมสร้างพัฒนาการอย่างเต็มที่ ดังนั้นเบาะที่มีคุณสมบัติช่วยระบายอากาศได้ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยลดความร้อน […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages