10 วิธีทำให้ลูกฉลาดรอบรู้

เลี้ยงลูกให้มีความสุข เด็กที่มีความสุขคือเด็กที่รู้สึกปลอดภัย มั่นคง ทั้งในด้านอารมณ์ความรู้สึก และสิ่งแวดล้อมภายนอก เด็กที่มีความสุขจะรู้ว่าตนเองมีคุณค่าในแบบที่ตัวเองเป็น พ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่มีความสุขได้โดยการใช้เวลากับลูกให้มากๆ รู้จักสื่อสารพูดคุยกับลูก และสอนให้ให้ลูกรู้จักภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น การซื้อของและสมัครเรียนเสริมนอกเวลาให้ลูก ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าความสุข ถ้าอยากให้ลูกมีความสุข คุณเองควรใช้เวลากับลูกให้มากขึ้นมากกว่า ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง อีกหนึ่งวิธีที่จะเลี้ยงลูกให้มีความรอบรู้คือ การพอลูกออกไปท่องโลกกว้าง หรือชวนทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ใช่ให้พวกเขาอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว กิจกรรมที่น่าสนใจ และทำให้ลูกได้ประสบการณ์ใหม่ๆ นั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น งานอาสาสมัคร ไปทำบุญที่วัด เล่นกีฬาที่สโมสรในหมู่บ้าน พาลูกไปซื้อของที่ตลาด เป็นต้น สอนให้ลูกเป็นคนรักการเรียนรู้ พยายามกระตุ้นให้ลูกเป็นเด็กที่รักการเรียนรู้ และทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วย คุณอาจกระตุ้นการเรียนรู้ให้กับลูกผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวตามธรรมชาติ พาลูกไปพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ชวนลูกอ่านนิทาน ชวนลูกดูภาพยนตร์ด้วยกัน เป็นต้น สอนให้รู้จักเคารพผู้อื่น การรู้จักเคารพผู้อื่น เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญ หรือที่มาของคุณธรรมในตัวเด็ก เด็กที่ถูกเลี้ยงให้รู้จักเคารพกฎเกณฑ์ เคารพตนเอง เคารพผู้อื่น รวมถึงเคารพสิทธิของคนรอบข้าง จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นคนดีและมีคุณธรรม การสอนเรื่องความเคารพให้กับลูกตั้งแต่ยังเด็กจึงนับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สอนให้ลูกรู้จักเชื่อฟังพ่อแม่ วิธีง่ายที่สุดในการสอนให้ลูกเป็นเด็กที่รู้จักเชื่อฟังพ่อแม่ คือ ความสม่ำเสมอและความยุติธรรม อย่าทำให้ลูกสับสนด้วยการอนุญาตให้ลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในวันนึง แต่พออีกวันกลับห้ามทำ และคุณต้องปฏิบัติกับลูกทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วย เช่น […]

กรนและหยุดหายใจยิ่งอันตรายตอนท้อง

การนอนกรนของแม่ท้อง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ เช่น ท้องโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย การสูบฉีดเลือด ระบบไหลเวียนของเลือด รวมทั้งการเต้นของหัวใจ ซึ่งการสูบฉีดไหลเวียนเลือดที่มากขึ้น จะไปกระตุ้นเส้นเลือดในโพรงจมูก ทำให้มีภาวะบวมน้ำส่งผลให้เวลานอน จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก และเกิดเสียงกรนนั่นเอง ประกอบกับลักษณะการนอนของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ช่วง 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะนอนมากกว่าปกติ แต่ประสิทธิภาพ การนอนลดลง ช่วงหลับลึกและหลับฝันน้อยลง ทำให้ง่วงบ่อยและงีบในตอนกลางวัน ต่อมาช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน คุณแม่จึงจะเริ่มนอนเหมือนปกติ แต่ประสิทธิภาพการนอนจะยังไม่เหมือนเดิม ทำให้คุณแม่รู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม พอเข้า 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อายุครรภ์ 6-9 เดือน คุณแม่จะนอนสั้นลง ประสิทธิภาพการนอนยิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ และเป็นช่วงที่คุณแม่นอนกรนมากขึ้น ทั้งนอนกรนผิดปกติ หรือภาวะหยุดหัวใจขณะหลับก็จะเกิดขึ้นในช่วงใกล้คลอดนี้ด้วย แม้โอกาสเกิดขึ้นจะมีน้อยก็ตาม 6 ปัจจัยเสี่ยงภาวะหยุดหายใจเพิ่ม หากคุณแม่เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ต้องติดตามและเฝ้าสังเกตอาการตัวเอง เพื่อป้องกันและรักษาต่อไป โดยกลุ่มเสี่ยงมีปัจจัยดังนี้ อ้วนก่อนท้อง น้ำหนักตัวเกินก่อนท้อง น้ำหนักเพิ่มมากเกินไประหว่างท้อง คือเพิ่มเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานของแม่ท้อง มีการสะสมไขมันที่รอบคอบมากเกินไป หรือเป็นคนคอสั้น มีความดันสูง […]

คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการท้องผูกควรทำอย่าไรดี

ในช่วงที่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์มักมีการท้องผูก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ระบบการขับถ่ายเริ่มเปลี่ยนไปด้วย วิธีแก้ท้องผูกสำหรับคนท้องกับ 7 อาหารช่วยให้คุณแม่ท้อง หมดปัญหาเรื่องท้องผูกอีกต่อไป ตำลึง เป็นผักไม้เลื้อยที่ปลูกง่ายมีขายทั่วไปที่สำคัญนำมาปรุงอาหารจานอร่อยก็แสนจะง่าย เช่น แกงจืดตำลึง ตำลึงผัด น้ำมันหอย เป็นต้น และอย่างที่รู้ดีว่า ผักใบเขียวเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญอย่างเบต้าแคโรทีนที่มีส่วนในการบำรุงสายตาและมีเส้นใยอาหารอยู่มากด้วยค่ะ กุยช่าย เพราะเป็นผักที่มีกลิ่นแรงคะแนนความนิยมอาจไม่มากแต่ประโยชน์ทางสารอาหารสิ่งที่ได้เรียกว่ามากโขค่ะ ไม่ว่าเบต้าแคโรทีน แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต และฟอสฟอรัส มีเส้นใยอาหารที่ดีต่อระบบการย่อยอาหาร ฉะนั้นถ้าไม่ฝืนความรู้สึกเกินไปกับการกินก็ไม่น่าพลาดกับเมนูกุยช่ายผัดกับเนื้อสัตว์ ลูกพรุน ไม่ว่าพรุนสด พรุนเมล็ด หรือน้ำลูกพรุนสกัดแบบสำเร็จรูป เป็นทางเลือกหนึ่งในการกินแก้อาการท้องผูกที่ช่วยให้คุณแม่ขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะผลไม้ประเภทนี้อุดมไปด้วยไฟเบอร์มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ค่ะ กล้วย ผลไม้ดีๆ ที่กินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีให้เลือกหลายชนิดตามความชอบไม่ว่าจะเป็น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ ที่สำคัญกินได้ทั้งปี ราคาไม่แพง ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายช่วยใช้ขับถ่ายสะดวก มะละกอสุก อีกหนึ่งผลไม้หากินง่ายราคาเบาๆ มากด้วยคุณค่าด้านโภชนาการไม่ว่าวิตามินบี1 บี2 และเบต้าแคโรทีน รวมถึงประโยชน์ทางยา แก้เรื่องท้องผูก เหมาะเป็นผลไม้มื้ออาหารว่างของแม่ท้องทีเดียว น้ำ นอกจากร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับน้ำอย่างพอเพียงเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายโดยผ่านการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8 แก้ว การดื่มน้ำยังเป็นวิธีที่ช่วยให้ระดับขับถ่ายทำงานได้ดีเป็นปกติด้วยค่ะ ข้าวกล้อง บางครั้งก็เรียกว่าข้าวแดง ข้าวซ้อมมือ ข้าวอนามัย ที่มีความต่างทางสีสัน ด้านคุณค่าทางสารอาหารแบบข้าวหอม เพราะอุดมด้วยสารอาหารมีสรรพคุณเป็นยาอาหารสุภาพของใครหลายๆ […]

ก้าวแรกของลูกกับรองเท้าคู่แรก

ลูกสบายเท้า แม่สบายใจ การเลือกซื้อรองเท้าให้ลูกน้อยนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้ สบาย  ให้ลูกลองสวมเดิน แล้วคุณแม่ลองสังเกตดูว่าลูกใส่สบายหรือเปล่า รองเท้าที่ใส่แล้วสบายต้องเหลือที่ว่างตรงปลายนิ้วโป้งเท้ากับปลายรองเท้าพอสมควรประมาณ 1 เซนติเมตร เบา ควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นอ่อน ทำจากวัสดุที่นุ่ม น้ำหนักเบา และยืดหยุ่นได้ดี เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยควบคุมเท้าและการทรงตัวได้ดีกว่ารองเท้าที่มีพื้นแข็ง เหมาะสม รองเท้าที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยนั้นต้องหัวกว้างหรือป้าน เพื่อให้เท้ากางได้สบาย เวลาใส่เท้า ลูกก็จะไม่งองุ้ม และควรเลือกรองเท้าที่มีสายรัดกระชับข้อเท้า และส้นรองเท้า เพื่อช่วยประคองกล้ามเนื้อเท้าในเวลาเดิน ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยเดินทรงตัวได้ดีขึ้น ระบายอากาศ รองเท้าที่ระบายอากาศได้ดีนั้น ต้องทำจากผ้าใบคุณภาพดี หรือหนังฟอกเนื้อโปร่ง ซึ่งจะช่วยระบายความอับชื้นให้ลูกน้อยเวลามีเหงื่อออกได้ ใส่ง่ายถอดง่าย รองเท้าที่ดีสำหรับลูกน้อยนั้น ควรเป็นรองเท้าที่ง่ายต่อการใส่และสะดวกต่อการถอด เพราะจะทำ ให้ลูกรู้สึกดีกับการใส่รองเท้า ทำให้ลูกอยากใส่มากกว่ารองเท้าที่มีขั้นตอนในการใส่ยุ่งยาก หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะหนีบ วัยเตาะแตะไม่ควรใส่รองเท้าแตะหนีบ เพราะจะทำให้ปวดหัวเข่า ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับเข่าของลูกน้อยได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ก็ควรปล่อยให้ลูกได้เดินเท้าเปล่าด้วยนะคะ เช่น อยู่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องให้ลูกใส่รองเท้าหรอกค่ะ เพราะการปล่อยให้ลูกน้อยได้เดินเท้าเปล่านั้นจะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ผิวสัมผัสของพื้นที่แตกต่างกัน และที่สำคัญยังช่วยพัฒนาทักษะการทรงตัว พัฒนากล้ามเนื้อเท้า เรียนรู้การใช้เท้าและนิ้วเท้าอีกด้วย ข้อมูลจาก : Enfa Smart Club

10 กิจกรรมสนุกๆ เมื่อตั้งครรภ์

คุณแม่รู้ไหม? ในช่วงตั้งครรภ์นอกเหนือจากบทบาทว่าที่คุณแม่แล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่คุณแม่จะได้สวมบทบาทสนุกๆ อีก 10 อย่างเพื่อการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพและมีความสุข 1.นักออกกำลังกาย : สุขภาพ ที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ ซึ่งการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 โดยต้องเป็นกีฬา หรือกิจกรรมที่ไม่ใช้แรงหรือมีการกระแทก เช่น การว่ายน้ำ เดิน เต้นแอโรบิกเบาๆ บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ขี่จักรยาน อยู่กับที่ ควรหาโอกาสออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและไม่อ่อนแรงง่าย 2. นักสำรวจ : หมั่นสำรวจ และ สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก อย่างผิวพรรณ เส้นผม เล็บ เพื่อบำรุงอย่างถูกวิธี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน อาการหรือความผิดปกติต่างๆ การดิ้น ของลูก โรคประจำตัว จดบันทึกการเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้นำไปถามคุณหมอเมื่อนัดตรวจครรภ์ หรือถ้ามีความผิดปกติที่ร้ายแรงจะได้รักษาได้ทันค่ะ 3. นักโภชนาการ : การพิถี พิถันเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่ทราบกันดี อยู่แล้ว ซึ่งการกินอาหารครบ 5หมู่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่และช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์ของร่าง กายให้กับลูกในท้อง รวมถึงต้องกินอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารค้างคืนหรืออาหารสำเร็จรูปเพราะคุณค่าทางอาหารจะลดลง หากอยากกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือขนมต่างๆ ก็สามารถกินได้ให้พอหายอยาก ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะจะทำให้อ้วนและยังมีสารต่างๆ จากส่วนผสมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายค่ะ 4. นักกิจกรรม : วันว่างอย่าลืม ผ่อนคลายด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้ำต้นไม้อยู่ที่บ้าน ไปเดินผ่อนคลายเปิดหูเปิดตานอกบ้าน ฟังการเสวนาหรือเข้าอบรมเกี่ยวกับการตั้งครรภ์จะช่วยให้ได้รับความรู้และพัก ผ่อนในวันหยุด 5. […]

หนาวนี้…เตรียมตัวให้พร้อม พาลูกเล็กๆไปเที่ยวกัน

สำหรับบ้านที่มีลูกเล็กๆและวางแผนจะไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวนี้ เรามีคำแนะนำในการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ทริปแรกของเจ้าตัวเล็กไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด 1.จองตั๋วและเช็คเวลาเดินทางตรวจสอบสภาพอากาศ หากเดินทางด้วยรถไฟหรือเครื่องบิน จัดการจองตั๋วและเช็คเวลาออกเดินทางให้เรียบร้อย ตรวจสอบสภาพอากาศของสถานที่ที่จะไป เพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสม อย่าลืมถามที่พักด้วยว่ามีเตียงสำหรับเด็กโดยเฉพาะหรือไม่ ถ้าไม่มีจะได้เตรียมพร้อมที่นอนสำหรับลูก (หรือของคุณพ่อเอง) เผื่อไว้อีกหนึ่งตัวเลือก 2. Car Seat เมื่อต้องพาลูกน้อยเดินทางไปด้วย อุปกรณ์ที่มีไว้เพื่อการเดินทางได้อย่างปลอดภัย คือคาร์ซีท เตรียมคาร์ซีททาี่เหมาะสมสำหรับวัยของลูกน้อยแล้ว สิ่งสำคัญอีกสิ่งที่ไม่ควรลืมคือ วิธีการติดตั้งอย่่างถูกต้อง และควรให้ลูกน้อยล็อคเข็มขัดนิรภัย 5 จุด เพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทางด้วยนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก : http://bit.ly/product-carseat 3.รถเข็นเด็ก ในกรณีที่ลูกยังเล็กยังไม่สามารถก้าวเดินด้วยตัวเองได้ ให้นำรถเข็นไปด้วย แต่ควรเป็นรถเข็นเด็กแบบที่น้ำหนักเบา  พับเก็บง่าย และควรเลือกแบบที่ปรับเอนนอนได้เพราะน้องเล็กๆยังต้องนอนหลับตอนกลางวัน และเมื่อไปเที่ยวต่างประเทศที่อากาศค่อนข้างหนาว ควรมีอุปกรณ์เสริมสำหรับรถเข็น คือ ผ้าห่มคลุมเท้า หรือ ผ้าคลุมกันหิมะ ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ลูกน้อย รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก : http://bit.ly/รถเข็นเด็ก-Aprica 4.เป้อุ้มเด็ก อย่าลืมพกเป้อุ้มเด็กไปด้วย เพราะเป้อุ้มเด็กเป็นตัวช่วยเพิ่มความสะดวกและความคล่องตัว โดยเฉพาะเป้อุ้มเด็กที่ใช้ควบคู่กับรถเข็นเด็ก เพื่อการปรับเปลี่ยนให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมออกเดินทางได้ทุกสถานการณ์ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก : http://bit.ly/product-เป้อุ้มเด็ก 5.ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงและแมลง ปัจจุบันมีทั้งแบบสเปรย์แป้ง โลชั่น หรือสติ๊กเกอร์ สำหรับป้องกันยุงและแมลงไม่ให้มารบกวน ที่สามารถใช้ได้ทุกคนในครอบครัว […]

ชวนลูกน้อยหาความสุขใกล้ๆตัว

ความสุขมีอยู่รอบตัวเราและลูกค่ะ Smart Tips ขอชวนคุณจูงมือเจ้าตัวเล็กมาร่วมหาความสุขจากธรรมชาติรอบตัวไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมทั้งในและนอกบ้าน การฟังเสียงรอบข้างให้ใจเพลิดเพลิน และการสังเกตศิลปะที่ธรรมชาติรังสรรค์มาค่ะ พร้อมแล้วไปหาความสุขใส่ตัวกันเถอะ… กระชับใจใกล้ธรรมชาติ สัมผัสกับธรรมชาติทั้งแบบ Indoor และ outdoor เพื่อให้ดวงใจน้อยๆ ของเจ้าหนูดื่มด่ำไปกับความสุขที่ได้จากธรรมชาติกันค่ะ Indoor ชวนเจ้าตัวเล็กมาเป็นมัณฑนากรจิ๋ว โดยร่วมกันเปลี่ยนมุมเดิมๆ ในบ้านให้รายล้อมด้วยธรรมชาติเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งอ่าน เขียน และเล่นได้ในที่เดียว… หามุมที่อากาศถ่ายเทเปิดประตูหรือหน้าต่างให้แสงแดดรำไรสาดส่องเข้ามาในห้อง และสายลมเย็นๆ พัดผ่านได้สะดวก พร้อมหาเบาะรองนั่ง และเก้าอี้ญี่ปุ่นแสนสวยตั้งไว้สำหรับเป็นมุมของเด็กๆ ไว้อ่าน เขียน หรือประดิษฐ์งานศิลป์ชิ้นโปรด เข้าสู่ยามค่ำคืนลองงดใช้แสงสว่างจากหลอดไฟ แล้วให้โอกาสแสงจันทร์ได้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหนูผ่านการเล่านิทานจากเงา หรือถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ แก่กันท่ามกลางแสงจันทร์นวลๆ ก็ถือเป็นกิจกรรมที่แสนจะสุนทรียะเช่นกันค่ะ Outdoor เด็กๆ ควรมีกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งนอกจากสุขภาพของพวกเขาจะดีจากการได้เล่นแล้ว คุณยังสามารถใช้กิจกรรมกลางแจ้งสร้างสุนทรียะให้เขาได้ด้วย ชวนเจ้าตัวเล็กรังสรรค์ผลงานจากธรรมชาติเพื่อธรรมชาติสิคะ เช่น ทำกระบะขนาดพอเหมาะจากวัสดุไม้ เพื่อใส่อาหารนก หรือผลไม้น่าอร่อยอย่างเช่น ผลกล้วยสุก กับแอปเปิ้ลสีแดงสวยผ่าซีก สำหรับเจ้ากระรอกน้อย หรือคุณนกที่บินร่อนอยู่บริเวณนั้น กระชับอารมณ์ด้วยเสียงแสนละมุน เสียงอันไพเราะแสนละมุน ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงสายลมเย็นๆ หรือน้ำเสียงหวานๆ ของคุณจะช่วยกล่อมเกลาให้เจ้าหนูไม่มีอารมณ์ที่หมองมัวได้ด้วยนะคะ สายลมกับกระดิ่งลมของหนู ยามกระดิ่งต้องลมดังกรุ๊งกริ๊ง เป็นเสียงที่เสนาะหูใช่มั้ยล่ะคะ ลองให้เด็กๆ เลือกซื้อหรือประดิษฐ์กระดิ่งลมตามสไตล์ของเขาเอง พร้อมกับเลือกมุมแขวนกระดิ่งด้วยตัวเองสิคะ รับรองว่าเจ้าหนูต้องร้อง “ว้าว!… เสียงกระดิ่งลมของหนูเพราะจัง” ชัวร์ เก้าอี้ดนตรีคึกคัก ภาพการเคลื่อนไหวยึกยักไปมาเพื่อหาจังหวะแย่งเก้าอี้ของเด็กๆ โดยมีเสียงทำนองเพลงที่เด็กๆ คัดสรรเองกับมือ จะช่วยให้เสียงหัวเราะแห่งความสุขเบ่งบานได้ไม่ยากค่ะ แถมเกมนี้ยังสร้างให้เด็กๆ มีหัวใจนักกีฬาด้วยนะคะ […]

10 เคล็ดลับ สร้างมารยาทบนโต๊ะอาหารให้วัยเยาว์

เรื่อง : เมธาวี ภาพ กองภาพ การรู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารของเด็ก ๆ เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งช่วยให้เด็ก ๆ รู้จักการอดทนรอคอย ซึ่งเป็นพื้นฐานการมีนิสัยที่ดี Rosanne Thomas ประธานที่ปรึกษาด้านมารยาทบนโต๊ะอาหารและทักษะการดื่มในเด็ก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน ได้ทดลองโดยให้คนในครอบครัว พ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย มากินอาหารร่วมกัน และแสดงพฤติกรรมดี ๆ บนโต๊ะอาหารให้เด็ก ๆ ดูเป็นตัวอย่าง ปรากฏว่าเด็ก ๆ จะสังเกตพฤติกรรมเหล่านั้นและสามารถทำตามได้เอง โดยใช้เคล็ดลับ 10 ข้อค่ะ ซึ่งแม้ว่าจะออกไปทางมารยาทแบบตะวันตก แต่เด็กไทยเรียนรู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ ผู้ชายควรแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ด้วยการดึงเก้าอี้ออกมาให้ผู้หญิงนั่งก่อน แล้วจึงไปนั่งที่ตนเอง เจ้าบ้านเป็นผู้นำก่อน เมื่อเจ้าบ้านหยิบผ้าเช็ดปากวางลงบนตัก ผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มหยิบผ้าเช็ดปากของตนเอง และเมื่อเจ้าบ้านหยิบส้อม ผู้ร่วมโต๊ะก็สามารถหยิบส้อมของตนเองได้ บอกเด็ก ๆ ว่ายังไม่เริ่มกินจนกว่าสมาชิกบนโต๊ะจะได้รับการเสิร์ฟครบทุกคน ขนมปังและเนยวางอยู่ด้านซ้าย ฉีกเป็นชิ้นเล็กพอกินแล้วทาเนยพอประมาณ เมื่อจะส่งอาหารจานหนึ่งไปรอบ ๆ ให้ส่งไปทางด้านขวา หากจำเป็นต้องลุกจากโต๊ะอาหารโดยยังกินไม่อิ่ม ให้วางมีดและส้อมเป็นรูปตัววีกลับหัว ไม่ควรหั่นอาหารชิ้นหนึ่งให้หมดภายในครั้งเดียว แต่ให้หั่นทีละ 1-2 ชิ้น […]

รอบรู้เรื่อง “นอน” ของเจ้าตัวน้อย

ความสำคัญของการนอนของเจ้าตัวเล็กนั้น มีผลต่อการเติบโตต่อร่างกาย เพราะการนอนหลับจะมีฮอร์โมนเรียกว่า โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมากระตุ้นให้ร่างกายเติบโต ใยประสาทจะเชื่อมโยงกับเซลล์ จึงทำให้สมองเติบโตด้วย ฉะนั้นเจ้าตัวเล็กที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก็จะเป็นเด็กที่อารมณ์ดี เรียนรู้ได้มากแต่การนอนหลับของเจ้าตัวเล็กตามธรรมชาตินั้น ไม่ได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง อย่างที่เราเห็นนาฬิกาในสมอง จะกำหนดให้เจ้าตัวเล็กได้พักผ่อนตลอดเวลาของการนอนจริง ๆ ก็ต่อเมื่อได้หลับรวดเดียวประมาณเดือนที่ 6 ขึ้นไปแล้ว พ.ญ. เชิดชู อริยศรีวัฒนา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่าเด็กทารกมีการนอนหลับไม่สนิทโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ของชีวิต ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวของนัยตาอย่างรวดเร็วว่า Rapid eye movement สลับกับการหลับเงียบสนิทที่เรียกว่า Quiet sleep หรือ Non-rapid-eye-drop movementจึงทำให้บางครั้งนอนดิ้น ส่งเสียงครวญครางแต่ยังตื่นไม่เต็มที่ คุณไม่ควรเข้าไปอุ้มหรือให้กินนม เพราะจะเป็นการไปปลุกให้เด็กซึ่งกำลังหลับในช่วงหลับไม่สนิทให้ตื่นขึ้น แทนที่จะหลับต่อไปได้อีก ข้อมูลจากหน่วยกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า พฤติกรรมการนอนของเจ้าตัวเล็กแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน โดยสามารถแจกแจงให้เห็นชัดเจนดังต่อไปนี้ 0 – 3 เดือน การหลับและตื่นของทารกแรกเกิดมักจะเฉลี่ยเท่า ๆ กันทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน เจ้าตัวเล็กจะนอนหลับวันละประมาณ 20 ชม. ต่อวัน แต่ในช่วงแรกมักจะนอนกลางวันมากกว่ากลางคืน มีเวลาตื่นที่ไม่แน่นอน การนอนอาจเปลี่ยนไปทุกสัปดาห์และ จะปรับตัวมานอนตอนกลางคืนมากกว่าได้เองในไม่ช้า 3 – 6 เดือน เจ้าตัวเล็กจะหลับกลางวันน้อยลง นอนกลางคืนมากขึ้น โดยจะหลับรวดเดียวไปจนถึงเช้า ไม่ตื่นมากินนมตอนกลางคืนเหมือนก่อน คุณก็ไม่จำเป็นต้องปลุก ให้เจ้าตัวเล็กตื่นขึ้นมาดูดนมหรือกลัวว่าจะหิว […]

อากาศเปลี่ยนแปลงดูแลตัวเองก่อนป่วย

จังหวัดส่วนใหญ่ที่ประกาศภัยหนาวเป็นจังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยสูงสุด 10 ลำดับแรก ความหนาวเย็นของอากาศเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการแพร่กระจายของโรค อย่างไรก็ดี มีปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สุขอนามัยส่วนบุคคล การไอจามไม่ปิดปากปิดจมูก และในบางโรคการไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจ็บป่วย และในปี 2557 นี้ คาดว่าผู้ป่วยโรคติดต่อที่เฝ้าระวังในฤดูหนาวจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การป้องกันการเจ็บป่วยในฤดูหนาว ประชาชนควรดูแลสุขภาพตนเองดังนี้ การรับประทานอาหารอย่างเพียงพอโดยเฉพาะอาหารที่ให้พลังงาน เช่น แป้ง และไขมัน อาหารที่รับประทานต้องปรุงให้สุกด้วยความร้อนทั่วถึงอาหารค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน ไอจามปิดปากปิดจมูกถ้ามีอาการหวัดเช่น มีน้ำมูก ไอ จาม มาก ควรสวมหน้ากากป้องกันโรค เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่น หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่โดยเฉพาะก่อนรับประทาน ก่อนการประกอบอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำห้องส้วม ออกกำลังอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศหนาวเย็น และรักษาความอบอุ่นของร่างกายโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมทั้งผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะทางจิต และคนเร่ร่อนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยฯ หาเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้เพียงพอ ให้รักษาความอบอุ่นลำตัวและคอสวมหลายๆ ชั้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่เด็กเล็กผู้สูงอายุผู้ป่วยโรคเรื้อรังเป็นต้น หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์การผิงไฟในที่อับ ไม่มีอาการถ่ายเท และไม่นำเด็กเล็กเข้าใกล้ควันไฟหรือห่มผ้าคลุมศีรษะเด็กอ่อนปิดจมูกและปากเพราะจะทำให้เสียชีวิตได้ ***ขอบคุณข้อมูลจาก […]