SIDS เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

SIDS หรืออาการภาวะไหลตาย เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กทารกแรกเกิดเสียชีวิต ถือเป็นอีกสิ่งที่คุณพ่อ และคุณแม่ควรให้ความใส่ใจ และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว ทาง BABY GIFT EXPERT จึงอยากพาคุณพ่อ คุณแม่ทุกคน มาทำความเข้าใจกันว่า SIDS คืออะไร และสามารถป้องกันได้อย่างไร

SIDS คืออะไร
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ได้อธิบายถึงภาวะ SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรือภาวะไหลตายไว้ว่า เป็นภาวะเสียชีวิตขณะนอนหลับ เกิดขึ้นได้แม้ในทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงดี พบบ่อยในช่วงอายุเด็กแรกเกิดถึง 1 ปี และพบบ่อยที่สุดในช่วงที่อายุ 2-4 เดือน โดยส่วนมากมักจะพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง

สาเหตุของการเกิดภาวะ SIDS
SIDS มีสาเหตุมาจากการกีดขวางการหายใจของทารกขณะนอนหลับ เช่น การจัดท่าให้ทารกนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง การที่มีผ้าห่มหรือวัตถุนิ่มๆปิดหน้าทารกขณะนอนหลับ การถูกผู้ใหญ่นอนทับ เป็นต้น เนื่องจากทารกยังไม่สามารถเคลื่อนไหวศีรษะได้ดี ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะนี้ คือ ทารกเกิดก่อนกำหนด ควันบุหรี่ และอุณหภูมิห้องนอนที่ร้อน ซึ่งอุณหภูมิห้องนอนที่เหมาะสมของทารกคือ 25-26 องศาเซลเซียส
แต่สาเหตุหลักๆที่เราจะเห็นกันบ่อยๆในปัจจุบันนั้น มาจากทารกนอนคว่ำหน้า มีผ้าห่ม หรือหมอนไปกดทบลูกน้อยไว้ ทำให้เด็กหายใจไม่สะดวกจนเกิดอาการไหลตาย ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ ถึงแม่จะระวังมากแค่ไหน แต่สาเหตุนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคุณพ่อ คุณแม่ ก็ควรที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์พวกที่นอน ผ้าห่ม หรือหมอน ที่สามารถระบายอากาศได้อย่างดี ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย
ภาวะ SIDS สามารถรักษาหรือป้องกันได้ไหม
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาได้อย่าง 100% เพราะภาวะนี้มักจะเกิดจากการนอนหลับและเสียชีวิตไปโดยไม่สามารถรักษาได้ทันการณ์ แต่คุณพ่อ คุณแม่ที่เป็นกังวลกับภาวะไหลตาย สามารถหาวิธีป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะของลูกน้อยได้ ด้วยการทำวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
1.พยายามให้ลูกน้อยนอนหงายหน้าอยู่เสมอ
การที่ให้ลูกน้อยนอนหงายหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะไหลตายเพราะการนอนหงายหน้าของลูกน้อยจะช่วยให้ลูกน้อยหายใจได้อย่างสะดวก ระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ทำให้การนอนหงายหน้ามีความปลอดภัยกว่าการนอนตะแคง 2 เท่าและปลอดภัยกว่าการนอนคว่ำหน้าถึง 6 เท่า

2.หลีกเลี่ยงบุหรี่และควันบุหรี่
ในความจริงแล้วภาวะไหลตายสามารถลดความเสี่ยงได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ โดยที่คุณแม่ควรงดสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์ เพราะมีงานวิจัยชี้ว่า คุณแม่ที่สูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์หลังจากที่คลอดแล้ว ทารกในครรภ์มีโอกาสเป็นภาวะไหลตายได้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และอาจมีปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้หลังจากลูกน้อยคลอดออกมาแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่มือสอง เพราะควันบุหรี่มีสารที่เป็นอันตรายกับร่างกายทั้งของแม่และทารกมากถึง 4,000 ชนิด และมี 60 ชนิด ที่เป็นสารที่ก่อให้เกิดภาวะมะเร็ง

3.จัดสภาพแวดล้อมรอบตัวของลูกน้อยให้มีความปลอดภัย
การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับลูกน้อย โดยเฉพาะบริเวณที่นอน จะทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไหลตายได้ อาทิ
- การเลือกใช้ที่นอนของลูกน้อย ควรเลือกที่นอนที่มีความแข็งแรง มีขนาดพอดี ไม่ใหญ่ไป หรือเล็กไป มีความนุ่มสบาย แต่ไม่ยวบ และที่สำคัญที่นอนของลูกน้อยควรจะสามารถระบายอากาศได้ดี ควรหลีกเลี่ยงการวางลูกน้อยบน ผ้าห่ม หมอน ที่ปกติคุณพ่อ คุณแม่ใช้ในการนอน
- ที่นอนของลูกน้อย ไม่ควรนำของเล่น ผ้าห่ม หรือหมอน เข้ามาไว้ในที่นอนมากเกินไป เพราะของพวกนี้ จะทำให้ที่นอนของลูกน้อยระบายอากาศได้ไม่เต็มที่ หรือบางกรณีอาจจะไปทับตัวลูกน้อย ทำให้หายใจไม่สะดวก ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อลูกน้อยได้
- อย่าปล่อยให้ลูกน้อยร้อนจนเกินไป อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า อุณหภูมิห้องนอนที่เหมาะสมของทารกคือ 25-26 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้นไม่ควรใส่เสื้อผ้าหลายๆชั้นให้กับลูกน้อย และควรหาที่นอนที่สามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดีให้กับลูกน้อย

4.ทารกควรนอนในห้องเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ไม่ควรนอนเตียงเดียวกัน
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากอยู่ใกล้ชิดกับลูกน้อย และเป็นกังวลในช่วงเวลากลางคืน ก็มักจะนำลูกน้อยมานอนบนเตียงหรือที่นอนเดียวกัน วิธีการนี้เป็นวิธีที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยได้ เพราะที่นอนปกติ ส่วนมากไม่เหมาะสมกับวัยของทารกแรกเกิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการระบายอากาศ และความยืดหยุ่นของเนื้อผ้า แต่ก็ควรที่จะนำลูกน้อยมานอนอยุ่ในห้องเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อจะสามารถดูแลลูกน้อยได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงควรหา เบาะนอนสำหรับลูกน้อยหรือเตียงนอนสำหรับลูกน้อย ที่สามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี มีความเหมาะสมกับวัยของลูกน้อยมากที่สุด

5.การสร้างภูมิต้านทานให้กับลูกน้อย
มีงานวิจัยชี้ว่าการที่ลูกน้อยที่ฉีดวัคซีนครบตามที่แพทย์แนะนำ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยภาวะไหลตายในเด็กได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้การที่ลูกน้อยไดรับการเลี้ยงด้วยน้ำนมแม่ มีแนวโน้มที่จะช่วยให้เด็กเกิดผลด้านมีภูมิต้านทานโดยตรงต่อภาวะไหลตาย เพราะเด็กจะมีสุขภาพที่แข็งแรงจากการได้กินนมแม่

ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะไหลตายถึงแม้จะน่ากลัว แต่สามารถป้องกันได้ เพราะฉะนั้น คุณพ่อ คุณแม่ จึงต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน ทั้งในเรื่องสุขภาพของลูกน้อย และของใช้ของลูกน้อย โดยเฉพาะของใช้ที่ลูกน้อยใช้นอนบนที่นอน หรือตัวเบาะนอน ต้องมีความปลอดภัย มีการระบายอากาศได้เป็นอย่างดี นุ่มแต่ไม่ยวบ เหมาะสมกับลูกน้อยที่สุด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะไหลตาย
ข้อมูลอ้างอิง : www.fhs.gov.hk,www.pobpad.com,women.trueid.net
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :
- BabyGift ทุกสาขา คลิก : BabyGift Ourshop
- Call Center : 086-3817175
- Inbox : m.me/BabyGiftretail/
- LINE@ : @babygiftretail
- Instagram : babygiftretail
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คุณแม่อาจป้อนอาหารบดละเอียดให้ลูกเสริมกับการกินนมแม่เป็นหลัก หรือถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากฝึก BLW ให้ลูกกินข้าวด้วยตัวเองเป็นก็อาจให้ลูกหยิบจับอาหารนิ่ม ๆ กินเองโดยที่ไม่ต้องป้อนซึ่งอาจเป็นอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงมาก อย่างเช่น ผักต้มนิ่มๆ ผลไม้นิ่มๆ เนื้อปลาต้มนิ่มๆ และเมื่อลูกย่างเข้าสู่เดือนที่ 8 เป็นต้นไป ลูกก็จะเริ่มกินอาหารได้หลากหลายมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็อาจมองหาเมนูอาหารใหม่ๆ ให้กับลูกน้อย ซึ่งในบทความนี้ BabyGift มีเมนูอาหารเด็ก 8 เดือน 5 เมนูอร่อยมาแนะนำกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ลองไปดูกันค่ะ ชวนเข้าครัวเตรียมเมนูอาหารเด็ก 8 เดือนให้ลูกน้อย เด็ก 8 เดือนกินอะไรได้บ้าง ? พอลูกของเราอายุ 6 เดือนขึ้นไป ก็จะสามารถกินอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่เพิ่มเติมได้ และถ้าเป็นไปได้ คุณแม่ก็ควรให้นมแม่ควบคู่กับการเพิ่มมื้ออาหารให้ลูก ซึ่งอาหารสำหรับเด็กอ่อนนั้น สามารถใช้วัตถุดิบได้หลากหลาย และเมื่อลูกอายุ 8 เดือนก็จะเริ่มมีฟันน้ำนม สามารถกินอาหารได้อย่างหลากหลายมากขึ้น เนื้อสัมผัสอาหารมีความหยาบได้มากขึ้น รวมถึงกินผลิตภัณฑ์จากนมอย่าง เนย ชีส และโยเกิร์ตได้ สำหรับเมนูอาหารเด็ก 8 เดือนที่เราจะแนะนำกันนั้น สามารถใช้วัตถุดิบอะไรได้บ้าง มาดูกันค่ะ แนะนำ […]
การนับอายุครรภ์คือหนึ่งในเรื่องที่สร้างความสับสนให้คุณแม่มือใหม่หลายคน และมักจะถูกถามบ่อย ๆ ว่า “ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้ว?” “อายุครรภ์เท่าไหร่?” ซึ่งบางครั้งคุณแม่เองก็อาจจะยังไม่แน่ใจนัก การทราบอายุครรภ์ที่แม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตอบคำถาม แต่ยังเพื่อความปลอดภัยและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์นั่นเอง วันนี้ BabyGift จะพาคุณแม่มาไขข้อสงสัยและเรียนรู้วิธีการนับอายุครรภ์ให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุดกัน การนับอายุครรภ์สำคัญอย่างไร การนับอายุครรภ์ที่ถูกต้องและแม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพทั้งของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินพัฒนาการของทารกได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสัปดาห์ รวมถึงวางแผนการตรวจครรภ์และติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ประโยชน์ของการนับอายุครรภ์ การนับอายุครรภ์มีประโยชน์หลายอย่างที่คุณแม่ควรรู้ ประการแรกคือช่วยให้แพทย์ประเมินพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ตรงตามช่วงอายุจริง เช่น ขนาดของทารก หรือการเต้นของหัวใจ ประการที่สองคือช่วยกำหนดวันคลอดที่คาดการณ์ไว้ (EDC) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเตรียมความพร้อมเรื่องของใช้ต่าง ๆ เช่น ของเตรียมคลอด ของใช้ลูกแรกเกิด อุปกรณ์แม่และเด็กมีอะไรบ้าง หรือการวางแผนการลาคลอด ประการที่สามคือใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทางการแพทย์ เช่น การให้ยา หรือการทำหัตถการต่าง ๆ อย่างปลอดภัย 6 วิธีนับอายุครรภ์ที่ทำได้ด้วยตัวเอง การนับอายุครรภ์ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด คุณแม่สามารถเริ่มต้นคำนวณได้ด้วยตัวเองหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป 1. นับอายุครรภ์ที่นับตามวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับคุณแม่ที่จำวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายได้แม่นยำ โดยสูตินรีแพทย์จะเริ่มนับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มา (LMP) และใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งปกติแล้วการตั้งครรภ์จะครบกำหนดที่ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย และสามารถนำไปคำนวณวันคลอดที่คาดไว้ได้อย่างแม่นยำ […]
เมื่อรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่สถานะคุณแม่ตั้งครรภ์เต็มตัวแล้ว สิ่งแรกที่บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายแอบกังวลอยู่ไม่น้อย คงจะหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ตรงของการเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว บรรดาเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด มักจะวนเวียนมาถามว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินอะไร หรือสามารถกินอะไรได้บ้าง ยิ่งถ้าไม่มีอาการแพ้ท้อง ถือว่าโชคดีสองชั้น อยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอน หรือแพ้ท้องแล้วก็ดันอยากจะกินอาหารที่ไม่ควรกินอีก เพราะโน้นก็อร่อย นี่ก็ของชอบ ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์รึเปล่า วันนี้คุณแม่เลยอยากจะแนะนำอาหารคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องใหม่ไม่ควรรับประทานให้ฟังว่า 1. อาหารที่มีรสจัดคุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เพราะระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม การกินอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด จะทำให้มีโอกาสปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ นำไปสู่อาหารเป็นพิษได้ง่าย 2. อาหารที่ก่อโรคไหลย้อนในช่วงตั้งครรภ์ โอกาสที่คุณแม่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนโดยเฉพาะ อาหารทอด, อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ, อาหารที่มีรสจัด, ชา, กาแฟ, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ชีส รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น 3. อาหารที่กินแล้วท้องผูกต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาการท้องผูกกลายเป็นของคู่กันของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อย่างผักและผลไม้แทน […]
หลายวันมานี้เราท่องโลกอินเทอร์เน็ตหนักมาก เพราะอยากรู้ว่าแม่ยุคใหม่เขาชอบอะไร ไอเทมไหนกำลังเป็นที่พูดถึงในกลุ่มแม่ๆ มากที่สุด จากการส่องพบว่าท็อปปิคที่ถูกพูดถึงมาก แต่ยังมีข้อมูลน้อยคือ “รถเข็นเด็ก” ไอเทมใหม่สำหรับแม่ลูกเล็กในยุคนี้นั่นเอง เราจึงไม่รอช้ารีบหาข้อมูลว่าคุณแม่ต้องการรถเข็นแบบไหนและพอจะสรุปได้ว่า คุณแม่ส่วนใหญ่ต้องการรถเข็นเด็กที่น้ำหนักเบา พับเก็บมือเดียวได้ เพราะส่วนมากไปกันสองคนแม่ลูก ต้องการระบบล้อที่ดี เข็นลื่นไหลไม่ต้องออกแรงมากส่วนใหญ่จะเข็นในสวนสาธารณะและทางเท้าซึ่งพื้นค่อนข้างขรุขระ สามารถปรับเอนได้เพราะลูกมักหลับตอนพาเที่ยว วันนี้เลยไปคว้า รถเข็นเด็ก Aprica รุ่น LUXUNA CTS มารีวิวเผื่อคุณพ่อคุณแม่จะเก็บไว้เป็นตัวเลือกเวลาต้องออกไปด้านนอกกับเจ้าตัวเล็กเพียงลำพัง รีวิวรถเข็นเด็ก Aprica” รุ่น LUXUNA CTS เห็นรูปลักษณ์ทะมัดทะแมงอย่างนี้แต่น้ำหนักเบานะจ๊ะ ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการใช้งานมากๆ มาสำรวจสิว่าอะไรเป็นอะไร พอใช้งานจริงจะได้ไม่ยืนงง เริ่มต้นที่ด้ามจับเลยล่ะกัน เราว่าตอบโจทย์มากนะ เพราะสามารถปรับที่จับให้อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังลูกก็ได้ คุณแม่ที่กังวลว่าจะไม่มีปฎิสัมพันธ์กับลูกสบายใจเรื่องนี้ได้เลยและเลิศได้อีกกับล้อแบบ Auto 4 wheels ที่จะล๊อคล้อและคลายล๊อคล้อแบบอัตโนมัติในเวลาเราเปลี่ยนที่จับให้มาอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้ ถ้าใครเคยเข็นลูกแบบแม่อยู่ด้านหน้าจะนึกออกเลยว่าเวลาเราเข็นแบบนี้แล้วถ้าล้อหลังหมุนไม่ได้ พอจะเลี้ยวซ้ายที เลี้ยวขวาทีก็ต้องตีวงอ้อมกว้างไปอีก บังคับทิศทางก็ยากมาก มาเจอล้อแบบ Auto 4 Wheels สบายเลยขนาดเราลองเข็นในที่แคบ ๆ ก็ยังเข็นง่ายเรียกว่าโดนใจสุดๆ การปรับก้านเข็นไปด้านหลัง ช่วยให้เข็นได้ง่าย ปรับเอนนอนได้ 170 องศา เมื่อปรับก้านเข็นมาด้านหน้า ระบบล้อจะถูกปรับเปลี่ยนการล๊อคได้แบบอัตโนมัติ นอกจากเรื่องปรับล้อหมุนแบบ 360 องศา Auto 4 Wheels เรื่องรองรับแรงกระแทกที่ล้อก็โอเคเลย […]
หนึ่งอุปกรณ์สำคัญเพื่อการเลี้ยงลูกที่คุณแม่ขาดไม่ได้คือ ขวดนม ที่คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านอาจมองข้าม เพราะคิดและตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้นมแม่ล้วนหลังคลอด ซึ่งอาจลืมไปว่าแม้จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ขวดนมก็ยังมีความสำคัญและเป็นผู้ช่วยชั้นดีของการให้นมแม่ได้แน่นอน » ขวดนมจำเป็นแค่ไหน ? » ขวดนม มีกี่แบบ ? ปัจจุบันขวดนมสำหรับเด็กผลิตขึ้นจากวัสดุที่หลากหลาย มีหลายประเภทและหลายรูปทรงให้เลือก วัสดุของขวดนม ขวดนมสำหรับเด็ก มีทั้งขวดแก้ว ขวดพลาสติก และขวดที่ใช้แล้วทิ้ง(Disposable Liners)ที่ใส่ลงในขวดนมอีกที แต่ปัจจุบันขวดนมส่วนใหญ่ที่นิยมใช้มักผลิตจากพลาสติกเพราะน้ำหนักเบา ตกไมแตก ทนความร้อนและหาซื้อง่าบ โดยมีทั้งขวดพลาสติกใส ขวดพลาสติกขาวขุ่น และขวดสีชา ที่ผลิตจากพลาสติกที่ต่างชนิดกัน 1. ขวดนม PP วัสดุ POLYPROPYLENE เป็นขวดนมที่มีสีโปร่งใส หรือสีขาวขุ่น มีน้ำหนักเบา ทนทาน โดยทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -20 –110˚c มีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน และอาจเหลือน้อยลงหากผ่านความร้อนจากการต้มหรือนึ่งบ่อยๆ 2. ขวดนม PES วัสดุ POLYETHERSULFONE เป็นขวดพลาสติกสีชาหรือน้ำผึ้ง สามารถทนอุณหภูมิได้ที่ -50–180˚c มีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6 เดือน […]