RENOLUX นุ่มยิ่งกว่านุ่ม










สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
พอใกล้จะสิ้นปีคุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มวางแพลนเที่ยวกันแล้วใช่มั้ยล่ะคะ ก่อนจะเริ่มจองที่พัก คุณแม่ก็คงจะฉุกคิดว่า เอ๊ะ คนท้องขึ้นเครื่องบินได้มั้ยนะ? แล้วขึ้นได้ถึงกี่เดือน? สองคำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับแม่ท้องทั้งหลายทุกช่วงวันหยุดยาวเลยค่ะ วันนี้เราก็มีคำตอบมาให้คุณแม่หายสงสัยกันนะคะ ขอบอกข่าวดี คุณแม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้นะ แต่จะขึ้นได้จนถึงอายุครรภ์ประมาณ 35-36 สัปดาห์เท่านั้นโดยขึ้นอยู่กับข้อบังคับของสายการบิน ความจริงแล้วการเดินทางโดยเครื่องบินก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อลูกน้อยในท้องของคุณแม่เลยค่ะ ถ้าคุณแม่มีสุขภาพที่แข็งแรงแล้วก็ได้คอนเฟิร์มกับคุณหมอแล้วว่าไม่ได้มีภาวะเสี่ยงอะไร แต่สายการบินมักจะกลัวคุณแม่เจ็บท้องคลอดลูกบนเครื่องบินต่างหากล่ะ เพราะหากคุณแม่คลอดลูกบนเครื่องบินแล้วก็จะทำให้สายการบินมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แถมอาจจะยังไม่ค่อยสะดวกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าแม่ท้องทั้งหลายจะซื้อตั๋วแล้วก็เดินขึ้นเครื่องได้เลยนะ มีเอกสารนิดหน่อยที่คุณแม่จะต้องเตรียมแล้วก็แจ้งเจ้าหน้าที่ตามด้านล่างนี้เลยค่ะ สิ่งที่คุณแม่ต้องทำก่อนขึ้นเครื่อง 1. อย่าลืมพกใบรับรองแพทย์ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 27 สัปดาห์ ก่อนเดินทางคุณแม่อย่าลืมขอใบรับรองแพทย์ติดตัวไปด้วยนะคะ ใบรับรองแพทย์นี้จะเป็นสิ่งช่วยยืนยันว่าคุณแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง คุณหมออนุญาตให้เดินทางได้ และคุณแม่มีอายุครรภ์ที่ไม่เกินจากที่ทางสายการบินกำหนด ดูดีๆ นะ ใบรับรองแพทย์อย่าให้เกิน 30 วันล่ะ ไม่งั้นอดขึ้นไม่รู้ด้วย 2. บอกเจ้าหน้าที่ว่าคุณแม่กำลังตั้งท้อง เมื่อเช็คอินที่เคาน์เตอร์ให้คุณแม่รีบแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่เลยค่ะว่าคุณแม่กำลังท้องอยู่ ทางเจ้าหน้าที่จะให้คุณแม่เซ็นเอกสารจำกัดขอบเขตความรับผิด พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเอกสารที่บอกว่าคุณแม่จะไม่เอาผิดกับสายการบินหากมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกในท้องนั่นแหละ เอกสารนี้จะต้องนำไปยื่นให้กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินด้วยตัวคุณแม่เอง นอกจากนี้ หากคุณแม่ไปเช็คอินแต่เนิ่นๆ คุณแม่ก็อาจจะรีเควสขอที่นั่งดีๆ มีพื้นที่กว้างๆ ด้านหน้าให้คุณแม่ยืดขาคลายเมื่อยด้วยนะ 3. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ก่อนจะเดินทางคุณแม่อย่าลืมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานพยาบาลในที่ที่คุณแม่จะไปนะคะ เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นคุณแม่จะได้ถึงมือคุณหมอได้ทันเวลา นอกจากสถานพยาบาลแล้วคุณแม่ก็ควร จะหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันการเดินทางที่ครอบคลุมการตั้งครรภ์ไว้ด้วยจะได้อุ่นใจขึ้นไปอีกระดับนึงค่ะ […]
เกิดมาเป็นคุณแม่ยุค New Normal แม้ชื่อจะดูเท่ แต่มันก็มาพร้อมกับความยากลำบากนิดๆ เพราะต้องใช้ชีวิตแบบอุปกรณ์เยอะ ไหนจะหน้ากาก ไหนจะเจลแอลกอฮอล์ แถมพิธีรีตองเยอะกว่าเดิม และโลกที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นแบบนี้ ใช่ว่าเราจะเดินเข้าออกจากบ้านได้อย่างสบายใจเสียเมื่อไหร่ เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าคุณแม่ที่มีลูกน้อยในยุค New Normal แบบนี้จะต้องทำอะไรบ้างก่อนออกจากบ้าน และทำอะไรบ้างเมื่อกลับมา 4 ข้อควรทำก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน 1.เช็คอัพเดทติดตามยอดผู้ป่วยกันซักนิด ถึงแม้ว่าช่วงนี้สถานการณ์จะดูเบาลง แต่ก็ไม่ควรละเลยน้า ตอนนี้มีช่องทางมากมายให้คุณแม่ได้เช็คข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวสดจากทางโทรทัศน์ ที่คอยรายงานข่าวเกี่ยวกับยอดผู้ป่วยและสถานการณ์ COVID ในแต่ละวันอยู่ตลอด หรือจะเป็น Social Media ต่างๆ ที่สรุปข่าวมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน การติดตามสื่อเหล่านี้จะช่วยให้เราอัพเดทเรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับเจ้าโรคร้ายเป็นประจำ แถมยังทำให้เราทราบถึงพื้นที่ที่กำลังระบาด จะได้หลีกเลี่ยงได้ทันท่วงที อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณแม่ชื่นชอบที่จะติดตามข่าวสารจากทาง Social Media มากกว่าช่องทางอื่น คุณแม่อย่าลืมกรองข่าวให้ดี เพราะอย่าลืมว่า Social Media เป็นแหล่งรวมของข่าวลวงอันดับหนึ่งเลยนะ 2. พกหน้ากากให้เป็นนิสัย ก่อนหน้านี้ เวลาจะออกจากบ้านเราก็มักจะส่องกระจกดูว่าแต่งตัวแต่งหน้าเรียบร้อยรึยัง แต่ตอนนี้ ก่อนออกจากบ้าน คุณแม่จะต้องส่องกระจกเพื่อเช็คดูว่าใส่หน้ากากพร้อมลุยแล้วหรือยังแทน คุณแม่ควรจะมีหน้ากากอย่าน้อยสองอันพกติดตัวไว้ เผื่อทำหายระหว่างทาง แล้วก็นอกจากจะเช็คหน้ากากของตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมดูของลูกน้อยด้วยล่ะ! ตอนนี้หลายๆ […]
การเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีเริ่มต้นจากการให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่การที่ลูกไม่ยอมกินข้าวเป็นปัญหาที่แม่หลายคนต้องพบเจอ แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กในวัยทารกหรือวัยเด็กเล็ก แต่หากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพของลูกในระยะยาว ดังนั้นวันนี้เรามีวิธีจัดการลูกไม่ยอมกินข้าวที่ได้ผลจริงมาฝากค่ะ 1. สร้างสภาพแวดล้อมในการทานอาหารที่ดี บรรยากาศการทานอาหารที่ดีช่วยให้ลูกอยากทานมากขึ้น คุณแม่ควรสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและไม่กดดันขณะทานอาหาร เช่น การทานอาหารร่วมกันกับครอบครัว หรือการตั้งโต๊ะอาหารที่มีสีสันและดูน่าสนใจ เคล็ดลับ: 2. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกอาหาร เด็กมักจะรู้สึกสนุกและมีความภาคภูมิใจเมื่อได้เลือกหรือช่วยเตรียมอาหารเอง คุณแม่สามารถให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกเมนูอาหารหรือการจัดเตรียมอาหารบางอย่าง เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าการทานอาหารเป็นเรื่องสนุกและไม่น่าเบื่อ เคล็ดลับ: 3. หลีกเลี่ยงการบังคับให้กินอาหาร การบังคับให้ลูกทานอาหารอาจทำให้ลูกเกิดความเครียดและต่อต้านการทานอาหารมากขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารจะช่วยให้ลูกมีทัศนคติที่ดีต่อการทานอาหาร เคล็ดลับ: 4. เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เด็กมักเบื่ออาหารที่ซ้ำซาก ดังนั้นคุณแม่ควรเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายและน่าสนใจ เช่น การทำอาหารในรูปแบบต่างๆ หรือการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เข้าไปในอาหาร เคล็ดลับ: 5. ไม่เสิร์ฟของหวานก่อนมื้ออาหาร การเสิร์ฟของหวานหรือขนมก่อนมื้ออาหารจะทำให้ลูกอิ่มท้องก่อนและไม่อยากทานข้าว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการให้ขนมก่อนมื้ออาหาร เคล็ดลับ: 6. ทานอาหารร่วมกับลูก การทานอาหารร่วมกับลูกจะช่วยให้ลูกเห็นแบบอย่างในการทานอาหารที่ดี และทำให้ลูกรู้สึกมีส่วนร่วมในการทานอาหารด้วยกัน เคล็ดลับ: 7. ควบคุมเวลาการทานอาหาร การมีเวลาทานอาหารที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกสร้างนิสัยการทานอาหารที่ดี ไม่ทานอาหารระหว่างมื้อซึ่งอาจทำให้ลูกไม่หิวเวลาทานข้าว เคล็ดลับ: 8. ให้รางวัลเมื่อทานอาหารเสร็จ การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วเป็นวิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกทานอาหารอย่างเต็มใจ โดยรางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นขนมหรือของหวานเสมอไป […]
สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ส่วนใหญ่การทำความสะอาดขวดนม จะใช้วิธีการต้ม หรือนึ่ง โดยเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนสูง ซึ่งเหมาะกับพาชนะที่เป็นแก้ว หรือซิลิโคน ส่วนขวดนมแบบพลาสติกการใช้ความร้อนสูงมากๆ ทุกวันจะทำให้ขวดนมพลาสติกและจุกนมเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ และเกิดการปล่อยสารต่างๆ ออกมาจากพลาสติกนั้น เช่น สารพวกโพลีเมอร์ หรือฟอร์มัลดีไฮด์ปนเปื้อนออกมาจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพ แถมยังทิ้งไอน้ำไว้ที่ก้นขวด ซึ่งไอน้ำนี้อาจมีเชื้อแบคทีเรียแฝงอยู่ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้มีการคิดค้นการฆ่าเชื้อโรค โดยรังสี UV ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดนมพลาสติก ยางกัด จานชาม หรือแม้แต่อุปกรณ์อเลกทรอนิก มาทำความรู้จักกับ หลอดรังสี UV-C ที่หลายคนสงสัยว่า ฆ่าเชื้อโรคได้จริงไหม? รังสี UV คืออะไร แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 2 ส่วนคือ รังสีที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นรังสีที่มองเห็นได้ จะมี 7 สี แต่จะสามารถเห็นต่อเมื่ออากาศมีความชื้นสูง รังสีจากดวงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำในอากาศ เราจะสามารถมองเห็นสีทั้ง 7 ได้ ที่เรียกว่า “รุ้งกินน้ำ” นั่นเอง รังสีที่มองไม่เห็น คือพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากดวง อาทิตย์ มี 2 ส่วนคือ สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ […]
คาร์ซีท AILEBEBE กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจว่าได้รับคาร์ซีทของแท้และนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมบริการหลังการขายที่ใส่ใจเหมือนครอบครัว เราขอแนะนำให้ตรวจสอบ 2 ขั้นตอนง่าย ๆ นี้เลยค่ะ วิธีตรวจสอบคาร์ซีท AILEBEBE ของแท้ 1. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ว่ามีคำแนะนำเป็นภาษาไทยหรือไม่ ? คาร์ซีท Ailebebe ของแท้จะมีฉลากและคำแนะนำการใช้งานเป็นภาษาไทย เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์, ข้อมูลผู้ผลิต, วิธีการใช้งาน, และคำเตือนด้านความปลอดภัย ตามที่กฎหมายประเทศไทยกำหนด การมีฉลากภาษาไทยนี้ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจในการใช้งานอย่างถูกต้องและปลอดภัย 2. ตรวจสอบว่ามีสติกเกอร์ BabyGift ตัวแทนนำเข้า Offical หรือไม่ ? คาร์ซีท Ailebebe ของแท้ จะมีการรับประกันและใช้อะไหล่แท้จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสามารถหาได้เฉพาะจากตัวแทน Official เท่านั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสินค้าที่อาจไม่ได้มาตรฐานและไม่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อย เพียงแค่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถมั่นใจได้ว่ากำลังซื้อสินค้าของแท้นำเข้ามาถูกต้อง ใช้ได้อย่างถูกวิธีช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัยทุกการเดินทาง หยุดเสี่ยง หยุดใช้คาร์ซีท Ailebebe นำเข้าผิดกฎหมาย การซื้อคาร์ซีท Ailebebe จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของลูกน้อยดังนี้ค่ะ 1.ความเสี่ยงจากการใช้งานคาร์ซีทไม่ถูกต้อง ผู้ลักลอบจำหน่ายมักขาดความรู้และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับสินค้า วิธีการใช้งาน และคำแนะนำตามมาตรฐานที่แบรนด์กำหนด เนื่องจากไม่ได้รับการอบรมจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ Ailebebe […]
การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การที่ลูกน้อยยังไม่สามารถนั่งในรถได้อย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัยธรรมดา การเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทางของลูกน้อย วันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีทอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกน้อยและปลอดภัยที่สุดค่ะ 1. รู้จักประเภทของคาร์ซีท ก่อนที่จะเลือกคาร์ซีทให้ลูกน้อย สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือประเภทของคาร์ซีทที่มีในตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้: คาร์ซีทสำหรับทารก (Rear-Facing Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จะติดตั้งหันหลังและรองรับศีรษะและคอของเด็กให้ดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ คาร์ซีทแบบหันหน้า (Forward-Facing Seat): ใช้ได้เมื่อเด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักประมาณ 9-18 กิโลกรัม ตัวคาร์ซีทจะหันหน้าไปข้างหน้าและมีเข็มขัดนิรภัยในตัว คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ (Booster Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนัก 15 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อเสริมให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยกับเด็กที่โตขึ้น 2. เลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก การเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับวัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการรองรับที่ดีในขณะนั่งในรถ หากเลือกคาร์ซีทผิดประเภทอาจทำให้ลูกไม่สามารถได้รับความปลอดภัยที่ดีที่สุดในกรณีเกิดอุบัติเหตุ 3. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเลือกซื้อคาร์ซีท คาร์ซีทที่ดีจะต้องมีการทดสอบด้านความปลอดภัยผ่านมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน […]













