ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไง ? แจก 9 เทคนิคช่วยคุณแม่สบายใจ ไม่ต้องปวดหัว !

เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ
ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น

การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก เลือกกิน ไม่ชอบกินข้าว หรือติดเล่นจนไม่ยอมกินข้าว ก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวลต่อสุขภาพของลูกได้ แล้วจะทำให้ลูกกินข้าวมากขึ้นได้อย่างไร BabyGift มี 9 เทคนิคดีๆ มาฝากแล้วค่ะ
1. ฝึกให้ลูกกินข้าวเป็นเวลา และ กำหนดช่วงเวลาในการกินข้าวอย่างชัดเจน
ในกรณีที่ลูกไม่ยอมกินข้าวนั้น อาจเป็นเพราะว่าลูกห่วงเล่น ติดเล่น หรือเล่นสนุกเพลินจนไม่อยากกินข้าว ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดเวลากินข้าวให้ชัดเจนว่า พระอาทิตย์ตกดินแล้วต้องเลิกเล่นและเตรียมตัวกินข้าว หรือเวลาที่สมาชิกในครอบครัวกินข้าวกัน ลูกก็ต้องมานั่งกินด้วย และถ้าลูกบอกว่าไม่หิวหรือห่วงเล่น ก็ไม่ควรดุด่าหรือตำหนิลูก แต่ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ต้องมากินข้าวก่อน จากนั้นถึงจะสามารถเล่นต่อได้ และควรมีกฎระเบียบชัดเจนว่าควรเล่นได้จนถึงเวลาไหน นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อลูกควรใช้เวลากินข้าวประมาณ 30 – 45 นาที เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ให้เก็บจานข้าว แม้ว่าลูกจะยังกินไม่หมดหรือกินได้น้อยก็ตาม เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้ว่า ถ้าไม่กินภายในช่วงเวลานี้ ก็จะไม่ได้กินจนกว่าจะถึงมื้อต่อไป โดยช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องใจแข็งเมื่อลูกงอแงอยู่บ้าง แต่ผ่านไปสักพักลูกจะเริ่มเรียนรู้และปรับตัวได้มากขึ้น และกินข้าวเป็นเวลามากขึ้นค่ะ

2. ฝึกให้ลูกนั่งเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็ก
การให้ลูกนั่งบนเก้าอี้กินข้าวเด็กโดยเฉพาะจะทำให้ลูกมุ่งความสนใจไปที่อาหารตรงหน้าและไม่วอกแวก ทำให้โฟกัสกับการกินข้าวได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับการป้อนข้าวลูกในขณะที่ลูกเล่นอยู่หรือเดินไปกินข้าวไป จะทำให้กินได้น้อยและไม่ใส่ใจกับการกินเท่าที่ควร หรือถึงขั้นไม่ยอมกินข้าวได้ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่อยากใช้วิธี BLW ฝึกลูกกินข้าวเอง เพราะการฝึกให้ลูกนั่งกินข้าวกับที่นั้นเป็นเทคนิคที่ทำให้ลูกน้อยมุ่งความสนใจไปยังการกินอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มความน่าสนใจไปที่ถ้วยชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้ากันเปื้อน ให้มีลวดลายน่ารักและมีสีสันสดใส หรือเป็นลายตัวการ์ตูนที่ลูกชอบ ก็จะทำให้ลูกสนุกกับการกินได้มากขึ้นด้วย
3. ไม่ควรทำอย่างอื่นในเวลากินข้าว
เมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเข้าใจว่า การเปิดแท็บเล็ตหรือเปิดการ์ตูนให้ลูกดู จะทำให้กินข้าวได้มากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การทำแบบนี้อาจเป็นการเสริมสร้างนิสัยการกินที่ไม่ดีให้กับลูกน้อย วิธีง่ายๆ ในการฝึกวินัยการกินข้าวให้ลูกน้อย ก็คือ ไม่ควรให้ลูกทำกิจกรรมอย่างอื่นในระหว่างที่กำลังกินข้าวอยู่ ในขณะที่กินอาหารไม่ควรดูทีวี แท็บเล็ต หรือเล่นของเล่นไปด้วย เพราะจะทำให้ลูกกินข้าวช้า ใช้เวลากินข้าวนานเกินไป หรืออาจจะอมข้าว และไม่ยอมกินข้าวได้ นอกจากนี้ ควรนำของเล่นออกจากบริเวณโต๊ะอาหารด้วย เพราะหากลูกเห็นของเล่น ก็จะทำให้ลูกไม่สนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าได้

4. ให้ลูกกินนอาหารพร้อมกับคนอื่นๆ
การกินอาหารร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างวินัยการทานอาหารให้ลูกได้ พ่อ แม่ ลูก อาจร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน ไม่ควรปล่อยให้ลูกนั่งกินคนเดียวหรือแยกโต๊ะลูกออกไป เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่าเวลากินข้าวนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตัวเองต้องอยู่คนเดียวหรือรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และแปลกแยก การกินอาหารร่วมกันจะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในบ้าน เป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวด้วยกัน นอกจากนี้ อาจให้ลูกกินข้าวร่วมกับเพื่อนๆ หรือเด็กๆ คนอื่นๆ เช่น กินข้าวด้วยกันกับพี่น้อง ก็จะทำให้ลูกเจริญอาหารมากขึ้นค่ะ

5. ตกแต่งเมนูอาหารให้น่ากินมากขึ้น
หากอาหารหน้าตาน่ากินหรือมีความน่ารัก ลูกก็จะให้ความสนใจกับอาหารมากขึ้นและอยากลองชิมดู บางทีที่ลูกไม่ยอมกินข้าวอาจเป็นเพราะรู้สึกเบื่อเมนูอาหารเดิมๆ และเพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกเบื่อกับเมนูเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อาจจะตกแต่งอาหารของลูกน้อยให้เป็นตัวการ์ตูนที่ลูกรู้จัก หรือปั้นข้าวให้เป็นลูกบอลหรือรูปหน้าหมี ทอดไข่ดาวจากพิมพ์ ตัดผักให้คล้ายต้นไม้แบบธรรมชาติ ก็จะช่วยให้ลูกหยิบกินได้ง่ายและรู้สึกสนุกไปด้วย
นอกจากนี้ ควรเพิ่มสีสันลงไปในอาหารให้มากขึ้น เช่น สีเขียวจากบรอกโคลี สีส้มจากแครอท สีเหลืองจากฟักทอง สีขาวจากข้าว สีน้ำตาลจากเนื้อสัตว์ สีแดงจากผลไม้อย่างแตงโม สตรอว์เบอร์รี่ ก็จะทำให้มีสีสันน่ารับประทาน และทำให้ลูกได้รับสารอาหารที่หลากหลายครบถ้วนตามหลักโภชนาการเด็กอีกด้วย อย่าลืมสังเกตชนิด และลักษณะอาหารที่ลูกชอบด้วย ครั้งหน้าจะได้เตรียมเพิ่มให้ได้ และที่สำคัญอย่าลืมเรื่องรสชาติ ต้องอร่อยถูกใจ ลูกจะได้เจริญอาหารแบบสุดๆ ไปเลยค่ะ
6. บรรยากาศในการกินข้าวต้องมีความผ่อนคลาย
ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ สามารถแก้ได้ด้วยบรรยากาศ คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะตำหนิลูกหรือดุด่าทำโทษลูก ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง การฝึกให้ลูกมีวินัยในการกินข้าวนั้นจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นๆ และมีความอดทนมากๆ และต้องเชื่อมั่นว่าลูกจะกินอาหารได้มากขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้น ต้องไม่ดุ ไม่ตี ไม่บังคับให้ลูกต้องกิน หากลูกยังไม่ให้ความร่วมมือในการกินข้าว ก็ควรใช้วิธีดึงความสนใจ เช่น “มาดูสิ ข้าวหนูหน้าตาเหมือนตัวการ์ตูนที่ชอบเลย” “มาเลือกช้อนกินข้าวกัน วันนี้เอาสีอะไรดีคะ” หรือบอกเหตุผลที่ต้องกินข้าว เช่น “หนูต้องกินข้าวเพราะจะได้มีแรงไปเล่นกับเพื่อน” “ถ้ากินข้าวเยอะก็จะได้โตเร็วๆ ตัวโตเท่าเพื่อนเลย” หรือ “ต้องกินข้าวก่อนนะคะคุณแม่ถึงจะให้เล่นต่อ” อะไรแบบนี้เป็นต้น เพราะยิ่งบังคับ ยิ่งดุหรือทำโทษ แม้สุดท้ายลูกจะยอมกินข้าว แต่ก็กินด้วยความฝืนใจ ทำให้ฝังใจและมีความรู้สึกไม่ดีกับการกินข้าวได้ค่ะ

7. ตักอาหารให้ลูกในปริมาณที่พอเหมาะ
คุณพ่อคุณแม่บางคนอยากให้ลูกกินเยอะๆ จึงตักอาหารให้ลูกในปริมาณมาก ซึ่งถ้าหากอาหารมีปริมาณมากเกินไป ลูกจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่ต้องกินให้หมดชาม ทำให้ไม่อยากกินหรือท้อใจกับการกินได้ ดังนั้นเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จึงควรตักอาหารให้ลูกในปริมาณที่พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป กะปริมาณให้ลูกกินอิ่มใน 1 มื้อ และได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ และถ้าลูกยังไม่อิ่ม หรืออยากกินเพิ่ม ก็ค่อยตักเพิ่มให้ลูกค่ะ
8. ลดขนมหวาน
ให้ลองสังเกตดูว่า ถ้าลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ เป็นเพราะว่ากินขนมในปริมาณมากหรือเปล่า เพราะขนมหวาน เค้ก คุ้กกี้ ไอศกรีม ลูกอม ช็อกโกแลต ขนมกรุบกรอบที่มีรสหวานต่างๆ นั้น เมื่อกินเสร็จจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะไปกดศูนย์ควบคุมความหิวในสมอง ทำให้ลูกไม่รู้สึกหิว ไม่อยากอาหาร สามารถแก้ไขได้โดยการงดขนมหวานระหว่างมื้ออาหาร อาจเปลี่ยนเป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัดแทน การงดขนมหวานระหว่างมื้อจะทำให้เด็กท้องว่าง รู้สึกหิวมากขึ้น และทำให้กินข้าวได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ การลดน้ำตาลในเด็กยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กอีกด้วยค่ะ
9. ให้ลูกได้เล่นซน และใช้พลังงานอย่างเต็มที่
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ค่อยหิว และไม่ยอมกินข้าวนั้น อาจเป็นเพราะว่าลูกไม่ได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ หรือไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย และถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนให้ลูกกินขนมหรืออาหารว่างระหว่างวันเรื่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้เด็กไม่รู้สึกอยากอาหารได้ ดังนั้นแล้ว ลองพาลูกออกไปเล่นซนนอกบ้านบ่อยๆ ไปทำกิจกรรมนอกบ้านให้มากขึ้น หรือพาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ซึ่งจะทำให้ลูกได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ได้ออกกำลังกาย ได้ออกแรง และรู้สึกหิวโดยอัติโนมัติ ทำให้กินข้าวได้มากขึ้นนั่นเองค่ะ วิธีนี้นอกจากจะทำให้ลูกมีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ลูกได้ออกแรงและมีร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วยนะคะ
BabyGift แนะนำตัวช่วยสำหรับมื้ออาหาร ให้ลูกน้อยกินข้าวได้เยอะขึ้น

1. PRINCE & PRINCESS เก้าอี้ฝึกกินข้าว Fairy Plus
เก้าอี้ฝึกกินข้าวสำหรับเด็กรุ่น Fairy Plus จากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS เป็นตัวช่วยสำคัญในการฝึกให้ลูกนั่งกินข้าวได้เอง และมีวินัยในการกินมากขึ้น รองรับน้ำหนักได้มาก มีความแข็งแรงปลอดภัยด้วยรางล็อคเหล็กแบบตะขอเกี่ยว ไม่เสี่ยงต่อการหลุดร่วงลงมา ให้ลูกน้อยนั่งกินข้าวเองได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ในยุคปัจจุบัน
จุดเด่น
- สามารถปรับความสูงได้ 7 ระดับ ตั้งแต่ 25 เซนติเมตร – 60 เซนติเมตร
- พนักพิงเก้าอี้สามารถปรับเอนนอนได้ 3 ระดับ เหมาะกับการใช้นั่งพักหลังมื้ออาหาร ป้องกันไม่ให้ลูกน้อยเป็นกรดไหลย้อน หรือแหวะนม เมื่อเทียบกับการพาลูกนอนราบบนที่นอน
- มีล้อหน้า-หลัง และตัวล็อคล้อเพื่อความปลอดภัย เคลื่อนย้ายได้สะดวก และหากไม่ใช้งานสามารถพับเก็บได้ง่ายภายใน 1 วินาที
- ถาดอาหารมีขนาดใหญ่ มี 2 ชั้น มีคุณสมบัติ BPA Free (ปราศจากสาร Bisphenol A ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) และเป็นวัสดุ Food Grade ปลอดภัยไม่มีสารตกค้าง สามารถถอดแยกไปทำความสะอาดได้
- พนักพิงเก้าอี้กว้าง รองรับช่วงสรีระของลูกน้อยได้จนโต มีสายรัดนิรภัยเพื่อป้องกันลูกร่วงตกจากเก้าอี้
- เบาะรองนั่งเป็นนวัตกรรม Cotton Cushion เสริมความหนานุ่มนั่งสบาย สามารถถอดซักได้ และเบาะ PU ที่เป็นวัสดุกันน้ำไม่ซึม เช็ดทำความสะอาดได้

2. GRACE KIDS ช้อนป้อนอาหารซิลิโคน 3 ฟังก์ชั่น พร้อมกล่องเก็บ
ช้อนป้อนอาหารซิลิโคนปลายนิ่ม เหมาะสำหรับวัยที่เริ่มหัดกินข้าวเอง มี 3 ฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยกัน ได้แก่ ช้อนตัก ส้อม และปลายช้อนสำหรับบดอาหาร มาในรูปยีราฟน่ารักน่าใช้งาน พร้อมกล้องเก็บช้อนที่สะดวกต่อการพกพา ป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกได้ดี
จุดเด่น
- ปราศจากสาร BPA ที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย
- ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เป็นคราบ
- สามารถนึ่งฆ่าเชื้อโรคได้
- ออกแบบมาให้มีขนาดพอดีกับปากเด็กเล็ก
- ด้ามจับถนัดมือ ผลิตจากวัสดุมีคุณภาพ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่กำลังกังวลใจเรื่องลูกไม่ยอมกินข้าว หวังว่า 9 เทคนิคที่ BabyGift เอามาฝากในบทความนี้จะทำให้ลูกเริ่มกินข้าวได้มากขึ้นและมีวินัยในการกินมากขึ้นนะคะ ทั้งนี้ ควรคำนึงด้วยว่า ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้น เป็นเพราะลูกของเรามีปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อการกินหรือเปล่า โดยเด็กอาจดูด เคี้ยว กัด หรือกลืนอาหารไม่ถนัด มีอาการสำลักหรือรู้สึกพะอืดพะอมในเวลากินข้าว หรือปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสียเป็นประจำหลังกินข้าวเสร็จ ก็อาจจะทำให้รู้สึกไม่อยากกิน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตด้วยว่าลูกมีปัญหาทางด้านสุขภาพหรือไม่ และควรพาไปพบคุณหมอเพื่อรักษาตามอาการค่ะ
และถ้าคุณพ่อคุณแม่สนใจสินค้าอื่นๆ สำหรับแม่และเด็ก สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กินข้าวสำหรับลูกน้อยหรือสินค้าอื่นๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ? สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ […]
เกิดมาเป็นคุณแม่ยุค New Normal แม้ชื่อจะดูเท่ แต่มันก็มาพร้อมกับความยากลำบากนิดๆ เพราะต้องใช้ชีวิตแบบอุปกรณ์เยอะ ไหนจะหน้ากาก ไหนจะเจลแอลกอฮอล์ แถมพิธีรีตองเยอะกว่าเดิม และโลกที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นแบบนี้ ใช่ว่าเราจะเดินเข้าออกจากบ้านได้อย่างสบายใจเสียเมื่อไหร่ เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าคุณแม่ที่มีลูกน้อยในยุค New Normal แบบนี้จะต้องทำอะไรบ้างก่อนออกจากบ้าน และทำอะไรบ้างเมื่อกลับมา 4 ข้อควรทำก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน 1.เช็คอัพเดทติดตามยอดผู้ป่วยกันซักนิด ถึงแม้ว่าช่วงนี้สถานการณ์จะดูเบาลง แต่ก็ไม่ควรละเลยน้า ตอนนี้มีช่องทางมากมายให้คุณแม่ได้เช็คข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นข่าวสดจากทางโทรทัศน์ ที่คอยรายงานข่าวเกี่ยวกับยอดผู้ป่วยและสถานการณ์ COVID ในแต่ละวันอยู่ตลอด หรือจะเป็น Social Media ต่างๆ ที่สรุปข่าวมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน การติดตามสื่อเหล่านี้จะช่วยให้เราอัพเดทเรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับเจ้าโรคร้ายเป็นประจำ แถมยังทำให้เราทราบถึงพื้นที่ที่กำลังระบาด จะได้หลีกเลี่ยงได้ทันท่วงที อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณแม่ชื่นชอบที่จะติดตามข่าวสารจากทาง Social Media มากกว่าช่องทางอื่น คุณแม่อย่าลืมกรองข่าวให้ดี เพราะอย่าลืมว่า Social Media เป็นแหล่งรวมของข่าวลวงอันดับหนึ่งเลยนะ 2. พกหน้ากากให้เป็นนิสัย ก่อนหน้านี้ เวลาจะออกจากบ้านเราก็มักจะส่องกระจกดูว่าแต่งตัวแต่งหน้าเรียบร้อยรึยัง แต่ตอนนี้ ก่อนออกจากบ้าน คุณแม่จะต้องส่องกระจกเพื่อเช็คดูว่าใส่หน้ากากพร้อมลุยแล้วหรือยังแทน คุณแม่ควรจะมีหน้ากากอย่าน้อยสองอันพกติดตัวไว้ เผื่อทำหายระหว่างทาง แล้วก็นอกจากจะเช็คหน้ากากของตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมดูของลูกน้อยด้วยล่ะ! ตอนนี้หลายๆ […]
คุณพ่อคุณแม่ท่านไหน ยังตัดสินใจ ตั้งชื่อลูก ไม่ได้กันบ้าง? วันนี้ Baby Gift ทำการรวบรวม 100 ไอเดีย ตั้งชื่อลูก สุดอินเทรนด์ ปี 2021เตรียมต้อนรับสมาชิกใหม่ในบ้านด้วยชื่อเก๋ๆสุดปัง ไม่ซ้ำใคร จะมีชื่ออะไรบ้างไปติดตามกันได้เลย ชื่อเล่น ลูกสาว แก้มบุ๋ม : ลักยิ้ม ขนมปัง : อาหารฝรั่งชนิดหนึ่ง ของขวัญ : ลูกเป็นของขวัญของพ่อแม่ คริสตัล : อัญมณีแก้วสีดำ จันทร์เจ้าขา : การอ้อนขอพรจากดวงจันทร์ จิมมี่ : ชื่อนักกีตาร์ชื่อดัง ชมพู : สีชมพู ชมวิว : การมองทิวทัศน์สวยๆตามธรรมชาติ ดีไซน์ : การออกแบบ ไดอาร์ : ไดอารี่ ต้นข้าว : เมล็ดข้าวที่มีความยาว ต้นหม่อน : ต้นไม้ที่ให้ลูกกินได้และหนอนไหมชอบกิน ตั้งใจ […]
ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆเรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย เคล็ดลับก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีท อายุ ประเภทของคาร์ซีท คำแนะนำทั่วไป เด็กอ่อน คาร์ซีทสำหรับเด็กอ่อน เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี และมีน้ำหนักน้อยกว่า 9 kg.– ต้องนั่งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ เพราะคอยังไม่แข็งพอรับแรงกระแทกขณะรถวิ่ง เด็กก่อนวัยเรียน เก้าอี้แบบหันหน้าออก เด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป หรือหนัก 9 kg. ขึ้นไป เด็กเล็กวัยเรียน เบาะรองนั่ง เด็กควรสูงอย่างน้อย 120 cm.และต้องมั่นใจว่าเข็มขัดนิรภัยพาดที่ไหล่และต้นขาของเด็กอย่างพอดี เด็กโต เข็มขัดนิรภัย […]
การมีน้ำนมให้ลูกน้อยกินอย่างเพียงพอเป็นความปรารถนาของคุณแม่ทุกคน แต่การให้นมจากเต้าอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแม่ยุคใหม่ การปั๊มนมแม่จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ลูกได้กินนมแม่แม้คุณแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ วันนี้ BabyGift จะมาแชร์เทคนิคการปั๊มนมแม่ให้ถูกวิธีและเกลี้ยงเต้า ที่จะช่วยให้คุณแม่มือใหม่มีน้ำนมเก็บสำรองอย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป การปั๊มนมคืออะไร การปั๊มนมแม่ คือการนำน้ำนมออกจากเต้าเพื่อเก็บสำรองไว้ให้ลูกน้อยสำหรับมื้อต่อไป โดยสามารถใช้มือบีบหรือใช้เครื่องปั๊มนมเป็นตัวช่วยก็ได้ การปั๊มนมเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณแม่สามารถจัดการเวลาได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่ต้องให้นมจากเต้าลูกน้อยตลอดเวลา และยังช่วยให้คนในครอบครัวสามารถช่วยป้อนนมได้ในยามที่แม่ไม่สะดวกอีกด้วย การปั๊มนมกับคุณแม่สำคัญอย่างไร การปั๊มนมแม่ มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อตัวคุณแม่และลูกน้อย สำหรับลูก การได้รับน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ส่วนคุณแม่เองก็จะได้ประโยชน์จากการปั๊มนมโดยตรง เช่น การป้องกันเต้านมคัดตึง การรักษาระดับน้ำนมให้คงที่และเพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยให้คุณแม่ประหยัดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหิว คุณแม่ควรเริ่มปั๊มนมตอนไหน ระยะเวลาในการเริ่มการปั๊มนมแม่ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการของคุณแม่แต่ละคน คุณแม่บางคนอาจเริ่มปั๊มนมทันทีหลังคลอดเพื่อกระตุ้นน้ำนม ในขณะที่บางคนอาจรอให้ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ หรือเริ่มเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงาน ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณแม่มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกน้อย ซึ่งควรเริ่มฝึกการปั๊มนมแม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและสร้างน้ำนมได้อย่างต่อเนื่อง 7 เทคนิคการปั๊มนมที่คุณแม่เตรียมคลอดควรรู้ การเรียนรู้เทคนิคการปั๊มนมแม่ตั้งแต่ก่อนคลอดจะช่วยให้คุณแม่มือใหม่มีความมั่นใจและพร้อมรับมือกับการให้นมลูกได้ดียิ่งขึ้น 1. ปั๊มนมทันทีภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หลังคลอดทันทีถือเป็นช่วงเวลาทองในการเริ่มต้นการปั๊มนมแม่ หากลูกน้อยยังไม่สามารถเข้าเต้าได้ คุณแม่ควรเริ่มปั๊มภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หรือช้าที่สุดไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง การปั๊มนมแม่ในช่วงนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมและทำให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะผลิตน้ำนมออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ […]
วันนี้เรามีประสบการณ์จริง จากประโยชน์ของการใช้คาร์ซีท ที่คุ้มค่ามากเท่าชีวิต คุณปีใหม่ คุณแม่มือใหม่ที่ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับคาร์ซีท ตั้งแต่เธอเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ เธอให้ลูกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล ช่วงนั้นค่อนข้างมีปัญหากับทางบ้านนิดหน่อย เนื่องจากคุณแม่ของเธอเป็นคนหัวโบราณ ไม่เข้าใจเรื่องคาร์ซีท และคิดว่าจะอุ้มหลานเองน่าจะปลอดภัยอยู่แล้ว เธอจึงต้องอธิบายให้คุณแม่เข้าใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่ จนมาวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เธอเล่าว่า วันนั้นเธอ สามีและน้องบีน่าลูกสาววัยเพียง 2 เดือน กำลังเดินทางกลับจากจังหวัดชลบุรี อยู่บนทางด่วนบูรพาวิถี สามีใช้ความเร็วปกติ เธอนั่งที่เบาะหลัง ส่วนน้องบีน่า นอนหลับปุ๋ยอยู่ในคาร์ซีท เมื่อสามีขับออกมาจากช่องเก็บค่าทางด่วน สังเกตเห็นว่ารถคันหน้าที่ขับอยู่เลนขวา ขับช้าผิดปกติ สามีจึงจะแซงซ้ายขึ้นไป ทันใดนั้นรถคันหน้าก็เปลี่ยนเลนมาทางซ้ายกะทันหัน เลยชนเข้าอย่างแรง เมื่อรู้ตัวอีกทีคุณปีใหม่กระเด็นไปอยู่ที่เบาะหน้า เพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย มีรอยฟกช้ำ ระบมไปทั้งตัว Airbag แตกรอบคัน พอมีสติก็รีบเปิดประตูรถไปดูน้องบีน่าก่อนเลย น้องบีน่ายังหลับปุ๋ยอยู่ในคาร์ซีทเหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ นี่ถ้าอุ้มลูกไว้เองจะเป็นยังไงไม่อยากนึกเลย ตัวเองยังเอาไม่รอด ขอบคุณคาร์ซีทมากๆ ลูกรอดตายเพราะคาร์ซีทจริงๆ หลังจากเหตุการณ์นี้ คุณยายของน้องบีน่าก็เข้าใจประโยชน์ของคาร์ซีทแล้วว่าสำคัญมากเพียงใด ในวันนั้นคาร์ซีทได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตหลานตัวน้อยเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และได้นำเรื่องนี้ไปบอกต่อ กับคนรู้จักว่า “หลานฉันรอดมาได้เพราะคาร์ซีทแท้ๆ” คุณปีใหม่ใช้คาร์ซีท Ailebebe ที่ซื้อจากร้าน Baby Gift ซึ่งทางเรามีบริการ รับประกันสินค้า เปลี่ยนคาร์ซีทตัวใหม่ให้ลูกค้า หากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ทาง Baby […]






