รีวิวเปรียบเทียบคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto 4 Grance และรุ่น Kurutto 4 Premium

ด้วยปัจจุบัน คาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto 4 มีออกมาพร้อมๆกัน 2 รุ่น คือรุ่น Premium และรุ่น Grance ทำให้คุณพ่อคุณแม่ สงสัยว่า มันมีอะไรบ้างที่แตกต่างกัน เราจึงได้ทำเปรียบเทียบกัน เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อคาร์ซีทได้ตรงใจ และตรงกับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมที่สุด

เมื่อเป็นแม่ พาหะธาลัสซีเมียก็ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด

ก่อนหน้านี้ก็เคยคิดว่าเรื่องพาหะธาลัสซีเมียนี่เป็นอะไรที่ไกลตัวมากๆ แต่พอตั้งท้องเท่านั้นแหละ การเป็นพาหะฯ นี่เรื่องใกล้ตัวสุดๆ แถมทำให้กังวลมากมายเลยล่ะค่ะ ถ้าคุณแม่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็แสดงว่าคุณแม่อาจจะกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกันใช่มั้ย สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าพาหะธาลัสซีเมียคืออะไร วันนี้เราก็นำความรู้มาฝากกันค่ะ เคยได้ยินผ่านๆ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพาหะธาลัสซีเมียคืออะไร? อันที่จริง การเป็นพาหะธาลัสซีเมียไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนไทยเลยนะ เพราะมีคนไทยตั้งกว่า 24 ล้านคนที่เป็นพาหะโรคนี้ เผลอๆ เวลาเดินตามถนนเราอาจจะเจอคนที่เป็นพาหะอยู่เต็มไปหมด แถมเรายังอาจจะเป็นด้วยก็ได้นะ คนที่เป็นพาหะของโรคนี้ง่ายๆ ก็คือ คนที่มีเชื้อธาลัสซีเมีย “แฝง” อยู่ในร่างกาย เพราะงั้นคนที่เป็นพาหะจะมีสุขภาพที่แข็งแรงปกติเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ ไม่ได้ออกอาการอะไร แต่อาจจะเลือดจางนิดหน่อย โรคธาลัสซีเมียนี้เป็นโรคที่ติดต่อได้ทางพันธุกรรม เพราะงั้น หากทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะทั้งคู่ ลูกที่คลอดออกมาก็สามารถเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ถึง 25% เลยนะ พูดง่ายๆ คือ พาหะก็เหมือนมีโรคอยู่ครึ่งนึง แม่มีครึ่ง พ่อมีครึ่ง พอมารวมกัน ลูกก็มีโอกาสที่จะได้รับโรคนี้ไปเต็มๆ เลยนั่นเอง แต่คุณแม่ก็อย่าเพิ่งกังวลเกินไปนะคะ เพราะหากคุณหมอตรวจพบว่าทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะแล้ว ขั้นต่อไปคุณหมอจะดูว่าเป็นธาลัสซีเมียชนิดไหน เพราะถ้าเป็นคนละชนิดกัน ก็หายห่วง! พาหะธาลัสซีเมียมีกี่ชนิด แล้วต่างกันยังไง? พาหะธาลัสซีเมียมี 2 ชนิด ก็คือ อัลฟ่ากับเบตา อัลฟ่านี่จะค่อนข้างรุนแรง แต่มากน้อยก็แล้วแต่ยีนส์ที่แฝงอยู่นั่นแหละ ส่วนถ้าเป็นกลุ่มเบตาก็จะไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่ […]

5 อาการควรระวัง! เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด

เรามั่นใจ 100% เลยว่าแม่ทุกคนอยากเห็นหน้าลูกน้อยเร็วๆ นับวันรอกันแทบไม่ไหว แต่ไม่มีแม่คนไหนแน่นอนที่อยากให้ลูกคลอดออกมาก่อนกำหนด ปกติแล้วคุณแม่ก็จะอุ้มท้องกันอยู่ที่ 37-40 สัปดาห์อ่ะเนอะ เพราะว่าถ้าคลอดก่อนหน้านี้ อวัยวะหรือสมองบางส่วนของลูกน้อยก็ยังอาจจะยังเติบโตไม่เต็มที่เท่าไหร่ ปอดก็ยังไม่แข็งแรง หายใจเองไม่ได้ ตัวเล็ก ถ้าคลอดออกมาก่อนก็ต้องอยู่ในตู้อบ นอกจากค่าใช้จ่ายจะสูงมากแล้ว ลูกยังน่าสงสารที่ต้องมีสายระโยงรยางค์ช่วยให้เค้าหายใจได้ ตอนท้องนี่ก็จะกังวลตลอด ปวดท้องนิดนึงก็กลัวว่าจะคลอดแล้วรึเปล่า แต่โดยทั่วไปแล้วถ้าจะคลอดก่อนกำหนดก็มักจะมีอาการเตือนที่ไม่ใช่แค่ปวดท้องนะ เราลองไปดูกันดีกว่าว่ามีอาการประมาณไหนบ้าง 5 อาการแบบนี้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด! 1.เจ็บท้องถี่ มีเลือดออกทางช่องคลอด เวลาท้อง การมีเลือดออกไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะงั้นถ้าคุณแม่มีเลือดออกในช่วงก่อนสัปดาห์ที่ 37 ไม่ว่าจะน้อยหรือเยอะ ให้รีบไปหาคุณหมอด่วนๆ เลย ส่วนคุณแม่บางคนอาจจะมีอาการเจ็บท้องถี่ร่วมด้วย ความรู้สึกมันจะเหมือนปวดอยากเข้าห้องน้ำแต่ถ่ายไม่ออก อาการนี้มันจะเกิดจากการที่มดลูกบีบตัว เสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้นะ 2. ตัวบวมความดันสูงปรี๊ด คุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีอาการมือบวม เท้าบวม ถ้าไม่ได้บวมเยอะมากจนน่าตกใจก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรนะ เพราะหลายๆ คนก็เป็นกัน แต่คุณแม่บางคนมีอาการบวมทั้งตัว น้ำหนักขึ้นเร็ว จุกตรงลิ้นปี่ ความดันสูงมากจนอาจจะแตะ 200 เลยก็มี อันนี้คืออาการของคุณแม่ที่ครรภ์เป็นพิษต้องพบคุณหมอโดยเร็ว เพราะว่านอกจากจะอันตรายต่อลูกในท้องแล้วยังอันตรายต่อคุณแม่ด้วย ความดันที่ขึ้นสูงปรี๊ดแบบนี้อาจมีโอกาสทำ ให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ด้วยนะ ส่วนใหญ่คุณแม่ที่มีอาการแบบนี้จะต้องอยู่ในการดูแลของคุณหมอ หากมีอาการไม่ดีขึ้นอาจจะต้องโดนผ่าคลอดฉุกเฉินเพื่อรักษาชีวิตของคุณแม่และลูกน้อยในท้องไว้ค่ […]

เข้าไตรมาส 2 แล้ว มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างนะ?

ท้องมาสามเดือนแต่ยังไม่เห็นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ท้องก็ยังไม่ใหญ่ ลูกก็ยังไม่ดิ้น แถมขึ้นบีทีเอสก็ยังไม่มีคนลุกให้นั่งอีกต่างหาก ถ้าคุณแม่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ก็ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่เดือนที่สี่ ห้าและหกให้ดีๆ เลยจ้า บอกก่อนเลยว่าช่วงไตรมาสนี้ นอกจากอารมณ์คุณแม่ๆ จะแปรปรวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงแล้ว เจ้าร่างกายก็น้อยหน้าซะที่ไหน เผลอๆ แปรปรวนหนักกว่าอารมณ์ซะอีก เราลองไปดูกันดีกว่า ว่าช่วงนี้คุณแม่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ไม่ค่อยแพ้ท้องแล้ว อันนี้เป็นเรื่องดี ขอปรบมือรัวๆ จากที่แพ้ท้องเช้า กลางวัน เย็น กินอะไรก็อาเจียน ได้กลิ่นอะไรก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ ขอบอกว่าพอเข้าช่วงไตรมาสสองอาการพวกนี้จะดีขึ้นเยอะ! คุณแม่บางคนอาจจะเหลือแค่แพ้ท้องเช้านิดหน่อย เย็นนิดหน่อย แต่บางคนก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ เหมือนร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้วอ่ะเนอะ ช่วงนี้ก็จะดีหน่อย คุณแม่จะทานอะไรได้เยอะขึ้น เผลอๆ เยอะกว่าเดิม อัดอั้นตันใจที่ทานอะไรไม่ได้เลยในช่วงแรกๆ แต่จริงๆ แล้วก็มีคุณแม่บางคนที่ยังแพ้ท้องอยู่ เราก็ขอแนะนำให้คุณแม่ดื่มน้ำอุ่นๆ ทานอาหารเบาๆ แต่ก็ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวนะ ขอแนะนำเป็นพวกอาหารเบาๆ ที่มีประโยชน์จะดีกว่า ตัวเริ่มหนัก พุงเริ่มออก ใครที่กำลังบ่นว่าท้องยังไม่เห็นใหญ่เลย ตอนนี้แหละค่ะของจริง! เจ้าจิ๋วในท้องของเราเริ่มโตขึ้นละ คนรอบข้างก็เริ่มสังเกตได้แล้วล่ะว่าคุณแม่กำลังท้องอยู่ คุณแม่บางคนอาจจะชะล่าใจคิดว่าไหนๆ คนท้องก็ต้องอ้วนอยู่แล้วกินๆ เข้าไปเถอะ แต่ขอบอกตรงนี้เลยว่าอย่าเพิ่งกินเพลินจนลืมไปนะคะว่าคนท้องเสี่ยงเป็นเบาหวานช่วงตั้งครรภ์ได้ ยิ่งถ้าคุณแม่ติดทานอะไรหวานๆ จนน้ำหนักขึ้นพรวดพราดนะ โดนคุณหมอจับตรวจเบาหวานแน่นอน ท้องแตกลาย […]

9 วิธีสนุกๆ ทายเพศลูกน้อยตามแบบโบราณ

พอรู้ว่าตั้งท้อง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มักอยากจะทราบเป็นอันดับแรกก็คือเพศของลูกในท้องใช่มั้ยล่ะคะ วันนี้เราตั้งใจจะมาพูดถึงวิธีสนุกๆ ที่ไม่ต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีที่อิงความเชื่อล้วนๆ ฮิตกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม่นไม่แม่น ไม่รู้ แต่ก็สนุกดีค่ะ ถือว่าคลายเครียดกันเนอะ (เอ๊ะ หรือจะทำให้เครียดกว่าเดิม?) 9 วิธีสนุกๆ ทายเพศลูกน้อยตามแบบโบราณ ทายเพศลูกจากรสชาติที่แม่ชอบ คุณแม่อาจจะเคยได้ยินว่าคนท้องมักจะชอบทานของเปรี้ยวๆ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะเพราะคุณแม่บางท่านก็ชอบทานหวาน บางคนก็ชอบทานเค็มค่ะ โบราณเค้าว่าไว้ คุณแม่ชอบทานหวาน เช่นพวกขนมเค้กขนมหวานจะได้ลูกสาว แต่ถ้าชอบทานเค็มอย่างพวกอาหารคาวหรืออาหารที่มีรสเค็มนำจะได้ลูกชาย ทายเพศลูกจากหน้าตาของแม่ โบราณเค้าเชื่อว่าถ้าคุณแม่หน้าโทรมแปลว่าจะได้ลูกสาวค่ะ เพราะลูกสาวได้แย่งความสวยไปจากแม่หมดเลย คุณแม่บางท่านจากที่หน้าขาวๆ เนียนๆ กลายเป็นหน้าคล้ำ สิวขึ้นซะงั้น ส่วนคุณแม่ท่านไหนที่สวยเด้งไม่มีตก ก็มักจะได้ลูกชายค่ะ ทายเพศลูกจากความฝัน คุณแม่หลายๆ ท่านมักจะฝันว่าได้มีค่าของก่อนตั้งท้องหรือก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เวลาฝันแบบนี้ โบราณเค้าว่าถ้าได้เครื่องประดับแก้วแหวนเงินทองจะได้ลูกสาว ส่วนถ้าฝันว่าได้ของที่เป็นสิริมงคล เช่น พระ จะได้ลูกชายค่ะ ทายเพศลูกจากเมล็ดข้าวสาร วิธีนี้หลายๆ คนเค้าบอกว่าแม่น แต่ก็หาหลักวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ วิธีทำก็ง่ายๆ ให้คุณแม่ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หยิบข้าวสารขึ้นมาหยิบนึงแล้วลองนับดู ถ้านับได้เลขคู่ก็ได้ลูกสาว ถ้าได้เลขคี่ก็ได้ลูกชายค่ะ ทายเพศลูกจากรูปร่างของท้อง หลังอาบน้ำคุณแม่ลองส่องกระจกดูท้องของตัวเองก็ได้ค่ะ ถ้าท้องคุณแม่มีลักษณะแหลมต่ำลงด้านล่างแสดงว่าคุณแม่อาจจะได้ลูกผู้ชาย แต่ถ้าท้องคุณแม่กลมขึ้นด้านบน คุณแม่ก็อาจจะได้ลูกผู้หญิง […]

ลูกเริ่มดิ้น แม่เริ่มนับ ตอนกี่เดือน?

คุณแม่ทั้งหลายรู้สึกถึงลูกดิ้นกันรึยังจ้ะ ที่เค้าว่ากันว่าเวลาลูกดิ้นเป็นช่วงที่แฮปปี้สุดๆ นั้นไม่ใช่เรื่องโม้นะ เพราะว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ที่น่าตื่นเต้น เหมือนโลกหยุดหมุนเลยล่ะ คุณแม่ๆ มือใหม่ทั้งหลายก็คงกำลังรอช่วงเวลานี้อย่างใจจดใจจ่ออยู่ใช่มั้ยคะ เรามาลองดูกันดีกว่าว่าลูกของคุณแม่ๆ ทั้งหลายจะเริ่มดิ้นกันตอนไหน ท้องเริ่มใหญ่แล้วแต่ลูกไม่เห็นดิ้นซักที… จริงๆ แล้วขนาดท้องก็ไม่ได้บ่งบอกถึงขนาดตัวลูกในท้องของคุณแม่นะ คุณแม่จะรู้สึกถึงการดิ้นของลูกเร็วหรือช้านั้นจะขึ้นอยู่กับผนังหน้าท้องของคุณแม่ต่างหากล่ะ คุณแม่ท่านไหนที่ดั้งเดิมเป็นคนตัวเล็ก ผนังหน้าท้องบาง ก็จะรู้สึกได้เร็วกว่าคุณแม่ที่มีผนังหน้าท้องที่หนาค่ะ ในช่วงท้องอ่อนๆ ขนาดตัวของลูกจะยังเล็กมาก ต่อให้ดิ้นเป็นวงกลมม้วนสิบตลบก็ไม่มีทางมาชนกับผนังหน้าท้องให้คุณแม่รู้สึกได้ค่ะ สำหรับคุณแม่ท้องแรกจะรู้สึกถึงลูกดิ้นตอนประมาณสัปดาห์ที่ 18-25 ส่วนคุณแม่ที่เคยตั้งท้องมาแล้วจะรู้สึกตอนประมาณสัปดาห์ที่ 13-14 ค่ะ ความรู้สึกแรกคือคุณแม่จะรู้สึกเหมือนโดนปลาตอดที่หน้าท้องเบาๆ อาจจะรู้สึกจั๊กจี้นิดนึง แต่มีความสุขสุดๆ ไปเลย ลูกดิ้นตอนไหนบ้างนะ? ลูกน้อยของเรามักจะหลับซะเยอะค่ะ แต่มักจะชอบตื่นมาแดนซ์ตอนช่วงดึกๆ ตั้งแต่ 3 ทุ่มจนเข้าตี 1 ตี 2 ราวกับจะเปิดผับในท้องของเราอย่างนั้นแหละ เอาจริงๆ แล้วลูกน้อยในท้องจะยังตื่นไม่เป็นเวลา เพราะเค้ายังไม่รู้จักกลางวันกลางคืน ส่วนใหญ่ลูกจะดิ้นหลังอาหารทั้งสามมื้อ เวลาคุณแม่ทานอะไรหวานๆ เวลาที่คุณแม่ได้ออกกำลังกายเบาๆ หรือแม้แต่เวลาที่คุณแม่หิวก็อาจจะทำให้ลูกดิ้น เพราะว่าเสียงท้องร้องของคุณแม่อาจจะกำลังกวนเค้าอยู่ พอคุณแม่เริ่มท้องแก่สักประมาณ 36 สัปดาห์ ความรู้สึกถึงการดิ้นของลูกอาจจะเปลี่ยนไปค่ะ จะช้าๆ เนิบๆ เพราะเค้าตัวใหญ่ขึ้นทำให้มีพื้นที่ในมดลูกแคบลง จะมาขยับปุปปับเหมือนเดิมก็คงไม่ได้ละ ลูกดิ้นสำคัญอย่างไร […]

ท้องเริ่มใหญ่จะนอนท่าไหนดี?

ท้องทีต้องมานั่งกังวลเรื่องนู้นเรื่องนี้เต็มไปหมด นอกจากจะกังวลเรื่องการกินกับการเดินแล้ว ท่านอนก็ยังเป็นสิ่งที่แม่ท้องหลายๆ คนสงสัยว่าควรจะนอนท่าไหนกันแน่ บางคนก็บอกว่าให้นอนท่าที่สบายที่สุด บางคนก็บอกว่าให้นอนตะแคงข้างไหนก็ได้ ส่วนบางคนก็เจาะจงให้นอนตะแคงซ้าย ตกลงยังไงกันแน่นะ? แต่แน่นอนว่าท่านอนมีผลต่อทั้งสุขภาพของคุณแม่แล้วก็คุณลูก วันนี้เราลองมาดูคำตอบไขข้อสงสัยไปพร้อมๆ กันค่ะ ท่านอนที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ ท่านอนที่ดีที่สุดสำหรับแม่ท้องที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16 สัปดาห์ขึ้นไปคือ “ท่านอนตะแคงซ้าย” ค่ะ เพราะว่าการนอนตะแคงซ้ายจะช่วยให้มดลูกของคุณแม่ไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่อยู่ค่อนไปทางขวาและท่านี้ยังจะช่วยในเรื่องของระบบหมุนเวียนเลือดด้วยนะคะ เพราะพอเส้นเลือดดำไม่ถูกกดทับแล้ว เลือดก็จะสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจได้ดี แถมยังทำให้อาหารย่อยง่ายอีกด้วยนะ ถ้าคุณแม่นอนตะแคงขวา หัวใจก็จะทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องใช้แรงสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น แต่เอาจริงถ้าจะให้นอนตะแคงซ้ายทั้งคืนก็คงไม่ไหว คุณแม่ก็อาจจะตะแคงซ้ายขวาสลับกันก็ได้นะ แต่เน้นไปที่ด้านซ้ายให้เยอะกว่านะคะ สำหรับคุณแม่ที่ท้องใหญ่มากๆ คุณแม่อาจจะหาหมอนมารองใต้ท้องเพื่อช่วยพยุงท้องเอาไว้ จะได้นอนหลับสบายๆ ยาวๆ ถึงเช้าไปเลยเนอะ ท่านอนที่ไม่เหมาะสมกับคุณแม่ เดาได้ง่ายมาก ก็คือท่านอนคว่ำน่ะสิ อันนี้มันก็แน่อยู่แล้วแหละนะ ท้องก็ใหญ่ขึ้นทุกวันทุกวันจะให้นอนคว่ำได้ยังไงไหว แต่อีกท่านึงที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงก็คือท่านอนหงายค่ะ อ๊ะๆ คิดไม่ถึงกันใช่ไหมล่ะคะ ที่ท่านี้ควรหลีกเลี่ยงก็เพราะมดลูกของคุณแม่นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงอาจจะไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ตรงบริเวณกลางลำตัวได้ค่ะ พอทับไปแล้วคุณแม่ก็จะมีอาการเท้าบวม เป็นริดสีดวงทวาร หนักๆ หน่อยก็อาจทำให้วิงเวียนศีรษะจนถึงขั้นเป็นลมได้เลยล่ะ นอกจากนี้ยังทำให้คุณแม่ปวดหลังสุดๆ เพราะเหมือนกับต้องแบกรับน้ำหนักร่วมสิบโลไว้ทั้งคืน วิธีจัดท่านอน ไม่ใช่ว่าคุณแม่เดินมาถึงเตียงก็ล้มตึงลงไปนอนตะแคงได้เหมือนตอนไม่ท้องเลยนะ ตอนนี้เรามีลูกน้อยอยู่ในท้องแล้วก็ต้องคอยทำอะไรให้ช้าลง วิธีข้างล่างจะช่วยให้คุณแม่จัดท่านอนได้ถูกต้องแล้วก็จะช่วยลดอาการปวดหลังด้วยนะคะ อันดับแรกให้นั่งขอบเตียงด้านข้าง ขาห้อยลงจากเตียง จัดหมอนที่จะหนุนนอนให้เรียบร้อย […]

ท้องแบบนี้ขึ้นบินได้ไหมนะ

พอใกล้จะสิ้นปีคุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มวางแพลนเที่ยวกันแล้วใช่มั้ยล่ะคะ ก่อนจะเริ่มจองที่พัก คุณแม่ก็คงจะฉุกคิดว่า เอ๊ะ คนท้องขึ้นเครื่องบินได้มั้ยนะ? แล้วขึ้นได้ถึงกี่เดือน? สองคำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับแม่ท้องทั้งหลายทุกช่วงวันหยุดยาวเลยค่ะ วันนี้เราก็มีคำตอบมาให้คุณแม่หายสงสัยกันนะคะ ขอบอกข่าวดี คุณแม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้นะ แต่จะขึ้นได้จนถึงอายุครรภ์ประมาณ 35-36 สัปดาห์เท่านั้นโดยขึ้นอยู่กับข้อบังคับของสายการบิน ความจริงแล้วการเดินทางโดยเครื่องบินก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อลูกน้อยในท้องของคุณแม่เลยค่ะ ถ้าคุณแม่มีสุขภาพที่แข็งแรงแล้วก็ได้คอนเฟิร์มกับคุณหมอแล้วว่าไม่ได้มีภาวะเสี่ยงอะไร แต่สายการบินมักจะกลัวคุณแม่เจ็บท้องคลอดลูกบนเครื่องบินต่างหากล่ะ เพราะหากคุณแม่คลอดลูกบนเครื่องบินแล้วก็จะทำให้สายการบินมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แถมอาจจะยังไม่ค่อยสะดวกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าแม่ท้องทั้งหลายจะซื้อตั๋วแล้วก็เดินขึ้นเครื่องได้เลยนะ มีเอกสารนิดหน่อยที่คุณแม่จะต้องเตรียมแล้วก็แจ้งเจ้าหน้าที่ตามด้านล่างนี้เลยค่ะ สิ่งที่คุณแม่ต้องทำก่อนขึ้นเครื่อง อย่าลืมพกใบรับรองแพทย์ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากกว่า 27 สัปดาห์ ก่อนเดินทางคุณแม่อย่าลืมขอใบรับรองแพทย์ติดตัวไปด้วยนะคะ ใบรับรองแพทย์นี้จะเป็นสิ่งช่วยยืนยันว่าคุณแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง คุณหมออนุญาตให้เดินทางได้ และคุณแม่มีอายุครรภ์ที่ไม่เกินจากที่ทางสายการบินกำหนด ดูดีๆ นะ ใบรับรองแพทย์อย่าให้เกิน 30 วันล่ะ ไม่งั้นอดขึ้นไม่รู้ด้วย บอกเจ้าหน้าที่ว่าคุณแม่กำลังตั้งท้อง เมื่อเช็คอินที่เคาน์เตอร์ให้คุณแม่รีบแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่เลยค่ะว่าคุณแม่กำลังท้องอยู่ ทางเจ้าหน้าที่จะให้คุณแม่เซ็นเอกสารจำกัดขอบเขตความรับผิด พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเอกสารที่บอกว่าคุณแม่จะไม่เอาผิดกับสายการบินหากมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกในท้องนั่นแหละ เอกสารนี้จะต้องนำไปยื่นให้กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินด้วยตัวคุณแม่เอง นอกจากนี้ หากคุณแม่ไปเช็คอินแต่เนิ่นๆ คุณแม่ก็อาจจะรีเควสขอที่นั่งดีๆ มีพื้นที่กว้างๆ ด้านหน้าให้คุณแม่ยืดขาคลายเมื่อยด้วยนะ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ก่อนจะเดินทางคุณแม่อย่าลืมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานพยาบาลในที่ที่คุณแม่จะไปนะคะ เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นคุณแม่จะได้ถึงมือคุณหมอได้ทันเวลา นอกจากสถานพยาบาลแล้วคุณแม่ก็ควร จะหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันการเดินทางที่ครอบคลุมการตั้งครรภ์ไว้ด้วยจะได้อุ่นใจขึ้นไปอีกระดับนึงค่ะ พอขึ้นเครื่องแล้วก็ทำจิตใจให้สบาย คุณแม่อาจรู้สึกปวดหลังเพราะนั่งนานเกินไป ลองมาดูวิธีผ่อนคลายง่ายๆ […]

เตรียมคาร์ซีทพาลูกออกเที่ยวครั้งแรกกับพี่ตู่

เมื่อพี่ตู่เตรียมคาร์ซีท พาน้องริสาออกไปเที่ยวครั้งแรก… แต่มะลิ (แม่บ้าน) ดันถอดเบาะคาร์ซีทไปซักซะงั้น งานนี้พี่ตู่ต้องใส่ผ้าหุ้มกลับเข้าไปเหมือนเดิม เบาะทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ชิ้น ที่เข้าใจง่ายๆ พี่ตู่บอกว่าง่ายมาก ทำครั้งแรกก็ได้เลย #แท็กสามี #ซักคาร์ซีทให้หน่อย เพราะคุณแม่นุชออกไปทำธุระข้างนอก การพาน้องริสาออกไปเที่ยวครั้งนี้มีแค่สองพ่อลูกเท่านั้น คาร์ซีทจึงจำเป็นมาก พี่ตู่เลือกคาร์ซีท Ailebebe รุ่น  Kurutto 4 Grance ผ้าหุ้มตาข่ายระบายอากาศได้ดี น้องริสานั่งแล้วสบายตัว ไม่อึดอัด ไม่งอแง สบายจังเลย…ปะป๋า ของีบแป๊บบบบนะคะ พนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ รองรับแรงกระแทกได้ดี หากเกิดอุบัติเหตุ หมุนได้ 360 องศา อุ้มน้องริสาขึ้นลงคาร์ซีทได้ง่าย คาร์ซีท Ailebebe ปลอดภัยแน่นอน เพราะทุกตัวผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด จากประเทศญี่ปุ่น รีวิวคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto4

Family Blog คาร์ซีทสำคัญแค่ไหน แม่ตูนน์เล่าเรื่องก่อนเลือกซื้อ

ไหนนนน บ้านไหนชอบได้ยินว่า ไม่ต้องซื้อคาร์ซีทหรอก ไม่ต้องเตรียมหรอก ค่อยๆ ขับ ระวังๆ ก็ไม่เป็นไรแล้ว บ้านนี้ขอยกมือ เป็นลำดับแรกๆ เลยค่ะ ซึ่งเอาจริงๆ เนี่ย ตอนแรกก่อนมีน้อง ตัวเองก็เฉยๆ นะ ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งวันที่มีน้องต๊าตต์ และเริ่มวางแผนการเตรียมซื้อของให้เค้า วันแรกที่แม่เริ่มเกริ่นเรื่องว่าจะซื้อ Carseat ด้วยความที่เราเป็นแม่สายอ่านหาข้อมูลวิเคราะห์ ถามแฟนเพจ พูดคุยกับแม่ๆ คนอื่นๆ ทำให้เรารู้ว่า carseat เนี่ยเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดในการเตรียมก่อนคลอดเลย เพราะหลังจากน้องออกจาก รพ. แล้วจะต้องมีพร้อม หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ราคาสูง แลดูสิ้นเปลืองมากๆ ซึ่งตอนแรกเนี่ย ทางบ้านตูนน์ก็มีคิดแบบนั้นเหมือนกันนะ มักจะเริ่มจากคำที่ว่า “สมัยเราเด็กๆ ยังไม่ต้องใช้เลย” แต่เราพยายามอธิบายให้เค้าฟังถึงเหตุ และผล พร้อมกับยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ให้เค้าได้ฟัง … ต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้ต้องค่อยๆ อธิบายกันให้เข้าใจค่า สำหรับตูนน์แล้ว Carseat คล้ายๆ ซื้อประกัน เอาจริงๆ ไม่มีใครอยากต้องใช้ประกันหรอก แต่มันคือการซื้อความปลอดภัย และเมื่อเกิดเหตุขึ้น เราก็มั่นใจว่าลูกเราจะปลอดภัย tuniez […]